อาการที่เด่นชัดมากคือ การปวดหัว ตอนนั้นก็ทำงานหนักมาก เข้าใจว่าเราเครียดเกินไป ก็พยายามลดความเครียด ก็ไม่หาย นอนมากขึ้นก็ไม่หาย ลองหยุดทำงานใดๆ ติดกัน 3 วันก็ไม่หาย ลาพักร้อนไปหนึ่งอาทิตย์ ก็ไม่หาย ปวดหัวทรมานมาก กินยาก็ทุเลาลงนิดนึง แต่ปวดหัวอยู่อย่างนั้นประม
าณ 3-4 เดือน กำลังคิดว่าจะไปตรวจสแกนหัว
ดูว่า อะไรอยู่ข้างใน ปวดจริงปวดจัง แต่ยังไม่ทันได้ไปก็พบเจอก้
อนเนื้อซะก่อน และรักษาต่อเนื่อง ระหว่างนั้นก็ยังปวดหัวอยู่
แต่ทันทีที่การผ่าตัดครั้งแ
รกที่เอาอีก้อนมะเร็งนั้นออ
กไป ตื่นเช้ามาอาการปวดหัวก็หาย
ไปเป็นปลิดทิ้งเลย
... เคยถามคนที่เป็นโรคมะเร็งคน
อื่นๆ มีหลายคนมากนะคะ ที่อาการปวดศีรษะมาปรากฏเตื
อนอย่างชัดเจน หลายคนไม่ทราบ คิดว่าตัวเองเป็นไมเกรน เป็นโน่นเป็นนี่ ไปตรวจ ไปรักษาหลายอย่างมาก สุดท้ายจึงมาตรวจหาเซลล์มะเ
ร็งก็ปรากฏว่าเป็นจริงๆ ด้วย
... ไม่ได้บอกว่า ถ้าปวดหัวแล้วจะต้องให้สงสั
ยไว้ก่อนว่าเป็นมะเร็ง แต่อยากบอกว่า ถ้ามีอาการปวดหัวบ่อยๆ ปวดมากๆ กินยาก็ไม่หาย ขอให้รีบไปตรวจหาสาเหตุให้เ
จอ และหากว่าทำหลายอย่างแล้วก็
ยังไม่พบสาเหตุ ก็กล้าๆ ไปลองตรวจมะเร็งดูเลย ไม่ต้องทนรอจนนาทีสุดท้าย เพราะที่เคยได้พูดคุยมา คนที่ปล่อยไว้นานๆ จนสุดท้ายไม่มีอะไรจะตรวจแล
้ว จึงได้ไปตรวจมะเร็ง ... หลายคนที่ว่านี้.... ตรวจพบอาการของโรคในขั้นสูง
ๆ และบางคนก็ได้เสียชีวิตไปแล
้ว....
... อย่ากลัว แต่จงรู้เท่าทัน .... ไม่ว่ามีอาการความผิดปกติใด
ๆ ในร่างกาย.... อย่านิ่งนอนใจ ไปตรวจให้รู้แน่ๆ ว่ามันเป็นอะไร ... ย้ำ ตรวจแบบที่ให้ผลแน่นอนนะคะ ไม่ใช่แค่การวินิจฉัยคร่าวๆ
... ขอยกตัวเอย่างตัวเอง เจอก้อนเนื้อแล้ว ตอนไปตรวจครั้งแรก หมอเอาเข็มจิ้มดูดเนื้อเยื่
อไปตรวจ ผลยืนยันว่า "ไม่เป็นมะเร็งครับ" ... ดิฉันถามหมอว่า "ความแม่นยำของผลตรวจกี่เปอ
ร์เซ็นต์" หมอบอก "96.4%" ดิฉันบอกหมอว่า "ไม่ค่ะ ต้องขอตรวจแบบให้ผลแน่นอน 100%" หมอบอกว่า "งั้นต้องผ่าเอาทั้งก้อนต้อ
งสงสัยไปตรวจ" ... ดิฉันยืนยันกับหมอว่า ..."ผ่าเลยค่ะ" .... หลังจากนั้น 7 วันดิฉันก็กลายเป็นคนไข้โรค
มะเร็ง ต้องผ่าตัดเพิ่ม และรักษาตัวอีกเกือบปี .... ถ้าดิฉันเป็นคนยังไงก็ได้ ...ไม่เป็นเหรอ ... เออ...มีความเสี่ยงแค่ 3.6% (ผลตรวจมีความแม่นยำ 96.4%) เหรอ จิ๊บๆ ... เราคงไม่เป็นหรอกมั้ง ... ถ้าดิฉันเป็นคนอย่างนั้น ป่านนี้ก็คงไม่มานั่งพิมพ์เ
รื่องราวให้เพื่อนๆ อ่านหรอกค่ะ
... ด้วยความที่โรคมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมากและนับวันจะยิ่งรุนแรงและเป็นกันมากขึ้น คนที่มีฐานะดี ก็มักหาวิธีการรักษาต่างๆ นานา บางคนก็ยอมจ่ายให้กับสถานบำบัดทางเลือกที่มีราคาสูงลิ่ว เราเองก็ได้รับคำแนะนำให้ไปลองรับการบำบัดบรรเทาความทรมานที่สถาบันแห่งหนึ่ง ... แพงมาก... ดูราคาแล้วก็ต้องส่ายหัว แต่เราก็ลองหาข้อมูลไปศึกษาว่า แนวทางเค้าคืออะไร ... ดูแล้ว ไม่ว่าจะมองมุมไหน...มันก็เรื่องธรรมชาติ...ทั้งนั้น ปรับการกินการอยู่ การทำนุบำรุงกายและใจ... เราทำเองที่บ้านเราก็ได้นี่นา ทำไมต้องไปเสียเงินเป็นหมื่นเป็นแสน ให้เค้ามาควบคุมเรา บอกเราว่าแต่ละวันเราจะต้องทำอะไร... ดังนั้นไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเสียเงินมากมายเพื่อให้มีสุขภาพดี คนฐานะกลางๆ หรือยากจนก็สามารถมีสุขภาพดี มีสิทธิ์ที่จะพ้นความทุกข์ทรมานจากโรคร้ายได้ โดยไม่ต้องเป็นเศรษฐีมีเงินมากมายไปจ่ายให้กับสถาบันแพงๆ ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวเราที่จะทำตัวอย่างไร ...
... จากจุดนั้น นั่นคือการเริ่มปฏิบัติการ ลงมือศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ ทั้งจากในประเทศ และความรู้ของต่างประเทศที่เค้ามีองค์ความรู้เรื่องโรคมะเร็งและแนวทางการรักษาแบบทางเลือก และเราก็พิจารณาเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเรา ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ทำเองที่บ้าน... ผลก็คือ เรามีชีวิตที่เป็นสุขมากขึ้นกว่าปกติตอนที่ไม่เป็นอะไรเสียอีก ไม่ทุกข์ทรมานอะไรมากมายจากฤทธิ์คีโม หรือแทบจะไม่ทรมานเลยด้วยซ้ำ ก็ว่าได้...
ดังนั้น...จงมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ ทั้งยามดี และยามเจ็บป่วย ใครแนะนำอะไร ... อย่าเพิ่งไปเชื่อทันที แต่ก็อย่าเพิ่งไปคัดค้าน ศึกษาแนวทาง ดูตรรกะ พิจารณาตามเหตุและผลว่าทำไม อย่างไร แล้วเลือกหยิบส่วนที่ดีมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง เท่าที่เราเชื่อ และเท่าที่เราทำได้ ... ย้ำ...จะต้องไม่กระโจนลงไปทันทีกับคำแนะนำที่บอกต่อกันมาโดยไม่พิจารณาเหตุผล...
... ใครที่มีญาติพี่น้องหรือเพื
่อนฝูงที่กำลังทุกข์ทรมานจา
กโร
คมะเร็งและการรักษา จะนำเรื่องนี้ไปเล่าสู่กันฟัง หรือบางท่านอยากจะลองพิจารณาดูว่า จะนำไปปรับใช้ได้มั้ย ก็แล้วแต่วิจารณญาณนะคะ แต่สิ่งที่แนะนำเหล่านี้ คือวิธีธรรมชาติล้วนๆ ค่ะ เป็นการปรับวิถีการกินการอยู่ของตัวเอง ไม่ได้เป็นวิธีทีแปลกประหลาดพิสดารหรือต้องลงทุนอะไรมากมาย
ก่อนอื่นขอเกริ่นเล็กน้อย เผื่อบางท่านอาจจะไม่เข้าใจมาก่อน
... ตัวยาคีโมมันเป็นส่วนผสมของยาชนิดต่างๆ เอามารวมกันอยู่ในขวด แล้วค่อยฉีดเข้าร่างกายเหมือนกับการฉีดน้ำเกลือ แต่โปรดทราบนะคะว่า คีโม คือตัวยาเคมี จัดได้ว่าเป็นยาพิษที่ฉีดเข้าร่างกายเพื่อขจัดเซลล์มะเร็งในร่างกาย ดังนั้นเมื่อยาพิษนี้มันเข้าไป มันไม่รู้หรอกว่าอันไหนเซลล์ดีอันไหนเซลล์มะเร็ง มันลุยดะ ทำร้ายไปหมด โดยเฉพาะพวกเซลล์ในร่างกายที่มีลักษณะเป็นเยื่อบุหรือมีความอ่อนบางเช่น ภายในช่องปาก ลำไส้ กระเพาะอาหาร อวัยวะภายในร่างกายที่มีลักษณะที่เป็น growth cells คือเซลล์ที่เจริญเติบโต เช่น ผม เส้นขน เล็บ ผิวหนังทั่วร่างกาย ฯลฯ ดังนั้นคนที่ได้รับคีโมส่วนมากก็จะผมร่วง มากน้อยก็แล้วแต่ หรือที่เราเห็นกันบ่อยๆ ที่ผมร่วงจนหมดศีรษะ แต่ที่เราไม่เห็นคือ ความทรมานภายในสรรพางค์กาย เจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง ปวดตามข้อต่างๆ ปวดท้องปวดไส้เพราะฤทธิ์คีโมกัดทำลาย เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียร บางคนภายในช่องปากมีอาการผิวกะพุ้งแก้มลอกตัวจนแทบจะกินจะอะไรไม่ได้ ผิวโดนแสงแดดนิดนึงก็แสบไหม้ ดำเกรียม เราจึงเห็นคนไข้โรคมะเร็งในระหว่างให้คีโมมีผิวดำคล้ำ หน้าหมองเหมือนไหม้แดด (แต่ตัวเองไม่มีอาการนี้เลยค่ะ) ...
... คำถามที่เพื่อนๆ หลายคนที่ถามมาเป็นคำถามคล้ายๆ กัน คือ เมื่อเกือบ 4 ปีก่อนที่ตัวเองต้องรับคีโมเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ได้ทำอะไรบ้างจึงดูไม่ทุกข์ทรมาน แถมยังดูสดใสเสมอตลอดการรักษา ... นี่คือสิ่งที่ปฏิบัติค่ะ ....
1) การดื่มน้ำย่านางคั้นสด เป็นประจำ ซื้อใบย่านางจากตลาดสดทั่วไป 10 บาทเยอะแยะเลย คั้นกินได้ 2 วัน โดยการเอามาล้างทำความสะอาดแล้วก็คั้นบีบด้วยมือหรือจะปั่นแล้วคั้นเอาแต่น้ำก็ได้ ถ้ากลัวขมมากก็เติมใบเตยนิดนึงคั้นด้วยกันค่ะ แต่อย่าใส่น้ำผึ้งนะคะ ห้ามหวานเด็ดขาด
ดื่มน้ำย่านางตลอดวัน ประมาณวันละ 1 ลิตรหรือมากกว่านั้นก็ได้ ดื่มได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ลดพิษร้อนจากคีโมได้ดีมาก เพราะย่างนางคือพืชฤทธิ์เย็นมาก คนธรรมดาที่ไม่ได้รับคีโมไม่ควรจะดื่มเกินวันละ 2 แก้ว และไม่ควรดื่มหลังบ่าย 3 มันจะไม่ค่อยดีต่อร่างกาย เพราะมันเย็นเกินไปต่อร่างกายคนปกติ แต่กับคนทำคีโม มันช่วยดับพิษความร้อนจากคีโมได้ดีมาก กับตัวเองดื่มประจำทุกวันวันละกว่า 1 ลิตร ไม่ค่อยรู้สึกร้อนข้างในเลย
นับว่าเป็นบุญวาสนานะคะที่มีกัลยาณมิตร . ตลอดการรักษาได้น้องจุ๊ เป็นทั้งเพื่อนบ้านและเพื่อนน้องสาวด้วย กรุณาเหลือเกิน คั้นน้ำย่านางสดๆ มาให้ดื่มทุกวัน ... รู้สึกขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ
2) การรับประทานผักและผลไม้สดในปริมาณที่เยอะมาก ผักสดๆ วันละเกือบครึ่งกิโลกรัม และผัดผักต่างๆ อีกมากมาย ส่วนผลไม้ก็เน้นกินผลไม้ที่มียาง เชื่อว่ามันช่วยเคลือบกระเพาะอาหารค่ะ เพราะคีโมมันจะกัดมาก ผลไม้พวกนี้เช่น มะละกอ กล้วย โดยเฉพาะกล้วยหอมสุกจนเกือบเน่า ที่เค้าว่ามันมีสารอะไรช่วยบรรเทาคนที่เป็นมะเร็งได้ดี ส่วนมะละกอ ก็แบบสุกๆ แช่เย็นจัด ทั้งสองอย่างนี้กินประจำ ดีจริงๆ ค่ะ แทบไม่มีอาการปวดท้องเลยตลอดการรักษา
3. งดการบริโภคเนื้อสัตว์ คือโดยปกติตัวเองก็ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ทั้งปวงอยู่แล้ว กินแต่ปลา และเชื่อว่า การกินพวกเนื้อสัตว์ใหญ่นั้น ทำให้ร่างกายภายในทำงานหนักมาก ยิ่งให้คีโมอยู่ ก็อย่าไปซ้ำเติมระบบการทำงานภายในเลย ให้เค้าได้พักจริงๆ แต่...คนไข้ที่รับคีโมนั้น จะทำให้เกล็ดเลือดลดลงมากและลดลงไปเรื่อยๆ จนน่ากลัวเพราะร่างกายผลิตไม่ทันกับที่โดนคีโมทำลาย ดังนั้นคนไข้จะต้องกินโปรตีนเยอะๆ เพื่อสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า จะมีการแนะนำให้รับประทานเนื้อสัตว์มากขึ้น และตอนนั้นตัวเองก็โดนทั้งคุณหมอและพยาบาลวอนขอแกมขู่ว่า กรุณากลับไปรับประทานเนื้อสัตว์เถอะ ร่างกายจะได้มีโปรตีนในการสร้างเกล็ดเลือดนะ ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์ ร่างกายคุณจะอ่อนแอมาก คุณจะรับการคีโมไม่ไหว ... แต่เราก็ยืนยันกับคุณหมอว่า จะขอหาวิธีใส่โปรตีนให้ร่างกายตัวเองด้วยวิธีอื่นแทน โดยไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ขอกลับไปกินเนื้อสัตว์อีก .. ซึ่งเราก็เน้นกินปลามากขึ้น กินไข่ขาวมากขึ้น ต้มไข่ให้สุกทีละ 6 ใบ ควักไข่แดงออก เอาไข่ขาวมาประกอบอาหาร บางวันก็กินไข่ขาวถึง 10 ใบ ขอบอกว่า เอาอยู่ค่ะ แต่มีบางช่วงที่เกล็ดเลือดต่ำมาก นั่นเป็นเพราะนอนน้อย มัวแต่บ้าทำงาน เนื่องจากในระหว่างรักษาตัว ไม่ได้หยุดงานค่ะ ไปทำงานตามปกติ ซึ่งบางช่วงเป็นช่วงเร่งงานก็จะดึกหน่อย .... ผลคือ เกล็ดเลือดลดต่ำลงมากจนน่าตกใจ ซึ่งหลังจากครั้งนั้นก็ไม่ทำตัวแบบนั้อีกเลยค่ะ
4. จิตใจที่เบิกบานเข้มแข็ง.... เป็น อีกปัจจัยที่อยากแนะนำที่สุดคือ การควบคุมสมาธิและจิตใจของตัวเอง พยายามทำใจให้เบิกบาน ทำจิตให้เข้มแข็ง แรกสุดจะต้องงดรับรู้ทุกอย่างที่ทำให้เครียด ไม่ว่าจะเป็นการฟังเรื่องราว ชมรูป ฟังเสียง หรือการชมคลิปอะไรที่โหดๆ ร้ายๆ ห้ามเลยค่ะ เพราะนั่นเป็นการเติมความตึงเครียดให้จิตใจ ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายความเข้มแข็งของจิต ... สิ่งที่ควรทำที่สุดคือ การสวดมนต์ นั่งสมาธิ นอนสมาธิ ทำให้ใจสงบและเป็นสุขได้อย่างประหลาด เพราะว่าคนไข้ที่รับคีโมมักจะนอนไม่หลับ ประสาทตื่นตัว ข้างในมันร้อน... การสวดมนต์ นั่งสมาธิ และนอนสมาธิ (นอนสวดมนต์จนหลับไป) ทำให้หลับสบาย พักผ่อนได้เต็มที่
ถึงตรงนี้คงต้องเล่าเพิ่มนิดนึงว่า ส่วนตัวนับถือหลวงปู่ทวดฯ มาก ปกติก็สวดทุกวันอยู่แล้ว แต่ช่วงที่ป่วย สวดบูชาท่านมากขึ้น วันละหลายเวลา คราวละประมาณ 99 จบหรือมากกว่านั้น รู้สึกดึขึ้นอย่างน่าประหลาดทุกครั้ง รู้สึกได้ถึงพลังที่ได้รับเพิ่มขึ้น ... ขนาดที่ว่าพอให้คีโมเสร็จ ก็สามารถลุกขึ้นเดินเหิรไปไหนมาไหนได้เองแบบคนปกติ ไม่มีหน้าซีดหน้าเซียว ไม่เวียนหัว ไม่คลื่นไส้ จนพยาบาลที่ห้องคีโมทักว่า พี่เป็นคนที่แข็งแรงมากๆ
5. อย่าไปที่ที่มีคนเยอะ .... ทีนี้พอบอกว่า ควรสวดมนต์ นั่งสมาธิเยอะๆ ญาติๆ ก็อาจจะอยากพาไปทำบุญที่โน่นที่นี่ ... โดยเฉพาะที่เขาว่าดังๆ คนไปกราบไหว้มากมาย ขอบอกว่า ห้ามเด็ดขาด เพราะร่างกายจะติดเชื้อง่ายมาก เนื่องจากคีโมมันไปทำลายภูมิต้านทานทำให้ภูมิต้านทานต่ำมาก (มากจนน่าตกใจ) บางคนรักษาโรคมะเร็งยังไม่ทันหาย ก็ไปติดหวัด ลามจนเชื้อเข้าปอด เข้ากระแสเลือด ก็มี บางทีญาติๆ หรือใครหวังดี พาไปไหว้พระ แออัอยัดทะนานกันไป หวังจะได้บุญรักษากลับไปติดเชื้อโรคมาแทน หนักเข้าไปอีก ควรสวดมนต์ที่บ้านดีที่สุด ยิ่งถ้าบ้านมีสวน ให้ออกไปยืนกลางแจ้ง สูดลมหายใจให้ลึกที่สุดเพื่อให้ออกซิเจนช่วยเข้าไปกระตุ้นภูมิต้านทานให้ร่างกาย สดชื่นค่ะ ตัวเองก็ทำบ่อยๆ ที่ระเบียงบ้านชั้นสองที่หันหน้าเข้าสวนทีมีต้นไม้ใหญ่ๆ มากมาย
เอาเป็นว่านั่นคือคำแนะนำคร่าวๆ เบื้องต้นนะคะ รายละเอียดปลีกย่อยมีมากค่ะ แต่ขอข้ามไป เอาที่เป็นเรื่องหลักๆ และตัวเองก็ทำตามที่กล่าวมาทั้งหมด ... รู้สึกสดชื่นดีมากในระหว่างการรักษา ทรมานเฉพาะในวันสองวันแรกที่รับคีโมแต่ละครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยาต่างๆ ประมาณ 6 ชนิด ที่หมอให้มากินหลังคีโม เช่น ยาเจริญอาหาร ยาลดกรด ยาแก้เวียนหัวคลื่นไส้ ยานอนหลับ ฯลฯ เหล่านี้ไม่ได้ใช้เลยค่ะ เพราะไม่เกิดอาการอะไรมากมายก็ไม่ต้องกิน ผลก็คือ ตับก็ไม่ต้องทำงานหนักขึ้น .... ผมเผ้าก็อยู่ดี ไม่ได้ร่วงหมดศีรษะ แต่ช่วงท้ายๆ ของการรักษาก็ร่วงเยอะ จนสระผมไป ร้องไห้ไป ... ใครผ่านตรงนี้มาแล้วคงเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี
แต่เมื่อผ่านมันมาได้ .... รู้สึกได้เลยว่า ชนะอะไรก็ไม่เท่า การชนะใจตัวเอง ... การที่เราไม่จมปลักอยู่กับความทุกข์ ไม่จมอยู่กับอารมณ์ที่หวาดกลัว ไม่ท้อใจ ไม่เลย ... นี่แหละค่ะ คือสิ่งที่เรียกว่า เป็นชัยชนะของตัวเราเอง และเชื่ออย่างที่สุดว่า เรามีค่าพอที่จะอยู่ต่อไป ...
ใครต้องการแชร์หรือนำไปเล่าสู่ให้กับใครก็ตามที่คิดว่าจะมีประโยชน์ .. เชิญตามสบายค่ะ และใครที่เจ็บป่วยอยู่ก็ขอให้ทุเลา บรรเทา และหายดีในที่สุดนะคะ
ที่เคยเขียน Note โต้แย้งเรื่องน้ำมะนาวโซดารักษาโรคมะเร็ง (แย้งว่าไม่จริง) มีคนนำไปแชร์ต่อเกือบ 1,000 ครั้งแล้ว คิดว่าตัวเองก็เขียนชัดเจน และจั่วหัวว่า พิจารณาให้ดีก่อนแชร์หรือเชื่อ... แต่ยังมีบางคน (ส่วนน้อย) นำไปแชร์แบบ...อย่าว่าแต่พิจารณาเลย แม้แต่อ่านก็ยังไม่ได้อ่าน แต่เอาไปแชร์และโปรยข้อความที่ทำให้เข้าใจผิดไปจากสาระที่บอกกล่าวใน Note
เช่น ใน Note แย้งว่า น้ำมะนาวโซดาไม่ได้ช่วยรักษาโรค เค้าก็เอาไปโปรยว่า น้ำมะนาวโซดาช่วยรักษาโรคมะเร็งได้จริง คนละเรื่องเลย .. ใน Note บอกว่า มะนาว เป็นอาหารที่เป็นด่าง คือเมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้ในเลือดมีสภาวะเป็นด่าง เค้าก็เอาไปแชร์โดยโปรยนำว่า มะนาวเป็นอันตรายเพราะมีฤทธิ์เป็นกรด
..... เห็นแล้วอยากแย้งแต่เค้าตั้งค่าไว้ ถ้าไม่ใช่เพื่อน จะแสดงความเห็นไม่ได้ ก็ได้แต่ถอนหายใจ เราสรรหาข้อมูลมากมายเอามาสกัดให้อ่านง่ายๆ แต่ก็ไม่อ่าน เห็นอะไรก็กดแชร์เลยแล้วใส่คำพูดตัวเองลงไปที่ไม่ตรงกับข้อความใน NOTE ...
... น่ากลัวนะสังคมแบบนี้ ข้อมูลมากมาย ถูกผิดไม่รู้ เห็นปั๊ปแชร์ปุ๊ป มันแย่ตรงที่ว่า ข้อมูลบางอย่างมันเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายซึ่งไม่มีมูลความจริง ไม่มีที่มาที่ไปหรือแหล่งข้อมูลที่ชัดเจน เน้นตื้นเต้นเร้าใจจนต้องแชร์ทันที ทีนี้บางคนดันเชื่อแล้วไปทำตาม ทำให้อาจเกิดความเสียหายต่อสุขภาพไปใหญ่
สาวๆ ทั้งหลายอย่าได้กลัวความชรา เราเองก็เคยกลัว แต่เมื่อชีวิตกำลังจะมุ่งเข้าสู่เลข 5 ในอีกไม่กี่เดือนนี้ เรากลับรู้สึกว่าเรารักความมีอายุของตัวเอง อย่าได้บอกว่าตัวเราดูเหมือนคนอายุ 30 เราชอบชีวิตของตัวเองตามอายุจริงที่เป็นอยู่ แน่นอนว่าชีวิตมันอาจไม่สวยงามในทุกย่างก้าวหรือทุกวัน แต่ทุกๆ ครั้งที่มีปัญหาหรือความท้าทายใดๆ เข้ามา เราสามารถตั้งรับหรือโต้ตอบหรืออยู่กับทุกสถานการณ์ได้ มันเป็นไปอย่างอัตโน
...มัติตามสัญชาตญาณโดยเจ็บปวดน้อยที่สุด ซึ่งผู้ผ่านคืนวันประสบการณ์มาอย่างมากเท่านั้นที่จะรู้ได้ ... นี่คือแแง่มุมที่งดงามของความสูงวัย
ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าให้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวนะคะ ดูแลตัวเองให้ดี เน้นที่สุขภาพกายและใจควบคู่กันไปเป็นสำคัญ อยากทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไปเถิด ทั้งหมดนี้คือ อย่าไปหมกมุ่น อย่าไปอาลัยอาวรณ์กับสังขารมากเกิน
Girls...don't be scared of ageing...yeah...I used to fear but when life approaching 50...I love getting older... Don't tell me that I look like 30s or like a young girl ... I do love the way I am at my age. Every time when there were unexpected problems or any challenges, I knew what to do or how to deal with them intuitively with less pain. This is an advantage derived from accumulation of experiences over time. Only elder people know what I mean.
This is the beauty of ageing. See More