ผู้ตรวจฯ ชง คสช.ยุบกองทุนน้ำมัน ให้ ปชช.ใช้ราคาเป็นธรรม นิ่งเฉยยื่นศาลปกครอง
ปธ.ผู้ตรวจฯ ร่อนหนังสือ หน.คสช.ยกเลิกกองทุนน้ำมัน ให้ ปชช.ใช้ในราคาที่เป็นธรรม นิ่งเฉยส่งศาลปกครอง แจงมีผู้ร้องเพียบ เตรียมยกร่างหนังสือชงรัฐ แต่มีรัฐประหารก่อน ยกเหตุตั้งกองทุนน้ำมัน ไม่สอดคล้อง ม.12 พ.ร.บ.เงินคงคลัง ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันผลักภา ระ ปชช. ขายปลีกราคาสูง เอื้อประโยชน์ผู้ประกอบการบ างราย ออกคำสั่งเนื้อหาเกิน กม....กำหนด
วันนี้ (5 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีหนังสือส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่ง ชาติ หรือ คสช. กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติ เสนอเห็นควรให้ยกเลิกคำสั่ง นายกรัฐมนตรีที่ 4/ 2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขแ ละป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเ ชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธ.ค. 2547 หรือกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่อง ที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงให้ถ ูกต้องตามกฎหมาย และจะทำให้ประชาชนผู้บริโภค ได้รับประโยชน์ในการใช้น้ำม ันเชื้อเพลิงในราคาที่เป็นธ รรมมากขึ้น จึงควรพิจารณาดำเนินการให้เ ป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายต่อไป โดยมีการระบุว่าหากไม่ดำเนิ นการแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสน อแนะ ผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่ องให้ศาลปกครองพิจารณา
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวมีผู้ร้องเรี ยนมายังผู้ตรวจการแผ่นดินเม ื่อเดือน เม.ย. 56 ขอให้พิจารณาและสอบสวนข้อเท ็จจริงกรณีรัฐเรียกเก็บเงิน เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมเข้ากับราคาน้ำมันขายปลี กในท้องตลาด ทำให้ประชาชนผู้บริโภคตกเป็ นผู้ต้องรับภาระกับราคาน้ำม ันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นเป็น เหตุให้ได้ความรับความเดือด ร้อน ซึ่งผู้ตรวจฯ ได้การพิจารณาจนแล้วเสร็จก่ อนหน้านี้ แต่ระหว่างการยกร่างหนังสือ เพื่อส่งข้อเสนอแนะดังกล่าว ให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ พิจารณายกเลิกคำสั่งนายกรัฐ มนตรีดังกล่าว แต่เกิดการรัฐประหารขึ้นก่อ น คณะรัฐมนตรีรักษาการสิ้นสุด ลง ผู้ตรวจฯ จึงได้มีหนังสือดังกล่าวส่ง ไปยังคสช.
สำหรับหนังสือที่ผู้ตรวจการ แผ่นดินส่งไปยัง คสช. ระบุเหตุผลประกอบข้อเสนอให้ คสช.พิจารณายกเลิกกองทุนน้ำ มันเชื้อเพลิงว่า การจัดตั้งกองทุนน้ำมันตามค ำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวไ ม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎห มาย ไม่สอดคล้องกับมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ที่ระบุว่า การจ่ายเงินเป็นทุนหรือเป็น ทุนหมุนเวียนเพื่อการใดๆ ให้กระทำได้แต่โดยกฎหมาย โดยโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำ มันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชา ติประกอบไปด้วย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หรือก๊าซธรรมชาติ (LPG) ภาษีและเงินส่งเข้ากองทุนน้ ำมันฯและกองทุนเพื่อส่งเสริ มการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งสถาบันบริหารกองทุนพลัง งาน เป็นผู้เรียกเก็บจากผู้ค้าน ้ำมันผ่านหน่วยงานบริหารการ จัดเก็บภาษี ทำให้ผู้ค้าน้ำมัน ผลักภาระเงินที่จะต้องส่งเข ้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวไปยังประชาชนผู้บริ โภคในรูปของราคาขายปลีกที่ส ูงขึ้น
นอกจากนี้ การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมั นจากประชาชนผู้บริโภคน้ำมัน เชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเรียกเก็บผ่านผู้ค้าน้ำ มันโดยหน่วยงานบริหารการจัด เก็บภาษีของรัฐ คือ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร เงินดังกล่าวมีลักษณะเป็นรา ยได้ของรัฐที่รัฐบาลบังคับเ ก็บจากผู้บริโภค โดยไม่มีสิ่งตอบแทนโดยตรง เงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวจ ึงเป็นการนำเงินไปใช้จ่ายใน การอุดหนุนเพื่อประโยชน์ทาง ธุรกิจของผู้ประกอบการเพียง บางราย การเรียกเก็บเงินและการจ่าย เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพ ลิง จึงเป็นการดำเนินการไปโดยไม ่มีกฎหมายรองรับและให้อำนาจ ไว้ ขณะที่ตามหลักการคลังมหาชนก ารเก็บเงินจากประชาชนของภาค รัฐนั้นจะต้องใช้ฐานอำนาจตา มกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ
หนังสือดังกล่าวยังระบุอีกว ่า ที่นายกฯอ้างว่าออกคำสั่งนา ยกรัฐมนตรีดังกล่าวโดยอาศัย อำนาจตามมาตรา 3 พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะก ารขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แต่เมื่อพิจารณาแล้ว พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้วไม่พบว่าม ีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจในเ รื่องนี้ การมีคำสั่งนายกฯ ครั้งนี้จึงเป็นการออกคำสั่ งที่มีเนื้อหาเกินกว่าที่กฎ หมายกำหนด ขณะเดียวกันการจะแก้ไขเพิ่ม เติมกฎหมายนี้ต้องออกเป็นกฎ หมายในลำดับชั้นเดียวกัน
“ทำให้การจัดตั้งกองทุนน้ำม ันไม่มีกฎหมายรองรับและไม่ช อบด้วยกฎหมาย อีกทั้งการเรียกเก็บเงินและ การใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมัน ฯตามคำสั่งนายกฯที่กำหนดให้ มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำ มันโดยไม่นำส่งคลังก่อน จึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 และมาตรา 12 รวมถึง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2502 ด้วย เห็นควรที่คสช.จะให้สำนักนา ยกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พิจารณายกเลิกคำสั่งนายกรัฐ มนตรีดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วย กฎหมาย และสมควรพิจารณาดำเนินการให ้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ประชาชนผู้บริโภ คได้รับประโยชน์ในการใช้น้ำ มันเชื้อเพลิงในราคาที่เป็น ธรรมมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ทางผู้ตรวจฯ ยังมีความเห็นเสนอว่าการบริ หารกองทุนพลังงาน ของสถาบันบริหารกองทุนพลังง าน ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย เนื่องจากเมื่ออพิจารณา พ.ร.ฎ.จัดตั้งสถาบันบริหารก องทุนพลังงาน พ.ศ. 2556 ที่จัดตั้งเป็นองค์การมหาชน มีหน้าที่จัดหาเงินมาดำเนิน การเพื่อรักษาระดับราคาขายป ลีกน้ำมั้นเชื้อเพลิงภายในป ระเทศ พร้อมดำเนินการต่างๆ ตามนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ย วกับการบริหารกองทุนพลังงาน เมื่อกองทุนน้ำมันฯ จัดตั้งและดำเนินการโดยไม่ม ีกฎหมายให้อำนาจในการจัดเก็ บ การจ่ายเงินกองทุนน้ำมัน การบริหารกองทุนของสถาบันบร ิหารกองทุนพลังงานจึงไม่ชอบ ด้วยกฎหมายไปด้วย
ปธ.ผู้ตรวจฯ ร่อนหนังสือ หน.คสช.ยกเลิกกองทุนน้ำมัน ให้ ปชช.ใช้ในราคาที่เป็นธรรม นิ่งเฉยส่งศาลปกครอง แจงมีผู้ร้องเพียบ เตรียมยกร่างหนังสือชงรัฐ แต่มีรัฐประหารก่อน ยกเหตุตั้งกองทุนน้ำมัน ไม่สอดคล้อง ม.12 พ.ร.บ.เงินคงคลัง ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันผลักภา
วันนี้ (5 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีหนังสือส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่ง
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวมีผู้ร้องเรี
สำหรับหนังสือที่ผู้ตรวจการ
นอกจากนี้ การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมั
หนังสือดังกล่าวยังระบุอีกว
“ทำให้การจัดตั้งกองทุนน้ำม
อย่างไรก็ตาม ทางผู้ตรวจฯ ยังมีความเห็นเสนอว่าการบริ
อดีต ส.ว."คำนูณ" ชำแหละ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมไม่เป็นธรร มต่อคนไทย แนะทบทวนก่อนเปิดสัมปทานรอบ ใหม่
"คำนูณ" ชำแหละ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เขียนขึ้นเพื่อประโยชน์ผู้ร ับสัมปทานเพื่อการส่งออกเท่ านั้น ไม่มีวัตถุประสงค์ให้คนในปร ะเทศใช้น้ำมันดิบที่ขุดขึ้น มาเลย แนะทบทวนก่อนเปิดสัมปทานรอบ ใหม่ พร้อมย้ำระบบสัมปทานแบบแบ่ง ปันผลกำไร จะเพิ่มรายได้ให้ประเทศมากพ อที่จะเอามาลงทุนโครงสร้างพ ื้นฐานโดยไม่ต้องเก็บภาษีเพ ิ่ม
...
วันนี้ (4 มิ.ย.) เมื่อเวลา 06.50 น. นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.สรรหา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่ว นตัว "คำนูณ สิทธิสมาน" ภายใต้หัวข้อ "2 ด้านของเหรียญที่ต้องอยู่คู ่กัน"
ใจความว่า "การลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโคร งสร้างพื้นฐาน กับการปฏิรูปพลังงาน คิดให้ดีแล้วเป็น 2 ด้านของเหรียญที่ต้องอยู่คู ่กัน การลงทุนต้องใช้เงินมหาศาลใ นขณะที่สถานการณ์ไม่เอื้อต่ อการเก็บภาษีเพิ่มแต่จะใช้เ งินกู้ก็มีกรอบวินัยการเงิน การคลังกำหนดเพดานไว้ ในขณะที่การปฏิรูปพลังงานตั ้งแต่ต้นทางคือเปลี่ยนระบบก ารบริหารจัดการทรัพยากรปิโต รเลียมในบ้านเราจากระบบสัมป ทานเป็นระบบแบ่งปันผลกำไรหร ือ profit sharing จะทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ ้นพอมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐา นโดยยังไม่ต้องเก็บภาษีเพิ่ มและไม่ต้องพึ่งเงินกู้อย่า งเดียว
สมมติว่าได้ส่วนแบ่งเพิ่มมา กขึ้นแค่ปีละ 1 แสนล้านบาทก็พอทำอะไรได้ไม่ น้อยแล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงผลที่ตา มมาอีกว่าประชาชนในประเทศมี โอกาสบริโภคพลังงานในราคาที ่เป็นธรรมด้วย
ระบบสัมปทานปิโตรเลียมในประ เทศไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2514 โดยใช้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้น้ำ มันดิบที่ขุดขึ้นมาได้มีโอก าสใช้ในประเทศเลย เพราะบัญญัติไว้ในมาตรา 64(2) ว่า
"ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลั กประกันว่า...รัฐจะไม่จำกัด การส่งปิโตรเลียมออกนอกราชอ าณาจักร..."
43 ปีผ่านไป หลักการนี้ยังไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะกับผู้รับสัมปทานรุ ่นแรกตามระบบ "THAILAND 1" ที่จะยังมีอายุสัมปทานเหลือ อยู่ (บวกต่ออายุ) ถึงปี 2566
นอกจากให้สิทธิผู้รับสัมปทา นส่งออกน้ำมันดิบที่ขุดขึ้น มาได้โดยไม่จำกัดแล้ว พ.ร.บ.ปิโตรเลียมยังระบุไว้ ในมาตรา 57 (1) และ (2) ว่าหากจะขายน้ำมันดิบภายในร าชอาณาจักรก็ให้ขายในราคาตล าดโลก ดังนี้
"ในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับสั มปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได ้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจ ำ ให้ขายไม่เกินราคาน้ำมันดิบ ที่สั่งซื้อจากต่างประเทศส่ งถึงโรงกลั่นน้ำมันภายในราช อาณาจักร" - มาตรา 57(1)
"ในกรณีที่มีผู้รับสัมปทานส ่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอ กราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาเฉลี่ยที่ ได้รับจริงสำหรับน้ำมันดิบท ี่ผู้รับสัมปทานทุกรายส่งออ กนอกราชอาณาจักรในเดือนปฏิท ินที่แล้วมา..." - มาตรา 57(2)
กฎหมายเขียนเพื่อประโยชน์ผู ้รับสัมปทานเพื่อการส่งออกจ ริง ๆ เพราะจะมีกรณีเดียวที่การขา ยในราชอาณาจักรจะถูกลง ก็ต่อเมื่อเกิดเงื่อนไขตามม าตรา 57(3) คือน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในปร ะเทศมีปริมาณ 10 เท่าขึ้นไปของความต้องการใช ้ในราชอาณาจักรเท่านั้น
ก่อนจะเปิดสัมปทานรอบที่ 21 หลักการนี้จึงควรได้รับการท บทวน" นายคำนูณ ระบุ
"คำนูณ" ชำแหละ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เขียนขึ้นเพื่อประโยชน์ผู้ร
...
วันนี้ (4 มิ.ย.) เมื่อเวลา 06.50 น. นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.สรรหา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่ว
ใจความว่า "การลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโคร
สมมติว่าได้ส่วนแบ่งเพิ่มมา
ระบบสัมปทานปิโตรเลียมในประ
"ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลั
43 ปีผ่านไป หลักการนี้ยังไม่เคยเปลี่ยน
นอกจากให้สิทธิผู้รับสัมปทา
"ในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับสั
"ในกรณีที่มีผู้รับสัมปทานส
กฎหมายเขียนเพื่อประโยชน์ผู
ก่อนจะเปิดสัมปทานรอบที่ 21 หลักการนี้จึงควรได้รับการท
“ม.ล.กร” ชวนคนไทยแสดงออกหนุน คสช. ตรึงราคา LPG เชื่อทุนพลังงานเตรียมค้าน
“ม.ล.กรกสิวัฒน์” เชื่อกลุ่มทุนพลังงานเตรียม ออกโรงค้าน คสช. หลังยอมตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ชวนคนไทยแสดงออกสนับสนุนการ ตัดสินใจครั้งนี้ พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจ สอบการใช้ก๊าซหุงต้มของภาคธ ุรกิจปิโตรเคมี
วันนี้ (2 มิ.ย.) เมื่อเวลา 00.36 น. ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี โพสต์ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก “คุยกับหม่อมกร” ถึงกรณีที่ พล.อ.อ....ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแ ห่งชาติ (คสช.) ประกาศเปลี่ยนแปลงให้ก๊าซหุ งต้มภาคครัวเรือน (แอลพีจี) กลับไปใช้ราคาเดิมของเดือน พ.ค. ซึ่งจะมีราคาอยู่ที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัมไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับโครงสร้าง ราคาแอลพีจีภาพรวมให้แล้วเส ร็จ ว่า “เป็นที่คาดหมายได้ว่าในช่ว งสองสามวันต่อจากนี้กลุ่มผล ประโยชน์พลังงานในคราบนักวิ ชาการจะออกมาค้าน คสช. เรื่องการชะลอการขึ้นราคาก๊ าซหุงต้มภาคครัวเรือนอย่างแ น่นอน โดยเฉพาะการลงหนังสือพิมพ์ห ัวธุรกิจแบบให้ความจริงครึ่ งเดียว เพื่อให้เกิดความไขว้เขว
ดังนั้น ขอให้พี่น้องภาคประชาชนร่วม แสดงการสนับสนุน คสช. ในการตัดสินใจยับยั้งการขึ้ นราคาพลังงานครั้งนี้ รวมถึงเรียกร้องให้มีการตรว จสอบการใช้ก๊าซหุงต้มของภาค ธุรกิจปิโตรเคมีที่ใช้ในปริ มาณมาก และในราคาต่ำกว่ากิโลกรัมละ 20 บาท
โดยในการดำเนินการนี้ ควรมีภาคประชาชนเข้าร่วมให้ ข้อมูลและร่วมตรวจสอบ เพื่อประโยชน์ของ คสช. ในการได้รับข้อมูลที่รอบด้า นและนำไปสู่การตัดสินใจที่ถ ูกต้องและเป็นธรรมต่อประชาช นผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรใต้ ผืนแผ่นดินไทยที่แท้จริง
ขอให้ภาคประชาชนร่วมแสดงออก สนับสนุนการตัดสินใจของ คสช. ในการตัดสินใจยับยั้งการขึ้ นราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือ น เพราะเรามีแค่ต้นทุนคือเครื ่องมือพลังทางโซเชียลครับ” See More
“ม.ล.กรกสิวัฒน์” เชื่อกลุ่มทุนพลังงานเตรียม
วันนี้ (2 มิ.ย.) เมื่อเวลา 00.36 น. ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี โพสต์ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก “คุยกับหม่อมกร” ถึงกรณีที่ พล.อ.อ....ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแ
ดังนั้น ขอให้พี่น้องภาคประชาชนร่วม
โดยในการดำเนินการนี้ ควรมีภาคประชาชนเข้าร่วมให้
ขอให้ภาคประชาชนร่วมแสดงออก
เปลว สีเงิน
6 June, 2014
พงศาวสันดานตำนาน "ดอกทอง"
...
เมื่อวาน (๕ มิ.ย.๕๗) คุยเรื่องรัฐมนตรีต่างประเท ศออสเตรเลีย "หยาบคายเกินตัว" เห็นยุโรป-สหรัฐแถลงการณ์อั ดกองทัพไทย ก็เบ่งกล้ามตามประกาศห้ามผู ้นำ คสช. "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" เข้าออสเตรเลีย
ก็ว่าจะจบแค่นั้น แต่มีแฟนๆ fb ส่งภาพมาให้ดู ๒ ภาพ ๑ ข่าว ทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้ ก็ขอคุยต่ออีกซักนิด
ข่าวนั้นเป็นข่าวตีพิมพ์ใน นสพ. "ข่าวสด" นายโจเซฟ ไวส์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประ จำประจำไทย และนางซาราห์ โรเบิร์ต ที่ปรึกษา ไปเยี่ยม "นายขวัญชัย ไพรพนา" ที่บ้าน "เรือนขวัญอาภรณ์" อุดรธานี ส่วนภาพ เป็นภาพท่านทูตและที่ปรึกษา แอคอาร์ตถ่ายหมู่กับนายขวัญ ชัยและภรรยา "นางอาภรณ์ สาราคำ" ในการไปเยี่ยมนั้น ลีลา "แทรกแซง" กิจการภายใน ก็แบบเดียวกับสหรัฐ ที่เลขานุการเอกฝ่ายเมือง สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐในไท ย ยกคณะไปเยี่ยมหมู่บ้านเสื้อ แดงที่อุดรธานี เมื่อเดือนกุมภา ๕๗
6 June, 2014
พงศาวสันดานตำนาน "ดอกทอง"
...
เมื่อวาน (๕ มิ.ย.๕๗) คุยเรื่องรัฐมนตรีต่างประเท
ก็ว่าจะจบแค่นั้น แต่มีแฟนๆ fb ส่งภาพมาให้ดู ๒ ภาพ ๑ ข่าว ทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้ ก็ขอคุยต่ออีกซักนิด
ข่าวนั้นเป็นข่าวตีพิมพ์ใน นสพ. "ข่าวสด" นายโจเซฟ ไวส์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประ
ส่วนอีกภาพ ตัดจากหนังสือพิมพ์ เข้าใจว่าไทยรัฐมาโพสต์ เป็นภาพคนไทยกลุ่มหนึ่ง ส่วนมากเป็นผู้หญิง นำดอกไม้ไปมอบเจ้าหน้าที่ที ่สถานทูตออสเตรเลีย ขอบอก-ขอบใจ ที่แถลงการณ์ "แสดงความไม่เป็นมิตร" กับไทย และหยามเกียรติกองทัพ ประกาศ ออสเตรเลีย "ไม่ต้อนรับผู้นำ คสช.!"
ครับ...ทั้งภาพและข่าว ทำให้หายสงสัยว่า ทำไมออสเตรเลียจึงต้องแสดงค วามไม่เป็นมิตรกับไทย และหยาบคายด้วยจงใจถึงขนาดน ี้ ก็เพราะทั้ง สหรัฐ-ออสเตรเลีย แสดงตนเป็น "แนวร่วมระบอบทักษิณ" เข้าแทรกแซงกิจการภายในเปิด เผย ด้วยหวังอะไร "จากไทย" ก็...รู้ๆ กันอยู่ นี่ถ้า คสช.ไม่เข้าควบคุมอำนาจปกคร องประเทศ มีความเป็นไปได้สูง ที่ "กองทัพใต้ดิน" ระบอบทักษิณ เมื่อถึงจุดหนึ่ง อาจได้รับการสนับสนุนอาวุธเ พื่อก่อการล่มชาติ-ล้มสถาบัน เหมือนที่ทำในลิเบีย อียิปต์ ซีเรีย ดังประจักษ์ แต่ที่ต้องย้อนกลับมาคุยวัน นี้ เพราะสะดุดใจตรงคนไทยกลุ่มห นึ่ง เอาดอกไม้ไปขอบคุณออสเตรเลี ยนี่แหละ ขอบคุณต่างชาติ ที่ "หยาบหยามประเทศไทยและผู้นำ ไทย!"ทำให้ผมย้อนคิดไปถึงประวัติ ศาสตร์ครั้ง "พม่าเผากรุง" เมื่อ พศ.๒๓๑๐ ที่พม่าบุกเข้าพระนครชั้นใน เข้าปล้นวัด-ปล้นปราสาทราชว ังได้ นั่นเพราะ มีคนไทยกลุ่มหนึ่ง "พอใจ-สะใจ" ได้เห็นต่างชาติ เหยียบย่ำทำลาย หยาบหยาม-ยึดครองชาติตัวเอง ! เหมือนดังที่ "สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภ าพ" ทรงกล่าวสรุป "อยุธยาเสียกรุง" ไว้ว่า...
"ไทยอ่อนกำลังลงด้วยการจลาจ ลในประเทศ ไทยด้วยกันมุ่งหมายกำจัดพวก เดียวกันเอง...ฯลฯ...." และตาม "คำให้การของชาวกรุงเก่า" ที่ระบุว่า
".......มีคนไทยชื่อ "พระยาพลเทพ" ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยา เอาใจออกห่าง ลอบส่งศัสตราวุธ เสบียงอาหาร ให้แก่พม่า สัญญาว่าจะเปิดประตู (ด้านทิศตะวันออก) คอยรับเมื่อพม่าเข้าโจมตี เข้าใจว่า เป็นบริเวณหัวรอหรือใกล้เคี ยง ซึ่งพม่าก็ได้ระดมเข้าตีกรุ งศรีอยุธยาทางด้านนี้ ตามที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้ ......"
เนี่ย...ก็นานมาตั้ง ๒๔๗ ปี ไม่นึกว่าจะได้เห็น มาวันนี้ก็ได้เห็น "คนไทย" กลุ่มหนึ่ง คงไม่ต้องบอกว่าพวกไหน เป็นข้าทาสบริวารพระยาพลเทพ กลับชาติมาเกิดหรือเปล่าก็ไ ม่ทราบ ออสเตรเลีย มันด่า มันหยาบหยาม บ้านเกิดเมืองนอนตัวเอง กลับดีอก-ดีใจ แห่กันนำดอกไม้ไปพินอบขอบคุ ณ?
ถ้าแยกไม่ออกระหว่าง "ชาติ" กับ "น้ำข้าว" อยู่เป็นคนไทยหาหอกอะไรล่ะ. ..พวกมึงควรตายซะ! เผอิญวันอาทิตย์นี้ "คุณเป็ด เชิญยิ้ม" ชวนไปจุดตะเกียง ๑๐,๐๐๐ ลูก เป็นพุทธบูชา รอบเจดีย์ชเวดากองที่พม่า เมื่อเห็นพฤติกรรมคนกลุ่มนี ้ บวกกับนึกถึงเจดีย์ชเวดากอง ทำให้ประโยคหนึ่งที่คนไทยชอ บพูดแวบขึ้นในหัว.......... ."ทองที่หุ้มพระเจดีย์ชเวดาก อง ส่วนหนึ่งเป็นทองที่พม่า "เผากรุง-เผาวัด" แล้วลอกเอาไป" แล้วผมก็มานั่งตรอง ยิ่งสัปดาห์ก่อนโน้น ฟังคุณ "ทนง ขันทอง" คุยบนโต๊ะข้าวให้ฟังว่า.... .
"ดูตามเหตุผลแล้ว พม่าเผากรุงไม่เถียง แต่ที่ประวัติศาสตร์บอกว่า พม่าเผาวัด เผาพระพุทธรูป "ลอกทอง" เอากลับไปพม่านั้น ไม่น่าเป็นจริง
เพราะพม่านับถือพระพุทธศาสน าเหมือนไทย และพระพุทธศาสนาตั้งมั่นในพ ม่าก่อนไทยนับเป็นพันๆ ปี
แม้กระทั่งทุกวันนี้ คนพม่าก็ยังนับถือพระพุทธศา สนา แถมจะเคร่งครัด-จริงจังกว่า คนไทยด้วยซ้ำ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่พม่าจ ะเผาวัด-เผาพระพุทธรูป ลอกเอาทอง ผมก็ว่า "เป็นเหตุผล" อีกอย่าง เจดีย์ชเวดากองนั้น สร้างมากว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว เรียกว่า ก่อนพม่าเผากรุงศรีอยุธยาเม ื่อปี ๒๓๑๐ ซึ่งก็แค่ ๒๔๗ ปีมานี้เอง และตามเอกสารประวัติศาสตร์ ก็ไม่ปรากฏว่าในช่วง ๒๔๗ ปี ชเวดากองมีการเสริมสร้าง เอาทองที่ลอกจากไทย หรือจากที่ไหนไปหุ้มเจดีย์แ ต่อย่างใด มีแต่บูรณะเล็กๆ น้อยๆ ตอนแผ่นดินไหว ปี ๒๓๑๑ ซึ่งก็เป็นการบูรณะตามสภาพโ บราณสถานที่มีอันทรุดโทรมบ้ างเท่านั้น ไม่ว่าอ่านจากบันทึกเล่มไหน ทั้งของพม่า ของไทย ของชาวต่างชาติ มีแต่บอกว่า ชาวพม่าศรัทธาแก่กล้าในพระพ ุทธศาสนา บริจาค แก้ว แหวน เพชรนิลจินดา ประดับยอดเจดีย์ และบริจาคทองคำนับพันกิโล หุ้มรอบองค์พระเจดีย์
ฉะนั้น ที่คนไทยมักพูดตามๆ กันไป ไม่ว่าพูดจริง, พูดเรื่อยเปื่อย, พูดด้วยอคติ ที่ว่า "พม่าลอกทองพระพุทธรูปจากกร ุงศรีอยุธยาไปหุ้มเจดีย์ชเว ดากอง" นั้น ควรเลิกพูด-เลิกสอน-เลิกเข้ าใจ อย่างนั้นกันได้แล้ว! มีแต่ไทยเรานี่แหละ ตัดเศียรพระ ขโมยพระ ไปขาย แค่นั้นยังระยำไม่พอ...วันน ี้ "ชาติ" มันก็ขาย ผมอ่านเกี่ยวกับ "คำให้การขุนหลวงหาวัด" คือ "สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร" และ "คำให้การชาวกรุงเก่า" พบบทความ "พม่าเผาเมืองอยุธยาจริงหรื อ?" ลองอ่านมั้ยล่ะ....?
"พม่าเพียงจุดไฟเผาพระราชวั ง และปล้นสะดมเอาทรัพย์สมบัติ อันมีค่าไป จากวัดสำคัญไม่กี่วัด เช่น วัดพระศรีสรรเพชญ์ เอาไฟจุดเผาสำรอกเอาทองคำที ่หุ้มพระศรีสรรเพชญ์ที่อยู่ ในวิหารหลวง การขนสมบัติก็ขนเฉพาะของมีค ่า เช่น ทอง เงิน พลอย โดยปิดประตูเมือง และหย่อนของออกนอกกำแพง
พม่ายึดกรุงศรีอยุธยาได้ไม่ กี่วันก็มีหมายรับสั่งจากกษ ัตริย์พม่าให้ยกทัพ กลับ เพราะมีศึกติดพันกับจีน ที่อยุธยาร่วงโรยเป็นผุยผง ก็เพราะฝีมือคนไทย จีน และคนต่างศาสนา พากันขุดตามเจดีย์ รื้อทำลายเพี่อหวังทรัพย์สม บัติที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อได้แล้วก็เอามาหลอม โดยใช้บานประตูและหน้าต่างข องวัดมาเป็นเชื้อฟืนในการหล อม จึงทำให้งานแกะสลักสมัยอยุธ ยาแทบจะสาบสูญ จากนั้นทำเป็นแท่งส่งไปขายต ่างประเทศได้หลายลำสำเภา จนสมัย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องเก็บภาษีพวกขุดค้น เพราะไม่มีกำลังพอจะกำราบ การขุดค้นทำโดยการเปิดเผย จึงทำให้โบราณสถานย่อยยับ สมัย ร.๑ เนื่องจากจำเป็นต้องสร้างเม ืองใหม่ที่บางกอก จึงต้องมาขนอิฐบรรทุกเรือไป ใช้ในการก่อสร้างกรุงเทพฯ จำนวนมาก มีบันทึกว่าการที่วัดพระเชต ุพนฯ ต้องซื้ออิฐเก่าที่มีผู้คนเ อามาขาย เพื่ออัดทำฐานรากของวัด นักขายอิฐทำการเป็นล่ำเป็นส ันล่วงมาจนสมัยหลัง ในการก่อสร้างของราชการ ถึงกับระบุว่า ต้องเอาจากกรุงเก่ามาถมเป็น รากฐาน ด้วยเป็นอิฐแข็งแกร่ง ดีกว่าที่เผาใหม่
สมัยสงครามโลก ทางกรมการศาสนาถึงแก่ดำริให ้มีการประมูลซื้ออิฐจากวัดร ้าง ครานี้วัดเก่าต่างๆ จึงสูญหายไป เหลือแต่ร่องรอยเนินดินของว ัด ด้วยว่าทำกันอย่างเปิดเผย ส่วนกรุตามวัดต่างๆ มีถูกขุดในช่วงสงครามจนหมด เช่น ที่วัดราชบูรณะ และที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่สถูปเจดีย์สามองค์ คนร้ายขุดได้ทองไปสามคันรถเ จ๊ก (รถรับจ้างใช้คนลาก : พงศ์สรรค์) แล้วไปหลอมทำลายรูปพรรณที่ร ้านทองแถบหัวรอ นับว่าได้ของมากด้วยเป็นวัด ในวังหลวง
การบันทึกประวัติศาสตร์เพื่ อเป็นตำราให้ลูกให้หลานได้ศ ึกษา หากนำเสนอความจริงไม่ครบทุก ด้าน ก็จะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายท ี่สุด ที่ต้องมาเรียนรู้กับสิ่งที ่ไร้ซึ่งความจริง!!!
ที่มา : http://www.jjmalls.com/ content847-พม่าเผาเมืองอยุธ ยา จริงหรือ..?.html
ครับ...จากบทความนี้ ระบุ พม่า "ปล้นวัดไม่กี่วัด" เอาไฟเผาองค์พระศรีสรรเพชญ์ สำรอกเอาทองคำไป จากนั้น มีคนไทย คนจีน คนต่างศาสนา มารื้อ ขุด ลอก เผา เอาทอง เอาสมบัติ
พิเคราะห์แล้ว มันมั่วๆ กันไปหมด ยากสรุปเด็ดขาดว่า พม่า หรือคนไทย หรือต่างชาติ ซึ่งในขณะนั้น มีทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลแลนด์ กรีก ซึ่งล้วนเป็น "คนนอกศาสนา" อยู่ในกรุงศรีอยุธยา
ตามพงศาวดารบอก ไฟไหม้เมืองชั้นในอยู่ ๑๕ วัน ก็มีความเป็นไปได้ จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจ ะเผาวัด เมื่อวัดกับวังที่กรุงศรีฯ "อยู่ด้วยกัน" จึงพลอยถูกเผาไปด้วย
ครั้นดูเวลา ไฟไหม้ ๑๕ วัน ๑๕ คืน แต่กองทัพพม่าอยู่ที่อยุธยา แค่เดือนพฤษภาเดือนเดียว ต้นมิถุนาก็ต้องถอนกลับ เพราะ "พระเจ้ามังระ" มีรับสั่งให้กลับไปช่วยรับศ ึกจีน ถ้าเจตนาจะตั้งหน้า-ตั้งตาล อกทองพระพุทธรูปมากมายในอยุ ธยา เวลาแค่นั้นไม่พอแน่! สรุปแล้ว พวกที่ "ลอกทอง" ประเทศไทย ยังไม่ชัดเท่าพวก "ดอกทอง" ประเทศไทย...เอาดอกไม้ไปมอบ ศัตรู!.
ครับ...ทั้งภาพและข่าว ทำให้หายสงสัยว่า ทำไมออสเตรเลียจึงต้องแสดงค
"ไทยอ่อนกำลังลงด้วยการจลาจ
".......มีคนไทยชื่อ "พระยาพลเทพ" ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยา เอาใจออกห่าง ลอบส่งศัสตราวุธ เสบียงอาหาร ให้แก่พม่า สัญญาว่าจะเปิดประตู (ด้านทิศตะวันออก) คอยรับเมื่อพม่าเข้าโจมตี เข้าใจว่า เป็นบริเวณหัวรอหรือใกล้เคี
เนี่ย...ก็นานมาตั้ง ๒๔๗ ปี ไม่นึกว่าจะได้เห็น มาวันนี้ก็ได้เห็น "คนไทย" กลุ่มหนึ่ง คงไม่ต้องบอกว่าพวกไหน เป็นข้าทาสบริวารพระยาพลเทพ
ถ้าแยกไม่ออกระหว่าง "ชาติ" กับ "น้ำข้าว" อยู่เป็นคนไทยหาหอกอะไรล่ะ.
"ดูตามเหตุผลแล้ว พม่าเผากรุงไม่เถียง แต่ที่ประวัติศาสตร์บอกว่า พม่าเผาวัด เผาพระพุทธรูป "ลอกทอง" เอากลับไปพม่านั้น ไม่น่าเป็นจริง
เพราะพม่านับถือพระพุทธศาสน
แม้กระทั่งทุกวันนี้ คนพม่าก็ยังนับถือพระพุทธศา
ฉะนั้น ที่คนไทยมักพูดตามๆ กันไป ไม่ว่าพูดจริง, พูดเรื่อยเปื่อย, พูดด้วยอคติ ที่ว่า "พม่าลอกทองพระพุทธรูปจากกร
"พม่าเพียงจุดไฟเผาพระราชวั
พม่ายึดกรุงศรีอยุธยาได้ไม่
สมัยสงครามโลก ทางกรมการศาสนาถึงแก่ดำริให
การบันทึกประวัติศาสตร์เพื่
ที่มา : http://www.jjmalls.com/
ครับ...จากบทความนี้ ระบุ พม่า "ปล้นวัดไม่กี่วัด" เอาไฟเผาองค์พระศรีสรรเพชญ์
พิเคราะห์แล้ว มันมั่วๆ กันไปหมด ยากสรุปเด็ดขาดว่า พม่า หรือคนไทย หรือต่างชาติ ซึ่งในขณะนั้น มีทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลแลนด์ กรีก ซึ่งล้วนเป็น "คนนอกศาสนา" อยู่ในกรุงศรีอยุธยา
ตามพงศาวดารบอก ไฟไหม้เมืองชั้นในอยู่ ๑๕ วัน ก็มีความเป็นไปได้ จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจ
ครั้นดูเวลา ไฟไหม้ ๑๕ วัน ๑๕ คืน แต่กองทัพพม่าอยู่ที่อยุธยา