GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

คำสารภาพของวงการการแพทย์ระดับโลก ว่าด้วยข้อเท็จจริงของเรื่องโทษไขมันอิ่มตัว กับโรคต่าง ๆ




น้ำมันมะพร้าว กับ ไขมันอิ่มตัวเป็นโทษจริงหรือไม่
บทความนี้เป็นประโยชน์กับหลายท่านที่ยังสงสัยเรื่องทฤษฏีจากแพทย์ เรื่องไขมันอิ่มตัวมีโทษ
...
ซึ่งเป็นการเผยแพร่ที่ดังระดับโลกในปัจจุบันอีกรอบก็ว่าได้คะ เป็นการพลิกวงการแพทย์แผนปัจจุบันเลยทีเดียว
ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด ?

...Dr.Dwight Lundell, M.D.
เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!

เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน….ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปีแน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี

แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไร ผิดคืออะไรไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้

และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลัก Main stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆตลอดมากว่า 60 ปี

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า25ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

“แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตูตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ถูกต้อง !!!!!”

“ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “

“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำคัญที่ Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆกันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ60ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

2. ทั้งๆที่มีประชากร(โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา)ประมาณ 25%ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา60ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา รายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes)กว่า57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายูน้อยลงๆ(เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆว่าทำไม??

3. คำตอบที่ง่ายๆสั้นๆที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา60ปีที่ผ่านมา

6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด25ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆโดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆอันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆบริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆแดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆมื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆกับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต็ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ? ทั้งๆที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????

9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจน กลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆจากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง7,280 mg น้ำมันถั่วเหลือง1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6สูงถึง 6,940 mg ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆจึงไม่เหม็นหืน?) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน


** สุดท้ายนี้อยากให้เพื่อน ๆ แชร์บทความความรู้นี้ไปยังผู้ป่วย เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาต่อไปค่ะ **






ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับ "น้ำมันมะพร้าว"

ในอดีตกาล วงการแพทย์ได้ออกมาบอกว่า น้ำมันมะพร้าว เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับภาครัฐและเอกชนที่อยู่ในเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการปลูกมะพร้าว การแปรรูปผลิตผลจากมะพร้าว น้ำมันมะพร้าว ฯลฯ จนไม่อาจประมาณเป็นจำนวนเงินได้ถูก เป็นการเอาเปรียบทางการค้าจากผู้ผลิตน้ำมันพืชชนิดอื่นในระดับโลกกันเลยทีเดียว เพราะไม่ได้มีแต่ประเทศไทย และประเ...ทศในแถบเอเซียเท่านั้นที่สามารถผลิตมะพร้าวและผลิตภัณท์ต่อเนื่อง

ข้อเท็จจริงที่เปิดเผย ปรากฎว่า
"น้ำมันมะพร้าว" ไม่ได้ให้โทษกับร่างกายอย่างที่เคยถูกกล่าวอ้าง แม้แต่ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำมันมะพร้าวยังมีน้อยกว่าน้ำมันพืชอีกเกือบทุกชนิด นอกจากนี้ ในน้ำมันมะพร้าวยังมีกรดไขมันที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ช่วยในการดูดซึม และเผาผลาญเป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็วเพราะมีโมเลกุลขนาดกลางที่สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย น้ำมันพืชอื่นยังสู่ไม่ได้
ประโยชน์ที่ได้จากน้ำมันมะพร้าว มีอเนกอนันต์ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่หัวข้อทางด้านล่างค่ะ
ขอบคุณที่มาอ่านและแสดงความคิดเห็นนะคะ
ปิรันย่า
7 มีนาคม 2008
________________________________________

เขาหลอกให้เราเลิกบริโภคน้ำมันมะพร้าว
แล้วอยู่มาวันหนึ่งพวกเราทั้งหลายในเอเซีย และแปซิฟิก ซึ่งรวมทั้งคนไทยด้วยก็ได้รับการแนะนำโดยเหล่าบรรดาแพทย์โรคหัวใจ และนักโภชนาการว่าไม่ควรบริโภคกะทิ และน้ำมันมะพร้าว เพราะจะทำให้อ้วนและเป็นโรคไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจใครหนอบังอาจหลอกเราได้?สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้ปลูกถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดในโลกได้ผลผลิตปีละ 80 ล้านตัน และสามารถนำไปทำผลิตภัณฑ์ต่างๆได้นับเป็นพันๆชนิด และสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เด่นที่สุดคือ น้ำมันถั่วเหลือง อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตน้ำมันพืชจากเมล็ด เช่นน้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด รายใหญ่ของโลกอีกด้วยแล้วเราก็ถูกหลอกจนได้ครั้นเมื่อผลิตน้ำมันถั่วเหลืองได้มากขึ้น แต่มีตลาดจำกัด สมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน (American Soybean Association – ASA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้กสิกรผู้ปลูกถั่วเหลืองชาวอเมริกัน 3 แสนครอบครัวจึงรณรงค์ให้มีการบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองให้มากขึ้น โดยโฆษณาว่าน้ำมันถั่วเหลืองเป็นไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fat) ที่บำรุงสุขภาพและลดการเป็นโรคหัวใจ
แต่การรณรงค์ดังกล่าวก็ไม่บังเกิดผลเท่าที่ควรโดยเฉพาะในทวีปเอเซียและแปซิฟิก เพราะคนพื้นเมืองยังชอบบริโภคน้ำมันมะพร้าวที่ทำให้อาหารมีรสดี เก็บไว้ได้นาน และมีราคาถูก ASA จึงหาเล่ห์กลที่ทำให้ผู้บริโภคเหล่านั้นเลิกบริโภคน้ำมันมะพร้าวให้ได้ โดยการปรักปรำว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ เพราะเป็นไขมันอิ่มตัว (Saturated fat)
ทั้งนี้ โดยการกล่าวอ้างถึงผลการวิจัยชิ้นหนึ่งที่สรุปว่าไขมันอิ่มตัวมีคอเลสเตอรอลสูง และเป็นสาเหตุของไขมันอุดตันในเส้นเลือด ทั้งๆที่ไขมันที่นำมาใช้ในการทดลองดังกล่าวเป็นไขมันจากสัตว์ เช่นน้ำมันหมู ไขมันจากเนื้อ และน้ำมันมะพร้าวที่เสื่อมสภาพ (เพราะผ่านกรรมวิธีในการสกัดที่ใช้ความร้อนสูง และสารเคมี) ASA ก็ถือโอกาสสรุปเอาเลยว่าไขมันอิ่มตัวทุกชนิดเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ และใช้ประเด็นนี้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ตลอดจนโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร และร้านอาหารประเภทจานด่วนเลิกใช้น้ำมันมะพร้าว
ผลก็คือไม่แต่เฉพาะคนอเมริกันและยุโรปเท่านั้น ที่พากันเลิกบริโภคน้ำมันมะพร้าว และสิ่งแรกก็คือโรงงานน้ำมันมะพร้าวทั่วโลกต้องหยุดกิจการ และชาวสวนมะพร้าวขาดรายได้
เมื่อพระเอกกลายเป็นผู้ร้ายหลังจากที่ทุกคนพากันบริโภคน้ำมันถั่วเหลือง ชาวอเมริกันกว่า 60 เปอร์เซ็นพากันมีน้ำหนักเกินอัตราที่กำหนด ที่สำคัญกว่านั้นคือการเพิ่มโอกาสที่จะเป็นโรคร้ายแรงหลายโรค เช่นมะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน โรคของต่อไทรอยด์และอีกสารพัดโรค ที่คนทั้งโลกต้องประสบอยู่เป็นผลมาจากการบริโภคน้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวอื่นๆเช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด
เมื่อผู้ร้ายกลับกลายมาเป็นพระเอกจากผลงานวิจัยในระยะหลังๆ ของนักวิทยาศาสตร์หลายสาขา และส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันเองที่ยังซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพของตน สรุปได้ว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหา (ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงจริยธรรม) แต่กลับเป็นน้ำมันพืชที่มีคุณค่าต่อสุขภาพและความงามของมนุษย์มากที่สุดในโลก

ประจักษ์พยาน
1. จากบรรพบุรุษของคนไทย
น้ำมันมะพร้าว และกะทิ เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของคนไทยได้บริโภค และใช้มานานแล้ว อาหารไทยทั้งคาวและหวานหลายอย่าง ต้องใช้กะทิหรือน้ำมันมะพร้าวเป็นเครื่องปรุง มีการเล่าขานถึงการใช้กะทิ หรือน้ำมันมะพร้าวในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง กะทิและน้ำมันมะพร้าวได้เข้ามามีส่วนในงานประเพณีของคนไทยในภาคต่างๆเช่นในงานประเพณีสารทเดือนสิบของคนภาคใต้ ที่ชาวบ้านต้องช่วยกันเก็บมะพร้าวนำมาปอกเปลือกกะเทาะกะลา ขูดเนื้อมะพร้าว คั้นกะทิ เคี่ยวน้ำมัน นอกจากนั้นก็มีการบอกเล่าปากต่อปากถึงวิธีการบริโภค เพื่อบำรุงสุขภาพและความงามโดยการใช้น้ำมันมะพร้าวมาทานวดตัวเพื่อรักษาโรคกระดูก ปวดเมื่อย และรักษาผิวไม่ให้กร้านแดดและเหี่ยวย่น ตลอดจนใช้น้ำมันมะพร้าวมาชโลมผมให้ดกดำเป็นเงางาม แต่คนสมัยใหม่กลับพากันไปพึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น อาหารเสริม เครื่องสำอาง ยากันแดด ครีม โลชั่น ซึ่งหลายอย่างกลับเป็นผลเสียต่อสุขภาพ และความงามของผู้ใช้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

2. จากชนชาติในเอเซีย และแปซิฟิก
จากการที่มะพร้าว เป็นพืชที่ขึ้นได้ดีในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ชนชาติในดินแดนเหล่านี้ต่างก็ยกย่องให้มะพร้าว เป็นต้นไม้ให้ชีวิต (Tree of Life) เพราะมะพร้าวเป็นต้นไม้เอนกประสงค์ แต่ไหนแต่ไรมา ชนชาติของประเทศในทวีบเอเซีย เช่นศรีลังกา อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ซึ่งบริโภคมะพร้าวเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่ง และแน่นอนได้ใช้กะทิหรือน้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนประกอบของอาหาร แม้ว่าโภชนาการของประเทศเหล่านี้จะไม่เลอเลิศเหมือนดั่งประเทศตะวันตกในปัจจุบัน แต่เขาเหล่านั้นก็มีสุขภาพดี แข็งแรง ที่สำคัญไม่ค่อยมีคนอ้วนและเป็นโรคของคนสมัยใหม่เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน ฯลฯ

ในด้านความงามก็เช่นเดียวกัน คนพื้นเมืองในประเทศเหล่านี้แม้ว่าบางเชื้อชาติจะมีผิวคล้ำแต่ก็มีรูปร่างสมส่วนไม่อ้วนเป็นพะโล้เหมือนสาวฝรั่งส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ผอมแต่ ที่สำคัญมีผิวที่เนียนไม่แตกลายเหี่ยวย่น แต่ชุ่มฉ่ำและดูอ่อนเยาว์ ส่วนเส้นผมก็ดกดำเป็นเงางามเพราะชโลมเส้นผมด้วยน้ำมันมะพร้าว

คัดจากบางส่วนของเอกสารเผยแพร่ โดย ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา.2548.เอกสารเผยแพร่ TNCEL (Thailand Network for the conversation and enhancement of landdraces of caltivated plants)
ประธานเครือข่ายพืชปลูกพื้นเมืองไทย
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

มะพร้าว
Coconut
Cocos nucifera Linn.
ARECACEAE
ชื่ออื่น หมากอุ๋น หมากอูน

รูปลักษณะ
ไม้ยืนต้นจำพวกปาล์ม สูงได้ถึง 25 เมตรลำต้นตั้งตรง ไม่แตกกิ่ง มีรอยแผลเมื่อก้านใบหลุดออกไป
ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ หนาแน่นที่บริเวณยอด ยาว 4-6 เมตร ใบย่อยรูปพัดจีบ กว้าง 1.5-5 ซม. ยาว 50-100ซม.
ดอกช่อ ออกระหว่างก้านใบ ดอกย่อยจำนวนมาก แยกเพศ อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวผู้สีเหลืองหม่น ดอกตัวเมียสีเขียว หรือเขียวแกมเหลือง ใบประดับยาว 60-90 ซม.
ผล เป็นผลสด รูปใข่แกมทรงกลมหรือรูปไข่กลับ สีเขียวหรือเขียวแกมเหลือง เนื้อสีขาว

สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
น้ำมะพร้าว - มีเกลือโปแตสเซียม และน้ำตาลกลูโคสสูง อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูง มีเกลือคลอไรด์ และโซเดียมต่ำกว่าผงน้ำตาลเกลือแร่ สูตรองค์การอนามัยโลก ที่ใช้กับโรคท้องเสีย ทำให้ชุ่มคอ บำรุงธาตุไฟ ช่วยกระตุ้นการหายใจ มีฤทธิ์ขับปัสสาวะเล็กน้อย
ขอบคุณภาพและรายละเอียดจากhttp://www.ronghosp.org/hosmain/samonpai-thai/herbal/15.htm
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ทำไมต้องเลือก น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ไว้ประจำบ้าน ?
มารู้จักน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กันเถอะ
บทบาทของน้ำมันมะพร้าวกับสุขภาพและความงาม
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=226208



สุดยอดอาหาร : ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมะพร้าว - นาตาลี บัทเลอร์

หลายๆคนเริ่มได้ยินคำว่า "น้ำมันมะพร้าว" และประโยชน์ของมันกันหนาหูขึ้นทุกวัน จริงๆแล้วน้ำมันมะพร้าวไม่ใช่แค่กระแสชั่ววูบประเดี๋ยวประด๋าวในสังคมไทย ในความเป็นจริง น้ำมันมะพร้าวและคุณประโยชน์อันมากมายของน้ำมันมะพร้าวนั้นเป็นสิ่งที่หลายสังคม หลายอารยวัฒนธรรมจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสำคัญและถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก มีการใช้น้ำมันมะพร้าวในวิถีช...ีวิตในรูปแบบต่างๆนานากัน เช่น ใช้ในการทำกับข้าวปรุงอาหาร ใช้เป็นส่วนผสมสำคัญของยาสมุนไพร ใช้ในการดูแลผิวกายและเส้นผม หรือแม้กระทั่งใช้ในทางการบำบัดหรือป้องกันอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น

ตัวอย่างบุคคลที่จะกล่าวถึงคือ Natalie Butler ซึ่งเป็นหนึ่งจากหลายๆบุคคลที่เข้าใจลึกซึ้งถึงคุณค่าความมหัศจรรย์ของน้ำมันมะพร้าวอย่างแท้จริงและต้องการแก้ไขความรู้ผิดๆเกี่ยวกับความเป็นโทษของน้ำมันมะพร้าว เฉกเช่นเดียวกับ ดร. บรูซ ไฟฟ์, ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา ฯลฯ

สุดยอดอาหาร : ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมะพร้าว - นาตาลี บัทเลอร์
นาตาลี บัทเลอร์ แพทย์ผู้มีความรู้พิเศษเรื่องโภชนาการและผู้มีประสบการณ์ด้านการควบคุมน้ำหนักและการดูแลให้มีสุขภาพดีด้วยการเลือกรับประทานอาหาร
เธอมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง และให้คำแนะนำแก่ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพของตนเอง

www.nutritionbynatalie.com
Youtube: http://www.youtube.com/watch?v=FTRMhv31FFQ&feature=player_embedded

คำแปล

ปัจจุบันยังคงมีผู้ที่เชื่อว่า มะพร้าวหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมะพร้าวล้วนเป็นโทษกับร่างกาย ความเชื่อดังกล่าวเป็นเรื่องล้าสมัย ดิฉันต้องการสร้างความเข้าใจในจุดนี้เพราะเห็นว่ายังคงมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับมะพร้าวอยู่เป็นอันมาก เรากำลังจะพูดกันในหัวข้อที่ว่า เหตุใดมะพร้าวจึงถูกจัดว่าเป็นสุดยอดของอาหาร รวมถึงประโยชน์ทั้งหลายของมะพร้าว

ข้อที่1. มะพร้าวอุดมไปด้วยไวตามิน แร่ธาตุ และสารแอนตีอ็อกซิแดนท์ คนส่วนใหญ่ในอเมริกามักได้รับไวตามิน แร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารแอนตีอ็อกซิแดนท์ ไม่เพียงพอสำหรับต่อสู้กับความเครียดของร่างกายในแต่ละวัน ดังนั้นอาหารใดก็ตามที่อุดมไปด้วยเอนไซม์ ไวตามิน สารแอนตีออกซิแดนท์ และแร่ธาตุ จึงนับว่าเป็นอาหารชั้นดี

ข้อที่2. มะพร้าวเป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยเส้นใย ดิฉันเคยทำวิดีโอเกียวกับความหิว และความสำคัญของอาหารที่อุดมด้วยเส้นใย ว่ามีประโยชน์ทำให้รู้สึกอิ่มและมีกำลังวังชาเมื่อรับประทานเข้าไป มะพร้าวเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่อุดมด้วยเส้นใย เมื่อรับประทานแล้วจึงทำให้อิ่ม และความอิ่มนั้นจะคงอยู่ได้นานทำให้มีกำลังในการประกอบกิจการงาน

ข้อที่3. มะพร้าวเป็นยาพื้นบ้านในแถบเอเชียและแปซิฟิคมาช้านาน สิ่งที่น่าสนใจคือ ในอเมริกามีการกล่าวโทษมะพร้าวอยู่เป็นปีๆ ว่าเป็นตัวการเพิ่มคอเลสเตอรอลและทำให้อัตราเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจสูงขึ้น ความเป็นจริงก็คือ ผู้ที่อาศัยในถิ่นที่มะพร้าวขึ้นอยู่หนาแน่นมีอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจต่ำมาก งานวิจัยสมัยใหม่ล้วนสนับสนุนความรู้ที่พวกเขาเหล่านั้นรับรู้กันมาช้านานแล้ว

ข้อที่4. น้ำมันมะพร้าวย่อยง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เอนไซม์จากตับอ่อนเป็นตัวช่วยย่อย พูดอีกนัยหนึ่งเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป เราต้องใช้เอนไซม์ในร่างกายมาทำการย่อยอาหารเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซับสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งแตกต่างจากการรับประทานน้ำมันมะพร้าว เพราะน้ำมันมะพร้าวอุดมด้วยเอนไซม์ในตัวเอง จึงทำให้ร่างกายประหยัดเอนไซม์ไว้ใช้งานอย่างอื่นเช่นซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

ข้อที่5. น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส แบ็คทีเรีย และเชื้อรา จึงสามารถลดการเกิดโรคต่างๆและลดการติดเชื้อ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะน้ำมันมะพร้าวอุดมด้วยกรดลอริค กรดคาปริลิค และกรดคาปริก ซึ่งกรดไขมันทั้ง 3 นี้ ไม่ว่าอยู่ในอาหารชนิดใด จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค

ข้อที่6. มะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันสาย(ความยาว)ปานกลาง ข้อสำคัญของกรดไขมันสายปานกลางคือร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายกว่าไขมันอิ่มตัวที่เป็นกรดไขมันสายยาวที่มาจาก เนย เนื้อสัตว์ หรือนม ซึ่งเป็นตัวการเพิ่มคอเลสเตอรอลและเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ ไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นกรดไขมันสายปานกลางมีรูปแบบที่ต่างออกไป และเป็นที่ปรากฏแล้วว่าไม่เพิ่มไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล หรือเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ

ข้อที่7. มะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันสายปานกลางดังที่ได้กล่าวแล้ว กรดไขมันนี้จะช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารอื่นได้มากขึ้น หากรับประทานน้ำมันมะพร้าวควบคู่กับอาหารอื่น นอกจากจะช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้นแล้ว กรดไขมันสายปานกลางในน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารที่จำเป็นได้ดีขึ้นซึ่ง เป็นผลดีอย่างมากกับผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรัง เจ็บปวดเรื้อรัง เช่นโรคอักเสบในทางเดินอาหารเรื้อรัง

ข้อที่8. กรดไขมันสายปานกลางถูกส่งตรงไปที่ตับโดยตรงเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน ต่างกับกรดไขมันสายยาวที่ถูกส่งไปที่ตับเช่นกันแต่ต้องใช้กระบวนการที่อ้อมกว่า กรดไขมันสายยาวจึงเป็นไขมันที่มักสะสมทำให้อ้วนมากกว่าจะถูกนำไปใช้สร้างพลังงาน การรับประทานอาหารที่เป็นกรดไขมันสายปานกลางเช่นมะพร้าวจึงช่วย เร่งการเผาผลาญได้ดีกว่า ให้พลังงานงานมากกว่า โดยไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม

ข้อที่9. น้ำมะพร้าวสามารถชดเชยการขาดอิเล็คโตรไลท์ได้อย่างวิเศษ ถ้าท่านเป็นนักกีฬา ต้องทำงานกลางแจ้ง หรือเสียเหงื่อมาก น้ำมะพร้าวสามารถชดเชยการสูญเสียอิเล็คโตรไลท์ได้เป็น
อย่างดีอิเล็คโตรไลท์นั้นส่วนใหญ่ประกอบด้วยโซเดียม และ
โปแทสเซี่ยม มีคนจำนวนมากชดเชยการขาดอิเล็คโตรไลท์ด้วย
การดื่มน้ำเกลือแร่ที่มักมีส่วนผสมเป็นน้ำตาลผสมอยู่จำนวนมาก ซึ่งสามารถชดเชยการขาดอิเล็กโตรไลท์แต่จะกลับไปเพิ่มอาการขาดน้ำ การดื่มน้ำมะพร้าวช่วยชดเชยการขาดอิเล็กโตรไลท์และไม่ช่วยเพิ่มอาการขาดน้ำ

ข้อที่10. น้ำมันมะพร้าวสามารถทนกับความร้อนที่อุณหภูมิสูง คุณจึงสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหารจำพวก อบ ทอด ได้อย่างปลอดภัย แต่ขอให้ใช้น้ำมันมะพร้าวที่เป็นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ อย่าใช้น้ำมันมะพร้าวที่เป็นน้ำมันมะพร้าวผ่านกรรมวิธี แม้จะเขียนไว้ที่ฉลากว่าใช้ได้ดีกับการทอดก็ตาม การใช้น้ำมันมะพร้าวที่เป็นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์นั้นดีกว่าตรงที่คุณจะได้ประโยชน์จากกรดไขมันสายปานกลางที่เราได้กล่าวมาแล้วอย่างเต็มที่ สำหรับความแตกต่างของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กับน้ำมันพืชบริสุทธิ์ชนิดอื่นๆคือ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทนต่อความร้อนสูง ส่วนน้ำมันพืชบริสุทธิ์อย่างอื่นนั้นไม่ จึงไม่ควรใช้น้ำมันชนิดอื่นปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงเช่นการทอด เพราะประโยชน์ในน้ำมันจะสูญเสียไปและน้ำมันจะเกิดการอ็อกซิเดชั่นเป็นอนุมูลอิสระ ซึ่งความเสี่ยงเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นหากคุณใช้น้ำมันมะพร้าว คุณสามารถรับประทานสดๆ ผสมในเครื่องดื่ม หรือใช้ปรุงอาหารก็ได้ ซึ่งนอกจากคุณจะได้รสชาติที่อร่อยของน้ำมันมะพร้าวแล้วคุณยังได้รับประโยชน์จากมันอีกด้วย

ที่ต้องทำวิดีโอเรื่องของมะพร้าวเพราะเห็นว่า ยังมีคนจำนวนมากที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมะพร้าวเช่นว่า เป็นไขมันอิ่มตัว เป็นน้ำมันไม่ดี ควรหลีกเลี่ยง แต่จากที่ได้พูดไปแล้วจะเห็นได้ว่ามะพร้าวนั้น เป็นอาหารที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก มันช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ ช่วยลดน้ำหนัก ช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารจำเป็นอื่นๆ และมันไม่เพิ่มคอเลสเตอรอล ไม่เพิ่มอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจอย่างที่คนจำนวนมากพูดกันในอดีตและอาจจะยังคงมีคนพูดกันต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://parisut.com/index.php?dispatch=pages.view&page_id=205




MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY