
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เล่าถึงเรื่องการสวดมนต์
" การสวดมนต์ไหว้พระนั้น ถึงแม้ว่าเราจะออกเสียงหรือ
หลวงปู่ ได้เล่าเรื่องที่ท่านเที่ยว
" ครั้งหนึ่ง เราพักจำพรรษาที่บ้านยางแดง
เรามานั่งรำลึกในใจของเราว่
" ...เราก็เลยสวดมนต์ต่อ พอสวดถึงท่อนไล่ชื่อสวรรค์ช
สวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับเข้าไปที่ในห้องพั
เสียงอนุโมทนาของพวกเทพเจ้า

กฎแห่งกรรม
ชีวิตที่เวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ ตามอำนาจกรรมแล้ว อำนาจกิเลสตัณหาก็อาจทำให้ภพชาตินั้นยาวยื้ดเยื้อออกไปอีก ตัวอย่างเช่น ตอนที่หลวงปู่เกิดเป็นไก่ ใจนึกปฎิพัทธ์รักแม่ไก่ ปรารถนาขอให้ได้พบนางแม่ไก่อีก ท่านต้องมาวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อีกชาติแล้วชาติเล่า ท่านเล่าว่าแม้พระอาจารย์มั่นเองเมื่อท่านได้ระลึกชาติเห็นภพที่ท่านต้องวนเวียนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติทำให้ท่านบังเกิดความสังเวชถึงกับ...ขออธิฐานเลิกปรารถนาพุทธภูมิ ซึ่งจะต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปอีดนับกัปแสนกัลป์ และเร่งรัดความเพียรตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จ
พร้อมกับเล่าให้ศิษย์ฟังเรื่องระลึกชาติท่านจะชี้ภัยของการท่องเที่ยว เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปในภพชาติต่างๆให้ฟัง และย้ำเตือนไม่ให้มัวหลง ดีใจ เกิดมานะว่าเป็นคนเก่งกว่าผู้อื่นสำหรับผู้ที่ได้ญาณนี้(บุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้) เพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณเป็นเพียงโลกียญาณ หรือญาณของปุถุชน ที่ย่อมเสื่อมได้ หาใช่โลกุตตรญาณหรือญาณของพระอริยเจ้า ไม่เป็นอาสวักขยญาณหรือญาณที่ทำให้กิเลสหมดไป ซึ่งจะถอดถอนกิเลสให้สิ้นไปไม่ได้.
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม See More
ชีวิตที่เวียนว่ายอยู่ในกอง
พร้อมกับเล่าให้ศิษย์ฟังเรื
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม



สมาธิมี ๒ ชนิด ความตั้งมั่นมี ๓ ระดับ
หลวงพ่อปราโมทย์ : จุดที่แตกหักจุดแรกเลย ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานหรือไม่ ถ้าจิตมีแต่ความสงบนะ ไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง มรรคผลนิพพานนะเป็นเรื่องฝันเอาเลย ไม่มีทาง อันนี้ครูบาอาจารย์แต่ก่อนก็สอนไว้ แต่คนลืมไป
หลวงปู่เทศก์ท่านสอนสมาธิ ๒ ชนิด หลวงปู่เทศก์สมัยที่ท่านภาวนา ท่านเคยติดสมาธิอยู่สิบกว่าปี สิบสองสิบสา...มปี ใครก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ขนาดท่านอาจารย์สิงห์ก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ต้องไปหาหลวงปู่มั่น ตามไปทางเหนือ หลวงปู่มั่นแก้ให้ได้ การที่ท่านติดสมาธิอยู่นาน ทำให้ท่านแตกฉานเรื่องสมาธิมากเลย ท่านสามารถแยกสมาธิออกเป็น ๒ ส่วนได้ สมมติบัญญัติของท่าน ท่านเรียกว่าฌานอันนึง เรียกว่าสมาธิอันนึง
ฌานเนี่ยเป็นการเพ่งอารมณ์ ให้จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว นิ่งๆ สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา ถ้าตั้งมั่นก็มี ๓ ระดับ ระดับตั้งมั่นชั่วขณะเป็น”ขณิกสมาธิ” ตั้งมั่นยาวหน่อยเป็น”อุปจารสมาธิ” ตั้งมั่นลึกเลยก็ยังตั้งมั่นอยู่ในฌานเป็น”อัปปนาสมาธิ” ท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิตัวสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย ท่านแยกเป็น “ขณิกสมาธิ” “อุปจารสมาธิ” “อัปปนาสมาธิ” ส่วนการเพ่งให้จิตหลบในนิ่งๆอยู่ท่านแยก ๓ ส่วน มีอย่างละ ๓ เหมือนกัน
ไม่มีใครสอนนะเรื่องเหล่านี้ แต่ท่านไปยืมศัพท์ของทางอภิธรรมมาใช้ ว่าการเพ่งแบบนึงเนี่ย ท่านเรียกภวังคุบาท จิตรวมลงไปวูบเดียวแล้วก็ถอนขึ้นมาเลย วูบนึงหมดสติไปงั้น วูบลงไปแล้วถอนขึ้นมา อันนึงท่านเรียกภวังคจารณะ มันไหลลงไปแล้วมันไปเคลื่อนๆอยู่ข้างใน สติอ่อนจิตอ่อน มันเคลื่อนอยู่ข้างในจิตไม่ตั้งมั่น ท่านเรียกภวังคจารณะ อีกอันนึงท่านเรียกภวังคุบาท ดับไปเลย อันนี้ท่านไปยืมศัพท์ทางอภิธรรมมาใช้นะ คือเจ้าของศัพท์เค้าจะยอมรับไม่ได้เพราะว่าเค้าแปลไม่ตรงกับท่าน แต่ว่ามันเห็นเลยว่า ความแตกฉานของท่านมีมากในเรื่องสมาธิเนี่ย เก่งจริงๆ
แล้วท่านก็พบว่าจิตก็มี ๒ แบบ จิตอันนึงเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง จิตอันนึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านก็มีศัพท์เฉพาะ ยืมศัพท์มาใช้อีกแล้ว จิตที่เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ท่านเรียกว่า"จิต" อันนี้เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเรียกว่า "ใจ" ท่านบอกว่าจิตอันใดใจอันนั้น ก็เป็นตัวรู้เหมือนกัน แต่ตัวรู้นึงมันเข้าไปคลุกอารมณ์ ไปหลงอารมณ์ ตัวรู้อันนึงที่เป็นใจ ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทรงสมาธิอยู่
นี่ท่านสอนมาก่อนหลวงพ่อนะ แต่ว่าภาษาท่านคนรุ่นโน้นก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในท่ามกลางวงกรรมฐาน ซึ่งมีแต่เรื่องพุทโธพิจารณากาย คนก็นึกว่าท่านภาวนาไม่เป็นซะด้วยซ้ำไป ที่จริงท่านก็ภาวนาเก่ง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
หลวงพ่อปราโมทย์ : จุดที่แตกหักจุดแรกเลย ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้มรรค
หลวงปู่เทศก์ท่านสอนสมาธิ ๒ ชนิด หลวงปู่เทศก์สมัยที่ท่านภาว
ฌานเนี่ยเป็นการเพ่งอารมณ์ ให้จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเ
ไม่มีใครสอนนะเรื่องเหล่านี
แล้วท่านก็พบว่าจิตก็มี ๒ แบบ จิตอันนึงเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง จิตอันนึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านก็มีศัพท์เฉพาะ ยืมศัพท์มาใช้อีกแล้ว จิตที่เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ท่านเรียกว่า"จิต" อันนี้เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได
นี่ท่านสอนมาก่อนหลวงพ่อนะ แต่ว่าภาษาท่านคนรุ่นโน้นก็
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสัน




หลวงปู่ตื้อกับรูปพระเจ้าแผ
พระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต พระอรหันต์ ที่เป็นแม่ทัพธรรม มีลูกศิษย์มากมายที่ไปปฏิบั
หลวงปู่ ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญญวิเวก ตำบนบ้านข่า อ.ศรีสงคราม นครพนม ก็เป็นอีกท่านหนึ่ง เช่นเดียวกับหลวง ปู่ขาว อนาลโย แต่หลวงปู่ตื้อ จะดุหน่อย เรามาฟังลูกศิษย์หลวงปู่ ตื้อ อจลธัมโม เล่าให้ฟัง วันนั้นมีคุณนายและบริวารมา
"ที่ดินนั่นไม่ใช่ของเอ็งสั
"เจ้าค่ะ ของสามีข้าน้อยเจ้าค่ะ "
"เออ มันต้องให้เจ้าของเขาบนเอง ของใครของมัน แต่มันเป็นฝรั่ง มันจะเชื่อหรือ? "
ถึงตอนนี้ คุณนายและพวกที่มาด้วย ต่างงงและตื่นเต้น อุทานออกมาว่า
" หลวงปู่รู้ได้ไงคะ ว่าแฟนหนูเป็นฝรั่ง"
"อ้าว...แค่นี้ไม่รู้แล้วจะ
คุณนายฝรั่งจึงกลับไปอย่างม
"บ้านออกใหญ่โต ติดรูปก็เยอะ แต่มีรูปผู้หญิงแก้ผ้าทั้งน
เพราะเงินทองที่ได้กำไรมา ไม่เคยเสียภาษีเข้าหลวงเลย ไป...กลับไป แก้ไขใหม่ คราวนี้หลวงปู่เทศน์ยาวเลย"
" แล้วรูปเจ้าของแผ่นดินคือใค
"อ้าว...ไอ้โง่ ก็ ในหลวง ไง ยังไม่รู้อีกเรอะ ผัวเองไม่รู้ไม่เป็นไร เพราะเป็นฝรั่งหัวแดง แต่เอ็งน่าจะรู้นะว่าใครคือ
แล้วคุณนายก็กราบลาไป แต่ยังไม่ทันได้ลงจากศาลา ก็คลานมาถามหลวงปู่อีก ถามว่า
"แล้วต้องนำ รูปในหลวง ไปทำพิธีตรงที่ดินที่จะขายห
"เออ ต้องนำไปด้วย ไปบอกกล่าวที่นั่น เจ้าที่เจ้าทางเขาจะได้เปิด
อีก ๑๐ กว่าวัน คุณนายฝรั่งมาหาหลวงปู่อีก คราวนี้พาแฟนฝรั่งหัวแดงมาด
"เออ...เอาจริงโว้ย ไอ้ฝรั่งคนนี้ ถ้าจะได้เงินทองมาแล้วสิ ใช่ไหม? " ฝ่ายเมียฝรั่งตอบแทนว่า
" ได้มาแล้วเจ้าคะ ได้มาเมื่อวาน ฝรั่งเขาดีใจมาก เขานับถือหลวงปู่มาก ทำตามทุกอย่าง วันนี้เขานำเงินมาถวายหลวงป

เมื่อครั้งหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี มาเยี่ยมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญที่วัด ปกติหลวงปู่บุดดาท่านจะมีแป้งกระป๋องติดตัวอยู่เสมอ เพื่อประทานให้ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการ เพราะมีความศรัทธาว่าเป็นของมงคล เมื่อหลวงปู่ดู่กราบหลวงปู่บุดดาเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ประทานแป้งใส่มือหลวงปู่ดู่ หลวงปู่รับไว้และนำมาทาบนศรีษะ หลวงปู่บุดดาและหลวงปู่ดู่ได้สนทนาธรรมกันชั่วระยะหนึ่ง หลวงปู่บุดดาจึงลากลั...บ
มีญาติโยมที่นั่งอยู่ด้วย ได้เรียนถามหลวงปู่ดู่ว่า ทำไมจึงนำแป้งไปทาบนศรีษะ
ท่านตอบว่า
"ของพระอรหันต์ให้ แกจะให้ไปทาที่ไหนละ จึงจะสมควร เดี๋ยวจะกลายเป็นความไม่เคารพ นอกจากบนหัวของเรา"
"สังฆัง สรณัง คัจฉามิ พระอริยสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งของข้าพเจ้า คนโบราณจึงถือว่า พระรัตนตรัยอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าด้วยเหตุฉะนี้"
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่หลวงปู่บุดดาจะกลับ ท่านได้พูดกับหลวงปู่ดู่ว่า
"วันนี้ผมนำมงกุฎพระพุทธเจ้ามามอบให้คุณ นิมนต์อยู่ต่อเถิด ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ที่คุณปรารถนานั้นน่ะ สำเร็จแน่ ต่อไปคุณจะได้เป็นพระพุทธเจ้า"
หลวงปู่บุดดาก็ลากลับ ในวันนั้น ผู้ได้ยินหลายคน ลูกศิษย์คนหนึ่งได้เรียนถามหลวงปู่ ถึงความหมายที่หลวงปู่บุดดาพูด ท่านตอบว่า
"พระอรหันต์ให้พร เราก็รับไว้ไม่เสียหายอะไร"
มีญาติโยมที่นั่งอยู่ด้วย ได้เรียนถามหลวงปู่ดู่ว่า ทำไมจึงนำแป้งไปทาบนศรีษะ
ท่านตอบว่า
"ของพระอรหันต์ให้ แกจะให้ไปทาที่ไหนละ จึงจะสมควร เดี๋ยวจะกลายเป็นความไม่เคา
"สังฆัง สรณัง คัจฉามิ พระอริยสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่หลวงปู่บุดดาจะกลับ ท่านได้พูดกับหลวงปู่ดู่ว่า
"วันนี้ผมนำมงกุฎพระพุทธเจ้
หลวงปู่บุดดาก็ลากลับ ในวันนั้น ผู้ได้ยินหลายคน ลูกศิษย์คนหนึ่งได้เรียนถาม
"พระอรหันต์ให้พร เราก็รับไว้ไม่เสียหายอะไร"

ในทางปฎิบัติที่ว่า "ปฎิบัติจิตปฎิบัตใจ" โดยให้ใจอยู่กับใจนี้
คือให้มีสติกำกับใจให้เป็นสติถาวร
ไม่ใช่เป็นสติคล้ายหลอดไฟที่จวนจะขาด...
เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สว่าง
แต่ให้มันสว่างติดต่อกันไปตลอดเวลา
เมื่อสติมันติดต่อกัน เป็นสัมมาสมาธิ
คือประกอบด้วยความตั้งมั่นอย่างนี้แล้ว
ใจมันก็มีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา
เรียกอีกอย่างว่า "อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา"
ตัวรู้ก็คือ "สติ" นั่นเอง
หรือจะเรียกว่า"พุทโธ" ก็ได้
พุทโธที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ก็คือตัวสติน่ั่นแหละ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
คือให้มีสติกำกับใจให้เป็นส
ไม่ใช่เป็นสติคล้ายหลอดไฟที
เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สว่าง
แต่ให้มันสว่างติดต่อกันไปต
เมื่อสติมันติดต่อกัน เป็นสัมมาสมาธิ
คือประกอบด้วยความตั้งมั่นอ
ใจมันก็มีสติควบคุมอยู่ตลอด
เรียกอีกอย่างว่า "อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา"
ตัวรู้ก็คือ "สติ" นั่นเอง
หรือจะเรียกว่า"พุทโธ" ก็ได้
พุทโธที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ก็คือตัวสติน่ั่นแหละ
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระ
การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระในพิธีกรรมต่าง ๆ มักจะไม่เหมือนกัน บางท่านต้องการไหว้พระแต่ยังตกลงใจไม่ได้ว่า จะใช้ธูปกี่ดอกจึงจะเหมาะสม หลวงปู่ดู่เคยตอบปัญหาเรื่องนี้กับผู้ที่สงสัยว่า
หลวงพ่อ : "จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่ มักใช้ 3 ดอก บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กี่ดอกก็มีความหมายทั้งนั้น"...
ผู้ถาม : "อย่างนั้นถ้าจุดดอกเดียว ไม่ถือว่าไหว้ผี หรือไหว้ศพหรือครับ"
หลวงปู่ดู่ :
"จุด 1 ดอก หมายถึง จิตหนึ่ง
จุด 2 ดอก หมายถึง กายกับจิต โลกกับธรรม
จุด 3 ดอก หมายถึง พระรัตนตรัย หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จุด 4 ดอก หมายถึง อริยสัจ 4
จุด 5 ดอก หมายถึง พระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ
จุด 6 ดอก หมายถึง สิริ 6 ประการ ที่แกกราบพระ 6 ครั้ง
จุด 7 ดอก หมายถึง โพชฌงค์ 7
จุด 8 ดอก หมายถึง มรรคแปด
จุด 9 ดอก หมายถึง นวโลกุตรธรรม
จุด 10 ดอก หมายถึง บารมี 10 ประการ
อยู่ที่เราจะคิดให้ดี เอาอะไรก็ได้"
ผู้ถาม : "ถ้า 11 ดอก หมายถึง... "
หลวงพ่อ : "ก็บารมี 10 ประการกับจิตหนึ่ง ว่าไปได้เรื่อย ๆ แหมแกถามซะข้าเกือบไม่จน"
ผู้ถาม : "ถ้าไม่มีธูปเทียน"
หลวงพ่อ : "ก็ใช้ชีวิตจิตใจบูชา ไม่เห็นต้องมีอะไร พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ"
การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระในพิธีกรรมต่าง
หลวงพ่อ : "จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่ มักใช้ 3 ดอก บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กี่ดอกก็มีความหมายทั้งนั้น
ผู้ถาม : "อย่างนั้นถ้าจุดดอกเดียว ไม่ถือว่าไหว้ผี หรือไหว้ศพหรือครับ"
หลวงปู่ดู่ :
"จุด 1 ดอก หมายถึง จิตหนึ่ง
จุด 2 ดอก หมายถึง กายกับจิต โลกกับธรรม
จุด 3 ดอก หมายถึง พระรัตนตรัย หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จุด 4 ดอก หมายถึง อริยสัจ 4
จุด 5 ดอก หมายถึง พระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ
จุด 6 ดอก หมายถึง สิริ 6 ประการ ที่แกกราบพระ 6 ครั้ง
จุด 7 ดอก หมายถึง โพชฌงค์ 7
จุด 8 ดอก หมายถึง มรรคแปด
จุด 9 ดอก หมายถึง นวโลกุตรธรรม
จุด 10 ดอก หมายถึง บารมี 10 ประการ
อยู่ที่เราจะคิดให้ดี เอาอะไรก็ได้"
ผู้ถาม : "ถ้า 11 ดอก หมายถึง... "
หลวงพ่อ : "ก็บารมี 10 ประการกับจิตหนึ่ง ว่าไปได้เรื่อย ๆ แหมแกถามซะข้าเกือบไม่จน"
ผู้ถาม : "ถ้าไม่มีธูปเทียน"
หลวงพ่อ : "ก็ใช้ชีวิตจิตใจบูชา ไม่เห็นต้องมีอะไร พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ"
..หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ... See More


"แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก"
วาจาสิทธิ์ หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ
สูตรทำบุญไม่เสียเงินของ หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ
พอตื่นเช้ามาขณะล้างหน้า หรือดื่มน้ำให้ว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ” ก่อนจะกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวพระพุทธ (เป็นอนุสสติอย่างหนึง) ออกจากบ้านเห็นคนอื่นเขากระ
ผ่านไปเห็นดอกไม้ที่ใส่กระจ
ก่อนนอนก็นั่งสมาธิ เอนตัวนอนลง ก็ให้นึกคำบริกรรมภาวนาไตรส
เหล่านี้คือตัวอย่างเทคนิคก
เวลาทำบุญ ควรอธิษฐานอย่างไร
คนส่วนใหญ่เวลาทำบุญมักอธิษ
หลวงปู่ดู่เคยสอนไว้ว่า เวลาทำบุญให้อธิษฐานสั้นๆไป
ที่สำคัญคือ การ "พบแต่ความดี" นั้นสำคัญมาก เพราะแม้เราจะขอพรจนร่ำรวยจ
"การขอให้พบความดี" จึงถือเป็นพรอันสำคัญที่สุด
ดังนั้น เวลาทำบุญครั้งใด อธิษฐานง่ายๆก็ได้เช่นกันว่
หลวงปู่สอนเรื่องการจบของทำ
พวกเราในเพจวัดถ้ำเมืองนะล้
อ
ก่อนที่ท่านมีศรัทธาทั้งหลา
การที่หลวงพ่อให้จบก่อนนั้น
เมื่อทำบุญแล้ว มักจะมีการรับพรจากพระ มีการกรวดน้ำ บางทีไม่ได้เตรียมไว้ต้องวิ
ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า "ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ข

คำว่า พุทโธ นี้ ผีเกรงกลัวที่สุด
เพราะอานุภาพของ พุทโธ และจิตที่เป็นสมาธิ
พวกภูตผีต่างๆ จึงไม่อาจทำอันตรายใดๆ แก่เราได้ ...
และเมื่อเราแผ่เมตตาให้ พวกนั้นก็น้อมรับในส่วนบุญ
กลายเป็นมิตรไปกับเราเสียอี
ถ้าหากท่านผู้ใดกลัวผีก็ขอใ
ความกลัวจักหายไปเอง
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม

ทำไว้ตั้งแต่วันนี้
การปฎิบัติธรรมควรทำไว้ตั้ง
เราควรที่จะเข้าหาธรรมะไว้ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว เพราะต่อไปในการดำเนินชีวิต
เรานักปฏิบัติทั้งหลาย อย่าปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเป
ไม่ต้องทำมาก
"เวลาทำไม่ต้องทำมาก คิดแล้วทำ....ผลบังเกิด"
หลวงตาม้า สอนเสมอเรื่องการปฏิบัติธรรมที่บ้าน การปฏิบัติธรรมนั้นแม้จะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ทำยาก หากเมื่อใจพร้อมกายพร้อมก็เพียงพอแล้ว ...
คำว่าท่ามากนี้หมายถึง ไม่ต้องจัดโน้นจัดนี่ที่หิ้งพระ แต่งตัวสวยงามก่อนสวดมนต์ หรือแม้กระทั่งรอให้ถึงวันพระก่อนจึงค่อยสวดมนต์ภาวนา.....
หลวงตาท่านบอก เมื่อเราคิดว่าจะสวดมนต์ภาวนาก็ไม่ต้องตั้งท่า สวดมนต์ภาวนาได้เลยทันที เราสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอริยาบททั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ทั้งนั้น
เรื่องการแต่งตัวก็เหมือนกัน จะแต่งอย่างไรก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นชุดขาว จึงจะสวดมนต์ ภาวนาได้...
"คิดแล้ว ลงมือทำทันที นี่จึงเรียกว่าไม่ท่ามาก"
"เวลาทำไม่ต้องทำมาก คิดแล้วทำ....ผลบังเกิด"
หลวงตาม้า สอนเสมอเรื่องการปฏิบัติธรร
คำว่าท่ามากนี้หมายถึง ไม่ต้องจัดโน้นจัดนี่ที่หิ้
หลวงตาท่านบอก เมื่อเราคิดว่าจะสวดมนต์ภาว
เรื่องการแต่งตัวก็เหมือนกั
"คิดแล้ว ลงมือทำทันที นี่จึงเรียกว่าไม่ท่ามาก"
ทุกข์จากความรัก
หลวงตาม้า สอนว่าความทุกข์จากความรักน
หลวงตาม้า อธิบายว่า เจ้ากรรมนายเวรโดยตรงต่อเรา
ก่อนหลับฝึกตายก่อนตาย
ตอนนอนนี่ เป็นช่วงฝึกและทดสอบผลการฝึ
แต่ตอนตายนี่ คุมจิตยากกว่ามาก เพราะตอนหลับ เรา...ก็หลับไปสบายๆ ร่างกายผ่อนคลาย คุมจิตไม่ยาก แต่ตอนตาย มันมีเวทนาจากอาการป่วยมาดึ
หลวงตาม้าท่านสอนเสมอๆ ว่า.. เวลา เดิน.. นั่ง.. กิน.. แม้แต่ตอนนอน ภาวนาไว้ อย่าได้ขาด.. ปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออก ทรงอารมณ์ดีดี อย่าให้กระแสไม่ดี เข้ามากระทบ... หากเรานึกในสิ่งดีๆ จิตจะเพิ่มแต่ในสิ่งที่ดีๆ อย่าจุดประกายในสิ่งที่ไม่ด
ท่านสอนว่า ทุกวันนี้เราฝึกไว้เพื่อเตร
ท่านว่าการบันทึกบุญอยู่ที่
เพราะฉะนั้นท่านจึงเน้นย้ำใ
ทำตัวเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน...
การเวียนว่ายตายเกิด ในช่วงที่เกิดเป็นมนุษย์ จะมารับเศษกรรมในอดีต และมาทำเพิ่มใหม่ต่อไปทั้งด
จะเดิน.. นั่ง.. กิน.. แม้แต่ตอนนอน ภาวนาไว้ อย่าได้ขาด..
ปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออก ทรงอารมณ์ดีดี
อย่าให้กระแสไม่ดี เข้ามากระทบ...
หากเรานึกในสิ่งดีๆ จิตจะเพิ่มแต่ในสิ่งที่ดีๆ
อย่าจุดประกายในสิ่งที่ไม่ด
อย่ามัวนึกแต่กรรมเก่าในอดี
การคิดถึงในสิ่งที่ไม่ดี นอกจากกรรมจะเข้าเราเร็ว
ตามสิ่งที่เราคิดแล้ว ยังทำให้เราตายผ่อนส่ง
คือตายเร็วกว่ากำหนดอีกด้วย
ทุกวันนี้เราฝึกไว้เพื่อเตร
ถ้าไม่ฝึกไว้ เวลาตาย มันจะเคว้งไม่รู้จะไปไหน
การฝึกสมาธิ ไม่เกี่ยวกับการนั่งนานหรือ
แต่เกี่ยวกับว่า ทำแล้วอารมณ์สบายๆใหม
อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง
ไม่มีใครไม่มีทุกข์ เกิดมาก็ทุกข์
เพียงแต่ว่าจะทุกข์มากหรือท
ผู้ปฎิบัติธรรม ให้ดูที่จิต อารมณ์ดี จิตสบาย
ไปไหนก็มีแต่คนรัก ทำอะไรก็มีแต่คนช่วยเหลือ
ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เกินกำลัง
การบันทึกบุญอยู่ที่อารมณ์ หากอารมณ์ดี
ก็จะบันทึกบุญได้ตลอด หากอารมณ์ไม่ดี
จะบันทึกบุญไม่ได้เลย...
อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง
ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
การบริกรรม ก็ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบไม่ต้องร้อนไม่ต้องเร่ง ทำใจให้สบายๆทีนี้ บางครั้งก่อนที่เราจะบริกรรมนั้น เราอาจจะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆเพื่อเป็นการปรับอารมณ์ ให้จิตของเราสบายโปรดจำไว้อย่างหนึ่งว่า ให้ปฏิบัติหรือให้ทำอย่างสบายๆอย่าไปเคร่งเครียด อย่าไปเร่งรัดเพราะจะทำให้ไม่ได้อะไรขึ้นมาให้ทำใจเราให้ยึดอยู่แต่คำภาวนา
หน้าที่ของเราก็คือ การบริกรรมนี้ เขาเรียกว่า การทำงานของจิตเนื่องจากว่าจิตของคนเรานั้นจะสนองทันทีในการคิด วุ่นวาย สับสน ปรุงแต่งเมื่อมีการปรุงแต่งแล้ว จิตของเราก็จะหาความสงบไม่ได้เมื่อจิตหาความสงบไม่ได้ ก็เป็นจิตที่วุ่นวายสับสนเมื่อจิตวุ่นวายสับสน ก็หาความสุขไม่ได้ดังพุทธภาษิตของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า
"นัตถิ สันติปะรัง สุขัง" สุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี
การที่เราได้มาบำเพ็ญสมาธิ ได้ชื่อว่า เรากำลังทำให้จิตได้ทำงานเพื่อให้เกิดความสงบ เพราะจิตที่สงบเท่านั้นจึงจะเป็นการพักจิต ฟอกจิตคนเราทุกวันนี้ อาบน้ำชำระร่างกายวันละ ๓ เวลาแต่ว่าไม่ได้ฟอกจิตของตัวเองเลย เรารับประทานอาหารวันละหลายมื้อ แต่ว่าเราไม่ได้ให้อาหารแก่จิตเลย เมื่อจิตซึ่งปราศจากความสงบ ความสมบูรณ์พูนสุขเข้าไปสะสมอยู่ในตัวจิตนั้นจะไปเกิดเป็น อาสวะ เป็นกิเลสซึ่งหมักหมมพอหมักหมมแล้วก็จะเกิดเป็นพิษต่อเจ้าของเขาเหล่านั้นจะหาหนทาง หรือหาตัวเองไม่พบเนื่องจากว่า ไม่ได้เข้ามาสู่การปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนาเพราะการปฏิบัติภาวนาเป็นวิถีทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายได้ดำเนินมาเราซึ่งได้ชื่อว่า เป็นลูกหลานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ควรกะทำตาม ประพฤติยึดแนวตามที่เรากล่าวกันว่าเรานับถือบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น
การนับถือบูชาคือการยอมรับและนำมาปฏิบัติตามพระพุทธองค์ทรงสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ก็ด้วยวิถีแห่งการบำเพ็ญสมาธิ
เพราะเมื่อจิตสงบแล้ว ก็จะเกิดกำลังของจิตขึ้นเมื่อเราวิเคราะห์ไตร่ตรองได้แล้วเราก็มีปัญญารู้ตามว่า สิ่งนั้นผิด สิ่งนั้นถูกโดยจิตใจของเราเองหรือเรียกว่า เป็นคนที่รู้จริง ไม่ได้รู้ตามทฤษฎีคนที่รู้ตามทฤษฎีนั้น โอกาสที่จะทำจิตใจของตนเองเพื่อที่จะค้นคว้าเข้าไปหาจิตของตนเองนั้นเป็นไปได้ยาก
การที่เราบำเพ็ญภาวนาและกล่าวไตรสรณคมน์นั้นเมื่อจิตของเรายังไม่สงบนิ่งก็ให้กำหนดให้จิตเห็นเป็นตัวหนังสือปรากฎขึ้นในห้วงใจของเราที่จิตของเรา เหมือนกับเรากำลังเขียนหนังสือลงบนกระดานดำหรือเขียนหนังสือฉายลงบนจอภาพพอเราภาวนาว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิก็ให้เขียนเป็นตัวหนังสือไปตามนั้นทั้ง ๓ อย่างพอจิตของเราชำนาญก็จะทำได้ดีเนื่องจากว่าเราใช้จิตของเราทำงานถึง ๒ อย่างคือ
๑. การบริกรรมในใจ
๒. การกำหนดตัวหนังสือ หรือ กำหนดภาพองค์พระ
เมื่อจิตมีงานทำทั้ง ๒ อย่างการที่จิตจะส่ายก็จะลดน้อยลงจิตก็จะมุ่งมั่นอยู่กับการภาวนาอย่างสม่ำเสมอภาวนาไปเรื่อยๆ อย่างที่บอก ไม่ต้องรีบให้ถือ มัชฌิมา ปฏิปทา คือว่าในตอนแรกๆ ไม่ต้องนั่งนาน ทั้งนี้ เพราะจิตยังไม่คุ้นเคยก็จะเกิดทุกขเวทนาขึ้นมา คือการปวดเมื่อยตามร่างกายแรกๆ เราก็อย่าไปฝืนนั่งพอจิตของเราเริ่มมีกำลังขึ้น เราก็ค่อยๆ เพิ่มทีละนิดๆเพื่อให้จิตคุ้นอยู่กับคำภาวนา เมื่อจิตสงบแล้วมันจะมีตัวชี้ความสงบนั้นแสดงผลอยู่ที่ใจ คือ ใจหรือจิตของเราจะไม่ฟุ้งซ่านจะมีความสบายกาย เบาเนื้อ เบาตัว เบาจิต เบาใจเนื่องจาก จิตกับกายกำลังแยกออกจากกัน
การที่จิตกับกายเริ่มแยกออกจากกันนั้นเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิในขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดเป็นลำดับๆไม่มีวิธีการใดเลย ในทางพระพุทธศาสนา ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการบำเพ็ญสมาธิเพราะเมื่อมีสมาธิแล้ว สิ่งที่ติดตามมาก็คือ ปัญญาเราจึงมีปัญญาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากว่าเราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในขณะที่เราไม่ได้บำเพ็ญสมาธิ เข้ามาอยู่ในสายตาของเราเข้ามาอยู่ในอารมณ์ของเราอยู่ตลอดเมื่อจิตของเราได้รับการทำสมาธิแล้ว จิตมีกำลังแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาความเป็นจริงความเป็นจริงที่แสดงออก เมื่อแสดงออกมาแล้ว เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอันนี้คือ วิถีทางหรือกระบวนการที่ทำให้จิตเกิดวิปัสสนา คือปัญญา
ปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมที่จะไปคุมศีล หรือคุมสมาธิคือว่าเราจะรักษาศีล ทำสมาธิโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับเพราะปัญญาเราเริ่มจะรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นคุณ เหมือนกับเราต้องรับประทานอาหาร หรือเราต้องหายใจพอสิ่งเหล่านี้เป็นคุณ เราก็ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งจะประจำตัวของเรา
การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนาและได้มาปฏิบัติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ยากเย็นมากเพราะบารมีของผู้ที่จะมาศึกษา มาปฏิบติภาวนานั้นเป็นบารมีขั้นสุดท้ายในการที่จะตัดภพ ตัดชาติการที่จะตัดภพตัดชาติได้ บารมีของท่านผู้นั้นจะต้องเข้มข้นจึงสามารถจะตัดสินได้เลยว่า บุคคลนั้นมีบารมีเข้มข้นหรือยังถ้าเราเริ่มที่จะพอใจในการบำเพ็ญสมาธิ ปฏิบัติภาวนานั่นแหละขอให้รู้ว่า บารมีของเรากำลังบังเกิดขึ้นและกำลังจะดำเนินไปสู่ทางที่ดีงามที่สุด
ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ บริกรรมไป ทำจิต ทำใจ ตั้งสติให้คุมคำภาวนาไว้ตลอด ไม่ให้จิตส่ายโอนเอียงไปข้างหน้าไปข้างหลังให้ทำจิตใจของเราให้เหมือนเรากำลังเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรากำลังอยู่เบื้องพระพักตร์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรากำลังอยู่ในแวดวงพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เมื่อเราได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดีทุกครั้งก่อนที่เราจะเริ่มทำสมาธิหรือเริ่มภาวนาให้ตั้งจิตของเราให้มีเมตตา อ้างเอาบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
ขอบุญบารมีของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หลวงปู่ดู่ วัดสะแกรวมทั้งบุญบารมีของข้าพเจ้าที่ได้กระทำมาด้วยดีขอแผ่ผลบุญนี้ไปไม่มีประมาณ ณ กาลบัดนี้
พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง
อะระหันตานัญจะเตเชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส
ขออำนาจบุญบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
จงมาสถิตย์ติดอยู่ในใจของข้าพเจ้าตลอดไป
พุทธังกำลังกล้า ธัมมังกำลังแกร่ง สังฆังกำลังแรงด้วยฤทธิ์แห่งพระกำลัง ขอเชิญพระปัจเจกมาช่วยเสกกับพระอรหันต์ให้เป็นวิมานแก้วล้อมรอบครอบตัวพัวพัน คอยป้องกันภยันตราย
พุทธัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระพุทธเจ้า
ธัมมัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระธรรม
สังฆัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระอริยสงฆ์ทั้งหลายด้วยเทอญ
ก่อนที่เราจะลืมตาขึ้นมานั้น ให้พึงพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างพอเกิดขึ้น แล้วมาตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปนี่เป็นของจริงแท้แน่นอน เป็นสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณอันประเสริฐว่า ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วจะต้องถึงคราวอันตรธานสูญหายวิบัติไปโลกภายนอกเช่น บุคคล สิ่งของทั้งหลายโลกภายใน คือโลกของเราเอง เปรียบเสมือนพวกร่างกาย เมื่อถึงวันเวลาซึ่งเรายืมเขามา คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย โดยมีจิตปฏิสนธิวิญญาณของเราครองอยู่ สิงสถิตรวมอยู่ จึงถือได้ว่า พ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ร่างกายให้เรามาอาศัยอยู่ถึงเวลาแล้วเขาก็ต้องเรียกคืนไป โลกก็จะต้องกลับคืนไปสู่โลกไม่มีคนหนึ่งคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติอะไรไปได้ แม้แต่เพียงหยิบมือ หรือเพียงธุลีเดียวสิ่งที่จะติดตัวไปได้นั้นคือ บุญ บาป ชั่ว ดี เท่านั้นหมั่นพิจารณาอยู่เสมอๆ ว่า พอร่างกายนั้นตาย เราไม่สามารถจะนำเอาอะไรไปได้การที่เราได้คิดอยู่ทุกวัน คิดถึงความตายอยู่เสมอๆจิตของเราก็จเป็นจิตซึ่งทรงอานุภาพ และเป็นจิตที่ไม่ประมาท ในการที่จะสร้างคุณงามความดียิ่งๆ ขึ้นไปสมดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสบอกกับพระอานนท์ว่าตถาคตคิดถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก พระดำรัสนี้ย่อมแสดงถึงว่าผู้มีสติพร้อมบริบูรณ์ก็จะระลึกความตายเหมือนสายฟ้าแลบเมื่อระลึกดังนี้ได้อยู่อย่างสม่ำเสมอ จิตของเราก็จะเป็นจิตที่เมตตาไม่อาฆาต ไม่พยาบาท บุคคลหนึ่งบุคคลใด
และก่อนที่จะลืมตา ให้ทำจิตของเราให้แจ่มใสแผ่เมตตาและสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆอธิษฐานถึงความดีอันนี้ ขอให้ติดตัวตลอดไป . .
การแก้กรรมทำได้จริงหรือ?
หลวงตาม้าท่านสอนไว้ว่าคนเรามีกรรมเป็นแดนเกิดไม่มีใครแก้ได้หรอก หลวงปู่ดู่สอนหลวงตาว่า เอ็งไปสะเดาะเคราะห์ ไปหาหมอดู ไปพึ่งคุณไสย มันจะไปได้เรื่องได้ราวอะไร เพราะกระแสอยู่ที่จิต พลังงานอยู่ที่การกระทำที่เกิดจากตัวเราเอง
ถ้าเราบันทึกกระแสบุญบ่อยๆและถ้าบันทึกตอนที่จิตเรานิ่งๆพลังงานที่ไม่ดีจะเข้าไม่ได้ถ้าจิตคิดถึงบุญตลอดเวลากระแสกรรมก็จะเข้าไม่ได้ แต่ถ้าภาวนาไปด้วยคิดเรื่อย...เปื่อยไปด้วยจะได้เพียงครึ่งเดียวต้องจ่อเข้าไปจริงๆ และถ้าจิตนิ่งๆจริงๆ กระแสจิตและกระแสแห่งกัมมัฏฐานจะเป็นสายใย เมื่อคิดถึงเมื่อไรจิตจะอยู่เลยอย่างนี้เรียกว่าการเบนกระแส
กรรมแก้ไม่ได้แต่เบนได้เวลานึกถึงพระนึกถึงหลวงปู่จิตของเราจะอยู่ที่พระอยู่ที่หลวงปู่เป็นไตรสรณคมน์ปิดกั้นพลังงานไม่ดีได้ หลวงปู่ให้เรากำพระระลึกถึงพระบ่อยๆ เป็นกุศโลบายให้จิตเราแนบแน่นกับพลังงานดี ใช้หลบพลังงานที่ไม่ดี (เช่นกรรมไม่ดีเพราะขณะที่จิตติดพระพลังงานอื่นจะเข้าแทรกไม่ได้) และถ้าจิตติดอยู่กับคำสวดก็เป็นการพักจิตไปด้วย..
เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

สตินี้เป็นพื้นฐานตั้งแต่ต้น ผู้ใดตั้งสติได้ดีผู้นั้นความเพียรจะสืบต่อเป็นลำดับลำดาไป การประกอบหน้าที่การงานใดก็ตามไม่จำเป็นไม่ยุ่ง มีตั้งแต่การตั้งสติพินิจพิจารณาภาวนาอยู่ภายในจิตใจของตนโดยสม่ำเสมอ ใครอยู่ในฐานะใดแห่งการประกอบความพากเพียร เช่นผู้เริ่มฝึกหัดเบื้องต้น ต้องมีคำบริกรรมภาวนามากำกับจิตเรา เพื่อจิตได้ยึดได้เกาะคำบริกรรมนั้น และคำบริกรรมก็ต้องมีสติเข้าควบคุมตลอดเวลา นี้เรียกว่าความเพียรที่ชอบธรรม ถ้าขาดสติเสียเมื่อไรความเพียรขาดเมื่อนั้น สติเป็นพื้นฐานติดต่อสืบเนื่องของความเพียรไปโดยลำดับจากผู้ที่ไม่เผลอสติ ถ้าเผลอสติเมื่อไรความเพียรก็ขาดเมื่อนั้นๆ ให้พากันจำเอาไว้นักปฏิบัติทั้งหลาย ...
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

"...การสร้างกุศล คือ การสร้างความฉลาด
ให้แก่ตนนั้น..เป็นความชอบธรรม
ใครจะมากุสลา หรือ ไม่มากุสลา ก็ไม่วิตกเป็นห่วง
กุศลที่เขาจะอุทิศให้...
จงสร้างให้เต็มตัวเสียแต่บัดนี้ ...
แล้วใครจะอุทิศให้หรือไม่อุทิศให้ ไม่สำคัญ...
การคอยรับบุญของผู้อื่น เหมือนดื่มน้ำติดก้นแก้ว
ดื่มเท่าใดก็ไม่อิ่มสักที...
คนที่มีสติธรรมปัญญาธรรม
ย่อมฉลาดที่จะสร้างบุญด้วยตนเอง
เหมือนกับการเติมน้ำใส่แก้ว
หิวเมื่อใดดื่มได้อิ่ม...ชื่นใจ ฉันนั้น..."
..หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

หน้าที่ของเราก็คือ การบริกรรมนี้ เขาเรียกว่า การทำงานของจิตเนื่องจากว่า
"นัตถิ สันติปะรัง สุขัง" สุขยิ่งกว่าความสงบไม่
การที่เราได้มาบำเพ็ญสมาธิ ได้ชื่อว่า เรากำลังทำให้จิตได้ทำงานเพ
การนับถือบูชาคือการยอมรับแ
เพราะเมื่อจิตสงบแล้ว ก็จะเกิดกำลังของจิตขึ้นเมื
การที่เราบำเพ็ญภาวนาและกล่
๑. การบริกรรมในใจ
๒. การกำหนดตัวหนังสือ หรือ กำหนดภาพองค์พระ
เมื่อจิตมีงานทำทั้ง ๒ อย่างการที่จิตจะส่ายก็จะลด
การที่จิตกับกายเริ่มแยกออก
ปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมที่จะไปคุมศีล หรือคุมสมาธิคือว่าเราจะรัก
การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษ
ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ บริกรรมไป ทำจิต ทำใจ ตั้งสติให้คุมคำภาวนาไว้ตลอ
ขอบุญบารมีของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หลวงปู่ดู่ วัดสะแกรวมทั้งบุญบารมีของข
พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง
อะระหันตานัญจะเตเชนะรักขัง
ขออำนาจบุญบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
จงมาสถิตย์ติดอยู่ในใจของข้าพ
พุทธังกำลังกล้า ธัมมังกำลังแกร่ง สังฆังกำลังแรงด้วยฤทธิ์แห่
พุทธัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระพ
ธัมมัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระธ
สังฆัง อธิษฐามิ
ขอการอธิษฐานของข้าพเจ้า จงสำเร็จได้ด้วยอานุภาพพระอ
ก่อนที่เราจะลืมตาขึ้นมานั้
และก่อนที่จะลืมตา ให้ทำจิตของเราให้แจ่มใสแผ่
การแก้กรรมทำได้จริงหรือ?
หลวงตาม้าท่านสอนไว้ว่าคนเร
ถ้าเราบันทึกกระแสบุญบ่อยๆแ
กรรมแก้ไม่ได้แต่เบนได้เวลา
เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรร
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

สตินี้เป็นพื้นฐานตั้งแต่ต้
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

"...การสร้างกุศล คือ การสร้างความฉลาด
ให้แก่ตนนั้น..เป็นความชอบธรรม
ใครจะมากุสลา หรือ ไม่มากุสลา ก็ไม่วิตกเป็นห่วง
กุศลที่เขาจะอุทิศให้...
จงสร้างให้เต็มตัวเสียแต่บัดนี้ ...
แล้วใครจะอุทิศให้หรือไม่อุทิศให้ ไม่สำคัญ...
การคอยรับบุญของผู้อื่น เหมือนดื่มน้ำติดก้นแก้ว
ดื่มเท่าใดก็ไม่อิ่มสักที...
คนที่มีสติธรรมปัญญาธรรม
ย่อมฉลาดที่จะสร้างบุญด้วยตนเอง
เหมือนกับการเติมน้ำใส่แก้ว
หิวเมื่อใดดื่มได้อิ่ม...ชื่นใจ ฉันนั้น..."
..หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ให้แก่ตนนั้น..เป็นความชอบธ
ใครจะมากุสลา หรือ ไม่มากุสลา ก็ไม่วิตกเป็นห่วง
กุศลที่เขาจะอุทิศให้...
จงสร้างให้เต็มตัวเสียแต่บั
แล้วใครจะอุทิศให้หรือไม่อุ
การคอยรับบุญของผู้อื่น เหมือนดื่มน้ำติดก้นแก้ว
ดื่มเท่าใดก็ไม่อิ่มสักที..
คนที่มีสติธรรมปัญญาธรรม
ย่อมฉลาดที่จะสร้างบุญด้วยต
เหมือนกับการเติมน้ำใส่แก้ว
หิวเมื่อใดดื่มได้อิ่ม...ชื
..หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
