GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปริศนาธรรม "พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก"/"ปริศนา ธูป 1 ดอก ..."



พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก พิมพ์ออกมาจำหน่ายครั้งแรก ในปี 25...39 โดยทรงใช้ความวิริยะอุตสาหะในการแต่งหนังสือที่ทรงรักเล่มนี้ ถึง 11 ปี โดยทรงดัดแปลงจากนิทานชาดกในพระไตรปิฎก แต่มีหลายตอนในพระมหาชนก ที่ทรงเล่าเรื่องโดยใส่ข้อความบางตอนของพระองค์ลงไปเป็นปริศนาธรรม ที่น่าขนลุก คือตอนนี้ ..

"จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร ข้าราชการตงฉินถูกประนาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้ เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม"

นอกจากนี้ความเดิมในนิทานชาดก มีปริศนาธรรมที่เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ผู้ที่ได้อ่านเรื่องนี้ คือ ปริศนาธรรมต้นมะม่วงซึ่งถอดความให้อ่านง่ายๆ ได้ดังนี้

"เมื่อพระมหาชนกเสด็จประพาสพระราชอุทยาน พอผ่านประตูก็ทรงเห็นต้นมะม่วง ๒ ต้น ทั้ง ๒ ต้นแผ่กิ่งก้านเขียวชอุ่มสง่างาม ต้นหนึ่งมีผล อีกต้นไม่มี แต่ไม่มีใครกล้าเก็บกิน เพราะพระราชายังไม่ได้เสวย

พระมหาชนกเสวยไปผลหนึ่ง รสหอมหวาน อร่อยมาก ตั้งพระทัยว่าเดี๋ยวจะกลับมาเสวยอีกผล แต่พอพระมหาชนกคล้อยหลังเท่านั้นแหละ ทั้งอุปราช ทั้งปุโรหิต อำมาตย์ ข้าราชบริพาร ตลอดจนตะพุ่นช้าง ตะพุ่นม้า เมื่อรู้ว่าพระราชาเสวยแล้วก็เฮละโลแย่งกันรุมทึ้งเก็บกินมะม่วงที่เหลือ จนกิ่งหักแหลกลาญ ใบร่วงเกลื่อนกลาด เรียกว่ายับเยินสิ้นสภาพต้นมะม่วงที่เขียวชอุ่มสง่างาม ตรงข้ามกับต้นที่ไม่มีผล อย่าว่าแต่จะมีใครไปแตะต้องเลย กระทั่งจะแลก็ยังไม่มี ยืนต้นแผ่กิ่งก้านสาขาสง่างามเหมือนเดิม

พอพระมหาชนกเสด็จกลับออกมา ตั้งใจจะเสวยมะม่วงเพิ่มอีก แต่ทอดพระเนตรเห็นสภาพดังกล่าว จึงตรัสถามอำมาตย์ว่าเกิดอะไรขึ้น อำมาตย์ก็กราบทูลให้ทรงทราบถึงสาเหตุว่า... "ต้นมะม่วงต้นหนึ่งยังคงแผ่กิ่งก้านสาขาสง่างามเพราะไม่มีผล แต่อีกต้นที่มีผลดกหนาถูกยื้อแย่ง ใบร่วง กิ่งฉีกหักเกลื่อน ราชสมบัติก็เหมือนต้นมะม่วงมีผล ที่มีผู้เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ ทำให้เกิดปัญหาแก่แผ่นดิน วันหนึ่งอาจถูกโค่นล้มราชบัลลังก์เปลี่ยนแปลงการปกครอง หากยังไม่ถูกโค่นล้มราชบัลลังก์ พวกทหารก็คอยปฏิวัติรัฐประการกันเอง ต้องคอยเฝ้าหวงแหน ทั้งถูกพวกคณะมนตรีแก่ๆ คอยประจบสอพลอ ทำให้เกิดความกังวลใจ การบวชเหมือนต้นมะม่วงไร้ผล เพราะไม่มีผลประโยชน์ให้แสวงหา ภัยย่อมมีแก่ผู้มีความกังวล ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีความกังวล

พระมหาชนกทรงอธิษฐานจิตมั่นว่า "เราจะไม่เป็นเหมือนต้นมะม่วงมีผล แต่จะเป็นเหมือนต้นมะม่วงไม่มีผล เราจะสละราชสมบัติออกบวช"

นั่นคือความเดิม ซึ่งจากตรงนี้ในหลวงทรงได้ปรับปรุงและพระราชนิพนธ์ วิธีการฟื้นฟูต้นมะม่วง 9 วิธี ภายหลังที่ต้นมะม่วงถูกยื้อแย่งล้มลง ซึ่งทั้ง 9 เป็นปริศนาธรรม สรุปได้ดังนี้

"ทรงแนะ ๙ วิธี ฟื้นฟูต้นมะม่วง ให้กับอุทิจจพราหมณ์มหาศาลกับลูกศิษย์เพื่อปฏิบัติ คือ ๑.เพาะเม็ดมะม่วง ๒.ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกใหม่ ๓.ปักชำกิ่งที่เหมาะแก่การปักชำ ๔.เอากิ่งดีมาเสียบยอดกิ่งของต้นที่ไม่มีผลให้มีผล ๕.เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น ๖.เอากิ่งมาทาบกิ่ง ๗.ตอนกิ่งให้ออกราก ๘.รมควันต้นที่ไม่มีผลให้ออกผล และ ๙.ทำ "ชีวาณูสงเคราะห์

ชีวาณูสงเคราะห์ ก็คือวิธีเพาะเนื้อเยื่อ เมื่อทรงแนะวิธีฟื้นฟูต้นมะม่วงแล้ว อุทิจจพราหมณ์ก็รับสนองพระราชโองการว่า : "ข้าพระองค์ผู้ทรงปัญญา จะให้คเชนทรสิงหบัณฑิตนำเครื่อง "ยันตกล" ไปยกต้นมะม่วงให้ตั้งตรงทันที และจะให้จารุเตโชพราหมณ์เก็บเม็ดและกิ่งไปดำเนินการตามพระราชดำริ." พระราชาโปรดให้สองคนนั้นรีบไป แต่ขอให้พราหมณ์มหาศาลคอยรับพระราชดำริต่อไป"

นั่นคือตัวอย่างบางตอนของพระราชนิพนธ์มหาชนก ที่ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์มาร่วม 30 ปี แต่เป็นสิ่งที่คนไทยยุคนี้ วันนี้ ควรจะไปหาอ่านกันนะคะ ..




พระชฎามหากฐิน เป็นเครื่องราชศิราภรณ์ สร้างในรัชกาลที่ 1 สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงแทนพระมหาพิชัยมงกุฎในบางโอกาส เช่น ในการเสด็จกระบวนพยุหยาตราไปถวายผ้าพระกฐิน เป็นต้น
องค์พระชฎาเป็นทองคำลงยาราชาวดีประดับเพชรทั้งองค์ น้ำหนัก 3,000 กรัม

หนึ่งในภาพหายากของหนังสือชุดพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ๙ รัชกาล เป็นชุดหนังสือที่ทรงคุณค่า น่าอ่านน่าสะสม หนึ่งในหนังสือชุดบันทึก ๒ แผ่นดิน

"ปริศนา ธูป 1 ดอก ..."
งานบำเพ็ญกุศลผู้วายชนม์ที่วัดชลประทาน การสวดพระอภิธรรมของวัดชลประทานสมัยนี้ ยังคงเป็นเหมือนกับ
สมัยที่หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ มีชีวิต... นั่นคือ งานสวดพระอภิธรรมต้องมีเทศนาธรรมแขกเหรื่อที่มาร่วมงานศพ ต้องสวดมนต์รับศีล ฟังเทศน์ ก่อนจะฟังสวดพระอภิธรรม พระท่านเทศน์ด้วยคำถามว่า รู้ไหมว่าทำไม...ต้องจุดธูป 3 ดอกหน้าพระพุทธ หลายคนคงบอกว่าเพื่อบูชา
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์......ผิดค่ะ
ความจริงแล้วธูปทั้ง 3 ดอก จุดเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเพียงอย่างเดียว เพียงแต่ 3 ดอก ที่จุดขึ้นนั้นก็เพื่อบูชาพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิกุลหรือพระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิการของพระพุทธเจ้า= บูชาพระปัญญาคุณ เพราะพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งเห็นจริงด้วยพระองค์เอง= บูชาพระบริสุทธิคุณ เพราะหมดจดสิ้นโลภ โกรธ หลง= บูชาพระมหากรุณาธิคุณ เพราะมีเมตตาสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้งเห็นจริง
แล้วธูป 1 ดอกที่จุดหน้าศพล่ะ?......ไม่ต้องรอคำตอบ
พระท่านได้เฉลยว่า ธูป 1 ดอก หมายความถึง...ชีวิตของคน...แต่ละคนมี 1 ชีวิตเท่ากัน ธูปส่วนที่ถูกเผา หมายถึง ...ช่วงเวลาที่...ดำเนินชีวิตมาแล้ว
ส่วนธูปที่เหลือคือ....ช่วงเวลาที่เหลืออยู่พระท่านยังว่า เมื่ออยู่หน้าศพ ก็ให้ระลึกไว้ 3 อย่าง หนึ่งคือ เอวัง ภาวี หมายถึง ต่อไปเราก็ต้องเป็นแบบนี้
หนึ่งคือ เอวัง ธัมโม สิ่งนี้คือธรรมชาติ และ อีกหนึ่งคือ เอวัง อะนาติโต ทุกชีวิตไม่สามารถหนีสิ่งนี้พ้นพระท่านบอกว่า งานสวดศพเขาเรียกว่างานบำเพ็ญ
กุศล ไม่ใช่...งานบุญ  เพราะ การทำบุญนั้น พอทำแล้วใจพองโต เช่น ทำดีได้บุญ ใจเป็นสุข แต่ทำกุศลนั้น ทำแล้วได้ปัญญา
ท่านพุทธทาสสอนความแตกต่างระหว่าง "บุญ" กับ "กุศล" เอาไว้
สรุปว่า = บุญ คือ การพอใจ = ส่วนกุศล คือ ความฉลาดที่จะไม่ติดยึดกับความพอใจ การจัดงานศพจึงเป็นงานบำเพ็ญกุศล คือ สร้างเสริมปัญญา...ให้แก่ผู้มาร่วมงาน ทำให้รู้ว่าชีวิต...มีเท่านี้ ช่วงชีวิต...ก็แค่นี้ และ สุดท้ายของชีวิต....ก็แบบนี้  ดังนั้นใครที่โกรธกัน ใครที่เกลียดกัน ใครที่มัวแต่คิดจะฆ่าฟันทำลายล้าง น่าจะลองทบทวนใหม่  ใครที่ซึมเศร้า ใครกำลังคิดสั้น ใครท้อแท้-หดหู่ ก็น่าจะทบทวนตัวเองอีกครั้ง ทบทวนหวนนึกถึง...ธูป 1 ดอก ที่หมายถึงชีวิต 1 ชีวิตทบทวนถึง...ธูปที่เผาไหม้ อันหมายถึงเวลา....ที่ชีวิตใช้ไปทุกเมื่อเชื่อวัน ทบทวนแล้วน่าจะแลเห็นว่า...ชีวิตนั้น....แสนสั้น
การอยู่ร่วมกันของคนแต่ละคน...ก็แสนสั้น หากมัวแต่เกลียดกัน โกรธกัน ฆ่าฟันทำลายล้างกัน ทำให้จิตใจมัวหมอง เท่ากับว่า...กำลังทำให้ชีวิต...เสียโอกาส  เสียโอกาสที่จะได้....ทำบุญ คือ ทำแล้วฟูใจ พอใจ สบายใจ และเสียโอกาสที่จะได้.....กุศล คือ ได้วิชา ได้ความรู้ ได้ปัญญา....เวลาของชีวิตเรา เหลือไม่เยอะนัก เหมือน " ธูป ส่วนที่เหลือ "

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY