GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วีรบุรุษแห่งศาสตราจารย์ "ดับเบิลยู สกอตต์ ธอมป์สัน





นักวิชาการชื่อดังมะกัน “ตบหน้า” รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุปล่อยให้ “ระบอบทักษิณ” คงอยู่ คือ ความตายของประชาธิปไตยไทย

ศาสตราจารย์ชาวอเมริกัน ดับเบิลยู สกอตต์ ธอมป์สัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขียนบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทมส์ ตบหน้ารัฐบาลสหรัฐฯที่ประณามการรัฐประหารยึดอำนาจในประเทศไทย และเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งในทันทีโดยอ้างว่าเป็นหนทางไปสู่ประชาธิปไตย ทั้งนี้ศาสตราจารย์ผู้นี้ระบุว่า การให้ระบอบทักษิณปกครองประเทศต่อไป ก็คือการรับประกันให้ประชาธิปไตยในไทยต้องตายดับสูญไปภายในอนาคตอันใกล้นั่นเอง ขณะที่การสนับสนุนการก่อรัฐประหารยึดอำนาจของฝ่ายทหาร อาจจะเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถฟื้นฟูประชาธิปไตยให้กลับคืนมาได้...

อ่านต่อ: http://www.muslimvoicetv.com/ncontent/news.php?nid=14975#ixzz33UazjgjD

วีรบุรุษแห่งศาสตราจารย์ ด่า โอบาหมา !

ศาสตราจารย์ชาวอเมริกัน ดับเบิลยู สกอตต์ ธอมป์สัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขียนบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทมส์ ตบหน้ารัฐบาลสหรัฐฯที่ประณามการรัฐประหารยึดอำนาจในประเทศไทย และเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งในทันทีโดยอ้างว่าเป็นหนทางไปสู่ประชาธิปไตย ทั้งนี้ศาสตราจารย์ผู้นี้ระบุว่า การให้ระบอบทักษิณปกครองประเทศต่อไป ก็คือการรับป...ระกันให้ประชาธิปไตยในไทยต้องตายดับสูญไปภายในอนาคตอันใกล้นั่นเอง ขณะที่การสนับสนุนการก่อรัฐประหารยึดอำนาจของฝ่ายทหาร อาจจะเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถฟื้นฟูประชาธิปไตยให้กลับคืนมาได้
Clear enough, Uncle Sam?
ดับเบิลยู สกอตต์ ธอมป์สัน ศาสตราจารย์กิตติคุณทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ แห่งวิทยาลัยนิติศาสตร์และการทูตเฟลตเชอร์ มหาวิทยาลัยทัฟต์ส
ในบทความเรื่อง “Thai coup holds promise of democracy” (รัฐประหารในไทยให้ความหวังแก่ประชาธิปไตย) ดับเบิลยู สกอตต์ ธอมป์สัน (W Scott Thompson) ศาสตราจารย์กิตติคุณทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ แห่งวิทยาลัยนิติศาสตร์และการทูตเฟลตเชอร์ (Fletcher School of Law and Diplomacy) มหาวิทยาลัยทัฟต์ส (Tufts University) กล่าวสรุปถึงการรัฐประหารครั้งล่าสุดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และฝ่ายทหาร ได้บังคับขับไสผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีให้ออกจากอำนาจ โดยผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีผู้นั้นได้เข้าทำหน้าที่นี้หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุติการดำรงตำแหน่งเนื่องจากมีความผิดในข้อหาใช้อำนาจโดยมิชอบ ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ในระหว่างที่เธอปกครองประเทศอยู่ ก็คอยรับคำสั่งต่างๆ จากพี่ชายของเธอ --จอมเผด็จการและอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งหลบหนีไปลี้ภัยอยู่ในต่างแดน

บทความซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทมส์ เมื่อวันที่ 27 พ.ค. และได้รับการตีพิมพ์ซ้ำต่อๆ มา เป็นต้นว่าในเว็บไซต์กัลฟ์นิวส์ (gulfnews.com) ในวันอาทิตย์ (1 มิ.ย.) ชิ้นนี้ ชี้ว่าประเทศไทยได้ตกอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในการประท้วงทางการเมืองยาวนานแรมเดือนระหว่าง “เสื้อเหลือง” --ซึ่งเป็นคนไทยในเขตชุมชนเมืองผู้สนับสนุนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกลุ่มผลประโยชน์ชนชั้นนำผู้ต้องการให้รัฐบาลที่ครองอำนาจอยู่ออกจากตำแหน่งไป กับ “เสื้อแดง” --ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้ยากจนกว่าที่พำนักอยู่ในเขตต่างประเทศ โดยผู้คนเหล่านี้สนับสนุนทักษิณและหาทางให้เขากลับคืนสู่อำนาจ

“ดังนั้นเมื่อมีนายพลผู้มาดมั่นทะเยอทะยานและมีความสามารถผู้หนึ่ง พยายามที่จะทำให้ประเทศชาติมีเสถียรภาพ --โดยที่ในขณะนี้เขาก็ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งด้วย – มันจึงมีความเป็นไปได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ว่า เขาจะพิสูจน์ให้เห็นว่าการรัฐประหารทั้งหลายนั้นใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด” ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันวัย 72 ปีผู้นี้ระบุ

ดับเบิลยู สกอตต์ ธอมป์สัน ซึ่งเคยทำงานอยู่ในคณะรัฐบาลอเมริกันทั้งของประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด และของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน โดยที่เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯด้วย ชี้ว่า ความปั่นป่วนสับสนทางการเมืองในประเทศไทยนั้นมีรากเหง้าที่ลึกซึ้ง

ในบทความนี้ เขาชี้ว่า ประเทศไทยต้องประสบโชคร้าย เฉกเช่นเดียวกับเยอรมนีในยุคทศวรรษ 1930 และอิตาลีในยุคทศวรรษ 1920 ทำให้ได้นักหลอกล่อฉวยโอกาสทางการเมืองซึ่งเที่ยวให้สัญญาต่างๆ มากมาย เข้าครองอำนาจปกครองประเทศ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการกองทัพบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

“ทักษิณนั้นทำเงินได้เป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ และได้เริ่มซื้อเหล่านักหนังสือพิมพ์ตลอดจนนักการเมืองทางภาคเหนือมาเป็นพวก เขาชนะการเลือกตั้งในปี 2001 อย่างถล่มทลาย และก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของเขา เขาดำเนินการปิดกั้นส่วนต่างๆ ของสื่อมวลชนซึ่งเขายังไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนั้นมีรายงานว่ามีผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยๆ 3,000 คนถูกฆ่าตายในสงครามปราบปรามยาเสพติดของเขา อีกทั้งแสดงให้เห็นอย่างเต็มตาว่าเขาจะยังครองอำนาจต่อไปอีกยาวนาน” บทความชิ้นนี้กล่าว

“ทฤษฎีเรื่องประชาธิปไตยนั้นไม่เคยเลยที่จะหมายความอย่างง่ายๆ เพียงแค่ว่า การปกครองโดยคนส่วนใหญ่ แน่นอนทีเดียวว่าทักษิณก็ใช้กลไกด้านการตรวจสอบและการคานอำนาจด้วย แต่เป็นชนิดที่แตกต่างออกไป โดยที่เขานำมาใช้เพื่อกระชับฐานอำนาจของเขาให้เข้มแข็ง ทั้งในกิจการตำรวจ และก็ในกองทัพด้วยถึงแม้มีหลักฐานว่าเขาประสบความสำเร็จน้อยกว่า …”

ศาสตราจารย์อเมริกันผู้นี้กล่าวว่า “เป็นเรื่องยากลำบากเสมอที่จะอ้างเหตุผลความชอบธรรมให้แก่การทำรัฐประหาร แม้กระทั่งในกรณีที่เป็นการเข้าแทนที่ระบอบปกครองที่ย่ำแย่เต็มที”

อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่า “ถ้าหากจะให้เหตุผลความชอบธรรมแก่การต่อต้านการรัฐประหารคราวนี้ ก็จำเป็นจะต้องไปให้ความสนับสนุนต่อทักษิณ บุรุษผู้ซึ่งจะไม่ยอมอดทนต่อการคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งจากสถาบัน และเป็นผู้ซึ่งจะปกครองด้วยกำปั้นเหล็กตราบเท่าที่เขา -หรือผู้ที่เขาคัดเลือกให้มาสืบทอดต่อจากเขา ยังมีชีวิตอยู่”

“โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีความประหลาดใจว่า นายพลผู้นี้ (พล.อ.ประยุทธ์ ) ได้รอคอยมาเป็นเวลายาวนานถึงขนาดนี้ เขาเดินหมากของเขาด้วยความระมัดระวังมาก ด้วยการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างเป็นกลางๆ ในวันหนึ่ง แล้วจึงเข้ายึดอำนาจในอีกวันหนึ่ง กองทัพไทยไม่ได้ผลิตนายพลที่มีความสามารถอันเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางขนาดนี้เลยในรอบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา”

ดับเบิลยู สกอตต์ ทอมป์สัน กล่าวในตอนสรุปบทความของเขาว่า “การเลือกให้ระบอบทักษิณปกครองประเทศต่อไป ก็คือการรับประกันให้ประชาธิปไตยในไทยตายดับสูญไปภายในอนาคตอันใกล้ ขณะที่การสนับสนุนการก่อรัฐประหารยึดอำนาจของฝ่ายทหาร อาจจะ (แค่อาจจะ) เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถฟื้นฟูประชาธิปไตยให้กลับคืนมาได้ ความจริงทางประวัติศาสตร์ทั่วๆ ไปนั้นมีอยู่ว่า ระบอบปกครองต่างๆ ที่นำมาซึ่งระเบียบเรียบร้อย อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ขณะที่แทบไม่ปรากฏเลยว่าระบอบปกครองในทางตรงกันข้ามจะสามารถทำอะไรเช่นนี้ได้ ทั้งนี้ระบอบปกครองที่ปล่อยให้ทำอะไรตามใจนั้น มีความโน้มเอียงที่จะนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรง ซึ่งกลายเป็นการสร้างความย่อยยับให้แก่การปกครองอันเรืองปัญญา”










การรัฐประหารโดยกองทัพ ซึ่งแปรสภาพมาเป็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติครั้งนี้ประเทศไทยได้วัดใจจุดยืนหลายประเทศว่าเป็นเช่นใด มีความคิดต่อต้าน เข้าใจ เป็นห่วง หรือวางเฉย ซึ่งเป็นความเหมาะสมที่คนไทยจะปรับมุมมองแยกแยะว่าใครมีความจริงใจ หรือใส่หน้ากากป้อนคำหวานเพื่อหวังประโยชน์

ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้สร้างความผิดหวัง ออกแถลงการณ์ประณามการรัฐประหารอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับรัฐบาลฝรั่งเศส คนไทยก็รออยู่แล้วว่าการคัดค้านต้องมาแน่ ถ้าไม่มีพูดอะไรสักคำ จะเป็นเรื่องแปลกมาก

เปิดหน้ามาให้เห็นเลยว่า “มหามิตรยาวนาน”ในภูมิภาคนี้ของสหรัฐฯ นั้นได้เป็นเป้าหมายของการโจมตีจนแทบจะเป็นรายวัน นับตั้งแต่รัฐมนตรีต่างประเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม แม่ทัพเรือ

ทยอยกันเรียงหน้ามาโจมตีประณามประเทศไทย ทั้งขู่ สั่ง ตั้งเงื่อนไข ว่าต้องเร่งจัดการเลือกตั้ง ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวโดยเร็ว! พวกลูกไล่สหรัฐฯ เช่นอังกฤษ ออสเตรเลีย ก็เดินตามก้นสหรัฐฯ ตัดความสัมพันธ์ด้านทหารเช่นกัน

กลุ่มประชาคมยุโรป หรืออียู ก็ออกมาประณามการรัฐประหาร สร้างข่าวใหญ่โตทำให้คนไทยรักชาติเลือดขึ้นหน้า ตะโกนย้อนถามว่า “ประเทศไทยเป็นลูกไล่ หรือขี้ข้าพวกเอ็งตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงมาชี้นิ้วสั่ง ตั้งเงื่อนไขสารพัด”

นี่เป็นพวกฝรั่งผิวขาว คงเคยตัวตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมล่าเมืองขึ้นโดยกองกำลังแสนยานุภาพจนถึงยุคจักรวรรดินิยมซึ่งล่าเมืองขึ้นโดยอำนาจเศรษฐกิจ กุมธุรกิจ แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ

ไทยเราโดนมาหนักๆ เพียงเป็นลูกหนี้ธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ เสียทรัพย์สินไปโดยราคาแพงช่วงลดค่าเงินบาท เรารอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น แต่ต้องเสียแผ่นดินไปกว้างใหญ่มากกว่าที่เรายังเหลืออยู่ในปัจจุบัน

แต่การทำรัฐประหารครั้งนี้ ไอ้กันทำกับเรามากเกินความพอดี! ลำพังจะประณามแต่พอสมควร ตามหลักการของรัฐบาลสหรัฐฯ เราพอเข้าใจ ทำใจได้ เพราะได้รับรู้ตั้งแต่ยุค คมช.ที่รัฐบาลตะวันตกคว่ำบาตรรกองทัพ ไม่ขายอาวุธ

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะไอ้กันได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากการเมืองระบอบทักษิณ ทูตไอ้กันคนก่อน อีริค จอห์น ก็ทำตัวเป็นพวกมวลชนเสื้อแดงอย่างออกนอกหน้าในช่วงเสื้อแดงชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ในปี 2553

หลังจากอีริค จอห์นไปแล้ว นางคริสตี้ เคนนีย์ มาแทน กลับทำวางก้ามหนักข้อกว่าเดิม กระชับความสัมพันธ์กับมวลชนเสื้อแดง ส่งทีมไปเยือนหมู่บ้านเสื้อแดง แทรกแซงกิจการภายใน เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112

ความสนิทสนมกับขบวนการเสื้อแดงแน่นแฟ้น จนแทบเป็นผู้พิทักษ์เสื้อแดง เพราะเสื้อแดงกับทักษิณเป็นพวกเดียวกัน ส่งผลประโยชน์ต่อธุรกิจของบริษัทอเมริกัน และหน่วยงานของสหรัฐฯ ในการใช้ประโยชน์จากฐานทัพในไทย

คำประณามการรัฐประหารโดยสหรัฐฯ ครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นความกระเหี้ยนกระหือรือ แสดงความเป็นปฏิปักษ์ ผิดวิสัยความเป็นมิตรประเทศตามคำอ้าง คำหวานที่ป้อนให้คนไทยได้ฟังมาโดยตลอดจนเรารู้สึกเอียน

ช่วงจอร์จ ดับเบิลยู บุช อ้อนให้ไทยไปช่วยรุมยำอิรัก ก็บอกว่าไทยเป็นมิตรที่สำคัญที่สุดในกลุ่มประเทศนอกนาโต้ หว่านล้อมให้ส่งทหารไปรบ แต่เราก็ระวัง ส่งไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หน่วยแพทย์ แต่ก็มีทหารเสียชีวิตด้วย

กองทัพและกระทรวงต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลต่างชาติเห็นใจ เห็นความแตกต่างว่าการเมืองไทยไม่เหมือนที่อื่นอย่าใจเร็วในการปรับลดความสัมพันธ์ การทำเช่นนี้นอกจากพวกฝรั่งขาวไม่สนใจ ยังจะรุกไล่อีก

พวกฝรั่งขาวรู้ดีว่าการรัฐประหารเป็นทางเลือกสุดท้ายในการผ่าทางตันเมื่อการเมืองสามานย์ทำให้บ้านเมืองติดกับดัก นักการเมืองไทยหน้าด้าน ไร้จิตสำนึก รูปแบบการรัฐประหารไม่มีผลกระทบ ไม่ฆ่าฟันเสียเลือดเนื้อยืดเยื้อ ต่างจากรัฐประหารในละตินอเมริกา แอฟริกา ฆ่ากันตายเป็นเบือ เป็นสงครามกลางเมือง จนประเทศตะวันตกไม่อยากส่งทหารตัวเองไปตายเหมือนในโซมาเลีย ดาร์ฟู หรือการแทรกแซงการเมืองในอิรัก อียิปต์ ลิเบีย ซีเรีย ฯลฯ

รัฐบาลสหรัฐฯ ยังแสดง 2 มาตรฐาน เทียบกับการรัฐประหารในอียิปต์ ความไม่สงบในยูเครน นั่นเพราะสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกมีผลประโยชน์โดยตรงด้านดุลอำนาจการเมืองในตะวันออกกลาง แหล่งทรัพยากรน้ำมัน

การรัฐประหารในไทยครั้งล่าสุด ไม่มีใครเสียชีวิต แทบไม่มีเสียงปืน และไม่มีรถถัง รถรบขนาดใหญ่ ปืนใหญ่ในพื้นที่สำคัญในเมือง ต่างจากครั้งก่อนๆ
มาถึงขั้นนี้แล้ว ไทยยังรักษามารยาทเกินไป เมื่อไม่ฟังเหตุผล คำอธิบาย คสช. และรัฐไทยต้องหามาตรการตอบโต้เช่นกัน ด้วยการกระชับความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจอื่น เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย นอกจากกลุ่มประเทศอาเซียน ถ้าไม่ฟังกัน ก็แยกกันอยู่ เช่นเรียกทูตไทยกลับจากประเทศที่ทำตัวไม่เป็นมิตร ให้ทูตประเทศนั้นกลับไป ลดระดับความสัมพันธ์ ทบทวนเงื่อนไขสัมปทานทรัพยากรถือครองโดยต่างชาติอย่างเร่งด่วน ให้รู้ว่าเราไม่ก้มหัวให้


โพลชี้ปี2013คนทั่วโลกมอง 'อเมริกา' คือภัยคุกคามใหญ่หลวงของ'สันติภาพ'
สหรัฐ-ยุโรป ทำไมดัดจริต "ยกประชาธิปไตย" ขึ้นมาบังหน้า เอาเป็น-เอาตายกับไทย ที่ต้องใช้กองทัพเข้าแก้ไขปัญหาเรื้อรังภายใน
ทั้งที่สหรัฐ-ยุโรปเอง สุมหัวกันสนับสนุนโจรก่อการร้ายบ้าง กบฏแยกดินแดนบ้าง ทั้งเงิน ทั้งอาวุธ ทั้งกำลัง ให้โค่นล้มรัฐบาลในหลายๆ ประเทศ เช่น ลิเบีย ซีเรีย อียิปต์ และอีกหลายๆ ประเทศแถบอเมริกากลาง แถบตะวันออกกลาง
ที่ลงมือ-ลงตีนทำเอง ก็อย่างเช่นเข้าไปยึดอิรัก จากประเทศที่มั่งคั่ง สวยงาม ประชาชนเป็นสุขตามวิถีวัฒนธรรมเขา กระทั่งจิ้งจอกสหรัฐ-ยุโรป เข้าไปสร้างฉากประชาธิปไตย แต่ "สิ่งที่เป็น" อันเป็นเบื้องหลัง...แม่ง...มันรวมหัวกันเข้าไปปล้น เข้าไปสูบเอาเอาทรัพยากรน้ำมันเขา นั่นคือเป้าหมายแท้จริงในการบุกอิรัก ชนิดที่ UN ต้องเอาหัวแม่ตีนยัดปากตัวเอง กลัวเผลอด่าสหรัฐว่า...."มึงนั่นแหละ...ไอ้เผด็จการโลก!"

ข้อความตอนหนึ่ง....เปลว สีเงิน — รู้สึกอย่ามาเจือกกับประเทศไทย



ย้อนรอย จรัญ ภักดีธนากุล เสนอเร่งแก้ ก.ม.ป.ป.ช. คดีทุจริตคอรัปชั่นต้องไม่มีการหมดอายุความ

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2550 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น  โดยมีนักวิชาการ อัยการ องค์กรเอกชน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมระดมความเห็น...

นายจรัญ กล่าวว่า... "ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำให้การพัฒนาประเทศติดขัดมาตลอด เกิดปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม คนยากจนไม่ได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม และตกอยู่ในสภาพต้องพึ่งพิงเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ จากผู้มาซื้อจิตวิญญาณ หลายครั้งการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงนำมาสู่การรัฐประหาร   ดังนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ในทุกองค์กรบ้านเราต้องประกาศการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบ

การแก้กฎหมาย ป.ป.ช.ส่วนแรกที่จะให้เสร็จได้กฎหมายบังคับใช้ได้ภายในเดือนนี้คือ ให้การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นอาญาแผ่นดิน ไม่ต้องมีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ ส่วนประเด็นอื่นอีก 4-5 ประเด็น  กระทรวงยุติธรรมกำหนดร่างกฎหมาย ป.ป.ช.ขึ้น ซึ่งมีประเด็นสำคัญๆ คือ
เรื่องอายุความของความผิดฐานคอรัปชั่นที่ไม่ควรมีอายุความ เพราะเป็นการโกงคนทั้งชาติทำร้ายคนทั้งแผ่นดิน จึงกำหนดแก้ไขกฎหมาย
ป.ป.ช. หากผู้ต้องหาคดีทุจริตคอร์รัปชั่นหลบหนีให้อายุความหยุดลง และเมื่อจับได้ก็นับอายุความกันต่อ"

 
ไม่ต้องถึงขนาดนี้ แต่ต้องลดลงไป ให้ใกล้เคียงเพื่อนบ้านก็ยังดี

(โปรดทราบว่า ระยะนี้เราโพสกันบ่อยเรื่องปฏิรูปพลังงาน เพราะเป็นการรณรงค์ในระยะยาว จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ปตท. ให้เห็นเป็นรูปธรรม โปรดอย่ารำคาญ เพราะ ... เพื่อ คนไทย และ ลูกหลานของทุกๆท่าน นะครับ)

Mod Kingston 
เจ็บปวด มาก 12 ปีกับระบบทักษินกับความร้าวฉานของคน ในชาติ

Noo Lek Loveking Lovethailand
ไม่ได้อยากจะให้ถูกเหมือนเมื่อ.. 12 ปี ที่แล้ว แต่ให้มันถูกลงกว่านี้ อีกได้มั้ย ???

 โดย โสภณ องค์การณ์


Mari Tukta Cardenal's photo.

ทัวร์สถานฑูตอเมริกาในไทย สถานฑูตใหญ่ที่สุดในโลก
ความสำคัญของไทย ในฐานะที่เคยเป็นเมืองหน้าด่าน ที่อเมริการเคยใช้เป็นฐานในการต้านคอมมิวนิสต์ในเอเชียใต้ ในอดีต อเมริกาจึงทุ่มเททรัพยากรจำนวนมหาศาลมา ในรูปแบบต่างๆเข้ามาในประเทศไทย ...
แม้วันนี้ประเทศคอมมิวนิสต์จะง่อยเปลี้ยนเสียขาไปบ้างแล้ว..●แต่ความสำคัญของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์สำคัญทางทหารของภูมิภาค ทำให้สหรัฐไม่อาจวางมือจากที่นี่ได้..ไม่น่าแปลกใจ ที่ในปัจจุบันจะยังมีหน่วยงานของสหรัฐตั้งอยู่ในประเทศไทยมากมาย ที่ดำเนินกิจกรรมในหลากหลายรูปแบ ทั้งทางทหาร การกุศล งานพัฒนา ผู้ลี้ภัยฯ หรือหากศึกษาให้ละเอียดสักนิด ก็คงจะพอได้ยินกันมาบ้างว่า ในยุคหนึ่ง... หน่วยงานบางแห่ง มีส่วนในการชี้นำรัฐประหารในเมืองไทยเสียด้วยซ้ำไป ฉะนั้น เรื่องราวอะไรที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย น้อยนักที่อเมริกาจะไม่รู้ โดยเฉพาะจากวง dinner แบบชิวๆ ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยกับเจ้าหน้าที่ของอเมริกา.และนี่เป็นภาพรวม(แบบเปิดเผย) ของหน่วยงานอเมริการในประเทศไทย หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ อื่นๆ ในประเทศไทย..สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเป็นสถานทูตฯ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง..และนอกเหนือจากสำนักงานต่างๆ ของสถานทูตฯ แล้ว ยังประกอบไปด้วยหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ อื่นๆ อีกหลายหน่วยงาน..สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร(USAMC-AFRIMS) สำนักงานใหญ่รักษาความมั่นคงทางการทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด สำนักงานทูตเกษตร ศูนย์แก้ไขปัญหาทหารอเมริกันที่สาบสูญ กองกำลังพิเศษที่ 1(JPAC)คณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย (JUSMAHTHAI)โครงการจัดส่งผู้ลี้ภัยอย่างมีระเบียบ หน่วยอาสาสมัครสันติภาพในประเทศไทย องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID)สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติ ฝ่ายการพาณิชย์ วิทยุเสียงอเมริกาhttp://thai.bangkok.usembassy.gov/embassy/usgmain.htm




ประเทศไทยเสื่อมโทรมลงภายใต้การปกครองของระบอบทักษิณ นอกจากการคอรัปชั่นสุดฤทธิ์สุดเดช แต่ทักษิณและเครือข่ายปล่อยให้มีการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นระบบ รับเงินต่างชาติมาทำลายความสามัคคีของคนในชาติ ผ่านกระบวนการสื่อสารทุกรูปแบบ…”งานหนังสือ”…เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็น “งานประจำ” ที่อันตรายอย่างยิ่ง ไม่นับ “ฟ้าเดียวกัน” ในสังกัด ส.ศิวลักษณ์และเครือข่าย….ผู้คนในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค จึงช่วยกันแ...ฉพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง….และนี่เป็นอีกหนึ่งความพยายามของคนไทยใจรักชาติKunnatee Thailandeเข้าข่ายกบฎ ….คสช. และหน่วยงานความมั่นคงของรัฐ สมช. สขช. กอ.รมน. สันติบาล ต้องเข้าทำการตรวจสอบ ลุง Tony Cartalucci กัดไม่ปล่อย เปิดโปง ว่า ร้านหนังสือ Book Re:public มีพฤติกรรม บ่อนทำลายความมั่นคงชองชาติ รับเงินจากต่างชาติมา บ่อนทำลายสถาบัน พระมหากษัตริย์ และชี้นำนักศึกษาให้ทำกิจกรรม เพื่อสนับสนุนระบอบทักษิณ เหมือนพวกบนเวทีเสื้อแดง เข้าข่าย “กบฎ”ลุง Tony ให้คำจำกัดความสถานภาพ ปิ่นแก้ว ว่า นักโฆษณาชวนเชื่อในคราบนักวิชาการจอมปลอม ของเสื้อแดง ควรถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็น “กบฎ”ทรยศประเทศ รับเงินจาก รัฐบาลมะกัน ผ่านองค์การเพื่อการพัฒนา ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID เงินทุนอุดหนุนล้นหลามและยังได้รับจาก Open Society Institute ของ George Soros และมูลนิธิด้านการเงิน อีก ร้าน หนังสือ Book Re:public เป็นแค่พฤติกรรมบังหน้า แต่เบื้องหลังเป็นแหล่งชุมนุม ของกลุ่มนักศึกษาหลักสูตรประชาธิปไตย ใช้เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความคิด พูดคุย วิจารณ์ นอกจากนี้ยังมีห้องวิดิโอ วีดีทัศน์ อินเตอร์เน็ตและห้องกิจกรรมต่างๆAnthony Cartalucci [UPDATED/w/ไทย] The dishonest, foreign-funded “red” propagandist Pinkaew Laungaramsri hides behind academia to cover up what is by definition treason. She admits she receives money from USAID and convicted financial criminal George Soros’ Open Society Foundation (OSF). She and other fraud “academics” up in Chiang Mai can be seen repeating talking points spouted off from Thaksin Shinawatra’s “red shirt” stage itself. Her “bookstore” Book Re:Public is funded by USAID and OSF. Bookstores are supposed to make money by selling books. That her bookstore is making money instead by receiving funds from overseas indicates it is serving as a front for illicit activities – activities she is now very worried about coming to light. Imagine a restaurant in Little Italy that never had any customers in it, but was open for years… the FBI would rightfully suspect it was a front for criminal activity. When you see the foreign press complaining about “academics” being detained – THIS is what they are being detained for!นักโฆษณาชวนเชื่อในคราบนักวิชาการจอมปลอมของเสื้อแดงควรถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็น “กบฎ” ทรยศประเท ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี และเพื่อนๆ รวมถึง นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักโฆษณาชวนเชื่อในคราบนักวิชาการจอมปลอมของเสื้อแดง ซึ่งรับเงินจากUSAID ของอเมริกา และ กองทุนOpen Society ของอาชญากรการเงิน จอส โซรอส เพื่อปลุกระดมความขัดแย้งในประเทศตัวเองซึ่งเข้าขั้นเป็นกบฎ คนเหล่านี้เคลื่อนไหวที่เชียงใหม่เพื่อสนับสนุนระบอบทักษิณเหมือนพวกบนเวทีเสื้อแด ปิ่นแก้ว ได้ยอมรับว่า ร้านหนังสือของเธอได้รับเงินจาก USAID และ Open Society ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะความจริงแล้วร้านหนังสือควรทำเงินและมีกำไรด้วยตัวเองไม่ใช่รับเงินจากต่างชาติ แสดงว่าร้านหนังสือแห่งนี้เป็นแค่ฉากบังหน้าของกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเธอกังวลว่าจะถูกเปิดเผยเร็วๆนี้ ว่าเป็นที่ซ่องสุมของพวกนักวิชาการจอมปลอมเสื้อแดง ลองคิดดูเหมือนกับการเปิดร้านอาหารในลิตเติลอิตาลีที่ไม่ลูกค้าแต่กลับเปิดมาได้หลายปี เอฟบีไอต้องสงสัยแล้วว่าร้านแห่งนี้เป็นฉากหน้าของพวกอาชญากรรมต่างๆ ดังนั้น ถ้าพวกคุณเห็นข่าวจากพวกตะวันตกเกี่ยวกับ “นักวิชาการ” ถูกคุมขัง จะได้รู้ว่าคนเหล่านี้ถูก “คุมขัง” เพราะอะไร แคน ไทเมือง







Stephff, the French Cartoonist in Bangkok -- nails it again
สเต็ฟ นักเขียนการ์ตูนชาวฝรั่งเศสในไทย -- ทำได้เยี่ยมอีกแล้ว



คสช.เลือกเดินเกมลึก ปล่อย “แดง” ไว้ฆ่า “แดง”
(โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 มิถุนายน 2557 06:13 น.)

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครฮอตไปกว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่เพิ่งผันตัวมารับบทหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังยึดอำนาจจาก “ระบอบแม้ว” แล้ว ก็ไม่ทำให้กองเชียร์ผิดหวัง โชว์กึ๋นความเป็นนักบริหาร จัดแจงซื้อใจ “ชาวนา-ชาวสวน-ชาวไร่-ประชาชน” ได้เกือบทั้งประเทศ
ทั้งการเร่งจ่ายเงินให้กับ “ชาวนา” ที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ติดหนี้ไว้เหยียบแสนล้าน หรือการสั่งให้ทบทวนนโยบายด้านราราพลังงานโดยด่วน เบื้อวต้นให้ตรึงราคาแก๊สหุ้งต้ม ไม่ให้พุ่งสูงขึ้นจน “ประชาชน” ต้องเดือดร้อนไปก่อน นาทีนี้ต้องบอกว่าเส้นทางการขับเคลื่อนประเทศของ คสช.ดูจะราบรื่นเป็นพิเศษ คงเหลือแค่เพียงพวกเหลือบไรการเมือง ที่ยังคอยกัดกิน “ประเทศไทย” อยู่กลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่ยังออกมาก่อหวอดอยู่เนืองๆโดยอ้างว่า ต่อต้านรัฐประหาร ทว่า “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” ที่ก่อตัวขึ้นมานั้น ก็ถูกมองว่าเป็นเศษซากของระบอบทักษิณ ที่แปลงกายมาจากมวลชน “ค่ายสีแดง”
คนเหล่านี้ถูกขนานนามว่าเป็น "แดงชุบแป้งทอด" คล้ายกับบรรอาคนเสื้อสีขาวที่ชอบออกมาจุดเทียนต้านความรุนแรงก่อนหน้านี้
รวมกับบางส่วนที่ "โลกสวย" รับไม่ได้กับการรัฐประหาร กลัวว่านานาชาติ หรือฝรั่งมั่งค่ามันจะไม่คุยด้วย ไม่ว่าจิตใจจะ “แดงจริง” หรือ “แดงเทียม” แต่เป็นการก่อตัวที่ไร้ “แกนนำ” บรรดา “แกนตาม” จริงมีน้อย
การนัดหมาย-จัดกิจกรรม-การชุมนุม ของ “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” จึงไร้หลักแหล่ง ไร้จุดยึดเหนี่ยว ไร้ประสิทธิภาพ ส่วนมากอาศัยสถานการณ์พาไป
เข้าขั้นทุลักทุเลกันเลยทีเดียว
แม้จะพยายามนัดหมายชุมนุมในจุดยุทธศาสตร์เชิงสัญลักษณ์ เช่น แยกราชประสงค์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่กลับถูก คสช.เล่นบทเฮี๊ยบตั้งกำลังดักทางสกัดกั้นได้หมด
มาตราจับจริง-ขังจริง ของ คสช.ทำให้ “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” อ่อนแรงลง ไม่กล้าที่จะออกมาส่งเสียงเรียกร้องมากนัก
บทเรียนจาก “จาตุรนต์ ฉายแสง” ที่ขนาดเป็นระด้บเซเลบ มีเส้นสาย-บารมี ออกมาเล่นผิดบทท้าทายอำนาจของ คสช. ก็โดนหิ้วกลางวงแถลงข่าวที่หวังใช้ “สื่อต่างประเทศ” เป็นเกราะกำบังแท้ๆ ทำเอาบรรดา “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” จึงขาสั่นหายหน้าหายตากันไปเยอะ
แถมไม้เด็ดของ คสช.ที่หยิบเอา “ศาลทหาร” ซึ่งเป็นศาลเดียวตัดสินครั้งเดียว ไม่มีฎีกา ไม่มีอุทธรณ์ มาดำเนินคดี ถือเป็นเงื่อนไขหลักที่ “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” ไม่สามารถแจ้งเกิดได้อย่างเป็นทางการา และทำให้บรรดาแกนนำแดงที่ถูกปล่อยตัวออกมาเชืองกว่าที่คิด แต่ละรายสงบเสงี่ยมไม่แตกแถวสักคนเดียว ตอนนี้จะมีก็แต่ “แกนนอน” ตัวเอ้อย่าง “หนูหริ่ง” สมบัติ บุญงามอนงค์ ที่ยังดื้อด้านไม่ยอมจำนนในอำนาจท๊อปบูต แต่ก็ใช่ว่าจะใจกล้าอย่มงปากพูด อาศัยลวดลาย "นักการตลาด" ตีกิน หลอกมวลชนไปเรื่อยๆ ทำได้เต็มที่ก็แค่อาศัยพื้นที่โซเชี่ยลเนตเวิร์คแอบนัดหมาย “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” ให้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมแทนตัวเองเท่านั้น ส่วนตัวเองก็เลือกกบดานเอาตัวรอด ใช้มวลชนเป็นเกราะกำบัง จิตใต้สำนึกไม่ต่าฝจาก "นายใหญ่" ที่อยู่เมืองนอกเลย อีกส่วนก็พวก “แดงวิชาการ” ที่ใช้วิธีดื้อแพ่ง ไม่เข้ารายงานตัวกับ คสช.เช่นกัน เลือกที่จะซุ่มเก็บตัวอยู่ในที่เงียบ คอยเผยแพร่แนวคิด “แดง” อยู่ในที่มืด ทำเอาหลายคนแปลกใจว่าเหตุใด คสช.จึงปล่อยให้ “หนูหริ่ง - สมศักดิ์ เจียมจีรสกุล - วรเจตน์ ภาคีรัตน์” ลอยนวล ทั้งที่มีหมายเรียกให้มารายงานตัว แต่ทั้ง 3 คนไม่มารายงานตัวตามหมายเรียก ทั้งที่นาทีนี้ คสช.มีศักยภาพในการจับกุมคนกลุ่มนี้ได้ เพราะมีรายงานขึ้นส่งถึงโต๊ะ “บิ๊กตู่” ตลอดว่า “หนูหริ่ง-สมศักดิ์-วรเจตน์” ยังคงอยู่ในประเทศไทย มองได้ว่า “ฝ่ายเสธ.” ของ คสช.อ่านว่า หากปล่อยให้ “แดงแกนนอน-แดงวิชาการ” เคลื่อนไหวโดยการขีดเส้นให้เดินจะเป็นประโยชน์ต่อ คสช.มากกว่าที่จะกวาดจับกุมให้เรียบ โดยเจตนาให้ “แดงแกนนอน-แดงวิชาการ” เคลื่อนไหวต่อไป เพราะรู้ว่าศักยภาพจำกัดไม่สามารถเรียกคน-เรียกแขก มาชุมนุมในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อ คสช. ได้
ดังนั้นการปล่อยให้เคลื่อนไหวจึงเป็นประโยชน์มากกว่า เพื่อได้รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของม็อบต้านดีกว่าปล่อยให้พวก "โนเาม" เคลื่อนไหวกันเอง เพราะจะสุ่มเสี่ยงต่อการควบคุมทิศทาง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้จับสัญญาณ “กลุ่มต่อต้านรัฐประหาร” ว่ามีมากน้อยแค่ไหน เช็คยอดไปในตัวว่า “คนเสื้อแดง” อ่อนกำลังไปมากน้อยเพียงใด ที่สำคัญ คสช.ได้เช็คด้วยว่า “แดงแกนนอน-แดงวิชาการ” มีเส้นทางเชื่อมโยงกับ “มือมืด” คนไหนบ้าง เมื่อได้ข้อมูลเบ็ดเสร็จ ก็ค่อยต้อนมาเข้าค่ายเช็คบิลเป็นรายตัว น่าสังเกตว่าระยะหลัง คสช.จึงเรียกหลากหลายบุคคลที่ชื่อไม่คุ้นหู แต่ในวงการรู้กันดีว่า พวกนี้เป็นขุมข่าย “ธุรกิจมืด” ที่เป็นเครือข่ายของ “นายใหญ่ดูไบ-นายใหญ่บางบอน” มารายงานตัวเป็นว่าเล่น จับทางได้ไม่ผิดว่า คสช.จะเลี้ยง “แดงแกนนอน-แดงวิชาการ” ไว้อีกระยะ เพราะหากรีบจับจะเสียของ ไม่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายของ “แดงมือมืด” ได้อีกต่อไป เลี้ยงเชื้อเอาไว้หมดประโยชน์แล้วค่อย “เช็คบิล” ทีเดียว เอาให้เข็ดหลาบ เพราะการกวาดล้าง “คนเสื้อแดง” ครั้งนี้ต้องทำแบบถอนรากถอนโคน ประวัติศาสตร์การ “รัฐประหาร” ปี 2549สอน คสช. รู้ว่าหากยังใจดีปล่อยให้ “ระบอบแม้ว” มีโอกาสกลับมาปลุกกระแส “แดง” ได้เมื่อไร ความพ่ายแพ้จะมาเยือนแน่นอน
ถอนรากถอนโคนครั้งนี้จึงต้องจัดหนักทั้ง “ธุรกิจมืด” และ “นายทุน” ใช้วิธีปล่อย “แดง” ไว้ฆ่า “แดง” ให้สิ้นซาก

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY