GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ขรัวโต & เทศน์ครั้งสุดท้าย/คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน/วัดพรหมคุณวนาราม จันทบุรี

เผยแพร่เมื่อ 26 ส.ค. 2013 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรสี) มีประวัติเป็นที่ประทับใจประชาชนคนไทย เพราะหลายท่านทราบกันดีอยู่แล้วในกิตติศัพ­ท์อันเลื่องลือของ "สมเด็จโต" โดยที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรสี) ได้เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามเมื่­อ พ.ศ. 2395
ขรัวโต-เทศน์ครั้งสุดท้าย
สมเด็จโต (ขรัวโต) ท่านได้เทศน์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนละสังขาร มาฟังกัน ทุกวันนี้ยังเป็นคำสอนที่ฝากไว้ให้แก่คนรุ่นหลังถือปฎิบัติ เพื่อการหลุดพ้น ใครอยากหลุด....






จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )

"..ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ "คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต" สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรับตำรา ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
๑) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช...
๒) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ

ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ"จวน" นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด

วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า "จวนป่วยหนัก" ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์
พอไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม" ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง"
ท่านก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า"
ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที
ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า "จวน ภาวนาว่าพุทโธ ได้ไหม"
เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"
อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า "มีสตางค์ไหม"
เธอก็ตอบว่า "มี"
ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม"
เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า

"จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"

ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า "คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ"
พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"
ท่านก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"
ถามว่า "เห็นภาพอะไร"
ท่านบอก "เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค" เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจ
ถามว่า "เห็นชัดไหม"
ท่านก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"
เลยบอกว่า "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"
แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ" เบาๆ ว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย
ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"
ท่านตอบว่า "เห็นพระ"
ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"
ท่านก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก"
เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"
ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"
จึงถามว่า "เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"
ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"
ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่าพุทโธ"
ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ"
ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก
รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ
เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริง อาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือวิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ
เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดีและถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี.."

____________________________

"...คนก่อนจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน นี้ในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็มีท่านผู้นี้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูมีนามว่า "ธรรมิกอุบาสก" แปลว่า "อุบาสกผู้ประกอบไปด้วยธรรม" คือตั้งใจประพฤติธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ...

ท่านธรรมิกอุบาสกมีความเคารพในพระพุทธเจ้ามากและปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเป็นอย่างดี คิดว่าท่านผู้นี้น่าจะเป็นพระอริยเจ้า เพราะคนสมัยนั้นที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ไม่เป็นพระอริยเจ้ามีน้อย พระพุทธเจ้าไปจำพรรษาแดนใด แดนนั้นก็มีพระอริยเจ้ามากกว่าปุถุชน

ต่อมาท่านธรรมิกอุบาสกป่วยหนักก็อยากจะฟังสวดพระปริตร พระปริตรคือบทสวดมนต์ บทสวดมนต์เวลานั้นเห็นจะเป็นมหาสติปัฏฐานสูตร ก็สั่งให้ลูกไปนิมนต์พระจากพระพุทธเจ้า สุดแล้วแต่พระพุทธเจ้าจะตรัสให้พระองค์ใดองค์หนึ่งมาสวดพระปริตร เมื่อพระมานั่งเรียบร้อยแล้วก็แจ้งให้พ่อทราบ พอพระเริ่มสวดพระปริตร เวลานั้นก็ปรากฏเทวดาทั้ง ๖ ชั้นคือ

๑) ชั้นจาตุมหาราช
๒) ชั้นดาวดึงส์
๓) ชั้นยามา
๔) ชั้นดุสิต
๕) ชั้นนิมมานรดี
๖) ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

ยกขบวนกันมามากลอยในอากาศใกล้ๆ แต่ละชั้นต่างนำรถทิพย์มาเชิญท่านธรรมิกอุบาสกว่า

"ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นจาตุมหาราช มีความสุข"

"ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นดาวดึงส์ มีความสุข"

"ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นยามา มีความสุข"

"ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นดุสิต มีความสุข"

"ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นนิมมานรดี มีความสุข"

"ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี มีความสุข"

เทวดาต่างส่งเสียงเชื้อเชิญเจี๊ยวจ๊าว จนกระทั่งท่านธรรมิกอุบาสกไม่ได้ยินเสียงพระสวด ท่านตั้งใจจะฟังพระสวด ก็รำคาญเสียงเทวดา จึงโบกไม้โบกมือบอกว่า "หยุดก่อนๆ" เสียงท่านบอกให้หยุดก่อนอยู่นาน แต่เสียงเทวดาก็ไม่ยอมหยุด

และก็เป็นการบังเอิญจริงๆ ที่บรรดาลูกหลานทั้งหมดของท่านไม่เห็นเทวดา พระที่ไปทั้งหมดก็ไม่มีทิพย์จักขุญาณเห็นเทวดาได้เลย ทำให้พระที่กำลังสวดเข้าใจว่าท่านธรรมิกอุบาสกต้องการให้พระหยุดสวด จึงบอกกับลูกหลานของท่านว่า "ในเมื่อคนฟังไม่ต้องการจะฟัง ก็ไม่สวดต่อไปขอลากลับ"

เมื่อพระกลับไปสักครู่เทวดาจึงหยุดพูด เมื่อเทวดาหยุดแล้วท่านก็หันมาทางพระก็ไม่เห็นพระ จึงถามลูกว่า "พระไปไหนหมด พ่อต้องการฟังพระสวดพระปริตร" ลูกก็บอกว่า "ก็พ่อบอกให้พระหยุดก่อน เมื่อท่านเห็นว่าพ่อไม่ต้องการจะฟัง ท่านก็ไม่สวดจึงลากลับไป"

ท่านก็บอกว่า "พ่อไม่ได้บอกให้พระหยุด พ่อตั้งใจจะฟังพระสวดพระปริตร แต่ว่าเทวดาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ต่างคนต่างมาชวนไปอยู่บนสวรรค์แต่ละชั้นรวม ๖ ชั้นด้วยกัน พ่อบอกให้หยุดพูด เธอก็ไม่หยุด เลยต้องโบกไม้โบกมืออยู่พักใหญ่จึงหยุด"

ลูกก็มีความรู้สึกในใจว่า พ่อของเรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง แต่เวลานี้ป่วยหนัก จึงเผลอไผลหลงใหลใฝ่ฝันไปแล้ว เทวดามีที่ไหน เห็นมีแต่อากาศ จึงถามพ่อว่า "เทวดาอยู่ที่ไหน" ท่านก็ชี้ไปข้างบนบอกว่า"เทวดาอยู่เป็นแถวเต็มจักรวาล นี่ชั้นจาตุมหาราช ตรงนี้ชั้นดาวดึงส์ ตรงนี้ชั้นยามา ตรงนี้ชั้นดุสิต ตรงนี้ชั้นนิมมานรดี ตรงนี้ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี"

แล้วท่านก็บอกอีกว่า "พ่อนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นปกติ นึกถึงพระธรรมเป็นปกติ นึกถึงพระอริยสงฆ์เป็นปกติ แต่เวลานี้เทวดาท่านมาจริงๆ พ่อไม่ได้หลง" ลูกก็ไม่ยอมเชื่อ ท่านจึงบอกว่า "ขอพวงมาลัยมีไหม" ลูกก็บอกว่า "มี" ท่านก็บอกว่า "ขอมาลัยพ่อพวงหนึ่ง" ลูกก็นำพวงมาลัยมาให้

ท่านก็ถามว่า "สวรรค์ชั้นไหนมีความสุข น่าอยู่ที่สุด" แสดงว่าท่านมีสิทธิ์อยู่สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ลูกทั้งหมดก็บอกว่า "สวรรค์ชั้นดุสิตน่าอยู่ที่สุด" ท่านก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้น พ่อจะโยนพวงมาลัยให้คล้องในงอนรถของสวรรค์ชั้นดุสิต"

แล้วท่านก็โยนพวงมาลัยขึ้นไปคล้องในงอนรถ ลูกไม่เห็นรถทิพย์ เห็นแต่พวงมาลัยค้างในอากาศ ไม่หล่นลงมาและในที่สุดท่านก็หมดลมหายใจ ตายจากความเป็นคนเคลื่อนเข้าสู่รถของสวรรค์ชั้นดุสิตไปทันที โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน นี่ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีไม่ใช่จะมีเฉพาะในเวลานี้ ฉะนั้นทางที่ดีขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงยึดพระพุทธเจ้า ยึดพระธรรม ยึดพระอริยสงฆ์ ยึดทานการบริจาค ยึดภาวนา อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจให้มั่นคง อย่าทิ้งเป็นอันขาด




" ก่อนตายจะทรงกำลังใจอย่างไร จิตจึงจะไม่พลาดจากพระนิพพาน "
( หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ )

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ สมมุติว่าพวกเราบำเพ็ญบารมียังไม่ถึงอรหัตผล เกิดมาป่วยเสียก่อนแล้วก็ตาย ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เราจะทรงกำลังใจอย่างไร เมื่อตายแล้วจิตจะไม่พลาดจากพระนิพพานครับ.....?...

หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ซิ อย่าไปรอเมื่อป่วย รอเมื่อป่วยมันเจ๊ง ต้องคิดไว้ทุกวันแล้ว โลกนี้มันเป็นทุกข์ เทวโลกและพรหมโลกก็ไม่สุขจริง เราไม่ต้องการ ถ้าขันธ์ ๕ นี่พังเมื่อไร เราต้องการพระนิพพานจุดเดียว คิดมันอย่างเดียวเท่านี้

ถ้าคิดอย่างนี้แล้วอย่าไปนั่งด่าชาวบ้านนะ คิดอย่างนี้ด้วย แล้วก็หาทางตัดโลภะ ความโลภ ถ้าเราหากินโดยสุจริตท่านไม่เรียกว่าโลภ แต่อย่าไปคดโกงเขา อย่าแย่งเขา อย่าขโมยเขา แล้วก็ตัดความโลภด้วยการให้ทาน แล้วก็ตัดความโกรธ พยายามให้อภัยแก่บุคคลที่มีความผิด ถ้าไม่ผิดระเบียบวินัยนะ อย่างเขาพูดไม่ดีทำไม่ดี เราพยายามให้อภัยหรือนิ่ง แล้วก็ตัวสุดท้าย ความหลง ตัวเมื่อกี้มันตัดความหลงอยู่แล้ว เราต้องคิดไว้ ตั้งแต่ปัจจุบัน ถ้าไปคิดเมื่อป่วยละลงนรกทุกราย
See More





กรวดน้ำ ถ้าเราไม่ได้เทน้ำ แค่ใช้จิตอุทิศ/ที่ให้ผู้ร้บจะได้รับหรือไม่?
 
ท่านเล่าให้ฟัง การใช้น้ำในการอุทิศบุญ เป็นการรับแบบอย่างมาจากพิธีพราหมณ์ที่มีการเทน้ำ
...
การแผ่เมตตาก็มิได้กรวดน้ำ ครูบาอาจารย์ก็บอกว่าถึงอย่างแน่นอน ถ้าใจตั้งใจอุทิศให้จริงๆ ผู้ให้บริสุทธิ์แล้วอย่างไรก็ถึงจ้ะ

หลวงพ่อ : น้ำไม่ต้องไปกรวดมันหรอก กรวดน้ำทำยังไง? ก็ต้องไปดู ดูว่าน้ำในถังมันเหลือเท่าไหร่ ในคลองมันแห้ง ลาไปหรือมากขึ้นมา อย่างนั้นกระมัง เพราะสำรวจกับตรวจ มันศัพท์เดียวกัน ไอ้ "กรวด" ก็ไม่ถูกอีกน่ะแหละ สำนวนทางศาสนาเขาเรียก "อุทิศ" แปลว่า เจาะจง คือ ไม่เห็นต้องใช้น้ำ การ "กรวดน้ำ" มันเริ่มสมัยเปรต มาทวงขอบุญกุศล จากพระเจ้าพิมพิสาร พระพุทธเจ้า ทรงบอกวิธีทำให้ว่า ให้พระองค์ ถวายภัตตาหาร กับพระสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ซี ท่านก็ทำแบบนั้น อีตอนอุทิศส่วนกุศล ท่านเป็นคนมาจาก พราหมณ์ ที่มีธรรมเนียมว่า จะให้ของใคร ก็ต้องเอาน้ำราดมือผู้รับ แสดงเป็นอาการว่า ยกให้ ท่านก็เอาน้ำในคนโท เทราดพระหัตถ์พระพุทธเจ้า เลยรับกันต่อๆ มาว่า อุทิศส่วนกุศลต้องราดน้ำด้ว

อุทิศ นี่แปลว่า เจาะจง เราทำบุญเจาะจงไปให้ ถ้าไปใช้น้ำก็เจ๊ง เพราะใจมัวเป็นห่วงน้ำ ห่วงมือ ใจก็แกว่ง ใช้ไม่ได้หรอก เสียผลตั้งเยอะ เคยเห็นผีมาหลายรายแล้ว ที่มารับส่วนกุศล แต่ไม่ได้กิน บางครั้งเวลาทำบุญนะ คนที่นำอุทิศส่วนกุศลน่ะ มันให้แต่ เฉพาะญาติ พวกที่ไม่ใช่ญาติ ก็เดินร้องไห้ไปเลย น้ำตาไหล เพราะไม่ใช่ญาติ ไม่มีโอกาส นี่เป็นยังงี้ เป็นผีแล้วมันแย่งกันกินไม่ได้

ทีหลังไม่ต้อง "กรวดน้ำ" นะ ตั้งใจเฉยๆ มีผลกว่าตั้งเยอะ ฉันไม่ใช้เลยแหละ แล้วเวลาอุทิศส่วนกุศลจริงๆ นี่ใช้ภาษาบาลีไม่ดีหรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะบางทีไอ้ภาษาบาลีนี่ มันไม่ตรงกับเจตนาที่จะให้

อย่างฉันเจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อปานนี่ คืนที่ 3 มีผีมานั่งอยู่ตรงหน้า ยายคนหนึ่งอ้วนยังกะพ้อม มีไอ้เจ้าคนหนึ่งผอมกะหงองก๋อง ยายนั่นแกบอก เอ้า จะพูดอะไรก็พูดซี จะขออะไรท่านก็ขอ ไอ้เราก็มองดู เอ...ไอ้นี่ มันคงอด อาจารย์ฉัตรท่านเคยบอกว่า ถ้าไม่ขอก็อย่าให้ แต่มานึกดูว่า เอ๊ ไอ้นี่มันพูดไม่ได้เราจะไปรอให้ มันขอทำไม ก็เลยให้เวลาให้ก็ "อิมินา" เข้าให้ อิมินาปุญญกุเม อุปัชฌาย์ ฯลฯ แปลไปเถอะไม่ได้ ตรงกับหมอนั่นเลย ไปให้เอาครูอาจารย์ ที่ไหนก็ไม่รู้ ไอ้คนนั่งตรงหน้า ไม่ได้ให้ ว่าไปไม่ถึงครึ่ง พวกมาแล้วโซ่คล้องคอหมับ ลากไปเลย

ตอนเช้าไปบิณฑบาตกลับมา ก็ฉันข้าว หลวงพ่อปาน โดยปกติสังเกตได้ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะพูด ฉันข้าวเสร็จ ท่านต้องเช็ดบาตร เช็ดช้อน เช็ดชามของท่าน พระอื่น ก็ต้องทำเหมือนกัน แล้วข้าวแกง ที่กินหมด แล้วก็ไม่ใช่โยนให้เด็กล้าง พระต้องล้างเองเช็ดเอง เช็ดถ้วยเช็ดชามเสร็จ ท่านก็จะยถาทันที วันไหนเช็ดชามเสร็จยังไม่ยถา วันนั้นแปลว่า มีเรื่องแล้ว อีวันนั้น มองไปมองมา พอเจอะหน้ากัน ท่านก็พยักหน้าถามว่า

ยังไงพ่ออิมินาคล่อง แล้วมันจะได้แดกรึ?
แล้วกัน เอาเราเข้าแล้ว รู้เสียด้วยนะ ท่านอยู่ในกุฏิเราอยู่ใน ป่าช้า โกหกท่านไม่ได้ ผีพวกนั้นน่ะมันไปเร็วมาเร็ว ต้องใช้เวลาเร็วๆ ถามว่า ทำยังไง ท่านบอกว่า เอางี้ พอเห็นหน้ามันปั๊บ ก็ตั้งใจเลยว่า

ฉันบำเพ็ญกุศลมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ บุญบารมีจะมีแก่ฉันเพียงใด เธอจงโมทนาและมีประโยชน์อย่างเดียวกับที่ฉันจะพึงได้รั

เอาแค่นี้ อย่าให้ยาวกว่านี้ ถ้าสั้นกว่านี้ได้เท่าไรยิ่งดี เพราะว่า มันคอยนานไม่ได้

ถาม - คนไปนิพพานแล้วอุทิศให้ได้หรือไม่?

ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเราก็ควรอุทิศให้ได้ เพราะเป็นการสนองคุณ แสดงความกตัญญูกตเวที ความจริง ท่านไม่ต้องการหรอก ของท่านมีจนล้นแล้ว ถึงแม้ท่านจะไม่รับ แต่อย่าลืม อย่างเราเป็นพ่อแม่เขาน่ะ ถ้าไอ้ลูกมันอยู่บ้านไกล นานๆ มาหาที เอาของอะไรมาให้ ถึงแม้ว่าของนั้นไม่มีค่าอะไรเราก็ยังดีใจ ใช่ไหม เห็นว่า ลูกน่ะมีน้ำใจ มีกตัญญูรู้คุณ อันนี้ ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่า เราอุทิศส่วนกุศลให้พระพุทธเจ้า ก็แสดงว่า เรากตัญญูรู้คุณของพระพุทธเจ้า การบูชาคุณของพระพุทธเจ้าด้วยกตัญญูรู้คุณนี่ เป็นเหตุให้เราไม่ลงนรก ท่านจะรับหรือไม่รับนี่ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า ให้ใจของเราตามระลึกถึงอยู่เสมอก็แล้วกัน

พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)




พระสยามเทวาธิราชคือใคร

พระสยามเทวาธิราช นี่นะ เริ่มมีเมื่อสมัยก่อน รัชกาลที่ ๔ มีนะ แต่ก่อนพระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นก็บูชาเทวาชื่อนั้นชื่อนี้ ที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นคนสำคัญ ขออย่างนั้นอย่างนี้ต่อมา สมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นนักปราชญ์ เป็นนักบาลี ก็มาตั้งชื่อใหม่ว่า พระสยามเทวาธิราช หมายถึงว่า เทวดาทั้งหมดที่รักษาประเทศสยาม ทีนี้ที่ถามว่า ให้คุณให้โทษทางไหน ให้โทษนี้ก็ไม่ทราบ ให้คุณน...ี่ก็ไม่รู้ แต่ท่านเป็นเทวดาเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เมื่อปี ๒๕๑๘ ปีนั้นพระเจ้าอยู่หัวนิมนต์เข้าไป ที่ไป พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พอเข้าไปทำบุญ วันจักรี พอเข้าไปนั่งปั๊บไม่ต้องคุยกับใครละ บรรดาพระสยามเทวาธิราชมากันเยอะแยะเลย โอ้โฮ้ไม่ใช่องค์เดียว ๒ องค์นะ ไม่ทราบว่าจะมากเท่าใดในบริเวณเต็มไปหมด ไม่ใช่เฉพาะในวังนะ เราก็ชักสงสัยว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช พอถามว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช ให้บอก ชี้องค์นั้นก็ไม่ใช่ ชี้องค์นี้ก็ไม่ใช่ ต่างคนต่างบอกชื่อของตัวหมด ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เออ ยังไงเทวดานี่ เลยบอกว่า ถ้าไม่ใช่ พระสยามเทวาธิราช แล้วมาทำไมล่ะ พระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระราชินีก็ดี ท่านทำบุญเพื่อ พระสยามเทวาธิราช ท่านก็บอกว่า เขาอยากเรียกผมอย่างนั้นทำไมล่ะ ผมไม่ได้ชื่อนั้นนี่ ก็รวมความว่า พระสยามเทวาธิราช จริงก็เป็นเทวดาที่รักษาประเทศไทยทั้งหมด สมัยก่อนเรียกประเทศสยามใช่ไหมถ้าถามว่าให้คุณแบบไหน ก็ต้องถือว่า เทวดามีความดีอะไรบ้าง แต่ละคนมีความสามารถไม่เสมอกัน อันนี้ตอบไม่ได้ เกินวิสัย

บันไดไปสู่ความรู้แจ้งในธรรมชาติ

วัดพรหมคุณวนาราม จันทบุรี  บันไดไปสู่ความรู้แจ้งในธรรมชาติ

ความรักความผูกพันระหว่างพี่น้อง ทรงพระเจริญ

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY