GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

อัจฉริยลักษณะและอดีตชาติของ "ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต"



“อัจฉริยลักษณะและอดีตชาติของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต”

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านเป็นผู้มีอัจฉริยลักษณะและอัจฉริยนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะองค์ มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลีระคนด้วยหมู่ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียร ตั้งแต่วันอุปสมบทมา จนกระทั่งวาระสุดท้าย

ธุดงควัตร ที่ท่านปฏิบัติเป็นประจำตลอดชีวิต คือ บิณฑบาตเป็นวัตร ...

ฉันในบาตรเป็นวัตร

ใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร

อยู่ในป่าเป็นวัตร

ถือนั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร

ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเป็นผู้ที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบทั้งภายนอกและภายใน ท่านเกิดมาเพื่อเป็นปรมาจารย์ แม้รูปกายและกิริยาของท่านก็เป็นลักษณะของท่านผู้มีบุญใหญ่ คือ

“คิ้ว” ของท่านมีไฝตรงกลางระหว่างคิ้ว ลักษณะคล้ายกับอุณาโลมของพระพุทธเจ้า ไฝนี้เป็นจุดดำเล็ก ๆไม่ได้นูนขึ้นมา มีขนอ่อน ๓ เส้น ไม่ยาวมาก เป็นเส้นละเอียดอ่อนมาก ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่เห็น

“หู” ของท่านมีลักษณะหูยาน เป็นหูของนักปราชญ์

“จมูก” โด่งรับกับใบหน้า เข้ารูปลักษณะชายชาติอาชาไน

“ตา” ของท่านแหลมคมเหมือนตาไก่ป่า คือ ตาดี รวดเร็ว คือ มีแววตาเป็นวงแหวนในตาดำ เป็นตาของจอมปราชญ์

“นิ้วมือ” ของท่านนิ้วชี้จะยาวกว่า แล้วไล่ลงมาถึงนิ้วก้อย

“นิ้วเท้า” ก็เหมือนกัน นิ้วชี้จะยาวกว่า แล้วไล่ลงมาถึงนิ้วก้อย

“ฝ่าเท้า” ของท่านจะเป็นลายก้นหอยสองอัน และมีรอยอยู่กลางฝ่าเท้าเหมือนกากบาท

เวลาท่านเดินไปไหน ท่านเดินก่อน สานุศิษย์ไม่เหยียบรอยท่าน พอท่านเดินผ่านไปแล้ว ชาวบ้านจะไปยืนมุงมองดูจะเห็นเป็นลายตารางปรากฏอยู่ทั้งสองฝ่าเท้า

“รอยนิ้วเท้า” ก็เป็นก้นหอยเหมือนกัน จะเรียกก้นหอยหรือวงจักรก็ได้ มีอันใหญ่กับอันเล็ก ๒ อัน เป็นลักษณะพิเศษของท่าน

“ฝ่ามือ” ของท่านเวลาสานุศิษย์นวดเส้นถวาย ได้พลิกฝ่ามือของท่านดูปรากฏว่า มีเส้นกากบาทเต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง

“เสียง” ของท่านเสียงกังวาน ไพเราะ ฟังเพลิน ฟังเหมือนเสียงฟ้าดินถล่ม ผู้ฟังไม่อิ่มไม่เบื่อ แรงแต่ไม่เป็นอันตราย

“คำพูด” ของท่านเหมือนถอดจากหัวใจดวงหนึ่งไปสู่หัวใจอีกดวงหนึ่ง แม้ท่านเทศน์จบแล้วผู้ฟังก็ยังอยากฟังต่อไปอีก แม้คนละเชื้อชาติภาษาท่านก็สามารถสอนให้เข้าใจได้

“วาจา” ของท่านเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีลาภ ยศ อามิสเจือวาจาของท่าน เทศน์จึงขลังดี พูดถูกธรรม ตรงไป ตรงมา ไม่เห็นแก่หน้าบุคคลและอามิ

“ฤทธิ์” ท่านไม่ชอบแสดงฤทธิ์ ท่านชอบภาวนาให้สิ้นกิเลส ฤทธิ์ทั้งหลายเกิดด้วยกำลังสมถะ ฌานสมาบัติทั้งนั้น ใช้วิปัสสนาอย่างเดียวไม่มีฤทธิ์สำเร็จอรหันต์

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเล่าเรื่อง ในอดีตชาติท่านได้พิจารณาร่างกระดูกมาถึง ๕๐๐ ชาติ ได้พิจารณาวัฏฏะอีกถึง ๕๐๐ ชาติ

เริ่มตั้งแต่เกิดเป็นเสนาบดีเมืองกุรุรัฐ ชมพูทวีป ประเทศอินเดีย ผู้เกี่ยวข้องในครั้งนั้น คือ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) คือ พระปทุมราชา ผู้ครองแคว้นกุรุ เป็นพี่ชาย

ในชาตินั้นท่านได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเฉพาะพระพักตร์ ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ แต่ยังไม่ได้รับพุทธทำนาย

ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า พระพุทธองค์ตรัสธรรมแก่ท่านซึ่งเป็นอุบาสกในครั้งนั้นว่า....

....อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง น่าเกลียด คือ
อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑
เป็นผู้ทุศีล ๑
เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคล ไม่เชื่อกรรม ๑
แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนา ๑
ทำการสนับสนุนในที่นอกศาสนานั้น ๑
ส่วนอุบาสกแก้วก็มีนัยตรงกันข้ามกับอุบาสกเลวนี้
ท่านบอกว่าจิตท่านมั่นคงในพระรัตนตรัย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

อีกชาติหนึ่งท่านเกิดที่ลังกาทวีป ประเทศศรีลังกา ได้บวชเป็นพระ ได้เข้าร่วมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๔ ปรารภให้พระศาสนาประดิษฐานมั่นคงในลังกาทวีป พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอริฏฐะเป็นผู้วิสัชนา ประชุมที่ถูปาราม เมืองอนุราชบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเป็นศาสนูปถัมภ์ สิ้นเวลา ๑๐ เดือนจึงเสร็จ

จากนั้นท่านได้มาเกิดที่มณฑลยูนานประเทศจีน ในตระกูลขายผ้าขาว มีน้องสาวคนหนึ่งเคยช่วยเหลือกัน มาชาตินี้ คือ นางนุ่ม ชุวานนท์ คหปตานีชาวสกลนคร ผู้สร้างวัดป่าสุทธาวาสถวายและท่านก็ได้สงเคราะห์ด้วยธรรมแก่เธอมาโดยตลอด

ชาติหนึ่งท่านไปเกิดที่โยนกประเทศ ปัจจุบันคือเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ในตระกูลช่างทำเสื่อลำแพน ท่านพระอาจารย์เสาร์ เป็นนายช่างใหญ่ ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นผู้จัดการ ส่วนพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธฺโล) เป็นคนเดินตลาด

ท่านพระอาจารย์มั่นสอนท่านพ่อลีต่อไปอีกว่า ผู้ปฏิบัติต้องรู้ที่จะแก้จิตของตน ให้รู้จักภพของตนที่จะไปเกิด ต้องผ่านความผิดมาเสียก่อน จึงปฏิบัติถูก
ความผิดเป็นเหตุ ความถูกเป็นผลของความดีทั้งหลาย

ต้องเดินมรรค ๘ ให้ถูกจึงจะแก้ได้ เดินตามสายหนทางของพระอริยเจ้า ใช้ตบะอย่างยิ่งคือความเพียร จึงจะสอนตนได้
โลกีย์ โลกุตระ ๒ อย่าง ประจำอยู่ในโลก ๓ ภพ
และท่านพระอาจารย์มั่นได้แสดงธรรมโดยยกธรรมชาติมาเปรียบเทียบให้ฟังในหลายคราว มีใจความย่อดังนี้ว่า

“....ธรรมะ หรือ ธัมโม ต้องเรียนเอามาจากธรรมชาติ เห็นความเกิด ความแปรปรวน ของสังขารประกอบด้วยไตรลักษณ์
เป็นนักปฏิบัติกรรมฐานอย่าเชื่อหมอมากนัก ให้เชื่อธรรม เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม จึงจะดี ธรรมะทั้งหมดชี้เข้าที่กายกับจิต เพราะกายและจิตนั่นแหละ เป็นคัมภีร์เดิม เป็นคัมภีร์ธรรมะที่แท้จริง

ภูเขา ทะเล สายน้ำ แผ่นดิน แผ่นฟ้า เห็นไปดูไปก็ไม่มีความหมาย ให้เห็นแต่ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ เท่านั้นแล
ทิฐิมานะนั่นแหละ เป็นภูเขาสูงหาที่ประมาณมิได้
โลกสันนิวาส มีความแปรปรวนตั้งเที่ยงอยู่เช่นนั้น แต่จิตของเรารักษาไว้ให้ดี อย่าให้ติด ถ้าไม่ติดก็ได้ชื่อว่าเป็นสุข
พิจารณาค้นกาย ตรวจกายถูกดีแล้ว ค้นดูกายถึงหลัก แลเห็นอริยสัจของจริงแล้ว เดินตามมรรคเห็นตัวสมุทัย เห็นทุกขสัจ
ต้องทำจิตให้เป็นเอก ต้องสงเคราะห์ธรรมให้เป็นเอกเสมอ
พระอรหันต์มีคุณอนันต์นับหาประมาณมิได้ พระอรหันต์ตรัสรู้ในตัวเห็นในตัว มีญาณแจ่มแจ้งดี ล้วนแต่เล่าเรียนธรรมชาติทั้งนั้น”

คัดลอกจากหนังสือชีวประวัติและปฏิปทา “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า”
 
 

“...คนโบราณบางคนเขาว่า เมื่อมันเจ็บมันไข้ จวบลมหายใจจะขาด ให้ค่อย ๆ เข้าไปกระซิบใกล้หูคนไข้ว่า “พุทโธ พุทโธ พุทโธ” มันจะเอาอะไร “พุทโธ” นั่นนะ คนที่ใกล้จะนอนในกองไฟจะรู้จัก “พุทโธ” อะไร ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอายุรุ่น ๆ ทำไมไม่เรียนพุทโธให้มันรู้ หายใจติดบ้างไม่ติดบ้าง "แม่ ๆ พุทโธ พุทโธ" ว่าให้มันเหนื่อยทำไม อย่าไปว่าเลย มันหลายเรื่อง เอาได้แค่นั้นก็สบายแล้ว...เมื่อมีกำลังเรี่ยวแรงก็รีบทำจะทำบ...ุญสุนทาน จะทำอะไรก็รีบจัดทำกัน แต่ว่าคนเราก็มักจะไปมอบให้แต่คนแก่ จะเข้าวัดศึกษาธรรมะรอให้แก่เสียก่อน โยมผู้หญิงก็เหมือนกัน โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ให้แก่เสียก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าอะไรกันคนแก่นี่มันกำลังดีไหม ลองไปวิ่งแข่งกับคนหนุ่มดูซิ ทำไมจะต้องไปมอบให้คนแก่เหมือนไม่รู้จักตาย พอแก่มาสัก ๕๐ ปี ๖๐ ปี จวนเข้าวัดอยู่แล้ว หูตึงเสียแล้ว ความจำก็ไม่ดีเสียแล้ว นั่งก็ไม่ทน "ยายไปวัดเถอะ.." "โอย..หูฉันไม่ดีแล้ว" นั่นเห็นไหม ตอนหูดีเอาไปฟังอะไรอยู่ จังว่า... จังว่า มันคาแต่ลูกหว้าอยู่นั่นแหละ จนหูมันหนวกเสียแล้วจึงไปวัด มันก็ไปได้นั่งฟังท่านเทศน์ เทศน์อะไรไม่รู้เรื่อง มันหมดแล้วจึงมาทำกัน ยามหนุ่มสังขารแบกเรา ยามแก่เราแบกสังขาร..." โอวาทธรรมคำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี See More

 



“..ภาวนาน่ะ ให้ทำไปเถอะ ไม่ต้องถามเยอะ ต้องอดทน สู้ไม่ถอย ทำความเพียรต่อเนื่อง เบิ่งใจให้มันดี ถ้าใจดีเมิ้ดแล่ว อีหยังก็ดีโม้ด ครูบาอาจารย์ได้แต่แนะนำแนวทางปฏิบัติ ธรรมะต้องค้นหาเองตามจริตและบารมีเดิมที่สร้างมา พูดง่าย ทำยาก ถ้าตั้งใจจริง ก็ทำได้ไม่ยาก..” โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่เสถียร คุณวโร วัดถ้ำพระภูวัว ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ


 

"..กาลเวลาเดือนปี เราอย่าให้ความสนใจมันมาก ให้สนใจการกระทำของตนเองให้มาก ก็เหมือนเราได้เงินเดือนคนละสองหมื่นสามหมื่น แต่มันเก็บเข้ากระปุกแค่ห้าสิบตังค์ ที่เหลือเราเอาไปใช้จ่ายไม่ได้เกิดประโยชน์ เอาไปจ่ายฟรี ไม่เป็นสาระ มันก็มีแต่หมดไปหมดไป เกิดมาเราได้ทำความดีไว้ประมาณเท่าไหร่ให้คำนวณ ถ้ามันยังได้น้อยอยู่ก็ให้เร่งมือเร่งตีนของเราให้เร็ว ๆ เข้า ก่อนจะหมดเวลา

คนเราไม่ใช่มันมีเวลามากนะ ๔๐ ปี ๕๐ ปี ...๘๐ ปี ๑๐๐ ปีนี่ไม่ใช่มันมากนะ แต่ว่ามันจะมากจะน้อยมันก็ไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่การกระทำ ขวนขวายทำคุณงามความดีมันให้มาก เพื่อความเจริญ เพื่อความสุขของตนเอง ถ้ามีบุญมากอะไรมันก็ง่าย ก็เหมือนเราเก็บเงินเอาไว้มากหละ จะใช้จะซื้อหาอะไรมันก็ง่าย ถ้าไม่ทำบุญ ทำแต่บาปแต่กรรม อะไรมันก็ไม่ง่าย มันเกินเอื้อม มันสุดเอื้อม เอื้อมเท่าไหร่ก็ไม่ถึงแหละ ฉะนั้นคุณงามความดีจึงให้เร่งสั่งสมไว้.." โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่สุวัฒน์ อาจาโร หรือ หลวงปู่โส แห่งวัดป่าลัน (วัดป่าวัฒนา) อ.ฝาง
 
“..อย่าคิดว่าการพิจารณาธรรมเพียงครั้งเดียวหรือเพียงวันเดียวจะสำเร็จ ไม่ง่ายปานนั้นหรอก ต้องหมั่นเอาใจใส่โดยใช้อิทธิบาทสี่ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ให้พิจารณาจี้ลงไป จี้ลงไป อย่าท้อแท้ท้อถอย การปฏิบัติแต่ละคนต้องช่วยเหลือตนเอง ปฏิบัติเอาเอง ไม่มีใครช่วยได้ ไม่เหมือนกับสิ่งของที่เราหยิบยื่นให้กันได้ ครูบาอาจารย์กว่าจะสอนธรรมะแก่ลูกศิษย์ได้ต้องยอมทุ่มเท เอาชีวิตเข้าแลก..” โอวาทธรรมคำสอนหลวงพ่อทวี จิตฺตคุตฺโต วัดอรัญญวิเวก(วัดป่าลัน) อ.ดอยหลวง จ.เชียงราย

หลวงพ่อชายอมรับเราเป็นลูกศิษย์ เป็นฝรั่งด้วย สอนลำบาก ตัวใหญ่ด้วย
หลวงพ่อชาไม่เคยกลัวอาตมาสักนิดเดียว
วันหนึ่ง อาตมากำลังนั่งคิด เรามองดูหลวงพ่อชา ตัวเล็กๆ นะ
แต่ในใจเรารู้สึกว่า หลวงพ่อชาใหญ่กว่าเรา
ท่านเป็นพระผู้ใหญ่จริงๆ รูปร่างไม่ใหญ่ ...
แต่เรามีความรู้สึกว่า ท่านใหญ่ ท่านเป็นผู้มีปัญญา
ปัญญาไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรที่จำกัดได้
มีแต่ร่างกายและจิตใจของเรามีอวิชชาไม่รู้เรื่องอะไรเล

พระอาจารย์โรเบิร์ต สุเมโธ (พระราชสุเมธาจารย์)
วัดอมราวดี อังกฤษ
See More
  
"การเฝ้าดูจิต นี่แหละคือ การปฏิบัติของเรา
ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เห็นแก่ตัวและความสงบสันติ"

หลวงปู่ชา สุภทฺโท — at @วัดหนองป่าพง.

เรื่องที่มีญาติโยมสงสัยกันมากคือ เมื่อเข้ามาในวัดป่าพงจะเห็นพระฝรั่งเดินไปเดินมาอยู่ ในวัดจึงสงสัยว่า "หลวงพ่อชาสอนพระฝรั่งอย่างไร พระฝรั่งจะอยู่ร่วมกับพระไทยอย่างไร เพราะความเป็นอยู่คุ้นเคยมาต่างกัน" จนบางครั้งหลวงพ่อชาก็คลายสงสัยเขา โดยการถามเขาว่า "บ้านโยมเลี้ยงหมา แมวไหม"

เขาตอบว่า "เลี้ยงอยู่ครับ"

ท่านกล่าวว่า "โยมเลี้ยงหมาต้องพูดภาษาหมาไหมล่ะ ? พระฝรั่งก็เช่นกันมิได้แตกต่างจากพระไทยเลย ท่านมาบวชเพื่อแสวงหาหนทางดับทุกข์เหมือนกัน ใหม่ๆ ก็อาจมีความรู้สึกว่า ภาษาเป็นอุปสรรคกั้น อยู่ไปๆ ก็สบาย เช่น พระฝรั่งมาใหม่ๆ ฉันอาหารก็ไม่ลง อยู่ไปๆ บางองค์ฉันปลาร้าเก่งกว่าพระไทยอีก"



เราเกิดขึ้นมากี่ภพกี่ชาติ ก็มาหัดสติตัวเดียวนี้ แต่ไม่สมบูรณ์กันสักที
เหตุนั้นควรที่พวกเราจะพากันรีบฝึกหัดสติแต่บัดนี้
เราจวนจะตายอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะตายวันไหน
ควรที่จะฝึกหัดสติให้อยู่ในเงื้อมมือของตนให้ได้
อย่าให้จิตไปอยู่ในเงื้อมมือของความหลงมัวเมา...
ผู้ใดจิตไม่อยู่ในอำนาจของตนก็ได้ชื่อว่า เราเกิดมาเสียเปล่า ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียเปล่า ตายไปก็เปล่าจากประโยชน์

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

คำว่า จิตไม่นิ่ง ก็คือ มันไม่ผ่องใสนั่นเอง แล้วมันก็บอกอยู่ชัดๆ แล้ว เนื้อความว่า กิเลส คือ ความเศร้าหมองของจิต จิตไม่นิ่งเพราะกิเลส มันก็เศร้าหมอง มันขุ่นมัว หลับตาดูจิตของเราเดี๋ยวนี้ก็ได้

ถ้าจิตของเรายังฟุ้งซ่านส่งโน่นส่งนี่อยู่ เรียกว่า มันกระเพื่อมอยู่ มันมีเศร้าหมอง จะไปชำระ จะไปเห็นเรื่องของจิตนั้นเป็นไปไม่ได้

ครั้นจิตมันนิ่งแน่วลงไปแล้ว กิเลสอะไรก็ช่างจะปรากฏขึ้นมาในที่นั่นเลย ถึงแม้จิตจ...ะแว๊บลงไปนิดเดียวก็ตาม มันเห็นเลย

หรือขณะที่จิตนิ่งอยู่ เมื่อจิตวูบวาบออกไปนิดเดียวก็ตาม คือมันจะส่งออกไปหาอารมณ์อะไรที่เกิดขึ้น ย่อมเห็นในขณะที่จิตอยู่ในอารมณ์เดียวนั้น อันนี้เรียกว่า ตามรู้จิต เห็นจิต

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
See More
— at วัดหินหมากเป้ง.

โลกนี้จะมืดหรือสว่าง จะได้รับความสุขหรือความทุกข์ ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละบุคคล
บุคคลจึงควรฝึกหัดจิตของตนๆ ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงฝึกหัดจิตของคนอื่น โลกนี้จึงจะไม่มี ความยุ่งอีกต่อไป

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง
จ.หนองคาย
 
บ่วงของมารได้แก่อะไร อาการของจิตที่เที่ยวไปตามอารมณ์นั้น ย่อมมีทั้งอารมณ์ดี และอารมณ์ร้าย จึงต้องมีความสุขบ้างทุกข์บ้างเป็นธรรมดา ตามวิสัยของปุถุชน จิตที่เที่ยวไปนั้นจะต้องประสบของ ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะพะ ซึ่งเรียกว่า กามคุณ ๕ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นบ่วงของมาร...

จิตของปุถุชนทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปประสบอารมณ์ทั้ง ๕ นั้น หรือเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดความยินดีพอใจก็ดีหรือเกิดความเสียใจเป็นทุกข์ก็ดี เรียกว่าเข้าไปติดบ่วงของมารแล้ว คำว่า “ติด” ในที่นี้ หมายความว่า สลัดไม่ออก ปล่อยวางไม่ได้ บ่วงของมารผูกหลวม ๆ แต่แก้ไม่ได้ ถ้าดิ้นก็ยิ่งแต่จะรัดแน่นเข้า

จิตที่สำรวมได้แล้วจะพ้นจากบ่วงของมารได้อย่างไร ปุถุชนเบื้องต้นเมื่อเห็นโทษภัย ในการเข้าไปติดบ่วงของมารแล้ว จึงต้องพึงสำรวมในอายตนะทั้งหลาย มีตา หู เป็นต้น พระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครสำรวมจิตได้แล้ว จักพ้นจากเครื่องผูกของมารดังนี้

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโคจรที่เที่ยวแสวงหาอารมณ์ของจิต เมื่อเราปิดคือ สำรวมมีสติ ระวังอย่าให้จิตหลงไปในอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นได้แล้ว เป็นอันว่ามารผูกมัดเราด้วยบ่วงไม่ได้

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
 
การฝึกหัดสมาธิภาวนา คือ การตั้งสติอันเดียว ให้รู้ตัวอยู่เสมอ มันคิดมันนึกอะไร ก็ให้รู้ตัวอยู่เสมอ ยิ่งรู้ตัวชัดเจนเข้ามันยิ่งเป็น เอกัคคตารมณ์ นั่นแหละตัวสมาธิ

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
 
ขอจงตั้งใจทำให้จริงจัง และทำความเลื่อมใสพอใจในกัมมัฏฐานของตนให้แน่วแน่เต็มที่ ทำนิดเดียวก็จะเป็นผลยิ่งใหญ่ไพศาล เมื่อทำไปทุกๆวัน วันละนิดวันละหน่อย มันหากจะมีวันหนึ่งโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เป็น มันหากเป็นเอง คราวนี้ละ เราจะประสบโชคลาภอย่างอย่าบอกใครเลย ถึงบอกก็ไม่ถูก เป็นของรู้และซาบซึ้งเฉพาะตนเอง คำว่าภาวนาขี้เกียจและปวดเมื่อยแข้งขาจะหายไปเองอย่างปลิดทิ้ง จะมีแต่อยากทำภาวนา สมาธิอยู่ร่ำไป

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

การภาวนา คือ การอบรมจิตใจให้มีความสงบ เป็นการชำระจิตใจให้สงบจากอารมณ์ต่าง ๆ ยิ่งเป็นการละเอียดไปกว่าการรักษาศีลอีก จิตของเราถ้ายังไม่สงบตราบใดแล้ว มันก็จะต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ตราบนั้น เมื่อมาฝึกหัดภาวนา เห็นโทษเห็นภัย ของความยุ่ง ความไม่สงบด้วยตนเองแล้ว เราก็จะพยายามทุกวิถีทางที่จะละความไม่สงบ เมื่อสิ่งใดที่ละได้แล้ว อารมณ์ใดที่วางได้แล้ว เราก็จะต้องรักษาไม่ให้สิ่งนั้น มันเกิดขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าเราละได้แล้ว ก็แล้วไปเลย ไม่ต้องคำนึงถึงมันอีก อย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมันอาจสามารถที่จะฟื้นฟู ขึ้นมาใหม่อีก ถ้ามันเกิดมาทีหลังจะยิ่งร้ายกว่าเก่า

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย


จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า
เขาเป็นเพื่อน เกิด แก่เจ็บ ตาย ของเรา
เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารด้วยกันกะเรา
เขาก็ตกอยู่ใต้ อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา...
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่
เขาก็ตามใจ ตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง
เขาก็มักจะกอบโกย และ เอาเปรียบ เมื่อมีโอกาสเหมือนเรา
เขามีสิทธิที่จะบ้า ดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา
เขาเป็น คนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆ เหมือนเรา
เขาไม่มี หน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา
เขาเป็น เพื่อน ร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา
เขาก็ ทำอะไร ด้วย ความคิดชั่วแล่น และ ผลุนผลัน เหมือนเรา
เขามี หน้าที่ รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก ( แม้ศาสนา ) ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะใช้ สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วย เหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากัน กับเรา , สำหรับจะอยู่ในใลก
....ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น

พุทธทาส อินทปัญโญ


กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
กำลังเกิด ภัยร้าย อันใหญ่หลวง
แก่สัตว์โลก ทั่วถิ่น จักรวาลปวง
น่าเป็นห่วง ความพินาศ ฉกาจเกิน
...
กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
ในโลกเกิด กลียุค อย่างฉุกเฉิน
หลงวัตถุ บ้าคลั่ง เกินบังเอิญ
มัวเพลิดเพลิน สิ่งกาลี มีกำลัง

กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
ความเลวร้าย ลามเตลิด จวนหมดหวัง
รีบกลับมา ทันเวลา พาพลัง
มายับยั้ง โลกไว้ ให้ทันกาล ฯ

พุทธทาสภิกขุ

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY