ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ” ตอนที่ 6 วันนี้เสนอเรื่อง “ว่ายน้ำอย่างไรให้เป็นกุศล ” ภาคแรก ค่ะ ช่วงนี้อากาศร้อน เรามาเปลี่ยนกิจกรรมฤดูร้อน ธรรมดา ๆ ให้เป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” กันดีไหมคะ มีอยู่หลายวิธีทีเดียวค่ะ
วิธีแรก ว่ายแบบ “อานาปาณสติ” หรือการตามดูลมหายใจค่ะ อานาปาณสตินั้นเป็นหนึ่งใน “สมถกรรมฐาน” ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ใ จสงบและมีสมาธิค่ะ เทคนิคการทำสมถกรรมฐานนั้นม ีถึง 40 วิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เหม...าะที่สุดสำหรับการว่ายน้ำนั ้นน่าจะเป็นการตามดูลมหายใจ หรือ อานาปาณสติ นี่ล่ะค่ะ
วิธีทำก็คือในขณะที่คุณว่าย น้ำอยู่นั้นก็ให้คุณมีสติตา มดูตามรู้อยู่กับลมหายใจเข้ าออกของคุณตามธรรมชาติตามจั งหวะการว่ายน้ำปกติของคุณ ไม่ต้องพยายามไปบังคับหรือเ ร่งจังหวะการหายใจนะคะ
คุณอาจจะแปลกใจที่พบว่าใจขอ งคุณแว่บออกไปจากลมหายใจของ คุณบ่อยมาก และบางครั้งก็แว่บออกไปจากก ารว่ายน้ำเสียด้วยซ้ำไป! ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ นั่นเป็นธรรมชาติของใจเขา แต่ถ้ามันแว่บบ่อยเกินไปก็ข อแนะนำให้คุณใช้คำบริกรรมช่ วยจะทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อได ้ดีขึ้นนะคะ อาจจะเป็นคำง่าย ๆ เช่น เข้า-ออก หรือว่านับเลขรอบที่กำลังว่ ายอยู่ในใจในขณะที่เอาใจไปจ ดจ่ออยู่กับลมหายใจก็ได้ค่ะ
เพียงแค่นี้คุณก็จะได้สร้าง กุศลในทุก ๆ ลมหายใจและได้ของแถมเป็นใจท ี่สงบเป็นสมาธิที่มาพร้อมกั บร่างกายที่แข็งแรงค่ะ และคุณจะประหลาดใจด้วยว่าเว ลาที่คุณว่ายน้ำด้วยสมาธิที ่จดจ่อไม่แว่บออกไปคิดเรื่อ งนู้นเรื่องนี้เรื่อยเปื่อย นั้นคุณจะเหนื่อยน้อยลงและว ่ายได้อึดขึ้นค่ะ ทั้งนี้เพราะความคิดที่เรื่ อยเปื่อยไม่มีสติเข้าไปคุมน ั้นใช้พลังงานมากค่ะ ลองดูนะคะ
วิธีที่ 2 เป็นวิธีที่จะทำให้คุณรู้สึ กดี ๆ ค่ะ นั่นก็คือการว่ายแบบ “เมตตาภาวนา” ซึ่งความจริงก็เป็นหนึ่งในส มถกรรมฐานเช่นกันค่ะ ปกติแล้วในคอร์สปฏิบัติธรรม มักจะให้ฝึกเจริญเมตตาภาวนา เป็นลำดับขั้นไปโดยการส่งคว ามเมตตาปรารถนาดีให้ตนเองก่ อน แล้วจึงส่งไปให้คนที่คุณเคา รพรัก เพื่อน คนแปลกหน้า หรือแม้แต่ศัตรู ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณจะว่า ยอึดแค่ไหนแล้วล่ะค่ะ ถ้าคุณสามารถว่ายได้นานติดต ่อกันเป็นชั่วโมงคุณจะไล่ให ้ครบทั้ง 5 หมวดก็ได้ แต่ถ้าว่ายเล่น ๆ สักเพียงไม่กี่รอบล่ะก็ ขอแนะนำให้เลือกกลุ่มเป้าหม ายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพา ะจะได้ผลดีกว่าค่ะ
แต่ก็มีครูบาอาจารย์บางท่าน เชื่อว่า ในกิจกรรมที่ต้องมีการเคลื่ อนไหวร่างกายนั้น การเจริญเมตตา “แบบไม่มีประมาณ” หรืออีกนัยหนึ่ง ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปว งทั่วทั้งจักรวาลโดยไม่เฉพา ะเจาะจงนั้นเหมาะสมที่สุดค่ ะ ไหน ๆ คุณก็กำลังว่ายน้ำอยู่แล้วก ็ลองนึกภาพว่าความรักความเม ตตาความปรารถนาดีของคุณเปรี ยบเสมือนน้ำใสเย็นอยู่ในภาช นะใหญ่ที่คุณจะสาดออกไปทั่ว ๆ เพื่อคลายร้อนให้กับทุก ๆ คน ทุก ๆ สรรพสิ่งดูก็ได้นะคะ คุณจะรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาภายในใจและภายในร่างก ายของคุณเลยค่ะถ้าคุณเจริญเ มตตาภาวนาได้ถูกวิธี
วิธีเจริญเมตตาภาวนานั้นให้ คุณใช้คำบริกรรมเป็นวลีสั้น ๆ ในภาษาของคุณเองที่คุณรู้สึ กว่าเป็นธรรมชาติสำหรับคุณน ะคะ และนึกทบทวนวลีนั้นซ้ำ ๆ อย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มน้ อย ๆ ในใจในระหว่างที่คุณกำลังว่ ายไปว่ายมา ถ้านึกไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอ ะไรดี ก็ใช้คำมาตรฐานง่าย ๆ นี้ก็ได้ค่ะว่า “ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงเ ป็นสุข ๆ เถิด” ไม่ต้องรีบท่องนะคะ ค่อย ๆ นึกเป็นจังหวะพร้อมกับการว่ ายก็ได้ ปรับคำพูดตามใจชอบเลยค่ะ ผู้เขียนมักจะแถมเลขจำนวนรอ บที่ว่ายเข้าไปท้ายวลีด้วยเ ป็นการกันลืมค่ะว่าว่ายไปกี ่รอบแล้ว
อ้อ ข้อสำคัญนะคะ ให้คุณใช้คำในแง่บวกนะคะ เช่น “ขอให้คุณ.../ สรรพสัตว์ทั้งหลาย มีความสุขมาก ๆ นะ” แทนที่จะไปใช้คำว่า “ขอให้คุณ...อย่าเป็นทุกข์ เศร้า เหงา หดหู่ เลย” เลี่ยงคำในแง่ลบกันนะคะ จิตใต้สำนึกเขาจะทำงานกันอย ่างกระปรี้กระเปร่าและเข้าใ จได้ดีกว่ากับคำในแง่บวกค่ะ
นอกจากนี้การว่ายแบบเจริญเม ตตาภาวนายังช่วยให้คุณไม่อา รมณ์เสียเวลามีคนไม่มีสติมา ว่ายตัดหน้า หรือว่าว่ายชนคุณด้วยค่ะ คุณจะอารมณ์ดีและเข้าใจว่าเ ขาขาดสติและทำทุกอย่างลงไปเ พราะมีตัวทุกข์มาบีบคั้น คุณจะให้อภัยเขาง่ายขึ้นค่ะ
ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ทาง สมองได้พิสูจน์แล้วว่าการเจ ริญเมตตาภาวนาเป็นประจำจะส่ งผลดีต่อสมองมากค่ะเพราะจะไ ปเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐา นของระบบประสาทที่ทำหน้าที่ เกี่ยวกับสุขสภาวะให้แข็งแก ร่งยิ่งขึ้น หรือถ้าจะกล่าวอีกในนัยหนึ่ งก็คือ ยิ่งคุณเป็นผู้ “ให้” ความเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื ่นมากเท่าใด คุณก็จะ “ได้รับ” สิ่งดี ๆ กลับคืนมาอย่างเป็นรูปธรรมจ ับต้องได้ในสมองของคุณมากเท ่านั้นค่ะ นี่ยังไม่นับจิตที่เป็นกุศล ตั้งไม่รู้จะกี่ขณะจิตเลยนะ คะ คุ้มแสนคุ้มจริง ๆ ค่ะ
เรื่องดี ๆ ตอน “ว่ายน้ำอย่างไรให้เป็นกุศล ” ยังมีต่อภาค 2 ซึ่งเป็นภาคจบอีกในอาทิตย์ห น้าค่ะ ระหว่างนี้ลองหัดวิธีเหล่าน ี้ไปพลาง ๆ กันก่อนนะคะ ได้ผลอย่างไรแวะมาเล่าให้ผู ้เขียนฟังบ้างนะคะ
วิธีแรก ว่ายแบบ “อานาปาณสติ” หรือการตามดูลมหายใจค่ะ อานาปาณสตินั้นเป็นหนึ่งใน “สมถกรรมฐาน” ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ใ
วิธีทำก็คือในขณะที่คุณว่าย
คุณอาจจะแปลกใจที่พบว่าใจขอ
เพียงแค่นี้คุณก็จะได้สร้าง
วิธีที่ 2 เป็นวิธีที่จะทำให้คุณรู้สึ
แต่ก็มีครูบาอาจารย์บางท่าน
วิธีเจริญเมตตาภาวนานั้นให้
อ้อ ข้อสำคัญนะคะ ให้คุณใช้คำในแง่บวกนะคะ เช่น “ขอให้คุณ.../
นอกจากนี้การว่ายแบบเจริญเม
ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ทาง
เรื่องดี ๆ ตอน “ว่ายน้ำอย่างไรให้เป็นกุศล
ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ จาก ดร.ณัชร” ตอนที่ 7 วันนี้เป็นเรื่อง “ว่ายน้ำอย่างไรให้เป็นกุศล ” ภาคจบค่ะ โดยในตอนที่แล้วเราได้คุยกั นถึงการว่ายน้ำแบบอานาปาณสต ิ หรือ การตามดูลมหายใจ และการว่ายน้ำแบบเมตตาภาวนา ไปแล้ว โดยการว่ายทั้งสองแบบนั้นจั ดอยู่ในหมวด สมถกรรมฐาน นะคะ
การว่ายแบบสมถกรรมฐานนั้นทำ ให้ใจสงบและมีสมาธิได้ก็จริ ง แต่ท่านอาจพบว่าทำให้ท่านว่ ายน้ำช้าลงเพราะทั้งร่างกาย และจิตใจของท่านจะรู้สึกผ่อ นคลายมาก...ค่ะ วันนี้จึงขอนำเสนอการว่ายน้ ำให้ได้กุศลอีกเทคนิคหนึ่งส ำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว นะคะ นั่นก็คือ การว่ายน้ำแบบเจริญสติภาวนา เพราะการเจริญสตินั้นคือการ ให้กำหนด “เท่าทันปัจจุบัน” ค่ะ ว่ายเร็วแค่ไหนก็กำหนดเร็วแ ค่นั้น แต่ถ้าท่านเกิดติดใจความรู้ สึกดี ๆ จากการว่ายแบบเมตตาภาวนาไปแ ล้วท่านก็ยังสามารถเก็บไว้ป ระกอบการว่ายช้า ๆ ในรอบปิดท้ายคือในการ cool down ได้อยู่นะคะ
การเจริญสติ หรือเรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนา นั้น คือการเอาสติไป “กำหนดรู้” ความเป็นไปของกายและใจในปัจ จุบันขณะ โดยกำหนดทีละหนึ่งอย่าง ทีละขณะ และทำไปอย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง มีพลังค่ะ
การ “กำหนดรู้” ต้องประกอบไปด้วย 3 สิ่งค่ะ คือ
1) กายเคลื่อน หรือ เกิดสิ่งใดขึ้นที่ใจ หรือ ประสาทสัมผัสรับรู้อาการใด ๆ ขึ้นมา 1 อย่างในปัจจุบันขณะ
2) มีใจเข้าไปรับรู้ในอาการนั้ น ๆ และ
3) มีคำบริกรรมกำกับค่ะ เช่น ยก(แขน)หนอ เหยียดหนอ ว่ายหนอ พลิก(ตัว)หนอ เตะ(ขา)หนอ (หายใจ)เข้าหนอ ออกหนอ แตะ(ริมสระ)หนอ ม้วน(ตัว)หนอ ถีบหนอ พุ่งหนอ เห็นหนอ ถูกหนอ (เวลาน้ำถูกตัว) เย็นหนอ สบายหนอ ชอบหนอ เหนื่อยหนอ คิดหนอ อยากพักหนอ ยืนหนอ ฯลฯ
ถ้าเรียกชื่ออาการนั้น ๆ ไม่ถูกก็ให้เอาใจไปกำกับตาม ดูตามรู้อาการนั้น ๆ แล้วกำหนดว่า “รู้หนอ” ก็ได้ค่ะ
การกำหนดรู้นั้นให้เพียงกำห นดแบบ “รู้สักแต่ว่ารู้” นะคะ โดยไม่ต้องไปวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย ท่านจะเห็นว่าคำบริกรรมนั้น มุ่งให้สั้นเข้าไว้ โดยละคำในวงเล็บออกไป เพื่อให้ท่านสามารถกำหนดได้ กระชับ “เท่าทันปัจจุบัน” ค่ะ
คำว่า “หนอ” นั้น ครูบาอาจารย์บอกว่าเป็นเหมื อนตัวจุด (.) ที่ใช้ปิดท้ายประโยคภาษาอัง กฤษค่ะ มีไว้เพื่อตอกย้ำกับสติ ว่า “กิริยา นั้น ๆ ได้เกิดขึ้นและจบลงแล้วล่ะห นอ” ดังนั้นจะเรียกว่า “หนอ” เป็นตัวสัมปชัญญะไปเน้นย้ำ “ตัวรู้” ให้ชัดเจนก็ไม่ผิดนะคะ ท่านว.วชิรเมธีเคยกล่าวไว้ว ่า สติ คือ รู้สึก สัมปชัญญะ คือ รู้ชัด ค่ะ
ท่านอาจพบว่าการว่ายแบบการเ จริญสตินั้นยากกว่าการว่ายแ บบอานาปาณสติหรือแบบเมตตาภา วนาเพราะสติท่านต้องตื่นตัว ไปกำหนดสิ่งที่มีลักษณะเปลี ่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่เหมือนแบบสมถกรรมฐานที่จ ะจดจ่ออยู่ที่สิ่งเดียว อย่าเพิ่งท้อนะคะ เริ่มจากการกำหนดคร่าว ๆ ในกิริยาหลัก ๆ ของลำตัว แขน และ ขาก่อนก็ได้ค่ะ เมื่อสติเริ่มคมชัดท่านก็จะ สามารถเห็นรายละเอียดปลีกย่ อยและเริ่มกำหนดได้คล่องขึ้ นเองอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
เมื่อท่านทำได้แล้วท่านจะไม ่มีวันลืมความรู้สึกของการว ่ายน้ำด้วยสติอย่างต่อเนื่อ งเลยค่ะ ท่านอาจจะรู้สึกเหมือนท่านไ ด้ “ว่ายน้ำจริง ๆ” เป็นครั้งแรก ได้สัมผัสความสดชื่นเย็นสบา ยของน้ำอย่างเต็มที่ และได้สัมผัสความสุขสงบที่เ กิดขึ้นเองลึก ๆ เงียบ ๆ ในแบบที่ท่านไม่เคยรู้สึกมา ก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกใด ก็ขอให้ท่านกำหนดรู้แล้วก็ป ล่อยมันไปนะคะ ที่สำคัญคือต้องระวังความคิ ดเข้าแทรกค่ะ ความคิดแบบเรื่อยเปื่อยนั้น จะทำให้ท่านเสียพลังงานไปโด ยใช่เหตุ จึงขอแนะนำให้ดึงสติกลับมาท ี่ฐานกาย ดูการเคลื่อนไหวทางกายต่อไป จะง่ายที่สุดค่ะสำหรับนักเจ ริญสติมือใหม่
การเจริญสติ หรือ วิปัสสนานั้น ให้อานิสงส์สูงสุดในพระพุทธ ศาสนา สูงยิ่งกว่าการสร้างกุศลใด ๆ ทั้งมวลค่ะไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล หรือการเจริญสมถกรรมฐาน การเจริญสตินั้นแม้จะทำเพีย งอึดใจเดียวก็ได้กุศลมหาศาล ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพร ะพุทธองค์ตรัสไว้ว่าการเจริ ญสติเป็นวิธีเดียวเท่านั้นท ี่จะนำไปสู่มรรค ผล นิพพานได้นั่นเองค่ะ
ปัญญาทางธรรมนั้นเกิดขึ้นได ้ไม่อ้างกาลเวลาหรืออิริยาบ ถใด ๆ การว่ายน้ำโดยเจริญสติไปด้ว ยนั้นเป็นการฝึกที่ยอดเยี่ย มมากค่ะเพราะแค่ฐานกายอย่าง เดียวก็กำหนดได้อย่างชัดเจน ทั่วตัวแล้ว ผู้เขียนพบว่าได้กำลังสติมา กกว่าการเดินจงกรมหรือวิ่งจ งกรมอีกด้วยซ้ำไปค่ะ ขอให้ทุกท่านสนุกและได้กุศล สูงสุดไปกับการว่ายน้ำด้วยส ตินะคะ
การว่ายแบบสมถกรรมฐานนั้นทำ
การเจริญสติ หรือเรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนา นั้น คือการเอาสติไป “กำหนดรู้” ความเป็นไปของกายและใจในปัจ
การ “กำหนดรู้” ต้องประกอบไปด้วย 3 สิ่งค่ะ คือ
1) กายเคลื่อน หรือ เกิดสิ่งใดขึ้นที่ใจ หรือ ประสาทสัมผัสรับรู้อาการใด ๆ ขึ้นมา 1 อย่างในปัจจุบันขณะ
2) มีใจเข้าไปรับรู้ในอาการนั้
3) มีคำบริกรรมกำกับค่ะ เช่น ยก(แขน)หนอ เหยียดหนอ ว่ายหนอ พลิก(ตัว)หนอ เตะ(ขา)หนอ (หายใจ)เข้าหนอ ออกหนอ แตะ(ริมสระ)หนอ ม้วน(ตัว)หนอ ถีบหนอ พุ่งหนอ เห็นหนอ ถูกหนอ (เวลาน้ำถูกตัว) เย็นหนอ สบายหนอ ชอบหนอ เหนื่อยหนอ คิดหนอ อยากพักหนอ ยืนหนอ ฯลฯ
ถ้าเรียกชื่ออาการนั้น ๆ ไม่ถูกก็ให้เอาใจไปกำกับตาม
การกำหนดรู้นั้นให้เพียงกำห
คำว่า “หนอ” นั้น ครูบาอาจารย์บอกว่าเป็นเหมื
ท่านอาจพบว่าการว่ายแบบการเ
เมื่อท่านทำได้แล้วท่านจะไม
การเจริญสติ หรือ วิปัสสนานั้น ให้อานิสงส์สูงสุดในพระพุทธ
ปัญญาทางธรรมนั้นเกิดขึ้นได