ซีรี่ส์ "เรื่องดี ๆ" ตอนที่ 1 มาเพิ่มคุณค่ากิจกรรมประจำวัน เช่น การล้างจานชาม แก้วช้อน ฯลฯ ของเราให้เป็นบุญ 2 ชั้นด้วยวิธีง่าย ๆ ไม่ต้องเสียเงินทองกันค่ะ
ชั้นที่ 1 ตั้งจิตเป็นกุศลให้ทาน ในพระสูตรชื่อ ชัปปสูตร ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ทรงต...รัสไว้สรุปความได้ว่า "...ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะ หรือน้ำล้างขันไป แม้ที่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำครำ หรือที่บ่อโสโครกข้างประตูบ้านด้วยตั้งใจว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้นเถิด ...เรากล่าวกรรมซึ่งมีการลาดน้ำล้างภาชนะนั้นเป็นเหตุว่า เป็นที่มาแห่งบุญ..."
หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เพียงเราอธิษฐานจิตยกเศษอาหาร เศษน้ำชากาแฟ ที่เหลือติดจานชามแก้วช้อนของเราให้เป็นทานแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่น จุลินทรีย์ ฯลฯ ที่อาศัยอยู่ในท่อระบายน้ำนั้น เราก็ได้บุญแล้วค่ะ ง่ายมากเลยใช่ไหมคะ แต่ต้องตั้งจิตให้มีเมตตาและยกให้เป็นทานจริง ๆ นะคะอย่าเพียงแต่ท่องแค่ปากเท่านั้น
ชั้นที่ 2 กำหนดสติล้างชาม เมื่ออธิษฐานจิตยกเศษอาหารให้เป็นทานแล้ว ก็ให้กำหนดสติ รู้อยู่กับอาการเคลื่อนไหวของมือทั้ง 2 ในขณะที่ล้างชามนั้น ๆ น้ำกระทบมือก็รู้ถึงการกระทบนั้น รับรู้ถึงความเย็นของน้ำ รับรู้ถึงสัมผัสนุ่มของฟองน้ำ รับรู้ถึงกลิ่นของน้ำยาล้างชาม รับรู้ถึงอาการเคลื่อนของมือ ฯลฯ
ให้คุณรับรู้ทุก ๆ สิ่งในปัจจุบันขณะไปจนจบกระบวนการล้างชามไปจนล้างมือเช็ดมือเลยนะคะ พยายามรักษาสติอย่าให้แว่บออกไปคิดเรื่องอื่นนะคะ ถ้าเกิดแว่บออกไปก็ดึงสติกลับมาอยู่ที่ฐานกาย อยู่กับการล้างชามใหม่ให้ได้ต่อเนื่องจนจบนะคะ เพียงแค่นี้ คุณก็จะได้อานิสงส์มหาศาลจากการเจริญสติแล้วค่ะ อย่าลืมนะคะว่า การเจริญสติวิปัสสนานั้นให้อานิสงส์สูงสุดกว่าการสร้างกุศลอื่นใดทั้งปวงทีเดียว เพราะอะไร? ก็เพราะการเจริญสติเป็นวิธีเดียวที่นำไปสู่มรรค ผล นิพพานได้นั่นเองค่ะ
ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ? ต่อจากนี้ไป เรามาเปลี่ยนกิจกรรมที่ฟังดูน่าเบื่ออย่างเช่นการล้างชามให้เป็นบุญ 2 ชั้นกันทุก ๆ วันกันนะคะ
ชั้นที่ 1 ตั้งจิตเป็นกุศลให้ทาน ในพระสูตรชื่อ ชัปปสูตร ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ทรงต...รัสไว้สรุปความได้ว่า "...ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะ หรือน้ำล้างขันไป แม้ที่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำครำ หรือที่บ่อโสโครกข้างประตูบ้านด้วยตั้งใจว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้นเถิด ...เรากล่าวกรรมซึ่งมีการลาดน้ำล้างภาชนะนั้นเป็นเหตุว่า เป็นที่มาแห่งบุญ..."
หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เพียงเราอธิษฐานจิตยกเศษอาหาร เศษน้ำชากาแฟ ที่เหลือติดจานชามแก้วช้อนของเราให้เป็นทานแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่น จุลินทรีย์ ฯลฯ ที่อาศัยอยู่ในท่อระบายน้ำนั้น เราก็ได้บุญแล้วค่ะ ง่ายมากเลยใช่ไหมคะ แต่ต้องตั้งจิตให้มีเมตตาและยกให้เป็นทานจริง ๆ นะคะอย่าเพียงแต่ท่องแค่ปากเท่านั้น
ชั้นที่ 2 กำหนดสติล้างชาม เมื่ออธิษฐานจิตยกเศษอาหารให้เป็นทานแล้ว ก็ให้กำหนดสติ รู้อยู่กับอาการเคลื่อนไหวของมือทั้ง 2 ในขณะที่ล้างชามนั้น ๆ น้ำกระทบมือก็รู้ถึงการกระทบนั้น รับรู้ถึงความเย็นของน้ำ รับรู้ถึงสัมผัสนุ่มของฟองน้ำ รับรู้ถึงกลิ่นของน้ำยาล้างชาม รับรู้ถึงอาการเคลื่อนของมือ ฯลฯ
ให้คุณรับรู้ทุก ๆ สิ่งในปัจจุบันขณะไปจนจบกระบวนการล้างชามไปจนล้างมือเช็ดมือเลยนะคะ พยายามรักษาสติอย่าให้แว่บออกไปคิดเรื่องอื่นนะคะ ถ้าเกิดแว่บออกไปก็ดึงสติกลับมาอยู่ที่ฐานกาย อยู่กับการล้างชามใหม่ให้ได้ต่อเนื่องจนจบนะคะ เพียงแค่นี้ คุณก็จะได้อานิสงส์มหาศาลจากการเจริญสติแล้วค่ะ อย่าลืมนะคะว่า การเจริญสติวิปัสสนานั้นให้อานิสงส์สูงสุดกว่าการสร้างกุศลอื่นใดทั้งปวงทีเดียว เพราะอะไร? ก็เพราะการเจริญสติเป็นวิธีเดียวที่นำไปสู่มรรค ผล นิพพานได้นั่นเองค่ะ
ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ? ต่อจากนี้ไป เรามาเปลี่ยนกิจกรรมที่ฟังดูน่าเบื่ออย่างเช่นการล้างชามให้เป็นบุญ 2 ชั้นกันทุก ๆ วันกันนะคะ
ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ” ตอนที่ 2 สร้างพลังบวกได้ตลอดเวลา ด้วยการแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์และเซลล์ในตัวคุณ รวมถึงเซลล์มะเร็ง!
ทุกวันนี้นักจิตวิทยาและนักประสาทวิทยา (neuroscientist) ต่างก็เห็นตรงกันว่า การคิดบวก มองสิ่งต่าง ๆ ในด้านบวกนั้น เป็นผลดี...ต่อสุขภาพจิตและสุขภาพสมองของคนเรา แม้ในทางพุทธศาสตร์ก็เช่นกัน จิตที่เป็นกุศลนั้นเป็นจิตที่มีพลัง สามารถนำไปสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ และหนึ่งในวิธีสร้างพลังบวกง่าย ๆ ก็คือ “การแผ่เมตตา” นั่นเองค่ะ
ตามปกติคนไทยเรามักนึกถึงบทสวด “สัพเพ สัตตา” เวลานึกถึงการแผ่เมตตา ซึ่งมักจะเป็นการท่องไปอย่างนั้นเอง แต่การที่จะน้อมจิตส่งความรักและความปรารถนาดีตามไปด้วยจริง ๆ นั้นเป็นสิ่งค่อนข้างยากที่ต้องฝึกฝน ครูบาอาจารย์จึงมักให้เริ่มจากการแผ่เมตตาให้กับตนเองก่อนให้ชินเพราะไม่ว่าใครก็ย่อมมีความรักความปรารถนาดีให้ตนเองมีความสุขและปราศจากทุกข์กันทั้งสิ้น แต่ท่านเคยนึกลึกลงไปในรายละเอียดหรือไม่ว่าสิ่งที่ท่านคิดว่าเป็น “ตัวท่าน” นั้นไม่ได้เป็นหน่วยเพียงหนึ่งเดียว แต่มีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมายเป็นล้านล้านหน่วยอาศัยอยู่ในนั้นด้วย! ท่านเคยแผ่เมตตาให้กับพวกเขาบ้างไหมคะ?
ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเอาไว้ว่าในร่างกายของคนเราเป็นแหล่งที่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อยจำนวนมากมาย ซึ่งถ้าเทียบกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็น่าจะเทียบได้กับจุลินทรีย์ เชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัสต่าง ๆ นั่นเอง นอกจากนั้นก็ยังมีเซลล์ต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายเรา มีผู้ประมาณไว้ว่า ร่างกายมนุษย์นั้นประกอบขึ้นมาด้วยเซลล์จำนวนถึง 100 ล้านล้าน เซลล์ทีเดียว เซลล์เหล่านั้นล้วนแต่มีชีวิตและต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างหนักเพื่อที่จะรักษาสุขสภาวะของเราให้อยู่ในสภาพที่สมดุลย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราเคยได้นึกถึงพวกเขากันบ้างไหมคะ?
วิธีการแผ่เมตตานั้นทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ภาษาบาลีค่ะ ขอเพียงท่านตั้งจิตเป็นสมาธินึกถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อยรวมถึงเซลล์ต่าง ๆ ทุกเซลล์ในร่างกายของท่านแล้วก็ส่งใจไปถึงพวกเขาว่า “ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอท่านได้รับส่วนบุญกุศลทั้งหลายทั้งทาน ศีล และภาวนาที่ข้าพเจ้าได้ทำไปด้วยทั้งหมดเสมอเหมือนว่าได้กระทำด้วยตนเอง เมื่อหมดอายุขัยของท่านขอให้ท่านได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้มรรคผลนิพพาน พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิงโดยทั่วกันเทอญ” แล้วก็ส่งจิตที่มีความรักความเมตตาปรารถนาดีตามไปอีกสักพักนะคะ
ถ้าท่านทำได้ถูกต้องด้วยจิตที่มีความรักเมตตาปรารถนาดีจริง ๆ ท่านจะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของท่านค่ะ สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นสามารถรับรู้ความปรารถนาดีของท่านได้ และก็จะส่งความปรารถนาดีกลับมาให้ท่านเช่นกัน ท่านอาจจะรู้สึกถึงอาการปิติ วูบวาบ หรือขนลุกเล็กน้อย หรือรู้สึกอบอุ่นใจ ตัวเบา สบายใจ ปลอดโปร่งใจนะคะ เพราะท่านได้ผูกมิตรกับมหามิตรที่อยู่ใกล้ชิดท่านที่สุดเอาไว้แล้ว ให้ท่านหมั่นสร้างกุศลด้วย ทาน ศีล ภาวนา แล้วแผ่เมตตาเช่นนี้ทุก ๆ วันท่านจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในกายใจของท่านค่ะ ท่านจะพบว่าท่านมีพลังบวกมากขึ้น จิตใจปลอดโปร่งมีพลังแจ่มใสมากขึ้น และท่านจะรู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ นั่นเป็นเพราะเซลล์ต่าง ๆ ให้ "ความร่วมมือ" กับท่านมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
**หมายเหตุ** วิธีนี้จะได้ผลดีเป็นพิเศษแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยนะคะ ถึงแม้มะเร็งจะเป็นเนื้อร้าย เป็นเซลล์ที่มาเบียดเบียนท่าน ก็ขอให้ท่านอย่าไปรังเกียจเกลียดโกรธหรือหวาดกลัวเขา ก็ให้แผ่เมตตาให้ความรักความปรารถนาดีต่อเขา ส่งส่วนบุญกุศลไปให้เขาเช่นกันค่ะ บอกว่าให้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ อย่างไม่เบียดเบียนกันเพื่อที่จะได้ร่วมกันสร้างคุณงามความดี จะได้มีส่วนสร้างสมกุศลไปด้วยกัน เขาเองก็จะได้พ้นทุกข์ไปด้วย ท่านเคยคิดไหมคะว่าเซลล์มะเร็งนั้นก็เป็นทุกข์เหมือนกันแต่ไม่เคยมีใครแผ่เมตตาไปให้เขาเลย มีแต่คอยจ้องจะฆ่าเขา วิปัสสนาจารย์ของผู้เขียนก็ป่วยเป็นมะเร็งมาแล้วกว่า 10 ปี แต่สามารถควบคุมการแพร่ขยายของเซลล์มะเร็งนี้ได้ด้วยวิธีนี้ควบคู่ไปกับการรักษาตามปกติและรักษาวิธีธรรมชาตินั่นเองค่ะ
ถ้าวิธีการรักษาของท่านจำเป็นจะต้องไปฆ่าเซลล์มะเร็ง ก็ขออโหสิกรรมกับเขาก่อนด้วยนะคะว่า ท่านไม่ได้มีจิตพยาบาทเกลียดโกรธอะไรเขา แต่จำเป็นต้องรักษาร่างกายธาตุขันธ์นี้เอาไว้เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ มีชีวิตอยู่รอดต่อไป “เพื่ออะไร”? นี่ล่ะค่ะเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านต้องตอบเซลล์มะเร็งที่ท่านจำต้องฆ่าเขาให้ได้ “เพื่อสร้างคุณงามความดีให้กับโลกนี้” ไงคะ บอกกับเซลล์มะเร็งที่ท่านจะต้องฆ่าเขา(ถ้าจำเป็นจริง ๆ)ว่า ท่านจะใช้ร่างกายธาตุขันธ์ของท่านที่รอดมานี้สร้างกุศลด้วยทาน ศีล และภาวนาให้ครบและอุทิศบุญกุศลให้เขาไปโดยตลอด ถ้าท่านทำได้เช่นนี้ ท่านก็น่าจะมีโอกาสได้อยู่สร้างคุณประโยชน์กับโลกต่อไปอีกใช่ไหมคะ เพราะเซลล์มะเร็งก็ย่อมหวังจะได้บุญกุศลที่ท่านจะอุทิศให้กับเขาต่อไปอีกนาน ๆ เช่นกันค่ะ
ถ้าท่านทดลองแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในร่างกายและให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายท่านไปแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง แวะมาเล่าให้ผู้เขียนฟังกันบ้างนะคะ
ทุกวันนี้นักจิตวิทยาและนักประสาทวิทยา (neuroscientist) ต่างก็เห็นตรงกันว่า การคิดบวก มองสิ่งต่าง ๆ ในด้านบวกนั้น เป็นผลดี...ต่อสุขภาพจิตและสุขภาพสมองของคนเรา แม้ในทางพุทธศาสตร์ก็เช่นกัน จิตที่เป็นกุศลนั้นเป็นจิตที่มีพลัง สามารถนำไปสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ และหนึ่งในวิธีสร้างพลังบวกง่าย ๆ ก็คือ “การแผ่เมตตา” นั่นเองค่ะ
ตามปกติคนไทยเรามักนึกถึงบทสวด “สัพเพ สัตตา” เวลานึกถึงการแผ่เมตตา ซึ่งมักจะเป็นการท่องไปอย่างนั้นเอง แต่การที่จะน้อมจิตส่งความรักและความปรารถนาดีตามไปด้วยจริง ๆ นั้นเป็นสิ่งค่อนข้างยากที่ต้องฝึกฝน ครูบาอาจารย์จึงมักให้เริ่มจากการแผ่เมตตาให้กับตนเองก่อนให้ชินเพราะไม่ว่าใครก็ย่อมมีความรักความปรารถนาดีให้ตนเองมีความสุขและปราศจากทุกข์กันทั้งสิ้น แต่ท่านเคยนึกลึกลงไปในรายละเอียดหรือไม่ว่าสิ่งที่ท่านคิดว่าเป็น “ตัวท่าน” นั้นไม่ได้เป็นหน่วยเพียงหนึ่งเดียว แต่มีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมายเป็นล้านล้านหน่วยอาศัยอยู่ในนั้นด้วย! ท่านเคยแผ่เมตตาให้กับพวกเขาบ้างไหมคะ?
ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเอาไว้ว่าในร่างกายของคนเราเป็นแหล่งที่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อยจำนวนมากมาย ซึ่งถ้าเทียบกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็น่าจะเทียบได้กับจุลินทรีย์ เชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัสต่าง ๆ นั่นเอง นอกจากนั้นก็ยังมีเซลล์ต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายเรา มีผู้ประมาณไว้ว่า ร่างกายมนุษย์นั้นประกอบขึ้นมาด้วยเซลล์จำนวนถึง 100 ล้านล้าน เซลล์ทีเดียว เซลล์เหล่านั้นล้วนแต่มีชีวิตและต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างหนักเพื่อที่จะรักษาสุขสภาวะของเราให้อยู่ในสภาพที่สมดุลย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราเคยได้นึกถึงพวกเขากันบ้างไหมคะ?
วิธีการแผ่เมตตานั้นทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ภาษาบาลีค่ะ ขอเพียงท่านตั้งจิตเป็นสมาธินึกถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อยรวมถึงเซลล์ต่าง ๆ ทุกเซลล์ในร่างกายของท่านแล้วก็ส่งใจไปถึงพวกเขาว่า “ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอท่านได้รับส่วนบุญกุศลทั้งหลายทั้งทาน ศีล และภาวนาที่ข้าพเจ้าได้ทำไปด้วยทั้งหมดเสมอเหมือนว่าได้กระทำด้วยตนเอง เมื่อหมดอายุขัยของท่านขอให้ท่านได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้มรรคผลนิพพาน พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิงโดยทั่วกันเทอญ” แล้วก็ส่งจิตที่มีความรักความเมตตาปรารถนาดีตามไปอีกสักพักนะคะ
ถ้าท่านทำได้ถูกต้องด้วยจิตที่มีความรักเมตตาปรารถนาดีจริง ๆ ท่านจะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของท่านค่ะ สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นสามารถรับรู้ความปรารถนาดีของท่านได้ และก็จะส่งความปรารถนาดีกลับมาให้ท่านเช่นกัน ท่านอาจจะรู้สึกถึงอาการปิติ วูบวาบ หรือขนลุกเล็กน้อย หรือรู้สึกอบอุ่นใจ ตัวเบา สบายใจ ปลอดโปร่งใจนะคะ เพราะท่านได้ผูกมิตรกับมหามิตรที่อยู่ใกล้ชิดท่านที่สุดเอาไว้แล้ว ให้ท่านหมั่นสร้างกุศลด้วย ทาน ศีล ภาวนา แล้วแผ่เมตตาเช่นนี้ทุก ๆ วันท่านจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในกายใจของท่านค่ะ ท่านจะพบว่าท่านมีพลังบวกมากขึ้น จิตใจปลอดโปร่งมีพลังแจ่มใสมากขึ้น และท่านจะรู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ นั่นเป็นเพราะเซลล์ต่าง ๆ ให้ "ความร่วมมือ" กับท่านมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
**หมายเหตุ** วิธีนี้จะได้ผลดีเป็นพิเศษแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยนะคะ ถึงแม้มะเร็งจะเป็นเนื้อร้าย เป็นเซลล์ที่มาเบียดเบียนท่าน ก็ขอให้ท่านอย่าไปรังเกียจเกลียดโกรธหรือหวาดกลัวเขา ก็ให้แผ่เมตตาให้ความรักความปรารถนาดีต่อเขา ส่งส่วนบุญกุศลไปให้เขาเช่นกันค่ะ บอกว่าให้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ อย่างไม่เบียดเบียนกันเพื่อที่จะได้ร่วมกันสร้างคุณงามความดี จะได้มีส่วนสร้างสมกุศลไปด้วยกัน เขาเองก็จะได้พ้นทุกข์ไปด้วย ท่านเคยคิดไหมคะว่าเซลล์มะเร็งนั้นก็เป็นทุกข์เหมือนกันแต่ไม่เคยมีใครแผ่เมตตาไปให้เขาเลย มีแต่คอยจ้องจะฆ่าเขา วิปัสสนาจารย์ของผู้เขียนก็ป่วยเป็นมะเร็งมาแล้วกว่า 10 ปี แต่สามารถควบคุมการแพร่ขยายของเซลล์มะเร็งนี้ได้ด้วยวิธีนี้ควบคู่ไปกับการรักษาตามปกติและรักษาวิธีธรรมชาตินั่นเองค่ะ
ถ้าวิธีการรักษาของท่านจำเป็นจะต้องไปฆ่าเซลล์มะเร็ง ก็ขออโหสิกรรมกับเขาก่อนด้วยนะคะว่า ท่านไม่ได้มีจิตพยาบาทเกลียดโกรธอะไรเขา แต่จำเป็นต้องรักษาร่างกายธาตุขันธ์นี้เอาไว้เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ มีชีวิตอยู่รอดต่อไป “เพื่ออะไร”? นี่ล่ะค่ะเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านต้องตอบเซลล์มะเร็งที่ท่านจำต้องฆ่าเขาให้ได้ “เพื่อสร้างคุณงามความดีให้กับโลกนี้” ไงคะ บอกกับเซลล์มะเร็งที่ท่านจะต้องฆ่าเขา(ถ้าจำเป็นจริง ๆ)ว่า ท่านจะใช้ร่างกายธาตุขันธ์ของท่านที่รอดมานี้สร้างกุศลด้วยทาน ศีล และภาวนาให้ครบและอุทิศบุญกุศลให้เขาไปโดยตลอด ถ้าท่านทำได้เช่นนี้ ท่านก็น่าจะมีโอกาสได้อยู่สร้างคุณประโยชน์กับโลกต่อไปอีกใช่ไหมคะ เพราะเซลล์มะเร็งก็ย่อมหวังจะได้บุญกุศลที่ท่านจะอุทิศให้กับเขาต่อไปอีกนาน ๆ เช่นกันค่ะ
ถ้าท่านทดลองแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในร่างกายและให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายท่านไปแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง แวะมาเล่าให้ผู้เขียนฟังกันบ้างนะคะ
ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ” ตอนที่ 3 วันนี้ก็จะยังเป็นเรื่องของการสร้างพลังบวกและจิตที่เป็นกุศลอยู่นะคะ แต่คราวนี้เราจะเผื่อแผ่พลังบวกและจิตที่เป็นกุศลไปถึงจุลินทรีย์ตัวเป็น ๆ ที่เรากำลังจะกินเข้าไปค่ะ ถ้าท่านผู้อ่านเคยดื่มนมเปรี้ยวพร้อมดื่มหรือร...ับประทานโยเกิร์ตประเภทที่โฆษณาว่ามีจุลินทรีย์อย่างเช่น โปรไบโอติก ท่านก็ต้องเคยรับประทานมันเข้าไปครั้งละอย่างน้อยหลายพันล้านตัวแน่นอนค่ะ ลองพลิกดูที่ข้างขวดหรือข้างกระปุกดูสิคะ
จริงอยู่ เราไม่จำเป็นต้องบริโภคสินค้าเหล่านั้นก็ได้เพราะในร่างกายเราก็มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และช่วยรักษาสมดุลย์ให้ร่างกายเราอยู่แล้ว และในซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ” ตอนที่แล้วเราก็พูดถึงการแผ่เมตตาให้กับเจ้าตัวจิ๋วที่มีอยู่ในร่างกายเราไปแล้วนะคะ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่บริโภคสินค้าเหล่านั้นอยู่แล้วเป็นประจำ ก็ลองมาเพิ่มคุณค่าตอนบริโภคด้วยการสร้างพลังบวกและจิตที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้นไปอีกสัก 3 ขั้นกันดีไหมคะ?
ขั้นที่ 1 ลองตั้งจิตส่งความปรารถนาดีอุทิศสารอาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา “ให้เป็นทาน” แก่จุลินทรีย์เหล่านั้นค่ะเพราะพวกเขาอาศัยสิ่งที่อยู่ในทางเดินอาหารของเราเป็นอาหาร ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ถ้าท่านทำด้วยใจที่เมตตาปรารถนาดีต่อเจ้าตัวจิ๋วเหล่านั้นจริง ๆ ท่านจะรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาในทันทีค่ะ
ขั้นที่ 2 ลองส่งความรู้สึก “ขอบคุณ” ไปที่จุลินทรีย์เหล่านั้นนะคะที่มันจะช่วยทำหน้าที่รักษาสมดุลย์ให้กับร่างกายของเรา คนญี่ปุ่นนั้นก่อนรับประทานอาหารจะพนมมือและพูดว่า “itadakimasu” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “จะขออนุญาตรับ(ประทาน)ของนี้แล้วนะคะ/ครับ” แต่เมื่อผู้เขียนได้คุยกับครูชาวญี่ปุ่น ท่านบอกว่าที่มาของการพนมมือไหว้อาหารอย่างนั้นมาจากแนวคิดดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นที่ต้องการขอโทษและขอบคุณต่อสัตว์ต่าง ๆ ที่สละเลือดเนื้อมาให้เรารับประทานค่ะ
การรู้สึก “ขอบคุณ” แม้แต่ต่อสัตว์ตัวจิ๋วที่ทำประโยชน์ให้เรานั้นจะทำให้เรา “ได้สติ” ด้วยค่ะว่า แม้เราจะตัวใหญ่โตขนาดไหนเมื่อเทียบกับเขา เราก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยเขาในการรักษาสุขสภาวะของเราให้สมดุลย์ค่ะ มันจะเป็นการฝึกขัดเกลาจิตใจของเราให้เกิดความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้น้อยไปด้วยในเวลาเดียวกันค่ะ ลองสังเกตจิตใจที่อ่อนโยนลงของท่านดูนะคะ
จริงอยู่ เราไม่จำเป็นต้องบริโภคสินค้าเหล่านั้นก็ได้เพราะในร่างกายเราก็มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และช่วยรักษาสมดุลย์ให้ร่างกายเราอยู่แล้ว และในซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ” ตอนที่แล้วเราก็พูดถึงการแผ่เมตตาให้กับเจ้าตัวจิ๋วที่มีอยู่ในร่างกายเราไปแล้วนะคะ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่บริโภคสินค้าเหล่านั้นอยู่แล้วเป็นประจำ ก็ลองมาเพิ่มคุณค่าตอนบริโภคด้วยการสร้างพลังบวกและจิตที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้นไปอีกสัก 3 ขั้นกันดีไหมคะ?
ขั้นที่ 1 ลองตั้งจิตส่งความปรารถนาดีอุทิศสารอาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา “ให้เป็นทาน” แก่จุลินทรีย์เหล่านั้นค่ะเพราะพวกเขาอาศัยสิ่งที่อยู่ในทางเดินอาหารของเราเป็นอาหาร ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ถ้าท่านทำด้วยใจที่เมตตาปรารถนาดีต่อเจ้าตัวจิ๋วเหล่านั้นจริง ๆ ท่านจะรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาในทันทีค่ะ
ขั้นที่ 2 ลองส่งความรู้สึก “ขอบคุณ” ไปที่จุลินทรีย์เหล่านั้นนะคะที่มันจะช่วยทำหน้าที่รักษาสมดุลย์ให้กับร่างกายของเรา คนญี่ปุ่นนั้นก่อนรับประทานอาหารจะพนมมือและพูดว่า “itadakimasu” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “จะขออนุญาตรับ(ประทาน)ของนี้แล้วนะคะ/ครับ” แต่เมื่อผู้เขียนได้คุยกับครูชาวญี่ปุ่น ท่านบอกว่าที่มาของการพนมมือไหว้อาหารอย่างนั้นมาจากแนวคิดดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นที่ต้องการขอโทษและขอบคุณต่อสัตว์ต่าง ๆ ที่สละเลือดเนื้อมาให้เรารับประทานค่ะ
การรู้สึก “ขอบคุณ” แม้แต่ต่อสัตว์ตัวจิ๋วที่ทำประโยชน์ให้เรานั้นจะทำให้เรา “ได้สติ” ด้วยค่ะว่า แม้เราจะตัวใหญ่โตขนาดไหนเมื่อเทียบกับเขา เราก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยเขาในการรักษาสุขสภาวะของเราให้สมดุลย์ค่ะ มันจะเป็นการฝึกขัดเกลาจิตใจของเราให้เกิดความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้น้อยไปด้วยในเวลาเดียวกันค่ะ ลองสังเกตจิตใจที่อ่อนโยนลงของท่านดูนะคะ
ขั้นที่ 3 ก็คือ ให้อุทิศบุญกุศลที่ท่านได้เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา ให้กับจุลินทรีย์เป็น ๆ หลายพันล้านตัวที่ท่านได้รับประทานเข้าไปค่ะ จากนั้นให้ส่งความรักความปรารถนาดีให้จุลินทรีย์ตัวจิ๋วทั้งหลายอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากทุกข์ เมื่อเขาหมดอายุขัยแล้วก็ขอให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เช่น เป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา และได้สร้างกุศลต่าง ๆ ไปจนถึงได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนพ้นทุกข์นะคะ มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมากมายค่ะที่สัตว์เดรัจฉานเมื่อตายด้วยจิตที่เป็นกุศลก็ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ เรามาช่วยพวกเขากันค่ะ
ถ้าท่านฝึกจิตให้เป็นกุศลได้ทั้ง 3 ขั้นนี้แล้ว ท่านเองก็จะได้กุศลแถมมาอีก 1 อย่างด้วยค่ะ คือท่านจะ “ได้สติ” มากขึ้นว่า มีสรรพสิ่งที่มีชีวิตอยู่มากมายรอบตัวเราและภายในตัวเราที่เรามองไม่เห็น และเราอาจเคยมองข้ามเขาไป และแท้ที่จริงนั้นสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกัน
จะว่าไปแล้วถ้าเราสามารถอุทิศส่วนกุศลให้ “เจ้ากรรมนายเวร” ที่เราไม่เคยเห็นหน้าตาหรือรู้ภพภูมิของเขาได้ การอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าเพื่อนตัวจิ๋วที่เราจะรับประทานเขาเข้าไปน่าจะง่ายกว่ามากทีเดียวค่ะ รวมทั้งให้กับสรรพสัตว์ที่อุทิศเลือดเนื้อมาเป็นอาหารให้เราอยู่สร้างคุณงามความดีต่อไปด้วย
เพราะวิธีตอบแทนบุญคุณที่ดีที่สุดต่อสรรพสัตว์ที่เรารับประทานเขาเข้าไปก็คือเอากำลังวังชาที่ได้จากเขามาสร้างคุณงามความดีต่อโลกและให้เขาได้บุญกุศลไปด้วยนั่นเองค่ะ ครั้งต่อไปที่ท่านจะใช้กำลังวังชาในการทำคุณงามความดี ก็ให้ระลึกด้วยนะคะว่าท่านได้กำลังวังชานี้มาจากไหนบ้าง
ซีรี่ส์เรื่องดี ๆ ตอนที่ 4 วันนี้ เรามาฟังนิทานกันค่ะ ยาวนิดแต่สนุกและมีประโยชน์มากนะคะ เรื่องมีอยู่ว่าเจ้าของร้านขายของชำแห่งหนึ่งสังเกตว่า แทบทุกวันจะมีสุนัขตัวหนึ่งคาบแผ่นกระดาษรายการของที่เจ้าของสุนัขต้องการซื้อมามอบให้เขา โดยที่คอเจ้...าสุนัขก็คล้องกระเป๋าสตางค์มาด้วย เจ้าของร้านก็จะดูรายการของที่ฝากซื้อแล้วจัดใส่ถุงให้สุนัขตัวนั้นคาบกลับไปโดยหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ออกมาตามจำนวนยอดเงินราคาของ
วันหนึ่งเจ้าสุนัขตัวนี้มาที่ร้านขายของชำตอนที่เจ้าของร้านใกล้จะปิดร้านพอดี หลังจากจัดของใส่ถุงให้และเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าเจ้าสุนัขนี้อยู่ที่ไหนจึงตัดสินใจเดินตามเจ้าสุนัขไปหลังจากปิดร้าน
เมื่อเดินมาถึงทางม้าลายข้ามถนนเจ้าสุนัขก็ใช้อุ้งเท้าหน้ากดปุ่มเพื่อขอสัญญาณไฟข้ามถนน รอจนไฟเขียว แล้วก็เดินข้ามถนนไป เจ้าของร้านขายของชำรู้สึกทึ่ง แล้วก็เดินตามไป เจ้าสุนัขเดินไปยังป้ายรถเมล์และยืนรออย่างเรียบร้อย รถเมล์ผ่านไปสองคันเจ้าสุนัขก็ยังไม่ขึ้น จนคันที่สามมาถึงเจ้าสุนัขจึงเดินขึ้น “นี่มันอ่านเลขรถได้ด้วยหรือนี่ หรือว่ามันดูจากสีรถหรือว่าอะไร?” เจ้าของร้านขายของชำนึกในใจพลางเดินตามขึ้นไป
เมื่อขึ้นไปบนรถ เจ้าสุนัขก็เห่าทักทายพนักงานขับรถผู้เอื้อมมือมาหยิบค่าโดยสารจากกระเป๋าที่คอของเจ้าสุนัขตัวนั้นอย่างคุ้นเคยพร้อมกับทักว่า “เป็นไงบ้าง แซม” เจ้าของร้านขายของชำก็จ่ายค่าโดยสารตามเป็นเงินจำนวนเท่ากันแล้วก็นั่งเฝ้าดูต่อไป สักพักใหญ่แซมก็ใช้อุ้งเท้ากดกริ่ง พนักงานขับรถก็จอดให้ลงพร้อมพูดว่า “แล้วเจอกันใหม่นะ แซม”
แซมเดินคาบถุงจากร้านขายของชำเดินต่อไปในละแวกย่านพักอาศัยที่ร่มรื่นแห่งหนึ่ง มันเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ลัดเลาะไปอย่างชำนาญด้วยความรวดเร็ว เจ้าของร้านขาบของชำเริ่มจะหอบ “อีกนานไหมนี่ แซม ฉันเริ่มจะเหนื่อยแล้วนะ” ในที่สุดแซมก็มาหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งแล้วยกอุ้งเท้าขึ้นกดกริ่งหน้าบ้าน
สักพักหนึ่งประตูหน้าบ้านก็เปิดพลัวะออกมาอย่างแรงพร้อมกับชายคนหนึ่งพุ่งออกมาเตะแซมสุนัขแสนรู้เข้าอย่างแรงที่ลำตัว แซมส่งเสียงร้อง “เอ๋ง” เบา ๆ ล้มลงไปนั่งแล้วก็ลุกขึ้นยืนใหม่พร้อมยื่นถุงของชำให้ด้วยสีหน้าที่แสดงความเสียใจอย่างที่สุด “คุณทำอะไรของคุณน่ะ!” เจ้าของร้านขายของชำที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ โพล่งออกมาอย่างเหลืออด “คุณใช้หมาแสนรู้ของคุณไปซื้อของที่ร้านผมเกือบทุกวัน และมันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างดี ซื้อของและนำมาให้คุณถึงบ้าน นี่คือสิ่งที่คุณตอบแทนเพื่อนที่แสนดีของคุณอย่างนั้นหรือ? คุณเตะมันทำไม?!” หน้าของเจ้าของร้านขายของชำแดงก่ำ “ก็ไอ้หมาเวรนี่น่ะซี่" เจ้าของแซมตอบ "มันลืมกุญแจบ้านเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะ” นิทานเรื่องนี้จบลงตรงนี้ค่ะ
ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งโกรธเจ้าของสุนัขนะคะ หายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกยาว ๆ สักหนึ่งที เพราะเราทุกคนนี่แหละค่ะคือเจ้าของสุนัขตัวนั้น จากหนังสือ สมองแห่งพุทธะ และเล่มภาคต่อคือ สู่สมองแห่งพุทธะ ที่จะวางจำหน่ายในฉบับภาษาไทยกลางปีนี้ ดร.ริค แฮนสัน นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองได้แสดงถึงผลวิจัยต่าง ๆ มากมายที่ชี้ว่า สมองของคนเรามีแนวโน้มที่จะไวต่อการรับสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบและจดจำสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบ ในขณะที่มองข้ามและไม่จดจำสิ่งต่าง ๆ ในแง่บวกทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นมักจะเป็นในแง่บวกหรือว่ากลาง ๆ มากกว่าค่ะ!
ถ้าไม่เชื่อลองถามตัวคุณเองนะคะว่า ถ้าในวันนี้คุณมีสิ่งที่ต้องทำ 20 อย่าง และคุณทำมันได้ 18 อย่างอย่างเรียบร้อยและมีบางอย่างออกมาดีด้วยซ้ำ แต่มี 2 อย่างที่ออกมาไม่ดีนัก คืนวันนี้ใจคุณจะไปเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องใดคะ เรื่อง 18 อย่างที่ทำได้ดีหรือว่า 2 อย่างที่ทำพลาดไป?
ดร.แฮนสัน เสนอวิธีปรับสมองเราดังนี้ค่ะ 1) ให้หมั่นมองหาสิ่งดี ๆ แม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานเสร็จไป 1 อย่างหรือแม้เพียง 1 ส่วน แล้วรับความรู้สึกดี ๆ นี้เข้าไปด้วยการนั่งผ่อนคลาย หายใจเข้าลึก ๆ และใช้สติรับรู้ความรู้สึกนั้น ๆ อย่างแจ่มชัดค่ะ 2) อยู่กับความสุขนั้นค่ะ ในขั้นนี้ดร.แฮนสัน บอกว่า ให้ใช้เวลาสักครึ่งนาที หรือจะเพียง 10-20 วินาทีก็ยังดีค่ะ พยายามมีสมาธิจดจ่ออยู่กับความรู้สึกดี ๆ นั้นนะคะ นี่ล่ะค่ะคือเวลาที่เซลล์ประสาท(นิวรอน)ในสมองของคุณจะส่งกระแสสัญญาณเข้าเชื่อมโยงกัน ทำให้เครือข่าย “ความรู้สึกดี ๆ” ในสมองคุณแข็งแกร่งขึ้นค่ะ
3) พยายาม "นึกภาพ" ความรู้สึกดี ๆ นั้นว่ามันซึมซับเข้าไปในร่างกายของคุณนะคะ บางคนอาจจะนึกภาพว่าเหมือนได้ดื่มโกโก้อุ่น ๆ หรือกาแฟร้อน ๆ ในวันที่หนาวเหน็บ บางคนอาจจะนึกภาพเป็นแสงสว่างอันอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วบริเวณทรวงอกของคุณ การทำเช่นนี้จะเป็นการเพิ่มการเชื่อมโยงเครือข่ายความรู้สึกดี ๆ ในสมองของคุณให้แจ่มชัดและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ เพื่อที่คุณจะรู้สึกดียิ่ง ๆ ขึ้นและง่ายยิ่งขึ้นในอนาคตค่ะ
เริ่มทำเลยตั้งแต่เดี๋ยวนี้นะคะ ถ้าคุณรู้สึกดี ๆ ว่าได้เคล็ดลับในการ “บริหารสมอง” เพื่อพัฒนาให้เครือข่าย “ความรู้สึกดี ๆ” ในสมองของคุณแข็งแกร่งขึ้น ก็เริ่มฝึก 3 ขั้นตอนของดร.แฮนสันได้เลยค่ะ เพื่อที่คุณจะได้ไม่เผลอไปเตะเจ้าสุนัขแสนรู้ของคุณอีกในอนาคตไงคะ
วันหนึ่งเจ้าสุนัขตัวนี้มาที่ร้านขายของชำตอนที่เจ้าของร้านใกล้จะปิดร้านพอดี หลังจากจัดของใส่ถุงให้และเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าเจ้าสุนัขนี้อยู่ที่ไหนจึงตัดสินใจเดินตามเจ้าสุนัขไปหลังจากปิดร้าน
เมื่อเดินมาถึงทางม้าลายข้ามถนนเจ้าสุนัขก็ใช้อุ้งเท้าหน้ากดปุ่มเพื่อขอสัญญาณไฟข้ามถนน รอจนไฟเขียว แล้วก็เดินข้ามถนนไป เจ้าของร้านขายของชำรู้สึกทึ่ง แล้วก็เดินตามไป เจ้าสุนัขเดินไปยังป้ายรถเมล์และยืนรออย่างเรียบร้อย รถเมล์ผ่านไปสองคันเจ้าสุนัขก็ยังไม่ขึ้น จนคันที่สามมาถึงเจ้าสุนัขจึงเดินขึ้น “นี่มันอ่านเลขรถได้ด้วยหรือนี่ หรือว่ามันดูจากสีรถหรือว่าอะไร?” เจ้าของร้านขายของชำนึกในใจพลางเดินตามขึ้นไป
เมื่อขึ้นไปบนรถ เจ้าสุนัขก็เห่าทักทายพนักงานขับรถผู้เอื้อมมือมาหยิบค่าโดยสารจากกระเป๋าที่คอของเจ้าสุนัขตัวนั้นอย่างคุ้นเคยพร้อมกับทักว่า “เป็นไงบ้าง แซม” เจ้าของร้านขายของชำก็จ่ายค่าโดยสารตามเป็นเงินจำนวนเท่ากันแล้วก็นั่งเฝ้าดูต่อไป สักพักใหญ่แซมก็ใช้อุ้งเท้ากดกริ่ง พนักงานขับรถก็จอดให้ลงพร้อมพูดว่า “แล้วเจอกันใหม่นะ แซม”
แซมเดินคาบถุงจากร้านขายของชำเดินต่อไปในละแวกย่านพักอาศัยที่ร่มรื่นแห่งหนึ่ง มันเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ลัดเลาะไปอย่างชำนาญด้วยความรวดเร็ว เจ้าของร้านขาบของชำเริ่มจะหอบ “อีกนานไหมนี่ แซม ฉันเริ่มจะเหนื่อยแล้วนะ” ในที่สุดแซมก็มาหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งแล้วยกอุ้งเท้าขึ้นกดกริ่งหน้าบ้าน
สักพักหนึ่งประตูหน้าบ้านก็เปิดพลัวะออกมาอย่างแรงพร้อมกับชายคนหนึ่งพุ่งออกมาเตะแซมสุนัขแสนรู้เข้าอย่างแรงที่ลำตัว แซมส่งเสียงร้อง “เอ๋ง” เบา ๆ ล้มลงไปนั่งแล้วก็ลุกขึ้นยืนใหม่พร้อมยื่นถุงของชำให้ด้วยสีหน้าที่แสดงความเสียใจอย่างที่สุด “คุณทำอะไรของคุณน่ะ!” เจ้าของร้านขายของชำที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ โพล่งออกมาอย่างเหลืออด “คุณใช้หมาแสนรู้ของคุณไปซื้อของที่ร้านผมเกือบทุกวัน และมันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างดี ซื้อของและนำมาให้คุณถึงบ้าน นี่คือสิ่งที่คุณตอบแทนเพื่อนที่แสนดีของคุณอย่างนั้นหรือ? คุณเตะมันทำไม?!” หน้าของเจ้าของร้านขายของชำแดงก่ำ “ก็ไอ้หมาเวรนี่น่ะซี่" เจ้าของแซมตอบ "มันลืมกุญแจบ้านเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะ” นิทานเรื่องนี้จบลงตรงนี้ค่ะ
ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งโกรธเจ้าของสุนัขนะคะ หายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกยาว ๆ สักหนึ่งที เพราะเราทุกคนนี่แหละค่ะคือเจ้าของสุนัขตัวนั้น จากหนังสือ สมองแห่งพุทธะ และเล่มภาคต่อคือ สู่สมองแห่งพุทธะ ที่จะวางจำหน่ายในฉบับภาษาไทยกลางปีนี้ ดร.ริค แฮนสัน นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองได้แสดงถึงผลวิจัยต่าง ๆ มากมายที่ชี้ว่า สมองของคนเรามีแนวโน้มที่จะไวต่อการรับสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบและจดจำสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบ ในขณะที่มองข้ามและไม่จดจำสิ่งต่าง ๆ ในแง่บวกทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นมักจะเป็นในแง่บวกหรือว่ากลาง ๆ มากกว่าค่ะ!
ถ้าไม่เชื่อลองถามตัวคุณเองนะคะว่า ถ้าในวันนี้คุณมีสิ่งที่ต้องทำ 20 อย่าง และคุณทำมันได้ 18 อย่างอย่างเรียบร้อยและมีบางอย่างออกมาดีด้วยซ้ำ แต่มี 2 อย่างที่ออกมาไม่ดีนัก คืนวันนี้ใจคุณจะไปเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องใดคะ เรื่อง 18 อย่างที่ทำได้ดีหรือว่า 2 อย่างที่ทำพลาดไป?
ดร.แฮนสัน เสนอวิธีปรับสมองเราดังนี้ค่ะ 1) ให้หมั่นมองหาสิ่งดี ๆ แม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานเสร็จไป 1 อย่างหรือแม้เพียง 1 ส่วน แล้วรับความรู้สึกดี ๆ นี้เข้าไปด้วยการนั่งผ่อนคลาย หายใจเข้าลึก ๆ และใช้สติรับรู้ความรู้สึกนั้น ๆ อย่างแจ่มชัดค่ะ 2) อยู่กับความสุขนั้นค่ะ ในขั้นนี้ดร.แฮนสัน บอกว่า ให้ใช้เวลาสักครึ่งนาที หรือจะเพียง 10-20 วินาทีก็ยังดีค่ะ พยายามมีสมาธิจดจ่ออยู่กับความรู้สึกดี ๆ นั้นนะคะ นี่ล่ะค่ะคือเวลาที่เซลล์ประสาท(นิวรอน)ในสมองของคุณจะส่งกระแสสัญญาณเข้าเชื่อมโยงกัน ทำให้เครือข่าย “ความรู้สึกดี ๆ” ในสมองคุณแข็งแกร่งขึ้นค่ะ
3) พยายาม "นึกภาพ" ความรู้สึกดี ๆ นั้นว่ามันซึมซับเข้าไปในร่างกายของคุณนะคะ บางคนอาจจะนึกภาพว่าเหมือนได้ดื่มโกโก้อุ่น ๆ หรือกาแฟร้อน ๆ ในวันที่หนาวเหน็บ บางคนอาจจะนึกภาพเป็นแสงสว่างอันอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วบริเวณทรวงอกของคุณ การทำเช่นนี้จะเป็นการเพิ่มการเชื่อมโยงเครือข่ายความรู้สึกดี ๆ ในสมองของคุณให้แจ่มชัดและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ เพื่อที่คุณจะรู้สึกดียิ่ง ๆ ขึ้นและง่ายยิ่งขึ้นในอนาคตค่ะ
เริ่มทำเลยตั้งแต่เดี๋ยวนี้นะคะ ถ้าคุณรู้สึกดี ๆ ว่าได้เคล็ดลับในการ “บริหารสมอง” เพื่อพัฒนาให้เครือข่าย “ความรู้สึกดี ๆ” ในสมองของคุณแข็งแกร่งขึ้น ก็เริ่มฝึก 3 ขั้นตอนของดร.แฮนสันได้เลยค่ะ เพื่อที่คุณจะได้ไม่เผลอไปเตะเจ้าสุนัขแสนรู้ของคุณอีกในอนาคตไงคะ
ซีรี่ส์ “เรื่องดี ๆ” ตอนที่ 5 วันนี้จะมาเชิญชวนท่านผู้อ่ านให้มาเป็นซามูไรกันในช่วง สงกรานต์นี้ค่ะ งงไหมคะ ไม่มีอะไรน่าจะเกี่ยวกันเลย ใช่ไหมคะ แต่เชื่อไหมคะว่าเมื่อ 300 ปีที่แล้วพอดิบพอดีคือในปีค .ศ. 1714 นั้น มีครูผู้ฝึกสอนซามูไรท่านหน ึ่งชื่อ ไดโดจิ ยูซัง ได้เขียนคู่มือฝึกซามูไรชื่ อ “บูชิโดสำหรับซามูไรมือใหม่ ” เอาไว้ ซึ่งอ่านแล้วเหมือนกับว่าท่ านผู้เขียนกำลังนึกถึงภาพชา วไทยฉลองสงกรานต์อยู่ในใจที เด...ียวค่ะ!
ก่อนอื่นเราลองมานึกภาพเทศก าลสงกรานต์กันนะคะ มีการเฉลิมฉลองดื่มกิน มีการเล่นสาดน้ำกันอยู่ทั่ว ไปและดูเหมือนจะมีคนเมากันท ั้งวันทั้งคืนในทุก ๆ ที่ ไม่ว่าจะฉลองกันอยู่ริมถนนห รือบนถนน การขับขี่จักรยานยนต์หรือรถ กระบะด้วยความมึนเมาบนถนนที ่ลื่นแถมโดนสาดน้ำใส่อีกนั้ นเสี่ยงต่ออุบัติเหตุมากทีเ ดียว แต่ท่านผู้อ่านคิดว่าคนเหล่ านั้นคิดถึงความตายของตัวเอ งกันบ้างไหมคะ?
คราวนี้ลองมาดูประโยคแรกของ หนังสือคู่มือฝึกซามูไรของย ูซังกันค่ะ “...ผู้ที่จะเป็นซามูไรนั้น อันดับแรกจะต้องระลึกถึงควา มตายตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่อาหารมื้อแรกของวันป ีใหม่ไปจนถึงเย็นวันสุดท้าย ของปี...” ดังนั้นเรามาคิดถึงความตายก ันในวันปีใหม่ไทยกันค่ะ อ้าว จะเป็น “เรื่องดี ๆ” ตรงไหนกัน? มาอ่านกันต่อไปค่ะ
ยูซังให้เหตุผลว่า เมื่อเราคิดถึงความตายอยู่ใ นใจเสมอนั้น เราจะสามารถทำหน้าที่ของเรา ต่อครอบครัวและสังคมได้ดีขึ ้น และสามารถหลีกเลี่ยงภัยอันต รายและสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งก็ตรงกับนัยยะของเทศกาล สงกรานต์ที่ต้องการให้เราได ้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวโดย เฉพาะกับพ่อแม่ปู่ย่าตายายเ พื่อไปมาหาสู่เยี่ยมคารวะรด น้ำดำหัวและขอพรจากท่าน ถ้าเราระลึกถึงความตายของตั วเราเองและของท่านอยู่ในใจเ สมอ เราก็มีแนวโน้มที่จะพูดกับท ่าน ปฏิบัติต่อท่านด้วยความอ่อน โยนนุ่มนวล คิดหน้าคิดหลัง ไม่ทำร้ายทำลายจิตใจท่านใช่ ไหมคะ
ยูซังเปรียบเปรยว่า “...ชีวิตคนเรานั้นเกิดขึ้น และดับไปอย่างรวดเร็วเหมือน น้ำค้างยามเช้า ถ้าเราตระหนักอย่างนี้ได้เร าจะปฏิบัติต่อพ่อแม่และผู้ใ หญ่ท่านอื่น ๆ เหมือนครั้งนี้เป็นครั้งสุด ท้าย และความห่วงใยที่เรามีต่อท่ านก็จะออกมาจากใจอย่างจริงใ จที่สุด...”
ถ้าปีนี้ท่านผู้อ่านยังโชคด ีที่จะได้ไปรดน้ำดำหัวขอพรจ ากผู้ใหญ่ในบ้านท่าน อย่าลืมคิดในใจไปด้วยนะคะว่ าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุด ท้าย แล้วสำรวจดูจิตใจท่านเองไปด ้วยว่าท่านรู้สึกต่อผู้ใหญ่ ของท่านต่างไปจากทุก ๆ วันไหม ผู้เขียนยังจำได้เมื่อลองฝึ กมรณานุสสติอย่างนี้ครั้งแร กตอนไปเยี่ยมคุณแม่ รู้สึกเหมือนไม่อยากออกจากอ ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนั้นเลย และรู้สึกได้ว่าเวลาพูดกับท ่านก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยควา มรักความอ่อนโยนมากกว่าเก่า ท่านจะบ่นดินฟ้าอากาศอะไรบ้ างเราก็ยังยิ้มรับได้ และเมื่อเห็นเรายิ้มท่านก็เ ลิกบ่นค่ะ
ยูซังกล่าวต่อไปว่า เมื่อเราลืมนึกถึงความตาย เราก็มักจะขาดสติขาดความระม ัดระวังในการใช้ชีวิตไป เช่น เรามักจะเกิดการทะเลาะเบาะแ ว้งกันง่าย ๆ จากคำพูดที่ไม่นึกถึงความรู ้สึกของอีกฝ่าย หรืออาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่พ ึงประสงค์ขึ้นมาได้จากเรื่อ งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าจะปล่อยวางมันไปได้
ยูซังยกตัวอย่างเรื่องที่ฟั งแล้วเหมือนฉากการฉลองสงกรา นต์เรามากทีเดียวค่ะว่า “พึงพิจารณาให้ดีว่าจะเกิดอ ะไรขึ้นได้บ้างเมื่อเราเดิน อย่างไม่ระมัดระวังไปในท่าม กลางผู้คนมากมายเวลาเราไปวั ดวาอาราม เราอาจจะไปเดินชนเข้าให้กับ คนพาลเข้าอย่างจังและอาจเกิ ดการต่อสู้ขึ้นมาอย่างคาดไม ่ถึงก็ได้” ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นยุคท ี่ญี่ปุ่นสงบสุขปราศจากสงคร ามแล้ว ซามูไรก็ยังคาดดาบกันที่เอว เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบ และมักจะมีเหตุการณ์ฝักดาบไ ปกระทบกันแล้วเป็นเหตุให้ทะ เลาะเบาะแว้งกันถึงขั้นดวลก ันได้ค่ะ
แล้วซามูไรที่ดีควรจะทำอย่า งไรล่ะ? ยูซังบอกว่าทางที่ดีให้หลีก เลี่ยงการเดินทางไปในที่ที่ อันตรายหรือมีความเสี่ยงสูง ถึงแม้ว่าจะได้รับเชิญก็ตาม แต่ถ้าการเดินทางในระหว่างเ ทศกาลเฉลิมฉลองเป็นสิ่งที่ห ลีกเลี่ยงไม่ได้ ยูซังบอกว่าให้วางแผนเส้นทา งการเดินทางให้ดีล่วงหน้าเพ ื่อที่จะได้อยู่ห่างจากปัญห าที่อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ะ
เมื่ออยู่ในงานเลี้ยง ยูซังเตือนว่าซามูไรผู้ชาญฉ ลาดจะดื่มกินแต่น้อยด้วยควา มระมัดระวังและฝึกฝนตัวเองใ ห้สำรวมหลีกห่างจากพฤติกรรม เชิงชู้สาว และเมื่อต้องพูดคุยในงานเลี ้ยงก็พึงพูดแต่น้อยแต่ที่สำ คัญที่สุดก็คือต้องมีสติระม ัดระวังทั้งความคิดและคำพูด อยู่ตลอดเวลาค่ะ ฟังดูเท่ไหมคะ เหมือนพระเอกมาดนิ่งในหนังซ ามูไรยังไงยังงั้นเลยนะคะ
ท่านผู้อ่านทราบไหมคะว่าคู่ มือฝึกซามูไรของยูซังนั้นเป ็น “เบสต์เซลเลอร์” เล่มหนึ่งในยุคนั้นเลยนะคะ และยูซังเองก็ได้รับเชิญไปเ ป็นครูผู้ฝึกสอนซามูไรในหลา ยแคว้นดัง ๆ ด้วยกัน ยูซังนั้นมีอายุยืนถึง 92 ปี ซึ่งมากกว่าอายุขัยเฉลี่ยขอ งผู้ชายยุคเดียวกันถึง 2 เท่า ท่านจึงเห็นโลกมามากและเข้า ใจดีว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไร จึงจะทำให้มีชีวิตรอดจากคมด าบและมีสุขภาพดีจนถึงอายุ 92 ค่ะ! ดังนั้นการมีสติระลึกถึงควา มตายของตนเอง ความตายของคนรอบตัว ตลอดจนการมีสติอยู่ตลอดเวลา ที่เดินทางไปไหนมาไหน เวลาจะกินจะดื่ม จะคิด หรือจะพูด จึงเป็นคำแนะนำที่ยังใช้ได้ ดีอยู่เสมอไม่ว่าจะสำหรับซา มูไรเมื่อ 300 ปีที่แล้วหรือสำหรับพวกเราท ุกคนในสมัยนี้ค่ะ
สงกรานต์นี้เรามาเป็นซามูไร กันนะคะ
ก่อนอื่นเราลองมานึกภาพเทศก
คราวนี้ลองมาดูประโยคแรกของ
ยูซังให้เหตุผลว่า เมื่อเราคิดถึงความตายอยู่ใ
ยูซังเปรียบเปรยว่า “...ชีวิตคนเรานั้นเกิดขึ้น
ถ้าปีนี้ท่านผู้อ่านยังโชคด
ยูซังกล่าวต่อไปว่า เมื่อเราลืมนึกถึงความตาย เราก็มักจะขาดสติขาดความระม
ยูซังยกตัวอย่างเรื่องที่ฟั
แล้วซามูไรที่ดีควรจะทำอย่า
เมื่ออยู่ในงานเลี้ยง ยูซังเตือนว่าซามูไรผู้ชาญฉ
ท่านผู้อ่านทราบไหมคะว่าคู่
สงกรานต์นี้เรามาเป็นซามูไร