แล้ว...รัฐบาลโจรก็ออกลายโจร! / คลิ๊ป "นังจั๊ดง่าว"

เปลว สีเงิน : ๑๘ เมษายน ๒๕๕๗ (ไทยโพสต์)

อืมมมม...นี่จะให้เรียกว่า "กบฏภายในราชอาณาจักร" กระทำการโดย ศอ.รส. อันมีคณะรัฐบาลระบอบทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เป็นประมุข.............
หรือจะให้เรียก "รัฐประหารศาล" ดีล่ะ?
โดย "เฉลิม-สุรพงษ์-ธาริต" เป็นผู้นำปฏิบัติการในนาม ศอ.รส. อันมีคณะรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เป็นประมุข
ก็อยากเกริ่นนำสักนิดว่า อำนาจอธิปไตยที่ใช้ผ่าน ๓ สถาบันหลักเวลานี้นั้น อำนาจบริหาร คือรัฐบาล อำนาจนิติบัญญัติ คือรัฐสภา ทั้ง ๒ อำนาจนี้ อยู่ภายใต้ควบคุม-สั่งการโดยระบอบทักษิณมานานแล้ว
เหลืออยู่แต่ "อำนาจตุลาการ" คือศาลเท่านั้น ระบอบทักษิณยังควบคุมไม่ได้เบ็ดเสร็จ
บัดนี้ ๑๗ เมษา ๕๗ ด้วยอันธพาโลฤกษ์...ศอ.รส.องค์กรใต้ระบอบทักษิณ ก็ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ ๑
"ห้ามศาลตัดสินให้ยิ่งลักษณ์หลุดตำแหน่งนายกฯ"!
การตั้งธง แล้วข่มขู่-คุกคามศาล ให้ทำตามนั้น นั่นไม่ต่างจากเผด็จการรัฐบาลยึดอำนาจหรือทำรัฐประหารระบบรัฐ ท่านอาจไม่เชื่อว่า รัฐบาลเองแท้ๆ จะ "ป่าเถื่อน" ได้ขนาดนั้น
เถื่อน-ไม่เถื่อน ให้ท่านอ่านเอาเองจากแถลงการณ์ที่แนบเป็นหลักฐานไว้ข้างท้ายนี้แล้ว จะเข้าใจด้วยจิตประชาธิปไตย
บางท่านอยากทราบ แล้วมีใคร องค์กร องค์การ สถาบันไหนบ้าง ที่ร่วมเป็นคณะก่อการ "กบฏหรือรัฐประหารศาล" กลายๆ ครั้งนี้?
ก็อ่านจากแถลงการณ์นั่นแหละ ระบุตัว-ระบุตนชัดแจ้ง มีที่ผมยังไม่แน่ใจบางองค์กร และอยากถามผ่านตรงนี้ว่า
"เห็นดี-เห็นงาม เป็นไปตามแถลงการณ์นี้แน่นะ?"
ก็คือกองทัพบก-ทัพเรือ-ทัพอากาศ-ทัพตำรวจ-หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยความมั่นคง เพราะแถลงการณ์ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในฐานะกรรมการและเลขาฯ ศอ.รส.อ่าน ระบุว่า
".....ที่ปรึกษา ศอ.รส.อันประกอบด้วยทหารทุกเหล่าทัพ ตำรวจ พลเรือน และหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วย ได้ร่วมประชุมปรึกษากันแล้ว"
แต่ผมไม่เชื่อว่าทั้ง ๗ ข้อในแถลงการณ์ ผ่านความเห็นชอบจากหัวหน้าส่วนราชการและกองทัพแล้วจริงๆ ขอรอฟังจากปากเจ้าตัวแต่ละท่านก่อนละกัน
วันนี้คงไม่คุย จำเป็นต้องนำแถลงการณ์บันทึกไว้เป็นหลักฐาน สรุปๆ เนื้อหาเอาเฉพาะ ๔ ใน ๗ ข้อที่สำคัญ ดังนี้
แถลงการณ์ ฉบับที่ ๑ เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่างๆ เพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย
.....ตลอดเวลา ๓๐ วัน ที่ได้มีการจัดตั้ง ศอ.รส.ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการทั้งปวงให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ตลอดมาในระดับหนึ่งนั้น ขณะนี้มีข้อมูลอย่างเพียงพอที่ได้บ่งชี้ว่า จะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ ศอ.รส.
โดยเฉพาะการระดมจัดมวลชนให้มีการชุมนุมใหญ่ ทั้งของ กปปส. และ นปช. และกลุ่มอื่นๆ ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ คือการวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ๒ องค์กร คือ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ
กล่าวคือ ป.ป.ช.กำลังจะวินิจฉัยว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการกระทำที่เข้าข่ายปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้รัฐเสียหาย กรณีโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่
ซึ่งหากวินิจฉัยว่า ข้อกล่าวหามีมูลแล้ว ยิ่งลักษณ์ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๒
ซึ่งกรณีเช่นนี้ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่า นายกฯ จะต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา ๑๘๑
หรือจะให้รองนายกฯ คนใดคนหนึ่งเข้าปฏิบัติหน้าที่แทนเพื่อให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยไม่เกิดสุญญากาศทางการบริหารประเทศ
ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญนั้น กำลังจะมีคำวินิจฉัยว่า ยิ่งลักษณ์กระทำการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี ตามมาตรา ๒๖๖ แห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่
ซึ่งหากวินิจฉัยว่านายกฯ ทำฝ่าฝืนมาตรา ๒๖๖ รัฐมนตรีทั้งคณะจะต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๘๐ แม้มาตรา ๑๘๑ จะบัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่
แต่ก็มีการคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะได้วินิจฉัยเกินจากรัฐธรรมนูญ คือ วินิจฉัยว่าคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๘๑ อีกไม่ได้
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดสุญญากาศตามที่ กปปส. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มต้องการ เพื่อนำไปสู่การทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งมีการอ้างมาตรา ๓ และมาตรา ๗
ในขณะที่กลุ่ม นปช.และบางกลุ่ม จะไม่ยอมรับการวินิจฉัยที่เกินจากรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ตลอดจนการวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ดังกล่าวข้างต้นด้วย
ซึ่งขณะนี้ก็ได้ปรากฏเป็นข้อมูลและข้อเท็จจริงของการเผชิญหน้าและการท้าทายที่จะจัดการชุมนุมใหญ่ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย และจะนำไปสู่การปะทะกันและก่อเหตุร้ายต่อกันและกันแล้ว
เพื่อบรรลุภารกิจของ ศอ.รส. โดยมติที่ประชุมเมื่อ ๑๗ เม.ย.๕๗ ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ผอ.ศอ.รส. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ประธานที่ปรึกษา นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ ที่ปรึกษา นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม รอง ผอ.ศอ.รส.
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. รอง ผอ.ศอ.รส. พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ผู้ช่วย ผอ.ศอ.รส. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการ ศอ.รส.
และหัวหน้าส่วนราชการ หรือผู้แทนซึ่งร่วมเป็นฝ่ายบริหาร และที่ปรึกษา ศอ.รส. อันประกอบด้วยทหารทุกเหล่าทัพ ตำรวจ พลเรือน และหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วย ซึ่งได้ร่วมประชุมปรึกษากันแล้ว
เห็นสมควรออกแถลงการณ์ ดังต่อไปนี้
๑.มีความกังวลในตัวคณะกรรมการ ป.ป.ช.บางคน ศอ.รส.จึงขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินคดี และมีคำวินิจฉัยต่อยิ่งลักษณ์ ในกรณีรับจำนำข้าวอย่างตรงไปตรงมา ตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติเป็น ๒ มาตรฐาน ๒.มีความกังวลในตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน ศอ.รส.จึงขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและมีคำวินิจฉัยต่อยิ่งลักษณ์ ในกรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อย่างตรงไปตรงมา เพราะเมื่อเป็นการกระทำในอำนาจหน้าที่ของนายกฯ แล้ว ก็ไม่อาจเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงได้
และประการสำคัญอย่างยิ่ง ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องไม่วินิจฉัยเกินเลยไปถึงขนาดว่า หากความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะจะต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามมาตรา ๑๘๐ โดยจะอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ตามมาตรา ๑๘๑ อีกไม่ได้
ซึ่งจะเป็นการวินิจฉัยเกินกว่ารัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญจะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมและคำถวายสัตย์ อันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องยึดถือในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
๓.คณะรัฐมนตรี ศอ.รส. ขอเรียกร้องว่า หากวินิจฉัยเกินกว่ารัฐธรรมนูญตามที่กล่าวมาในข้อ ๒ แล้ว คณะรัฐมนตรีจะต้องแก้ไขปัญหามิให้เกิดสุญญากาศ เพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเสียเอง คณะรัฐมนตรีก็ชอบที่จะทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยว่า คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากการอยู่ในตำแหน่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกินจากรัฐธรรมนูญหรือไม่
เพราะคณะรัฐมนตรีได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง การจะพ้นไปก็สมควรที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นไป มิใช่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ชี้ขาดเสียเองโดยฝ่าฝืนมาตรา ๑๘๑ ดังกล่าว
โดยในระหว่างทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยนั้น ให้กราบบังคมทูลด้วยว่า คณะรัฐมนตรีจะคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา ๑๘๑
ศอ.รส.เห็นว่ามาตรา ๑๘๑ เป็นหลักการสำคัญของการบริหารประเทศที่ป้องกันไม่ให้เกิดสุญญากาศหรือช่องว่าง โดยจะไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้เป็นอันขาดในทุกๆ กรณี ซึ่งในอดีตรัฐธรรมนูญทุกฉบับก็บัญญัติไว้ทำนองเดียวกับมาตรา ๑๘๑
อนึ่ง ข้อเรียกร้องดังกล่าว รวมถึงกรณี ป.ป.ช. จะได้วินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาต่อนายกฯ มีมูล และนายกฯ ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๗๒ ด้วย
๔.ศอ.รส.ขอเรียกร้องให้ กกต.รับผิดชอบในการจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.โดยเร็ว เพื่อจะได้มีรัฐบาลชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ
ครับ...จะเห็นว่า แถลงการณ์ ศอ.รส. "ในกฎหมาย" กับแถลงการณ์ นปช. "นอกกฎหมาย" ประสานเป็นเนื้อเดียวกัน
น่าละอาย น่าขยะแขยง จนไม่อยากพูด ศาลก็ดี ป.ป.ช.ก็ดี ยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดอะไรเลย ด้วยรู้ว่า "ตัวเองผิด" อยู่แล้ว
แต่ด้วยสันดานไม่ยอมรับผิด ก็ใช้ความกังวล ใช้การคาดการณ์ล่วงหน้าเอาเอง ตั้งเรื่องสมมุติขึ้นมา แถลงการณ์ กระด้าง-กระเดื่องต่ออำนาจรัฐ ข่มขู่-คุกคามศาล-ป.ป.ช. เพื่อยกเป็นเหตุดึง "สถาบันพระมหากษัตริย์" เข้ามาเป็นตัวประกันในการตัดสินของศาลและ ป.ป.ช.
สร้างเป็นเงื่อนไขให้อำนาจนอกระบบซึ่งกิน-นอนอยู่ด้วยกัน "ก่อกวน-กระทำการ" ดังพฤติกรรมแจ้งชัดอยู่แล้ว
ถามว่า...แถลงการณ์เช่นนี้ เป็นอำนาจ-หน้าที่ ศอ.รส.หรือ?
กองทัพ ส่วนราชการ เห็นดี-เห็นงามด้วยจริงหรือ?
ศาล-ป.ป.ช.ยังไม่ทันได้ตัดสินอะไรเลย กลับแสดงสันดานอันธพาลในคราบรัฐบาลและองค์กรรัฐ ตีโพย-ตีพาย แบะท่าโจร ตั้งเงื่อนไข กูต้องได้..กูต้องไม่ผิด จึงจะเรียกว่า "ตัดสินตรงไป-ตรงมา"
เช่นนี้ พวกคุณ..ตั้งแต่ยิ่งลักษณ์ลงมา ยังเป็นคนกันอยู่หรือเปล่า?
เห็นหน้าแต่ละตัว นักกฎหมายกินเมืองแทบทั้งนั้น ไม่ตั้งธงให้ศาลวินิจฉัยอย่างตรงไป-ตรงมาบ้างล่ะว่า...ศอ.รส.ที่รัฐบาลรักษาการตั้งนี่น่ะ
มันผิดกฎหมาย มันเถื่อน ใช่หรือไม่? See More

“ศาลรธน.” อัด แถลงการณ์ “ศอ.รส.” ใช้อำนาจก้าวล่วงดุลยพินิจตุลาการ !!!!!
เดลินิวส์ออนไลน์

“ศาลรธน.” อัด “ศอ.รส.” เป็นหน่วยงานฝ่ายบริหาร ใช้อำนาจก้าวล่วงดุลยพินิจตุลาการ บอก หากกระทบการหน้าที่ ดำเนินการตามกฎหมาย
...
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่เอกสารข่าวชี้แจงกรณีที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ออกแถลงการณ์ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและมีคำวินิจฉัยในกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่าก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อย่างตรงไปตรงมา และจะต้องไม่วินิจฉัยเกินเลย ว่า การออกแถลงการณ์ ของศอ.รส.

ซึ่งเป็นหน่วยงานของฝ่ายบริหาร มีลักษณะเป็นการก้าวก่าย และแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นองค์กรตุลาการ หนึ่งในอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญโดย ศอ.รส. มีอำนาจหน้าที่หลักรับผิดชอบในการป้องกัน ระงับ และแก้ไข หรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพ.ศ. 2551

“ การแถลงการณ์ของศอ.รส. เป็นการคาดการว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีลักษณะคุกคาม ก้าวล่วงการใช้ดุลยพินิจของตุลาการและศาล ซึ่งมีผลเป็นการทำลายชื่อเสียง ความเชื่อถือศรัทธาของศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกระทำที่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามพ.ร.บ.ดังกล่าว ที่กำหนดให้ศอ.รส. เป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติเพื่อป้องกันภยันตรายอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศเท่านั้น ”

เอกสารข่าวยังระบุอีกว่า การพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระมหาปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 197 วรรคหนึ่งได้บัญญัติไว้ และต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ ก

ารปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หากการดำเนินการของ ศอ.รส. กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป จึงแถลงมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน.