GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ขบวนการมหาโจรปล้นแผ่นดิน/“เปลี่ยนธนบัตรแก้ปัญหาคอร์รัปชัน”

 



 

ขบวนการมหาโจรปล้นแผ่นดิน
 

ยุทธวิธีของทุนสามานย์ปิโตรไทย-เทศ ไม่ยอมให้เสียผลประโยชน์ส่วนตนหลายร้อยล้าน พันล้าน และ ผลประโยชน์ปิโตรแสนล้าน ล้านล้าน ที่เข้าครองสัมปทานปิโตรไทย

1. ควบคุมปิดกั้นไม่ให้ประชาชนตื่นรู้ โดยกีดกันไม่ให้ภาคประชาชน เช่น หม่อมกร สว.รสนา คุณอิฐบูรณ์ มีเวทีกระจายข้อมูล ความจริง ออกสู่ประชาชน ... เช่นที่ เห็นมาแล้ว บนเวทีสุเทพ-ปชป.-บลูสกาย

2. ใช้เงินฟาดหัวพรรคการเมือง เพื่อ บงการนักการเมือง อดีตนักการเมือง ไม่ให้พูดเรื่องทุนสามานย์ปิโตร ปล้นประชาชน ปล้นชาติ โดยเฉพาะเรื่องสัมปทาน และ โครงสร้างเงินอุดหนุนอุตสาหกรรมปิโตร ที่ประชาชนแบกรับเต็มๆ

3. ใช้เงินฟาดหัวสื่อมวลชน ผ่านการทุ่มโฆษณา เพื่อไม่ให้สื่อเปิดเผยความจริง เรื่องสูบกินเลือดคนในชาติ อันเป็นผลลบต่อทุนสามานย์ปิโตร

4. สร้างขบวนการปฏิรูปลวง เพื่อสร้างความสับสนให้ประชาชน พร้อม แข่งขัน กีดกัน ตัดตอนการปฏิรูปที่แท้จริงที่จะคืนทรัพยากรของชาติให้แก่ประชาชน

5. กลั่นแกล้งทางกฎหมาย เช่น ดำเนินคดี หมิ่นประมาท บุกรุก กับผู้เคลื่อนไหว สื่อที่เปิดเผยความจริงเรื่อง ประชาชนถูกปล้น - สูบเลือด

6. เข่นฆ่า สังหาร ภาคประชาชน เช่น คุณสุทิน ธราทิน และ พร้อมจะสังหารประชาชน ให้เกิดการนองเลือด เพื่อไม่ให้เกิดขบวนการปฏิรูปพลังงานจริง ... มีกระแสข่าวกระซิบว่าทุนว่าจ้างสร้างความวุ่นวายมาจากต่างประเทศ นอกเหนือจากระเป๋าโจรทักษิณ ต่างหาก




จากโผย้ายทหารสู่ คสช. จากคสช. สู่ ครม. ชุดใหม่

Cr:คมชัดลึก
มีข่าวลือที่ไม่ได้กรองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คิดมาก่อนนานแล้วว่า จะตัดสินใจใช้กลไกทหารเข้าควบคุมอำนาจการปกครอง

สอดรับกับคำกล่าวของ “ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง” ท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่แวดวงการพูดคุยเจรจาเพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศแทบทุกวงในห้วงที่มีวิกฤติการณ์การชุมนุมของ กปปส. ที่เอ่ยกับคนใกล้ชิดเอาไว้ราวๆ 2 เดือนก่อนยึดอำนาจ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจแล้วว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อยุติปัญหาทาง
การเมือง

หากเชื่อตามทฤษฎีนี้ ย่อมหมายความว่า หลายเรื่องหลายราวที่เกิดขึ้้นก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อันเป็นวันประกาศยึดอำนาจของ คสช. มีการตระเตรียมการไว้แล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้สถานการณ์พาไป แล้วจู่ๆ ตัดสินใจทำรัฐประหาร

โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายนาย ทหาร 2 ครั้งล่าสุด คือ ช่วงตุลาคม 2556 (วาระประจำปี) และเมษายน 2557 (วาระกลางปี) ซึ่งมีการวางตัวบุคคลที่ “ไว้ใจ-เชื่อมือ” เข้าคุมตำแหน่งสำคัญ และวันนี้คนเหล่านั้นก็มีบทบาทอย่างสูงในการขับเคลื่อนงานของ คสช. ตัวอย่างเช่น

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา (ตท.15) ขยับจากแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.เมื่อ ตุลาคม 2556 ปัจจุบันพ่วงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. เป็นนายทหารสายบู๊ที่เดินหน้าลุยกับผู้มีอิทธิพลทุกกลุ่ม โดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดในเรือนจำ และจัดระเบียบวินรถสาธารณะ รวมทั้งขบวนการล้มเจ้า

พล.อ.ไพบูลย์ ทำงานลับๆ เพื่อดำเนินการกับกลุ่มหมิ่นสถาบันเบื้องสูงมานาน โดยตั้งแต่ยุค พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ. มีการตั้งคณะทำงานพิเศษแกะรอย และเก็บข้อมูลเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ งานดังกล่าวส่งต่อมายัง พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อนั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. โดยมี พล.อ.ไพบูลย์ เป็นคีย์แมนสำคัญ

พล.ท.ธีรชัย นาควานิช (ตท.14) รับไม้ต่อในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 จาก พล.อ.ไพบูลย์ ปัจจุบันเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) คสช. เดินหน้าจับ-ยึดอาวุธสงคราม กวาดล้างกองกำลังติดอาวุธ และชายชุดดำ

นอกจากนั้น ในระนาบแม่ทัพยังใช้งาน ตท.14 กับ ตท.15 ผสมกัน ได้แก่ พล.ท.ธีรชัย นาควานิช (ตท.14) แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง (ตท.14) แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท. ปรีชา จันทร์โอชา (ตท.15) แม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ท.วลิต โรจนภักดี (ตท.15) แม่ทัพภาคที่ 4 น้องรักบูรพาพยัคฆ์ของ ผบ.ทบ.

ส่วนในระนาบ ผบ.พล. ซึ่งเป็นระดับเคลื่อนกำลังตัวจริง ก็วางนายทหาร ตท.20 เอาไว้หลายคน ที่โดดเด่นในยุค คสช. ก็เช่น พล.ต. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) ลูกชาย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หรือ “บิ๊กจ๊อด” อดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ยึดอำนาจการปกครองเมื่อปี 2534 วันนี้กำลังลุยงานจัดระเบียบวินรถสาธารณะ

อีกคนก็คือ พล.ต. กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บัญชาการกองพลที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.2 รอ.) อดีตผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.21 รอ.) ทหารเสือราชินีขนานแท้และดั้งเดิม เจ้าของฉายา “ตู่เล็ก” รับผิดชอบงานปรองดองสมานฉันท์ และคืนความสุขสไตล์ “ทหาร”

เป็นการวางกำลังตามสูตรในฝัน คือ ผบ.พล.ทั้ง 3 กองพลของกองทัพภาคที่ 1 ต้องเป็น “น้องเลี้ยง” ที่ ผบ.ทบ.มองตาต้องรู้ใจ ได้แก่ พล.1 รอ., พล.ร.2 รอ. และกองพลทหารราบที่ 9 (พล.9)

ที่สำคัญภารกิจนี้ไม่มี “บูรพาพยัคฆ์” หรือ “วงศ์เทวัญ” เพราะนายทหารทั้งสองขั้วสองสาย ต่างร่วมงานกันใกล้ชิด จนแทบจะเรียกได้ว่า สลายขั้วกันไปหมดแล้ว เช่น พล.อ.ไพบูลย์ ก็เป็นสายวงศ์เทวัญขนานแท้ ขณะที่ พล.ท.ธีรชัย เป็นสายบูรพาพยัคฆ์ เช่นเดียวกับในระนาบ ผบ.พล. ที่ พล.ต.อภิรัชต์ เป็นสายวงศ์เทวัญ ขณะที่ พล.ต.กู้เกียรติ เป็นนักรบบูรพา

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งมีข่าวโผโยกย้ายนายทหาร มีการวิเคราะห์กันว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจัดดุลอำนาจในกองทัพ เพื่อส่งไม้ต่อให้น้องๆ และใช้กองทัพคานดุลอำนาจกับ
รัฐบาลและฝ่ายการเมือง ทว่าในความเป็นจริงแล้วนายทหารที่ถูกวางตัวในตำแหน่งสำคัญๆ แต่ละคนมีภารกิจลับในการฟื้นฟูประเทศด้วย

ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่สำหรับเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อไป และน่าจับตาไม่แพ้กันก็คือ การจัดตั้งรัฐบาล และสถานะของ คสช. หลังจากนั้น

แนวทางการถ่ายโอนอำนาจจาก คสช. ไปสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จำเป็นต้องปิดจุดอ่อนจากสมัยการรัฐประหารเมื่อปี 49 คือจะไม่ถ่ายโอนอำนาจไปจนเกลี้ยง ทำให้ ครม.ใหม่มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศเหมือน ครม.ปกติ แต่จะใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดบทบาทอำนาจของ คสช.ให้สามารถถ่วงดุล กำกับ ควบคุมการทำงานของรัฐบาลได้ระดับหนึ่ง

จุดสำคัญอยู่ที่การเชื่อมโยงระหว่าง คสช. กับ ครม. จึงมีโอกาสสูงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินใจนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ไม่เลือกคนอื่นมาทำหน้าที่แทนเหมือนเมื่อครั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ตท.6) ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เลือก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายกฯ โดยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายทหารรุ่นพี่ (ตท.1) และยังเป็นอดีตองคมนตรี ทำให้ พล.อ.สนธิ และคมช.ไม่อาจสั่งการ ควบคุมรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ ได้เลย

แต่สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จะเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ณ สิ้นเดือนกันยายนนี้ ทำให้เกิดกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจตัดสินใจต่ออายุราชการเพื่อกระชับอำนาจของตนเองไว้ในฐานะนายกรัฐมนตรี ควบ ผบ.ทบ.

ทว่า ล่าสุดมีการยืนยันค่อนข้างชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ต่ออายุราชการ (แม้จะเคยพูดว่า ถ้าแก้ปัญหาบ้านเมืองเที่ยวนี้ไม่สำเร็จ จะไม่ยอมเกษียณก็ตาม) แต่จะตั้ง ผบ.ทบ.คนใหม่ที่ตนเองเชื่อมือ เชื่อใจ และรับภารกิจในยามที่บ้านเมืองอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ได้ มาสานต่อภารกิจแทน

หากเป็นไปตามสูตรนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะก้าวไปเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยความสบายใจว่ามีหลังพิงที่เชื่อใจได้ บวกกับการเขียนรัฐธรรมนูญชั่่วคราวซ่อนอำนาจสำคัญๆ ไว้ที่ คสช. โดยทีมกฎหมายมือฉมัง จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะนั่งควบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เพื่อบริหารประเทศตามโรดแม็พขั้นที่ 2 และ 3 จนจบภารกิจ

ส่วนรัฐมนตรีใน ครม.นั้น ได้วางตัวบุคคลเอาไว้หลายกลุ่ม ได้แก่

1.  กลุ่ม ผบ.เหล่าทัพ ที่จะเกษียณอายุราชการพร้อมกันในวันที่ 30 กันยายนที่จะถึงนี้ ได้แก่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. ซึ่งรับผิดชอบเป็นหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. ซึ่งรับผิดชอบเป็นหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา คสช. และ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.ทสส. ซึ่งรับผิดชอบหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง คสช.  รวมทั้ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมบริหารของ คสช.เช่นกัน

ทั้ง 4 คนนี้เชื่อว่าน่าจะมีตำแหน่งแห่งที่ใน ครม.ชุดใหม่ เพราะมิฉะนั้นจะ “ขาลอย” หลุดจากวงจรอำนาจเนื่องจากเกษียณอายุราชการพร้อมกันหมด ประกอบกับให้เป็นเกียรติและตอบแทนที่ได้ร่วมเป็นร่วมตายยึดอำนาจการปกครองกันมา เพื่อนำพาบ้านเมืองฝ่าวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้ ตำแหน่งที่เตรียมไว้รองรับก็เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

2.  กลุ่มที่ปรึกษา 10 อรหันต์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งประกอบด้วยนายทหารรุ่นพี่และ รุ่นเพื่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อมือ เชื่อใจ เช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ “บิ๊กป้อม” พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หรือ “บิ๊กป๊อก” พี่รอง และ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ หรือ “บิ๊กหนุ่ย” เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12

นอกจากนั้นยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอย่าง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล นายณรงค์ชัย อัครเศรณี และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอย่าง นายวิษณุ เครืองาม

กลุ่มที่ปรึกษา 10 อรหันต์นี้ น่าจะมีบางคนที่แปรสภาพแต่งตัวเข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีใน ครม.ที่รับไม้ต่อจาก คสช.

3.  กลุ่มที่ทาบทามเข้ามาใหม่ มีทั้งโควตาของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เล็งบุคคลประเภท “ดี-เด่น-ดัง” เอาไว้เอง และพวกที่จะได้รับการต่อสายเชิญเข้ามาผ่านทางกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ซึ่งบุคคลที่ได้รับการจับตามอง ก็เช่น นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีชื่อติดทุกโผ ตั้งแต่โผนายกฯ หลังการรัฐประหาร รวมทั้ง นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตว่าที่ประธานวุฒิสภา เป็นต้น

โดยเฉพาะกลุ่มนายสุรชัย ซึ่งแม้วุฒิสภาจะถูกยุบ แต่ก็ยังให้ความช่วยเหลือ เป็นเบื้องหลังอันแข็งแกร่งให้แก่ คสช. ทั้งในเรื่องกฎหมายและการเดินเกมวางกรอบด้านนิติบัญญัต

นอกจากนั้นน กลุ่มที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือ กลุ่มข้าราชการและอดีตข้ารา
การ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เคยประกาศจุดยืนเอาไว้ชัดเจนว่า ข้าราชการจะร่วมมือกันพลิกฟื้นประเทศให้แก่ประชาชนคนไทย ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อ นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ “กลุ่มหมอคนดี” มีลุ้นเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ครม.ด้วย

ภาพรวมของ ครม.ใหม่จะมีทหารไม่มากนัก เพื่อไม่ให้ภาพกลายเป็น “ครม.ทหาร” ซึ่งเสี่ยงจะถูกวิจารณ์อย่างหนักอีกรอบ แต่จะเชื้อเชิญ “เทคโนแครต” ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งบางส่วนน่าจะมาจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้จะราบรื่นเหมือนโรดแม็พที่วางไว้หรือไม่...เป็นหนังเรื่องยาวที่ต้องติดตาม!



“เปลี่ยนธนบัตรแก้ปัญหาคอร์รัปชัน”
โดย....วีรวิท คงศักดิ์
สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษา ความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เสนอแนวคิดเปลี่ยนธนบัตรรูปแบบใหม่ แก้ปัญหาคอร์รัปชัน ในการประชุมมอบนโยบายให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงินของประเทศ
พร้อมกับอธิบายว่า มาตรการนี้ เป็นการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในกลุ่มที่นำเงินสดเก็บไว้ที่บ้าน หากยกเลิกธนบัตรแบบเดิมและเปลี่ยนเป็นธนบัตรแบบใหม่ จะเป็นการบังคับให้ผู้ครอบครองธนบัตรเหล่านี้นำเงินสดมาแลกเปลี่ยนเป็น ธนบัตรชุดใหม่ ซึ่งจะแก้ปัญหาการกระทำผิดด้านอื่น เช่น ยาเสพติด และธุรกิจมืดต่างๆ ได้ด้วย
ต่อมานายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้ขานรับแนวคิดนี้ แต่ให้ข้อคิดว่าควรศึกษาต้นทุนการผลิตธนบัตรใหม่เพื่อพิจารณาด้านความคุ้มค่า   ส่วนในภาคการเงิน โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เห็นว่า จะมีผลกระทบโดยเฉพาะต้นทุนการผลิตธนบัตร และการปรับตัวของประชาชน และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย เห็นว่า สามารถทำได้ แต่มีกระบวนการมากที่ต้องใช้เวลา และอาจมีผลกระทบต่อชาวต่างประเทศ
การเปลี่ยนธนบัตรแก้ปัญหาคอร์รัปชันนี้ คณะกรรมาธิการศึกษาปัญหาการทุจริตของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เคยพิจารณาตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า เป็นมาตรการที่น่าสนใจเพราะเคยมีการดำเนินการในต่างประเทศแล้ว แต่อาจมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้บริการของ ธนาคารบ้าง
ต่อมาในปี ๒๕๕๔ คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาระดมสมองถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเรื่องนี้ ทุกฝ่ายเห็นว่าสามารถกระทำได้และมีหลายประเทศทำแล้วได้ผลดี สามารถควบคุมความเคลื่อนไหวของเงินที่ได้มาจากการทุจริตอื่นๆ ด้วย
เพื่อความรอบคอบควรมีการศึกษามาตรการควบคุมการใช้เงินที่ได้จากการทุจริต ทั้งระบบ จึงมอบให้มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม โดย ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ศึกษา คาดว่าจะเปิดเผยผลการศึกษาเร็วๆ นี้
หลักคิดของมาตรการนี้ เกิดจากตรรกะที่ว่า “สุจริตชนไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเงินสดไว้มาก” เพราะในปัจจุบันระบบธนาคารและบัตรเครดิตได้อำนวยความสะดวกในการใช้เงินทาง อิเล็กทรอนิกส์มาก อีกให้การบริการตามศูนย์การค้าต่างๆ ทุกวันอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องเก็บเงินสดไว้ที่บ้านจำนวนมาก
และเมื่อใช้เงินสดจำนวนมาก เช่นการซื้อรถยนต์ก็ทำให้เกิดความยุ่งยาก บริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์จึงเสนอให้ผู้ซื้อใช้แคชเชียร์เช็คของธนาคารแทน เพื่อลดภาระในการนับเงินและง่ายต่อการตรวจสอบ
แม้แต่การจัดงานการกุศลต่างๆ หรือร้านค้าที่มีรายได้วันละมากๆ ก็มักจะประสานให้ธนาคารมารับในตอนเย็นเพื่อลดภาระในการเก็บเงินสดจำนวนมาก ไว้ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม
นอกจากนั้น ในปัจจุบันมีความเคลื่อนไหวเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ มาก หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย จึงได้ร่วมกันจัดทำระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ป้องกันการฟอกเงินที่เชื่อม โยงกัน เพื่อตรวจสอบและติดตามการโอนเงินจำนวนมากที่มีลักษณะผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน สหประชาชาติและธนาคารโลกได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกที่ให้สัตยาบันในอนุสัญญาสห ประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต แก้ไขกฎหมายและวางระบบติดตามเงินสินบนข้ามชาติด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ซึ่งมาตรการนี้จะได้ผลเฉพาะเมื่อมีการโอนเงินผ่านสถาบันการเงินเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศได้กำหนดมาตรการเพื่อให้ประชาชนใช้เงินสดน้อยลง ซึ่งจะช่วยให้ระบบการตรวจสอบความเคลื่อนไหวเงินผิดกฎหมายทางอิเล็กทรอนิกส์ มีประสิทธิผลมากขึ้น
เช่น อินเดียออกกฎหมายให้การใช้เงินเกิน ๒,๐๐๐ รูปี (ประมาณ ๑,๐๐๐ บาท) ต้องผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบธนาคาร และธนาคารสวีเดน กำหนดให้ลูกค้าที่ต้องการเบิกเงินสด ๑๐,๐๐๐ โครน (๕๐,๐๐๐ บาท) ต้องแจ้งล่วงหน้า ๑ วัน เป็นต้น
นอกจากนี้ บางประเทศได้นำแนวคิดของสหรัฐอเมริกาที่มีธนบัตรหลักมูลค่าเพียง ๒๐ เหรียญสหรัฐฯ มาใช้ โดยพยายามเลิกธนบัตรราคาสูง เช่น ยูโรเลิกผลิตธนบัตรราคา ๕๐๐ ยูโร และ ๒๐๐ ยูโร เพื่อให้การพกพาเงินสดจำนวนมากไม่สะดวก ต้องหันมาใช้บริการธนาคารซึ่งสะดวกและปลอดภัยกว่า
แม้แต่ประเทศจีนก็มีนโยบายจำกัดให้มีธนบัตรสูงสุด คือ ๑๐๐ หยวน เท่านั้น
ลองคิดดูว่า ถ้านำมาตรการนี้มาใช้ในบ้านเราด้วยการเลิกผลิตธนบัตรราคา ๑,๐๐๐ บาท และ ๕๐๐ บาท เหลือเพียงราคา ๑๐๐ บาทเท่านั้น อะไรจะเกิดขึ้น
เดิมการถือถุงขนมไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๒ ล้านบาทด้วยธนบัตร ๑,๐๐๐ บาท มีขนาดเท่ากับธนบัตร ๒๐ ปึกๆ ละ ๑๐๐ ใบ หนัก ๓ กิโลกรัม พอจะถือไหวและไม่ผิดสังเกตมากนัก
แต่ถ้าเป็นธนบัตร ๑๐๐ บาท ขนาดจะเพิ่มเป็น ๒๐๐ ปึก ต้องนำไปด้วยกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก และมีน้ำหนัก ๓๐ กิโลกรัม ซึ่งจะทำให้เป็นที่สังเกตได้ง่าย
ครั้นจะเปลี่ยนเป็นติดสินบนด้วยเช็คของขวัญหรือแคชเชียร์เช็คก็จะถูกตรวจสอบจากระบบที่รัฐวางไว้
ส่วนท่านที่นิยมใช้เงินสดและสะสมธนบัตรไว้ที่บ้านก็จะต้องขยายพื้นที่เก็บมากขึ้น ๑๐ เท่า
จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า มาตรการเหล่านี้ นอกจากจะเป็นการควบคุมความเคลื่อนไหวของเงินที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังช่วยให้ประหยัดงบประมาณในการผลิตธนบัตรของรัฐอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ตามมาจากมาตรการเหล่านี้ คือ เมื่อมีการใช้บริการด้านการเงินผ่านธนาคารมากขึ้น รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการให้ธนาคารลดหรืองดค่าบริการในการทำธุรกรรมให้กับ ประชาชนด้วย
สำหรับกระบวนการเปลี่ยนธนบัตรใหม่ หรือยกเลิกธนบัตรราคาสูง อาจกระทำได้ ๒ วิธี
แนวคิดแรก เยอรมนีและมาเลเซียใช้วิธีการให้แลกคืนโดยเสรี ไม่จำกัดจำนวนภายใน ๖ เดือน โดยนำไปฝากธนาคารหรือแลกเงินจากหน่วยงานของรัฐ วิธีนี้รัฐบาลจะรู้จำนวนเงินที่ “ซุก” ไว้ แต่ไม่ต้องการรู้เหตุผลและที่มาของเงินที่นำมาแลกเป็นธนบัตรใหม่ ซึ่งเสมือนเป็นการนิรโทษกรรมบุคคลที่ซุกซ่อนเงิน
แนวคิดที่สอง พม่ากำหนดระยะเวลาในการแลกคืนเหมือนกัน แต่จำกัดวงเงินของแต่ละบุคคลและต้องมีหลักฐานการแสดงความเป็นเจ้าของและแจ้ง ที่มาของเงินด้วย
วิธีหลังนี้ เป็นการป้องกันการใช้ตัวแทนไปแลกเงิน และสามารถสืบสภาพที่มาของเงิน ตลอดจนรู้เหตุผลของการเก็บเงินสดไว้ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินคดีกรณีผิดกฎหมายกระทำได้ง่ายมาก จึงอาจมีบางคนไม่กล้านำเงินที่สะสมไว้มาแลกคืนเพราะกลัวการดำเนินคดีก็ได้
 

ดังนั้น ถ้า คสช.จะนำมาตรการนี้มาใช้ ควรให้นำเงินฝากหรือแลกเงินกับธนาคารครั้งหนึ่งไม่เกิน ๑ ล้านบาท และต้องแจ้งที่มาของเงินที่นำมาแลก รวมถึงต้องแสดงหลักฐานการเสียภาษีของเงินเหล่านั้นด้วย โดยให้เวลาในการดำเนินการภายใน ๖ เดือนสำหรับคนไทย และ ๑ ปี สำหรับชาวต่างประเทศ  อย่างไรก็ดี มาตรการเปลี่ยนหรือเลิกใช้ธนบัตรราคาสูงนี้ เป็นมาตรการเฉพาะกิจไม่สามารถแก้ปัญหาเงินที่มาจากการทุจริตคอร์รัปชันและ เงินผิดกฎหมายได้อย่างยั่งยืน สมควรมีการศึกษาและกำหนดมาตรการเพื่อความโปร่งใสทางการเงินของบุคคลอย่าง น้อย ๓ มาตรการ
มาตรการแรก ประชาชนชาวไทยทุกคนต้องเข้ามาในระบบภาษีเงินได้ให้หมด และใช้เป็นการให้ได้มาซึ่งสิทธิการเลือกตั้งเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา โดยให้มีการสำแดงรายได้ที่ไม่เสียภาษีด้วย เช่นเดียวกับการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ทั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลได้ทราบฐานะทางการเงินที่แท้จริงของประชาชน ซึ่งจะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการจัดสวัสดิการให้กับประชาชนได้อย่างเหมาะสมใน อนาคต
มาตรการที่สอง การซื้อสินค้าและบริการที่มีมูลค่ามากกว่า ๗๐๐,๐๐๐ บาท ผู้ซื้อต้องแสดงที่มาของเงิน เช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาใช้และ ป.ป.ง.ได้นำมาใช้ในการซื้อทองคำแล้ว และควรเพิ่มหลักฐานการเสียภาษีเงินได้ประจำปีใน ๓ ปีที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงที่มาของเงินและฐานะการเงินของผู้ซื้อด้วย
มาตรการที่สาม รัฐบาลควรศึกษาวิธีการให้การทำธุรกิจส่วนบุคคลทุกประเภทจดทะเบียนการค้า และมีการเก็บภาษีการค้าในระบบออนไลน์ เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ใช้อยู่ ซึ่งจะช่วยให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพขึ้น และสามารถตรวจสอบฐานะของประชาชนได้อย่างถูกต้อง
ในเรื่องนี้ ต้องขอบคุณ “บิ๊ค คสช.” ที่ “กล้า” ยกเรื่องการเปลี่ยนธนบัตรซึ่งสามารถป้องกันการซุกซ่อนเงินที่ได้มาจากการ กระทำผิดกฎหมายได้อย่างเป็นรูปธรรมมาพิจารณา หรืออาจปรับเปลี่ยนเป็นการทยอยยกเลิกธนบัตรมูลค่าสูง โดยเริ่มจาก ๑,๐๐๐ บาท และ ๕๐๐ บาท คงเหลือธนบัตรหลัก คือ ๑๐๐ บาท ก็ได้
อย่าลืมว่า คสช. “คิดดี” เพื่อบ้านเมือง “พูดดี” แล้ว ต้อง “ทำดี” ให้เกิดมรรคผลต่อบ้านเมืองด้วย
“ทำดีไม่ต้องเดี๋ยว” ครับ

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY