GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผู้ตรวจฯ ชง คสช.ยุบกองทุนน้ำมัน ให้ ปชช.ใช้ราคาเป็นธรรม



ผู้ตรวจฯ ชง คสช.ยุบกองทุนน้ำมัน ให้ ปชช.ใช้ราคาเป็นธรรม นิ่งเฉยยื่นศาลปกครอง

ปธ.ผู้ตรวจฯ ร่อนหนังสือ หน.คสช.ยกเลิกกองทุนน้ำมัน ให้ ปชช.ใช้ในราคาที่เป็นธรรม นิ่งเฉยส่งศาลปกครอง แจงมีผู้ร้องเพียบ เตรียมยกร่างหนังสือชงรัฐ แต่มีรัฐประหารก่อน ยกเหตุตั้งกองทุนน้ำมัน ไม่สอดคล้อง ม.12 พ.ร.บ.เงินคงคลัง ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันผลักภาระ ปชช. ขายปลีกราคาสูง เอื้อประโยชน์ผู้ประกอบการบางราย ออกคำสั่งเนื้อหาเกิน กม....กำหนด

วันนี้ (5 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีหนังสือส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติเสนอเห็นควรให้ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธ.ค. 2547 หรือกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องตามกฎหมาย และจะทำให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับประโยชน์ในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในราคาที่เป็นธรรมมากขึ้น จึงควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายต่อไป โดยมีการระบุว่าหากไม่ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ ผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องให้ศาลปกครองพิจารณา

ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวมีผู้ร้องเรียนมายังผู้ตรวจการแผ่นดินเมื่อเดือน เม.ย. 56 ขอให้พิจารณาและสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีรัฐเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรวมเข้ากับราคาน้ำมันขายปลีกในท้องตลาด ทำให้ประชาชนผู้บริโภคตกเป็นผู้ต้องรับภาระกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นเป็นเหตุให้ได้ความรับความเดือดร้อน ซึ่งผู้ตรวจฯ ได้การพิจารณาจนแล้วเสร็จก่อนหน้านี้ แต่ระหว่างการยกร่างหนังสือเพื่อส่งข้อเสนอแนะดังกล่าวให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อให้พิจารณายกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว แต่เกิดการรัฐประหารขึ้นก่อน คณะรัฐมนตรีรักษาการสิ้นสุดลง ผู้ตรวจฯ จึงได้มีหนังสือดังกล่าวส่งไปยังคสช.

สำหรับหนังสือที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งไปยัง คสช. ระบุเหตุผลประกอบข้อเสนอให้ คสช.พิจารณายกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า การจัดตั้งกองทุนน้ำมันตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ไม่สอดคล้องกับมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ที่ระบุว่า การจ่ายเงินเป็นทุนหรือเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อการใดๆ ให้กระทำได้แต่โดยกฎหมาย โดยโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติประกอบไปด้วย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หรือก๊าซธรรมชาติ (LPG) ภาษีและเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เป็นผู้เรียกเก็บจากผู้ค้าน้ำมันผ่านหน่วยงานบริหารการจัดเก็บภาษี ทำให้ผู้ค้าน้ำมัน ผลักภาระเงินที่จะต้องส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวไปยังประชาชนผู้บริโภคในรูปของราคาขายปลีกที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากประชาชนผู้บริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเรียกเก็บผ่านผู้ค้าน้ำมันโดยหน่วยงานบริหารการจัดเก็บภาษีของรัฐ คือ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร เงินดังกล่าวมีลักษณะเป็นรายได้ของรัฐที่รัฐบาลบังคับเก็บจากผู้บริโภค โดยไม่มีสิ่งตอบแทนโดยตรง เงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวจึงเป็นการนำเงินไปใช้จ่ายในการอุดหนุนเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของผู้ประกอบการเพียงบางราย การเรียกเก็บเงินและการจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงเป็นการดำเนินการไปโดยไม่มีกฎหมายรองรับและให้อำนาจไว้ ขณะที่ตามหลักการคลังมหาชนการเก็บเงินจากประชาชนของภาครัฐนั้นจะต้องใช้ฐานอำนาจตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ

หนังสือดังกล่าวยังระบุอีกว่า ที่นายกฯอ้างว่าออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แต่เมื่อพิจารณาแล้ว พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้วไม่พบว่ามีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจในเรื่องนี้ การมีคำสั่งนายกฯ ครั้งนี้จึงเป็นการออกคำสั่งที่มีเนื้อหาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขณะเดียวกันการจะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายนี้ต้องออกเป็นกฎหมายในลำดับชั้นเดียวกัน

“ทำให้การจัดตั้งกองทุนน้ำมันไม่มีกฎหมายรองรับและไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งการเรียกเก็บเงินและการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯตามคำสั่งนายกฯที่กำหนดให้มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันโดยไม่นำส่งคลังก่อน จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 และมาตรา 12 รวมถึง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2502 ด้วย เห็นควรที่คสช.จะให้สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณายกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสมควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับประโยชน์ในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในราคาที่เป็นธรรมมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ทางผู้ตรวจฯ ยังมีความเห็นเสนอว่าการบริหารกองทุนพลังงาน ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย เนื่องจากเมื่ออพิจารณา พ.ร.ฎ.จัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน พ.ศ. 2556 ที่จัดตั้งเป็นองค์การมหาชน มีหน้าที่จัดหาเงินมาดำเนินการเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมั้นเชื้อเพลิงภายในประเทศ พร้อมดำเนินการต่างๆ ตามนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวกับการบริหารกองทุนพลังงาน เมื่อกองทุนน้ำมันฯ จัดตั้งและดำเนินการโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจในการจัดเก็บ การจ่ายเงินกองทุนน้ำมัน การบริหารกองทุนของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย





 




อดีต ส.ว."คำนูณ" ชำแหละ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมไม่เป็นธรรมต่อคนไทย แนะทบทวนก่อนเปิดสัมปทานรอบใหม่

"คำนูณ" ชำแหละ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เขียนขึ้นเพื่อประโยชน์ผู้รับสัมปทานเพื่อการส่งออกเท่านั้น ไม่มีวัตถุประสงค์ให้คนในประเทศใช้น้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาเลย แนะทบทวนก่อนเปิดสัมปทานรอบใหม่ พร้อมย้ำระบบสัมปทานแบบแบ่งปันผลกำไร จะเพิ่มรายได้ให้ประเทศมากพอที่จะเอามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่ต้องเก็บภาษีเพิ่ม
...
วันนี้ (4 มิ.ย.) เมื่อเวลา 06.50 น. นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.สรรหา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "คำนูณ สิทธิสมาน" ภายใต้หัวข้อ "2 ด้านของเหรียญที่ต้องอยู่คู่กัน"

ใจความว่า "การลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน กับการปฏิรูปพลังงาน คิดให้ดีแล้วเป็น 2 ด้านของเหรียญที่ต้องอยู่คู่กัน การลงทุนต้องใช้เงินมหาศาลในขณะที่สถานการณ์ไม่เอื้อต่อการเก็บภาษีเพิ่มแต่จะใช้เงินกู้ก็มีกรอบวินัยการเงินการคลังกำหนดเพดานไว้ ในขณะที่การปฏิรูปพลังงานตั้งแต่ต้นทางคือเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมในบ้านเราจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลกำไรหรือ profit sharing จะทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นพอมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยยังไม่ต้องเก็บภาษีเพิ่มและไม่ต้องพึ่งเงินกู้อย่างเดียว

สมมติว่าได้ส่วนแบ่งเพิ่มมากขึ้นแค่ปีละ 1 แสนล้านบาทก็พอทำอะไรได้ไม่น้อยแล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงผลที่ตามมาอีกว่าประชาชนในประเทศมีโอกาสบริโภคพลังงานในราคาที่เป็นธรรมด้วย

ระบบสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2514 โดยใช้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้น้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้มีโอกาสใช้ในประเทศเลย เพราะบัญญัติไว้ในมาตรา 64(2) ว่า
"ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลักประกันว่า...รัฐจะไม่จำกัดการส่งปิโตรเลียมออกนอกราชอาณาจักร..."
43 ปีผ่านไป หลักการนี้ยังไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะกับผู้รับสัมปทานรุ่นแรกตามระบบ "THAILAND 1" ที่จะยังมีอายุสัมปทานเหลืออยู่ (บวกต่ออายุ) ถึงปี 2566

นอกจากให้สิทธิผู้รับสัมปทานส่งออกน้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้โดยไม่จำกัดแล้ว พ.ร.บ.ปิโตรเลียมยังระบุไว้ในมาตรา 57 (1) และ (2) ว่าหากจะขายน้ำมันดิบภายในราชอาณาจักรก็ให้ขายในราคาตลาดโลก ดังนี้
"ในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาน้ำมันดิบที่สั่งซื้อจากต่างประเทศส่งถึงโรงกลั่นน้ำมันภายในราชอาณาจักร" - มาตรา 57(1)
"ในกรณีที่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาเฉลี่ยที่ได้รับจริงสำหรับน้ำมันดิบที่ผู้รับสัมปทานทุกรายส่งออกนอกราชอาณาจักรในเดือนปฏิทินที่แล้วมา..." - มาตรา 57(2)

กฎหมายเขียนเพื่อประโยชน์ผู้รับสัมปทานเพื่อการส่งออกจริง ๆ เพราะจะมีกรณีเดียวที่การขายในราชอาณาจักรจะถูกลง ก็ต่อเมื่อเกิดเงื่อนไขตามมาตรา 57(3) คือน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศมีปริมาณ 10 เท่าขึ้นไปของความต้องการใช้ในราชอาณาจักรเท่านั้น

ก่อนจะเปิดสัมปทานรอบที่ 21 หลักการนี้จึงควรได้รับการทบทวน" นายคำนูณ ระบุ




 
 
 
“ม.ล.กร” ชวนคนไทยแสดงออกหนุน คสช. ตรึงราคา LPG เชื่อทุนพลังงานเตรียมค้าน

“ม.ล.กรกสิวัฒน์” เชื่อกลุ่มทุนพลังงานเตรียมออกโรงค้าน คสช. หลังยอมตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ชวนคนไทยแสดงออกสนับสนุนการตัดสินใจครั้งนี้ พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้ก๊าซหุงต้มของภาคธุรกิจปิโตรเคมี

วันนี้ (2 มิ.ย.) เมื่อเวลา 00.36 น. ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี โพสต์ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก “คุยกับหม่อมกร” ถึงกรณีที่ พล.อ.อ....ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศเปลี่ยนแปลงให้ก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน (แอลพีจี) กลับไปใช้ราคาเดิมของเดือน พ.ค. ซึ่งจะมีราคาอยู่ที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัมไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีภาพรวมให้แล้วเสร็จ ว่า “เป็นที่คาดหมายได้ว่าในช่วงสองสามวันต่อจากนี้กลุ่มผลประโยชน์พลังงานในคราบนักวิชาการจะออกมาค้าน คสช. เรื่องการชะลอการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการลงหนังสือพิมพ์หัวธุรกิจแบบให้ความจริงครึ่งเดียว เพื่อให้เกิดความไขว้เขว

ดังนั้น ขอให้พี่น้องภาคประชาชนร่วมแสดงการสนับสนุน คสช. ในการตัดสินใจยับยั้งการขึ้นราคาพลังงานครั้งนี้ รวมถึงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้ก๊าซหุงต้มของภาคธุรกิจปิโตรเคมีที่ใช้ในปริมาณมาก และในราคาต่ำกว่ากิโลกรัมละ 20 บาท

โดยในการดำเนินการนี้ ควรมีภาคประชาชนเข้าร่วมให้ข้อมูลและร่วมตรวจสอบ เพื่อประโยชน์ของ คสช. ในการได้รับข้อมูลที่รอบด้านและนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องและเป็นธรรมต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรใต้ผืนแผ่นดินไทยที่แท้จริง

ขอให้ภาคประชาชนร่วมแสดงออกสนับสนุนการตัดสินใจของ คสช. ในการตัดสินใจยับยั้งการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน เพราะเรามีแค่ต้นทุนคือเครื่องมือพลังทางโซเชียลครับ”
See More

 
เปลว สีเงิน
6 June, 2014

พงศาวสันดานตำนาน "ดอกทอง"
...
เมื่อวาน (๕ มิ.ย.๕๗) คุยเรื่องรัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย "หยาบคายเกินตัว" เห็นยุโรป-สหรัฐแถลงการณ์อัดกองทัพไทย ก็เบ่งกล้ามตามประกาศห้ามผู้นำ คสช. "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" เข้าออสเตรเลีย
ก็ว่าจะจบแค่นั้น แต่มีแฟนๆ fb ส่งภาพมาให้ดู ๒ ภาพ ๑ ข่าว ทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้ ก็ขอคุยต่ออีกซักนิด
ข่าวนั้นเป็นข่าวตีพิมพ์ใน นสพ. "ข่าวสด" นายโจเซฟ ไวส์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประจำไทย และนางซาราห์ โรเบิร์ต ที่ปรึกษา ไปเยี่ยม "นายขวัญชัย ไพรพนา" ที่บ้าน "เรือนขวัญอาภรณ์" อุดรธานี  ส่วนภาพ เป็นภาพท่านทูตและที่ปรึกษา แอคอาร์ตถ่ายหมู่กับนายขวัญชัยและภรรยา "นางอาภรณ์ สาราคำ" ในการไปเยี่ยมนั้น ลีลา "แทรกแซง" กิจการภายใน ก็แบบเดียวกับสหรัฐ ที่เลขานุการเอกฝ่ายเมือง สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐในไทย ยกคณะไปเยี่ยมหมู่บ้านเสื้อแดงที่อุดรธานี เมื่อเดือนกุมภา ๕๗ 
ส่วนอีกภาพ ตัดจากหนังสือพิมพ์ เข้าใจว่าไทยรัฐมาโพสต์ เป็นภาพคนไทยกลุ่มหนึ่ง ส่วนมากเป็นผู้หญิง นำดอกไม้ไปมอบเจ้าหน้าที่ที่สถานทูตออสเตรเลีย ขอบอก-ขอบใจ ที่แถลงการณ์ "แสดงความไม่เป็นมิตร" กับไทย และหยามเกียรติกองทัพ ประกาศ ออสเตรเลีย "ไม่ต้อนรับผู้นำ คสช.!"
ครับ...ทั้งภาพและข่าว ทำให้หายสงสัยว่า ทำไมออสเตรเลียจึงต้องแสดงความไม่เป็นมิตรกับไทย และหยาบคายด้วยจงใจถึงขนาดนี้ ก็เพราะทั้ง สหรัฐ-ออสเตรเลีย แสดงตนเป็น "แนวร่วมระบอบทักษิณ" เข้าแทรกแซงกิจการภายในเปิดเผย ด้วยหวังอะไร "จากไทย" ก็...รู้ๆ กันอยู่  นี่ถ้า คสช.ไม่เข้าควบคุมอำนาจปกครองประเทศ มีความเป็นไปได้สูง ที่ "กองทัพใต้ดิน" ระบอบทักษิณ เมื่อถึงจุดหนึ่ง อาจได้รับการสนับสนุนอาวุธเพื่อก่อการล่มชาติ-ล้มสถาบัน เหมือนที่ทำในลิเบีย อียิปต์ ซีเรีย ดังประจักษ์  แต่ที่ต้องย้อนกลับมาคุยวันนี้ เพราะสะดุดใจตรงคนไทยกลุ่มหนึ่ง เอาดอกไม้ไปขอบคุณออสเตรเลียนี่แหละ ขอบคุณต่างชาติ ที่ "หยาบหยามประเทศไทยและผู้นำไทย!"ทำให้ผมย้อนคิดไปถึงประวัติศาสตร์ครั้ง "พม่าเผากรุง" เมื่อ พศ.๒๓๑๐ ที่พม่าบุกเข้าพระนครชั้นในเข้าปล้นวัด-ปล้นปราสาทราชวังได้ นั่นเพราะ มีคนไทยกลุ่มหนึ่ง "พอใจ-สะใจ" ได้เห็นต่างชาติ เหยียบย่ำทำลาย หยาบหยาม-ยึดครองชาติตัวเอง! เหมือนดังที่ "สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ทรงกล่าวสรุป "อยุธยาเสียกรุง" ไว้ว่า...
"ไทยอ่อนกำลังลงด้วยการจลาจลในประเทศ ไทยด้วยกันมุ่งหมายกำจัดพวกเดียวกันเอง...ฯลฯ...." และตาม "คำให้การของชาวกรุงเก่า" ที่ระบุว่า
".......มีคนไทยชื่อ "พระยาพลเทพ" ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยา เอาใจออกห่าง ลอบส่งศัสตราวุธ เสบียงอาหาร ให้แก่พม่า สัญญาว่าจะเปิดประตู (ด้านทิศตะวันออก) คอยรับเมื่อพม่าเข้าโจมตี เข้าใจว่า เป็นบริเวณหัวรอหรือใกล้เคียง ซึ่งพม่าก็ได้ระดมเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทางด้านนี้ ตามที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้......"
เนี่ย...ก็นานมาตั้ง ๒๔๗ ปี ไม่นึกว่าจะได้เห็น มาวันนี้ก็ได้เห็น "คนไทย" กลุ่มหนึ่ง คงไม่ต้องบอกว่าพวกไหน เป็นข้าทาสบริวารพระยาพลเทพกลับชาติมาเกิดหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ออสเตรเลีย มันด่า มันหยาบหยาม บ้านเกิดเมืองนอนตัวเอง กลับดีอก-ดีใจ แห่กันนำดอกไม้ไปพินอบขอบคุณ?
ถ้าแยกไม่ออกระหว่าง "ชาติ" กับ "น้ำข้าว" อยู่เป็นคนไทยหาหอกอะไรล่ะ...พวกมึงควรตายซะ! เผอิญวันอาทิตย์นี้ "คุณเป็ด เชิญยิ้ม" ชวนไปจุดตะเกียง ๑๐,๐๐๐ ลูก เป็นพุทธบูชา รอบเจดีย์ชเวดากองที่พม่า เมื่อเห็นพฤติกรรมคนกลุ่มนี้ บวกกับนึกถึงเจดีย์ชเวดากอง  ทำให้ประโยคหนึ่งที่คนไทยชอบพูดแวบขึ้นในหัว..........."ทองที่หุ้มพระเจดีย์ชเวดากอง ส่วนหนึ่งเป็นทองที่พม่า "เผากรุง-เผาวัด" แล้วลอกเอาไป"  แล้วผมก็มานั่งตรอง ยิ่งสัปดาห์ก่อนโน้น ฟังคุณ "ทนง ขันทอง" คุยบนโต๊ะข้าวให้ฟังว่า.....
"ดูตามเหตุผลแล้ว พม่าเผากรุงไม่เถียง แต่ที่ประวัติศาสตร์บอกว่า พม่าเผาวัด เผาพระพุทธรูป "ลอกทอง" เอากลับไปพม่านั้น ไม่น่าเป็นจริง
เพราะพม่านับถือพระพุทธศาสนาเหมือนไทย และพระพุทธศาสนาตั้งมั่นในพม่าก่อนไทยนับเป็นพันๆ ปี
แม้กระทั่งทุกวันนี้ คนพม่าก็ยังนับถือพระพุทธศาสนา แถมจะเคร่งครัด-จริงจังกว่าคนไทยด้วยซ้ำ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่พม่าจะเผาวัด-เผาพระพุทธรูป ลอกเอาทอง  ผมก็ว่า "เป็นเหตุผล" อีกอย่าง เจดีย์ชเวดากองนั้น สร้างมากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว เรียกว่า ก่อนพม่าเผากรุงศรีอยุธยาเมื่อปี ๒๓๑๐ ซึ่งก็แค่ ๒๔๗ ปีมานี้เอง  และตามเอกสารประวัติศาสตร์ ก็ไม่ปรากฏว่าในช่วง ๒๔๗ ปี ชเวดากองมีการเสริมสร้าง เอาทองที่ลอกจากไทย หรือจากที่ไหนไปหุ้มเจดีย์แต่อย่างใด มีแต่บูรณะเล็กๆ น้อยๆ ตอนแผ่นดินไหว ปี ๒๓๑๑ ซึ่งก็เป็นการบูรณะตามสภาพโบราณสถานที่มีอันทรุดโทรมบ้างเท่านั้น ไม่ว่าอ่านจากบันทึกเล่มไหน ทั้งของพม่า ของไทย ของชาวต่างชาติ มีแต่บอกว่า ชาวพม่าศรัทธาแก่กล้าในพระพุทธศาสนา บริจาค แก้ว แหวน เพชรนิลจินดา ประดับยอดเจดีย์ และบริจาคทองคำนับพันกิโล หุ้มรอบองค์พระเจดีย์
ฉะนั้น ที่คนไทยมักพูดตามๆ กันไป ไม่ว่าพูดจริง, พูดเรื่อยเปื่อย, พูดด้วยอคติ ที่ว่า "พม่าลอกทองพระพุทธรูปจากกรุงศรีอยุธยาไปหุ้มเจดีย์ชเวดากอง" นั้น ควรเลิกพูด-เลิกสอน-เลิกเข้าใจ อย่างนั้นกันได้แล้ว! มีแต่ไทยเรานี่แหละ ตัดเศียรพระ ขโมยพระ ไปขาย แค่นั้นยังระยำไม่พอ...วันนี้ "ชาติ" มันก็ขาย  ผมอ่านเกี่ยวกับ "คำให้การขุนหลวงหาวัด" คือ "สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร" และ "คำให้การชาวกรุงเก่า" พบบทความ "พม่าเผาเมืองอยุธยาจริงหรือ?" ลองอ่านมั้ยล่ะ....?
"พม่าเพียงจุดไฟเผาพระราชวัง และปล้นสะดมเอาทรัพย์สมบัติอันมีค่าไป จากวัดสำคัญไม่กี่วัด เช่น วัดพระศรีสรรเพชญ์ เอาไฟจุดเผาสำรอกเอาทองคำที่หุ้มพระศรีสรรเพชญ์ที่อยู่ในวิหารหลวง การขนสมบัติก็ขนเฉพาะของมีค่า เช่น ทอง เงิน พลอย โดยปิดประตูเมือง และหย่อนของออกนอกกำแพง
พม่ายึดกรุงศรีอยุธยาได้ไม่กี่วันก็มีหมายรับสั่งจากกษัตริย์พม่าให้ยกทัพ กลับ เพราะมีศึกติดพันกับจีน ที่อยุธยาร่วงโรยเป็นผุยผง ก็เพราะฝีมือคนไทย จีน และคนต่างศาสนา พากันขุดตามเจดีย์ รื้อทำลายเพี่อหวังทรัพย์สมบัติที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อได้แล้วก็เอามาหลอม โดยใช้บานประตูและหน้าต่างของวัดมาเป็นเชื้อฟืนในการหลอม จึงทำให้งานแกะสลักสมัยอยุธยาแทบจะสาบสูญ จากนั้นทำเป็นแท่งส่งไปขายต่างประเทศได้หลายลำสำเภา จนสมัย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องเก็บภาษีพวกขุดค้น เพราะไม่มีกำลังพอจะกำราบ การขุดค้นทำโดยการเปิดเผย จึงทำให้โบราณสถานย่อยยับ สมัย ร.๑ เนื่องจากจำเป็นต้องสร้างเมืองใหม่ที่บางกอก จึงต้องมาขนอิฐบรรทุกเรือไปใช้ในการก่อสร้างกรุงเทพฯ จำนวนมาก มีบันทึกว่าการที่วัดพระเชตุพนฯ ต้องซื้ออิฐเก่าที่มีผู้คนเอามาขาย เพื่ออัดทำฐานรากของวัด นักขายอิฐทำการเป็นล่ำเป็นสันล่วงมาจนสมัยหลัง ในการก่อสร้างของราชการ ถึงกับระบุว่า ต้องเอาจากกรุงเก่ามาถมเป็นรากฐาน ด้วยเป็นอิฐแข็งแกร่ง ดีกว่าที่เผาใหม่
สมัยสงครามโลก ทางกรมการศาสนาถึงแก่ดำริให้มีการประมูลซื้ออิฐจากวัดร้าง ครานี้วัดเก่าต่างๆ จึงสูญหายไป เหลือแต่ร่องรอยเนินดินของวัด ด้วยว่าทำกันอย่างเปิดเผย ส่วนกรุตามวัดต่างๆ มีถูกขุดในช่วงสงครามจนหมด เช่น ที่วัดราชบูรณะ และที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่สถูปเจดีย์สามองค์ คนร้ายขุดได้ทองไปสามคันรถเจ๊ก (รถรับจ้างใช้คนลาก : พงศ์สรรค์) แล้วไปหลอมทำลายรูปพรรณที่ร้านทองแถบหัวรอ นับว่าได้ของมากด้วยเป็นวัดในวังหลวง
การบันทึกประวัติศาสตร์เพื่อเป็นตำราให้ลูกให้หลานได้ศึกษา หากนำเสนอความจริงไม่ครบทุกด้าน ก็จะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ที่ต้องมาเรียนรู้กับสิ่งที่ไร้ซึ่งความจริง!!!
ที่มา : http://www.jjmalls.com/content847-พม่าเผาเมืองอยุธยา จริงหรือ..?.html
ครับ...จากบทความนี้ ระบุ พม่า "ปล้นวัดไม่กี่วัด" เอาไฟเผาองค์พระศรีสรรเพชญ์ สำรอกเอาทองคำไป จากนั้น มีคนไทย คนจีน คนต่างศาสนา มารื้อ ขุด ลอก เผา เอาทอง เอาสมบัติ
พิเคราะห์แล้ว มันมั่วๆ กันไปหมด ยากสรุปเด็ดขาดว่า พม่า หรือคนไทย หรือต่างชาติ ซึ่งในขณะนั้น มีทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลแลนด์ กรีก ซึ่งล้วนเป็น "คนนอกศาสนา" อยู่ในกรุงศรีอยุธยา
ตามพงศาวดารบอก ไฟไหม้เมืองชั้นในอยู่ ๑๕ วัน ก็มีความเป็นไปได้ จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจะเผาวัด เมื่อวัดกับวังที่กรุงศรีฯ "อยู่ด้วยกัน" จึงพลอยถูกเผาไปด้วย
ครั้นดูเวลา ไฟไหม้ ๑๕ วัน ๑๕ คืน แต่กองทัพพม่าอยู่ที่อยุธยาแค่เดือนพฤษภาเดือนเดียว ต้นมิถุนาก็ต้องถอนกลับ เพราะ "พระเจ้ามังระ" มีรับสั่งให้กลับไปช่วยรับศึกจีน ถ้าเจตนาจะตั้งหน้า-ตั้งตาลอกทองพระพุทธรูปมากมายในอยุธยา เวลาแค่นั้นไม่พอแน่! สรุปแล้ว พวกที่ "ลอกทอง" ประเทศไทย ยังไม่ชัดเท่าพวก "ดอกทอง" ประเทศไทย...เอาดอกไม้ไปมอบศัตรู!.
 
 

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY