By รสนา โตสิตระกูล
ข้อเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงที่ควรได้รับการพิจารณามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1) เนื้อน้ำมัน ที่เรียกว่า ราคาหน้าโรงกลั่นก่อนบวกภาษี ( ภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล, ภาษี Vat) กองทุนน้ำมัน และค่าการตลาด ปัจจุบันใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ โดยบวกค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ได้แก่ ค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย, ค่าสูญเสียระหว่างทาง และค่าประกันภัย
ค่าใช้จ่ายเทียมนั้น รัฐบาลในอดีตเสนอให้โรงกลั่นเป็นแรงจูงใจให้มีคนมาตั้งโรงกลั่นในไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป แต่ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมัน สามารถผลิตล้นเกินจนส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน และส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าอันดับ3ใน15อันดับแรกของไทย จึงควรยกเลิกแรงจูงใจหรือค่าใช้จ่ายเทียมนั้นได้แล้ว
ราคาเนื้อน้ำมันที่เรียกว่าราคาหน้าโรงกลั่น ที่ขายให้คนไทยจึงควรใช้ราคาที่โรงกลั่นส่งออกไปขายประเทศต่างๆ แทนที่จะใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงทันที อย่างน้อย 1-2 บาท
ยกตัวอย่าง สมมติว่าราคาน้ำมันขายปลีกที่ตลาดสิงคโปร์ราคา 24บาทต่อลิตร ถ้าสมมติค่าใช้จ่ายเทียมที่เป็นค่าขนส่งและค่าประกันภัยเป็นเงินลิตรละ1บาท โรงกลั่นจะขายคนไทยที่ราคา 24+1= 25บาทต่อลิตร แต่เวลาส่งออกโรงกลั่นจะได้รับเงินจากการขายส่งเพียงลิตรละ 24-1= 23 บาทเพราะต้องหักค่าขนส่ง ค่าประกันภัยออก1 บาท
ดังนั้นถ้าขายให้คนไทยในราคาเท่ากับการส่งออก คนไทยจะได้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นในราคาลิตรละ 23บาท แทนที่จะเป็นราคาลิตรละ 25บาท
2) กองทุนน้ำมันในปัจจุบันที่เก็บจากคนใช้น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 10 บาท แก๊สโซฮอลล์ 95 ลิตรละ 3.30 บาท แก๊สโซฮอลล์ลิตรละ 1.20 บาท และดีเซลลิตรละ.25บาท
กองทุนน้ำมันจ่ายเก็บเงินจากน้ำมัน 4ชนิด และชดเชยให้น้ำมัน 2ชนิด คือ E 20 ลิตรละ 1.05 บาท และ E85 ลิตรละ 11.60 บาท
ราคาหน้าโรงกลั่นของกลุ่มแก๊สโซฮอลล์ ที่มีเอทานอลผสมอยู่10% บ้าง 20% บ้าง 85% บ้างควรจะมีราคาถูกกว่าเบนซิน 100% เพราะเอทานอลเป็นน้ำมันที่มาจาพืช และกากน้ำตาล การที่มีราคาสูงกว่าเนื้อน้ำมันเบนซิน 95 จึงเป็นเรื่องผิดปกติ ควรที่จะมีการตรวจสอบราคาเอทานอลในประเทศไทย ว่าสาเหตุใดจึงมีราคาแพงกว่าน้ำมันจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งที่ราคาเอทานอลในปัจจุบัน ที่มีการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยไอโอว่าในสหรัฐอเมริกาพบว่า ต้ังแต่ต้นปี2557 ราคาของเอทานอลมีราคาต่ำลงเหลือเพียง58% ของราคาน้ำมันขายปลีก เท่านั้น
ถ้าราคาแก๊สโซฮอลล์ที่มีส่วนผสมของเอทานอลมีราคาที่เหมาะสมตามกลไกตลาด เนื้อน้ำมันในกลุ่มของแก๊สโซฮอลล์ก็จะมีราคาถูกลงโดยตัวเนื้อน้ำมันเอง ไม่ใช่มีราคาถูกแบบอำพราง เพราะการชดเชยจากกระเป๋าของผู้ใช้น้ำมันอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นราคาถูกแบบเทียมๆเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันที่นำไปชดเชยให้กับก๊าซแอลพีจีนั้น สามารถปลดล็อคด้วยการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ระบุว่า " หลักการจัดสรรปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในประเทศให้กับปริมาณความต้องการใน "ภาคครัวเรือนและปิโตรเคมี" เป็นลำดับแรก ส่วนปริมาณการผลิตก๊าซแอลพีจีที่เหลือจากการจัดสรรข้างต้น จะถูกนำไปจัดสรรให้กับ " ภาคขนส่งแลอุตสาหกรรมอื่น" เป็นลำดับต่อไป หากปริมาณที่เหลือจากการจัดสรรในลำดับแรกไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้มีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศ และนำกองทุนน้ำมันไปชดเชยในส่วนที่ขาด "
จากมติครม.ดังกล่าวทำให้ปิโตรเคมี มีอาณาจักรอิสระจากการถูกควบคุมราคาโดยหน่วยงานรัฐ แต่ราคาซื้อขายเป็นการกำหนดกันเองระหว่างบริษัทปตท.แม่ กับปตท.ลูก โดยอ้างอิงราคา Net Back กับเม็ดพลาสติดตลาดโลก ซึ่งมีราคาถูกกว่าแอลพีจีราคาตลาดโลกถึง 40%
กระทรวงพลังงานอ้างว่า ไม่ได้เป็นผู้กำหนดหรือควบคุมราคาแอลพีจีที่ปิโตรเคมีใช้ เพราะว่าปิโตรเคมีใช้แอลพีจีเป็นวัตถุดิบ จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจและความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงานกระทรวงพลังงานดูแลเฉพาะราคาของผู้ใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง ได้แก่ ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น
การมีมติครม.สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และประกอบกับกิจการก๊าซตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำอยู่ในการควบคุมของปตท.ทั้งระบบ จึงเปิดโอกาสให้ปิโตรเคมีได้ใช้แอลพีจีจากโรงแยกก๊าซที่มีราคาถูกโดยอิสระ ทำให้ปริมาณก๊าซแอลพีจีสำหรับภาคส่วนอื่นไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาชดเชย
ดังปรากฎว่า การใช้ก๊าซแอลพีจีของภาคปิโตรเคมีเพิ่มสูงกว่าภาคครัวเรือนแล้ว ในปี2556 ปิโตรเคมีใช้ในปริมาณ 2,740ล้านกิโลกรัม ภาคครัวเรือนใช้ 2,409 ล้านกิโลกรัม โรงแยกก๊าซผลิตได้ 3,865 ล้านกิโลกรัม
ถ้ายกเลิกมติครม.สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และเปลี่ยนนโยบายมาจัดสรรก๊าซแอลพีจีจากโรงแยกก๊าซ ซึ่งเป็นเป็นทรัพยากรของประชาชนทุกคน ให้ภาคครัวเรือนใช้เป็นลำดับแรกก่อนในราคาต้นทุนบวกกำไรพอประมาณ เมื่อเหลือจึงจัดสรรให้ภาคส่วนอื่นในราคาที่กำหนดให้เหมาะสมและเป็นธรรมหากปริมาณความต้องการไม่เพียงพอ ให้อุตสาหกรรม และปิโตรเคมีนำเข้าก๊าซแอลพีจีเองโดยรับต้นทุนนำเข้าเอง กองทุนน้ำมันก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
เมื่อกองทุนไม่มีความจำเป็นต้องเอามาชดเชย ราคาน้ำมันก็จะลดลงเอง
3) ค่าการตลาด ก็เป็นตัวโยกราคาเมื่อราคาของเนื้อน้ำมันลดลงโดยไปเพิ่มที่ค่าการตลาด จึงควรพิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสมในราคาประมาณลิตรละ 1.50 บาท
ทางกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทยไม่เห็นด้วยกับการลดภาษีเพื่อลดราคาน้ำมัน ซึ่งจะเป็นประชานิยมที่ทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาว
ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงที่ควรได้รับการพิจารณามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1) เนื้อน้ำมัน ที่เรียกว่า ราคาหน้าโรงกลั่นก่อนบวกภาษี ( ภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล, ภาษี Vat) กองทุนน้ำมัน และค่าการตลาด ปัจจุบันใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ โดยบวกค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ได้แก่ ค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย, ค่าสูญเสียระหว่างทาง และค่าประกันภัย
ค่าใช้จ่ายเทียมนั้น รัฐบาลในอดีตเสนอให้โรงกลั่นเป็นแรงจูงใจให้มีคนมาตั้งโรงกลั่นในไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป แต่ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมัน สามารถผลิตล้นเกินจนส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าอันดับหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียน และส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าอันดับ3ใน15อันดับแรกของไทย จึงควรยกเลิกแรงจูงใจหรือค่าใช้จ่ายเทียมนั้นได้แล้ว
ราคาเนื้อน้ำมันที่เรียกว่าราคาหน้าโรงกลั่น ที่ขายให้คนไทยจึงควรใช้ราคาที่โรงกลั่นส่งออกไปขายประเทศต่างๆ แทนที่จะใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงทันที อย่างน้อย 1-2 บาท
ยกตัวอย่าง สมมติว่าราคาน้ำมันขายปลีกที่ตลาดสิงคโปร์ราคา 24บาทต่อลิตร ถ้าสมมติค่าใช้จ่ายเทียมที่เป็นค่าขนส่งและค่าประกันภัยเป็นเงินลิตรละ1บาท โรงกลั่นจะขายคนไทยที่ราคา 24+1= 25บาทต่อลิตร แต่เวลาส่งออกโรงกลั่นจะได้รับเงินจากการขายส่งเพียงลิตรละ 24-1= 23 บาทเพราะต้องหักค่าขนส่ง ค่าประกันภัยออก1 บาท
ดังนั้นถ้าขายให้คนไทยในราคาเท่ากับการส่งออก คนไทยจะได้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นในราคาลิตรละ 23บาท แทนที่จะเป็นราคาลิตรละ 25บาท
2) กองทุนน้ำมันในปัจจุบันที่เก็บจากคนใช้น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 10 บาท แก๊สโซฮอลล์ 95 ลิตรละ 3.30 บาท แก๊สโซฮอลล์ลิตรละ 1.20 บาท และดีเซลลิตรละ.25บาท
กองทุนน้ำมันจ่ายเก็บเงินจากน้ำมัน 4ชนิด และชดเชยให้น้ำมัน 2ชนิด คือ E 20 ลิตรละ 1.05 บาท และ E85 ลิตรละ 11.60 บาท
ราคาหน้าโรงกลั่นของกลุ่มแก๊สโซฮอลล์ ที่มีเอทานอลผสมอยู่10% บ้าง 20% บ้าง 85% บ้างควรจะมีราคาถูกกว่าเบนซิน 100% เพราะเอทานอลเป็นน้ำมันที่มาจาพืช และกากน้ำตาล การที่มีราคาสูงกว่าเนื้อน้ำมันเบนซิน 95 จึงเป็นเรื่องผิดปกติ ควรที่จะมีการตรวจสอบราคาเอทานอลในประเทศไทย ว่าสาเหตุใดจึงมีราคาแพงกว่าน้ำมันจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งที่ราคาเอทานอลในปัจจุบัน ที่มีการสำรวจโดยมหาวิทยาลัยไอโอว่าในสหรัฐอเมริกาพบว่า ต้ังแต่ต้นปี2557 ราคาของเอทานอลมีราคาต่ำลงเหลือเพียง58% ของราคาน้ำมันขายปลีก เท่านั้น
ถ้าราคาแก๊สโซฮอลล์ที่มีส่วนผสมของเอทานอลมีราคาที่เหมาะสมตามกลไกตลาด เนื้อน้ำมันในกลุ่มของแก๊สโซฮอลล์ก็จะมีราคาถูกลงโดยตัวเนื้อน้ำมันเอง ไม่ใช่มีราคาถูกแบบอำพราง เพราะการชดเชยจากกระเป๋าของผู้ใช้น้ำมันอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นราคาถูกแบบเทียมๆเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันที่นำไปชดเชยให้กับก๊าซแอลพีจีนั้น สามารถปลดล็อคด้วยการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ระบุว่า " หลักการจัดสรรปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในประเทศให้กับปริมาณความต้องการใน "ภาคครัวเรือนและปิโตรเคมี" เป็นลำดับแรก ส่วนปริมาณการผลิตก๊าซแอลพีจีที่เหลือจากการจัดสรรข้างต้น จะถูกนำไปจัดสรรให้กับ " ภาคขนส่งแลอุตสาหกรรมอื่น" เป็นลำดับต่อไป หากปริมาณที่เหลือจากการจัดสรรในลำดับแรกไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้มีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศ และนำกองทุนน้ำมันไปชดเชยในส่วนที่ขาด "
จากมติครม.ดังกล่าวทำให้ปิโตรเคมี มีอาณาจักรอิสระจากการถูกควบคุมราคาโดยหน่วยงานรัฐ แต่ราคาซื้อขายเป็นการกำหนดกันเองระหว่างบริษัทปตท.แม่ กับปตท.ลูก โดยอ้างอิงราคา Net Back กับเม็ดพลาสติดตลาดโลก ซึ่งมีราคาถูกกว่าแอลพีจีราคาตลาดโลกถึง 40%
กระทรวงพลังงานอ้างว่า ไม่ได้เป็นผู้กำหนดหรือควบคุมราคาแอลพีจีที่ปิโตรเคมีใช้ เพราะว่าปิโตรเคมีใช้แอลพีจีเป็นวัตถุดิบ จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจและความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงานกระทรวงพลังงานดูแลเฉพาะราคาของผู้ใช้แอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง ได้แก่ ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น
การมีมติครม.สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และประกอบกับกิจการก๊าซตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำอยู่ในการควบคุมของปตท.ทั้งระบบ จึงเปิดโอกาสให้ปิโตรเคมีได้ใช้แอลพีจีจากโรงแยกก๊าซที่มีราคาถูกโดยอิสระ ทำให้ปริมาณก๊าซแอลพีจีสำหรับภาคส่วนอื่นไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาชดเชย
ดังปรากฎว่า การใช้ก๊าซแอลพีจีของภาคปิโตรเคมีเพิ่มสูงกว่าภาคครัวเรือนแล้ว ในปี2556 ปิโตรเคมีใช้ในปริมาณ 2,740ล้านกิโลกรัม ภาคครัวเรือนใช้ 2,409 ล้านกิโลกรัม โรงแยกก๊าซผลิตได้ 3,865 ล้านกิโลกรัม
ถ้ายกเลิกมติครม.สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และเปลี่ยนนโยบายมาจัดสรรก๊าซแอลพีจีจากโรงแยกก๊าซ ซึ่งเป็นเป็นทรัพยากรของประชาชนทุกคน ให้ภาคครัวเรือนใช้เป็นลำดับแรกก่อนในราคาต้นทุนบวกกำไรพอประมาณ เมื่อเหลือจึงจัดสรรให้ภาคส่วนอื่นในราคาที่กำหนดให้เหมาะสมและเป็นธรรมหากปริมาณความต้องการไม่เพียงพอ ให้อุตสาหกรรม และปิโตรเคมีนำเข้าก๊าซแอลพีจีเองโดยรับต้นทุนนำเข้าเอง กองทุนน้ำมันก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
เมื่อกองทุนไม่มีความจำเป็นต้องเอามาชดเชย ราคาน้ำมันก็จะลดลงเอง
3) ค่าการตลาด ก็เป็นตัวโยกราคาเมื่อราคาของเนื้อน้ำมันลดลงโดยไปเพิ่มที่ค่าการตลาด จึงควรพิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสมในราคาประมาณลิตรละ 1.50 บาท
ทางกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทยไม่เห็นด้วยกับการลดภาษีเพื่อลดราคาน้ำมัน ซึ่งจะเป็นประชานิยมที่ทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาว