GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เทวดาประจำตัว / ดับทุกข์...ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า/“จิตสุดท้ายก่อนตาย”



.....@ เทวดาประจำตัว ..@.....

คนบางคนนั้น เวลาที่อยู่ในช่วงที่วิบากกรรมไม่ดีนั้นส่งผล ก็จะรู้สึกว่าตนเองนั้นพบกับความเดือดร้อนหรือต้องเจอกับเคราะห์กรรมใดๆ ที่หนักและรุนแรงน้อยบ้างหนักบ้าง แตกต่างกันตามที่การกระทำที่ทำมา แต่มีหลายครั้งที่ ดูเหมือนจะไม่รอดแน่ แต่ทำไมถึงรอด และผ่านเคราะห์กรรมนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด หลายท่านเคยสงสัยในเรื่องนี้หรือไม่

บางคนก็อาจจะรู้หรือนึกเอาว่า ต้องเป็นเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาประจำตัวคอยช่วยเหลือ หรือแม้แต่เวลาที่จะมีความสุขใดๆ ก็มักจะคิดว่าเป็นเพราะเทวดาประจำตัวของท่านนั้นบันดาลมาให้

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะทุกคนนั้นมีเทวดาประจำตัวแน่นอน

แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเราต้องรู้ก่อนว่า เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนั้น เหตุมาจากกรรมที่เราทำไม่ได้มาจากอำนาจของเทวดาแต่ประการใด ถึงแม้ท่านจะมีความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีอำนาจก็จริง แต่ท่านไม่มีหน้าที่จะมาเบี่ยงเบนกรรมของผู้ใดทั้งสิ้น...ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม

ไม่ว่าเทวดาหรือใครทั้งนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรายังต้องยอมรับกรรมทั้งดีและไม่ดี จนพระพุทธองค์หลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิดไปแล้ว กรรมทั้งหมดจึงยุติเพราะไม่รู้ว่าจะไปส่งผลให้กับใคร

เทวดาท่านทำเพียง จะช่วยในการดลใจให้ทำดีหรือไม่ให้ทำความชั่ว หรือคอยอวยพรให้เราพบกับสิ่งที่ดีดีในชีวิต ปกป้องดูแลไม่ให้ดวงวิญญาณอื่นมาทำร้ายเราโดยไม่มีเหตุผล

สำหรับเทวดาที่เราเข้าใจกันว่าเป็นเทวดาประจำตัวนั้นจริงๆ แล้ว ท่านไม่ได้อยู่คอยติดตามตัวเราหรือสิงอยู่ในตัวเราอย่างที่หลายคนๆ เข้าใจ

เพราะการเกิดเป็นเทวดาตามที่ได้กล่าวมานั้น จะต้องบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีมากมายกว่าจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนั้น แล้วลองนึกภาพตามดูว่าถ้าจะให้เทวดาเหล่านั้นท่านต้องมาคอยตามดูแลเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ปกปักรักษาคนที่เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ก็คงจะเป็นไปไม่ได้

เพราะตัวท่านเองก็ต้องเร่งสร้างบุญบารมีและมีกิจหน้าที่เหมือนกันเพื่อที่จะเลื่อนขั้นไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า อย่างที่บอกแล้วว่าเทวดาท่านก็ต้องมีหน้าที่คือ เทวดาบางองค์ท่านต้องมีหน้าที่ไปเฝ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปเฝ้าวัด เฝ้าพระพุทธรูป ศาลหลักเมือง ไปคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมและมีคุณงามความดีที่ต้องปกป้องรักษา หรือถ้าไม่มีหน้าที่ ท่านก็ต้องบำเพ็ญบุญบารมีไปหรืออาจะไปเที่ยวสวรรค์เล่นก็เป็นเรื่องของท่าน

และที่สำคัญภพภูมิของท่านหรือสวรรค์ของท่านนั้นอยู่สูงกว่ามนุษย์ ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวต้องกันว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นเหม็นมาก เพราะกินสัตว์ทุกประเภทและทำผิดศีลมากมาย เทวดาที่มีบุญบริสุทธิ์นั้นไม่อยากเข้าใกล้ และอยู่กับคนที่เหม็นไม่ได้แน่นอน ต้องอยู่ให้ห่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเทวดามาสิงในร่างกายคน

แต่หลายคนเชื่อว่า ยังไม่แน่ใจว่าเทวดาประจำตัวนั้นมีจริงหรือเปล่า ขออย่าพึงปฏิเสธหรือยอมรับให้ยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องใดๆ ขอให้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ คนที่จะตอบเราได้ดีที่สุดก็คือ ตัวเราเอง ว่าเรามีความรู้สึกหรือเคยได้สัมผัสสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่หาที่มาไม่เจอ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์นั้นยังพิสูจน์ไม่ได้

อย่าลืมว่า วิทยาศาสตร์นั้นเป็นแค่ศาสตร์ชนิดหนึ่งที่มีหลายศาสตร์มากมายทั่วโลก ที่พยายามจะตอบปัญหาของธรรมชาติให้คนได้รู้ได้เข้าใจ ถึงที่ไปที่มา แต่มีเรื่องราวมากมายที่วิทยาศาสตร์นั้นยังตอบไม่ได้ หรือหาเหตุผลไม่ได้

เพราะการเกิดเป็นเทวดาตามที่ได้กล่าวมานั้น จะต้องบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีมากมายกว่าจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนั้น แล้วลองนึกภาพตามดูว่าถ้าจะให้เทวดาเหล่านั้นท่านต้องมาคอยตามดูแลเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ปกปักรักษาคนที่เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ก็คงจะเป็นไปไม่ได้

เพราะตัวท่านเองก็ต้องเร่งสร้างบุญบารมีและมีกิจหน้าที่เหมือนกันเพื่อที่จะเลื่อนขั้นไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า อย่างที่บอกแล้วว่าเทวดาท่านก็ต้องมีหน้าที่คือ เทวดาบางองค์ท่านต้องมีหน้าที่ไปเฝ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปเฝ้าวัด เฝ้าพระพุทธรูป ศาลหลักเมือง ไปคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมและมีคุณงามความดีที่ต้องปกป้องรักษา หรือถ้าไม่มีหน้าที่ ท่านก็ต้องบำเพ็ญบุญบารมีไปหรืออาจะไปเที่ยวสวรรค์เล่นก็เป็นเรื่องของท่าน

และที่สำคัญภพภูมิของท่านหรือสวรรค์ของท่านนั้นอยู่สูงกว่ามนุษย์ ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวต้องกันว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นเหม็นมาก เพราะกินสัตว์ทุกประเภทและทำผิดศีลมากมาย เทวดาที่มีบุญบริสุทธิ์นั้นไม่อยากเข้าใกล้ และอยู่กับคนที่เหม็นไม่ได้แน่นอน ต้องอยู่ให้ห่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเทวดามาสิงในร่างกายคน

แต่หลายคนเชื่อว่า ยังไม่แน่ใจว่าเทวดาประจำตัวนั้นมีจริงหรือเปล่า ขออย่าพึงปฏิเสธหรือยอมรับให้ยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องใดๆ ขอให้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ คนที่จะตอบเราได้ดีที่สุดก็คือ ตัวเราเอง ว่าเรามีความรู้สึกหรือเคยได้สัมผัสสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่หาที่มาไม่เจอ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์นั้นยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีอยู่จริง

ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ในเรื่องของการทำสมาธิและพลังจิตนั้น ที่ศาสนาพุทธได้ค้นพบและประกาศออกไปเพื่อความสุขจริงของมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายกว่า 2,500 ปี ถึงประโยชน์สุขมหาศาลที่คนที่ปฏิบัติแล้วจะได้รับทั้งทำให้มีจิตใจกล้าแกร่ง เกิดปัญญาแก้ทุกปัญหาได้ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รักษาและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วยได้แบบที่พระอริยสงฆ์ท่านใช้รักษาตัวกันบ่อย เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง

เรื่องแบบนี้วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีนี้ที่ค้นพบว่าการทำสมาธิในขั้นที่ลึกแล้ว จะทำให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานได้ช้าลงและดีขึ้น อีกทั้งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ หัวใจก็แข็งแรง เป็นต้น

และเรื่องการเกิดของสิ่งมีชีวิต พระพุทธเจ้าค้นพบมานานเป็นพันๆ ปี มีบรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกเรื่องการเกิดของเหล่าสรรพสัตว์ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบการเกิดของสัตว์ตัวเล็กๆ บางชนิด เชื้อโรคต่างๆ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เรื่องนี้จึงพอจะยืนยันได้อีกเรื่องว่า ในบางเรื่องที่เหนือความเข้าใจ วิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึงแน่นอน และการมีอยู่ของเทวดาที่อยู่คนละภพภูมิหรือคนละชั้น แล้วการลงมาช่วยเหลือมนุษย์นี่ก็มีความเป็นไปได้ การช่วยเหลือกันข้ามภพข้ามชาตินั้น ที่สัตว์อีกชั้นหนึ่งไปช่วยสัตว์อีกชั้นหนึ่ง (เทวดา ดวงวิญญาณที่เราเรียกว่าผี มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ต่างล้วนเป็นสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างที่คำเรียกตามภพภูมิเท่านั้น) ก็เหมือนกับการที่เราเป็นมนุษย์อยู่แล้วไปช่วยสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่น คนไปเก็บแมวหมาจรจัดมาเลี้ยง การไปช่วยช้างเคราะห์ร้ายที่ตกบ่อให้ขึ้นมาจากหลุมหรือท่อระบายน้ำ หรือการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์หลายๆ ประเภทอย่างนี้เป็นต้น
คือแม้จะอยู่ภพชาติเดียวกันแต่เป็นการช่วยเหลือต่างภูมิกัน คือเราเป็นมนุษย์มีภูมิสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานลงไปช่วยมัน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่านี่เป็นฝีมือของมนุษย์ที่มาคอยช่วยเหลือ

เหล่าเทวดาก็เช่นเดียวกัน ท่านอยู่ในภพภูมิที่ทั้งแตกต่างและอยู่สูงกว่าอาจจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับมนุษย์ได้ เทวดาท่านก็มีสังคมของท่านเหมือนกันในบางชั้นสวรรค์ มีทั้งเพื่อน มีสามีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวารที่มีความรักผูกพันกัน

เหล่าญาติหรือคนรู้จักของท่านอาจจะจุติมาเกิดในโลกมนุษย์ รวมถึงความห่วงใยในญาติที่ครั้งหนึ่งที่ท่านเคยเกิดมาเป็นคนก่อนที่จะมาเป็นเทวดา  เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็ยังมีกิเลสมีความห่วงหาอาทรเหมือนกับคนเรา อาจคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุขโดยการรับรู้ด้วยความเป็นทิพย์เพราะท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์หรือความรู้สึกอันเป็นทิพย์ เทวดาท่านก็จะรู้ขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่า เกิดเรื่องร้ายแรงหรือมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นกับญาติมิตรที่รักของท่าน เทวดาท่านมีแต่กายทิพย์ไม่มีกายเนื้ออย่างคนเรา การให้ความช่วยเหลือของท่านส่วนใหญ่จะเป็นการ “ดลจิตดลใจ” หรือโน้มน้าวให้ญาติมิตรเหล่านั้นให้เปลี่ยนจิตที่เป็นอกุศล ที่กำลังจะตกไปอยู่ในอบายภูมิให้กลับกลายเป็นจิตกุศลและมีความสุขขึ้นได้ เช่น หากญาติมิตรที่กำลังโกรธจัดเพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ท่านก็แผ่เมตตาส่งบุญกุศลลงมาดลจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง

เคยหรือเปล่าที่เวลาที่กำลังโกรธใครหรือกำลังร้อนใจอะไรอยู่กับสิ่งนั้นมากๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเยือกเย็นลง ได้อย่างน่าประหลาดเช่นเมื่อได้ก้าวเข้าไปสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อย่างเช่นในวัดวาอารามใหญ่ๆ พอเข้าไปแล้ว รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นสว่างไสวทำให้จิตที่กำลังขุ่นข้องหมองใจนั้นก็กลับสงบเยือกเย็นลงเป็นลำดับ ซึ่งเป็นเพราะเทวดาที่อยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นได้แผ่เมตตาลงมาให้ทำให้รู้สึกสงบเย็นลง และค้นพบวิธีการแก้ปัญหาหรือพบกับคนที่จะช่วยเหลือให้รอดพ้นไปได้จากปัญหาเหล่านั้น  เรื่องเหล่านี้เป็นการดลใจของเทวดาแน่นอน ทั้งดลใจเราและดลใจคนที่จะช่วยเราได้ ให้มีความเมตตา มีความพร้อมในเรื่องที่จะช่วยมาเจอกัน เรื่องนี้ขอให้ไปดูเรื่องของเชื่อมบุญที่อยู่ในบทต่อไป จะเข้าใจทันทีว่าทำไมต้องเชื่อมบุญกับเทวดา
การดลใจของเหล่าเทวดาก็ยังมีหลายระดับขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง และก็กิเลสที่อยู่ในตัวคนๆนั้นด้วยหากเป็นคนมีกิเลสหนาโทสะมากๆ ถูกความมืดในจิตครอบงำเสียเต็มแน่นทำให้เห็นผิดได้อย่างรุนแรงอย่างนี้เทวดาก็ไม่อาจดลใจช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันดุจดังความดีหรือแสงสว่างจะไม่สามารถแทรกลงไปกรรมชั่วหรือความมืดมิดได้

ขอยกตัวอย่างในเรื่องของเทวดาท่านดลใจ ที่เกี่ยวข้องกับอริยบุคคลในสมัยพุทธกาลอีกสักหนึ่งเรื่องครับเรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งความจริงแล้วท่านมีนามเดิมว่า “สุทัตตะ” แต่เพราะความใจบุญชอบทำทานแก่คนยากคนจนมากจึงได้ชื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐี นี้มาซึ่งแปลว่า “เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้คนยากไร้” ท่านมีกองคาราวานสินค้าเดินทางไปทั่วชมพูทวีป ค้าขายอย่างตรงไปตรงมาสร้างบุญกุศลมาโดยตลอดวันหนึ่งท่านก็ได้ไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์และได้พบกับน้องเขยของท่านนามว่า ราชคฤห์เศรษฐี (ในบางคัมภีร์ ผู้รู้กล่าวว่าท่านเป็นเพื่อนกัน) ทุกครั้งที่ท่านเดินทางไปก็จะต้องไปพักกับคนผู้นี้เสมอ ภายหลังได้ทราบว่า น้องเขยผู้นี้จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ก็เกิดความดีใจมาก อยากจะนมัสการพระพุทธเจ้าในทันที แต่เพราะพระพุทธองค์ยังทรงประทับอยู่ในป่าสีตะวันยังไม่สะดวกจะให้ใครเข้าพบ น้องเขยจึงได้บอกให้ไปพักผ่อนรอก่อนในวันถัดไป ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบพระพุทธองค์ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงกับหลับแล้วตื่นถึง 3 ครั้งในคืนนั้นพอครั้งสุดท้ายที่ตื่นขึ้นมา จู่ๆ ท่านก็เดินออกไปนอกเมืองไปยังป่าสีตวัน ทั้งๆ ที่ยังเป็นเวลามืดและประตูเมืองก็ยังไม่เปิดเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะเหล่าโอปปาติกะ (เทวดาพวกหนึ่ง) ช่วยกันเปิดประตูเมืองให้ท่านเศรษฐีเดินออกไปข้างนอกเมืองได้และทำให้เห็นว่าเวลานั้นเป็นเวลารุ่งสางแล้วแต่พอพ้นประตูเมือง ท้องฟ้าก็กลายเป็นเวลามืดอย่างเดิมอีก ท่านเศรษฐีตกใจกลัวคิดจะกลับเข้าเมืองตามเดิม แต่ก่อนที่จะกลับก็มีเสียงของ “สิวกยักษ์” (เทวดาพวกหนึ่ง) มากล่าวเตือนให้ท่านเศรษฐีให้ก้าวเดินไปยังข้างหน้าอย่าได้ถอยกลับ เพราะการก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้นเป็นก้าวย่างที่จะเดินทางไปสู่หนทางที่ประเสริฐ พอสิ้นเสียงนั้นความมืดก็หายไป ท่านเศรษฐีก็เดินเข้าไปในป่าต่อไปได้

พอเดินไปได้สักหน่อยความมืดตามปกติก็เข้าปกคลุมอีก เสียงของสิวกยักษ์ก็ดังก้องขึ้นมาให้ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ความมืดก็หายไปอีกสลับกันไปอยู่อย่างนี้ ด้วยเหตุที่เกิดความมืดและความสว่างสลับกันหลายครั้งทำให้ท่านเศรษฐีเกิดความท้อใจ แต่สิวกยักษ์ ก็กล่าวให้กำลังใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางมาจนถึงป่าสีตวันได้เป็นผลสำเร็จ ในขณะนั้นเป็นเวลาที่จวนจะรุ่งสางแล้ว พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่ เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ทรงประทับนั่งเหนือก้อนหินแล้วกล่าวเชิญให้ท่านเศรษฐีมาเข้าเฝ้าด้วยพระองค์เองโดย พระพุทธองค์กล่าวชื่อ “สุทัตตะ” ได้อย่างถูกต้องทั้งๆ ที่เป็นการพบกันครั้งแรกสร้างความยินดีและเลื่อมใสในตัวพระพุทธองค์แก่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นอย่างมาก

จากนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมพื้นฐานเป็นการเบื้องต้นให้ เมื่อเล็งเห็นแล้วว่า สุทัตตะมีความเลื่อมใสในธรรมจริงจึงแสดงอริยสัจ 4 โปรดแด่สุทัตตะ เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว สุทัตตะก็เกิดความซาบซึ้งในพระธรรมก้าวพ้นซึ่งความสงสัยในคำสอนของพระองค์ได้บรรลุเป็นอริยบุคคลมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุกลายเป็นพระโสดาบันทันที

หลังจากนั้นท่านเศรษฐีก็ประกาศปวารณาตนเองเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา แล้วจึงกราบอาราธนาพระพุทธองค์ไปฉันภัตตาหารพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งพระองค์ก็ทรงรับโดยดุษณีภาพ (หมายความว่า แสดงอาการนิ่งเป็นการยอมรับ) นี่คือเหตุการณ์การพบกันครั้งแรกระหว่างพระพุทธองค์กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี

ตัวอย่างเรื่องราวนี้ชี้ให้เห็นว่า เทวดาประเภทยักษ์อย่าง สิวกยักษ์ได้ทำการดลจิตดลใจของเศรษฐีให้ท่านได้มาพบกับพระพุทธองค์จนได้แสดงธรรมแก่ท่านจนได้บรรลุธรรมในชั้นต้นของพระพุทธศาสนาเป็นการสร้างบุญอันยิ่งใหญ่ซึ่งผลบุญนี้ก็จะตกไปถึงสิวยักษ์ตนนั้นด้วย  แปลความง่ายๆ ว่า การทำบุญของเทวดาท่านก็จะทำบุญด้วยวิธีนี้ใช้การดลจิตใจให้กับผู้ที่มีบุญวาสนาที่มีบุญเชื่อมโยงถึงกันจึงเป็นเหตุให้มาสร้างบุญใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่จิตใจไม่ดีคิดแต่เรื่องอกุศล ต่อให้เทวดามีฤทธิ์แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน

นอกจากเรื่องเทวดาประจำตัวแล้วยังมีเรื่อง “เทวดาเจ้าที่” อีกต่างหากด้วยเทวดาเหล่านี้ท่านมีหน้าที่ดูแลสถานที่เหล่านั้นให้ร่มเย็นเป็นสุข  ยกตัวอย่างเช่นคนที่เคยไปนอนตามวัดวาอารามต่างๆ เพื่อฝึกปฏิบัติธรรมอาจเคยเจอเหตุการณ์ประเภทที่ทำให้รู้สึกว่า ถูกกระตุกขาหรือได้ยินเสียงอะไรที่แปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมาเตือนสติหรือดลจิตใจให้ไปทำอะไรสักอย่าง หรือแม้กระทั่งมาสะกิดเตือนก็มีให้เห็นมามากรายแล้ว รูปแบบของการสื่อสารระหว่างคนกับเทวดาจึงมีทั้งการดลจิตใจ การปกป้อง ไปจนถึงการสะกิดเตือนตรงๆ

เรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาประจำตัวนี้ ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะเคยมีความเชื่ออย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรกระทำก็คือ หมั่นทำความดีสร้างบุญบารมีเท่าที่ทำได้ทั้งทาน ศีล ภาวนา อย่าไปสงสัยในเรื่องของบุญและกรรมจนทำให้จิตใจตกต่ำ และหมั่นฝึก “สติ” ของเราเองให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างฤทธิ์ทางใจให้แข็งแกร่ง มีหิริโอตัปปะประทับอยู่ในจิตใจ เป็นการต้านทานบาปและหันมาต้อนรับการทำบุญทั้งปวงจะเป็นการดีที่สุด

การผูกพันระหว่างมนุษย์และเทวดานั้นเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง และทุกคนมีเทวดาประจำตัวที่เคยเป็นบรรพบุรุษ พ่อแม่พี่น้อง ยาติมิตร สหายที่คอยห่วงใยและพร้อมจะช่วยเหลือเมื่อยามมีภัย คอยดลใจให้สร้างกรรมดียิ่งขึ้นไป เพราะท่านเหล่านั้นทราบดีว่า บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริง

ยิ่งในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคยอธิษฐานจิตให้ผูกพันกันกับอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ต้องมีการติดตามไปเฝ้าดูอยู่ตลอดเหมือนเชือกที่โยงติดกัน แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหมดบุญในการอธิษฐานหรือทำการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ตกต่ำลงสายใยที่เคยผูกโยงไว้ด้วยบุญก็จะขาดออกจากกัน

ทางที่ดีที่สุดเพื่อความไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้ว่าวิบากกรรมไม่ดีจะมาส่งผลเมื่อใด ขอโปรดหันมาทำความดีละเว้นความชั่ว เพื่อเป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ และลด ละ เลิก หลีกหนีเว้นในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายจะดีกว่า

เพราะการเอาแต่นั่งรอให้เทวดาประจำตัวมาช่วยเพียงอย่างเดียว เป็นเรื่องที่ไม่สมควรและประมาทในเรื่องของกรรมมาก เทวดาประจำตัวท่านไม่อาจจะช่วยได้เลย หากตัวเราไม่มีบุญเป็นฐานหรือกำลังสนับสนุนที่เพียงพอ

ยิ่งเราเป็นผู้มีบุญมาก เทวดาท่านก็ยิ่งจะสื่อสาร ดลใจช่วยเหลือเราได้มากขึ้น เพราะเข้าออกในจิตใจเราได้สะดวกไม่มีกรรมชั่วมาขวางกั้นเอาไว้

..... เคล็ดวิธีการบูชาเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นก่อนที่จะบูชาเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตามขอให้พึงระลึกเรื่องหนึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อนเรื่องสำคัญที่ว่านี้ก็คือเรื่อง “กรรม” พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้และมีบันทึกในพระไตรปิฎกที่ปรากฏอยู่ในจูฬกรรมวิภังคสูตรในมัชฌิมนิกาย พระสุตตันตปิฎกมีใจความว่า

“สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนกำเนิด มีกรรมเป็นเครื่องติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์เลวและประณีตแตกต่างกัน”

การที่บอกว่าเทวดาท่านช่วยให้รวย ช่วยให้สุข ช่วยให้พ้นภัยนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ท่านจะช่วยในเวลาที่คนนั้นมีบุญและกรรมดีกำลังจะส่งผลเท่านั้น เป็นการช่วยให้คนๆ นั้นเร่งสร้างกรรมดีอย่างถูกต้องที่จะส่งผลให้บุญใหม่นั้นรวมกับบุญเก่าทันเวลา ไม่ใช่ท่านเนรมิตหรือทำอะไรก็ตามให้เองโดยที่คนๆ นั้นไม่ต้องทำอะไร แบบนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น

การที่พิธีสำคัญต่างๆ รวมถึงการที่ทุกครั้งก่อนสวดมนต์มีการอัญเชิญเทวดามาร่วมพิธีนั้น ที่มีบทคาถาชุมนุมเทวดานั้น เป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการรวมผู้มีบุญบารมีมาสร้างบุญกุศลร่วมกัน จะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นการรวมพลังงานฝ่ายดี เหมือนกับรวมน้ำจากที่ต่างๆ การเป็นมหาสมุทรจะพัดพาไปที่ใดก็ร่มเย็นแล้วก็เกิดผลดี

.....ขั้นตอนการบูชาให้ได้ผลอย่างแท้จริง

1.  ทำตนเองให้เป็นคนดี

ก่อนอื่นต้องรู้ว่า การเกิดเป็นเทวดาต้องมาจากบำเพ็ญบารมีอย่างมาก เทวดาจึงมีคุณงามความดีมากกว่ามนุษย์หลายเท่า การจะหวังให้เทวดามาดูแลมนุษย์คนใดคนหนึ่งจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มนุษย์เรายังรู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องหรือสัมผัสถึงเทวดาได้อยู่อาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กันมาในอดีต

การที่เทวดาจะมาช่วยเหลือหรือคอยติดตามนั้นเทวดาจะคอยตามโมทนาคุณงามความดีของคนที่ได้สร้างบุญกุศลให้และดลจิตดลใจให้กระทำความดี ที่จะน้อมนำไปสู่ความสำเร็จหรือภาษาชาวบ้านก็คือ เรียกว่า “มอบโชคลาภ” ให้นั่นเอง แปลว่าการที่เราจะได้รับแรงสนับสนุนหรือส่งเสริมใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ คนที่จะไปขอความช่วยเหลือก็ต้องมีคุณงามความดีมากพอด้วยไม่อย่างนั้นเทวดาท่านก็ช่วยไม่ได้

การที่จะขอให้ท่านช่วยเหลืออะไรนั้น มีเคล็ดสำคัญมากก็คือ เราผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ขอต้องทำการ “เชื่อมบุญกุศลคุณงามความดีส่งไปให้ท่านเสียก่อน” เพื่อแสดงความเคารพยอมรับและให้กระแสบุญนั้นผูกพันกัน เมื่อจะมีเหตุการณ์ใดท่านจะได้ช่วยเหลือหรือดลใจได้

.....การเชื่อมบุญคืออะไร ทำไมต้องเชื่อม ?

การเชื่อมบุญหากจะแปลความให้พอเข้าใจง่ายๆ ก็คือ การที่เอาบุญนั้นเป็นตัวเชื่อมให้ของสองสิ่งหรือมากกว่านั้นเข้าหากัน เหมือนดังคนที่เคยมีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ครั้งในอดีต ตอนแรกๆ คนเราเมื่อยังไม่รู้จักกันเดินสวนกัน เจอหน้ากันอย่างดีก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็เดินผ่านเลยไป

เชื่อว่าต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้รู้จักกันถึงจะมาพูดคุยกันได้ อย่างน้อยก็คำทักทายว่า สวัสดี หรือการช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ สักอย่างทำให้ ต่างคนต่างจำกันได้ พอเวลาพบกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นคนรู้จักหลังจากนั้น พอทำความสนิทสนมกันมากเข้าก็กลายเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ต่อกัน พัฒนาจนไปเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็กลายเป็นแฟนเป็นคู่ชีวิตกัน

เรื่องของเทวดานี่ก็เหมือนกัน ตอนนี้เราอาจหาอ่านข้อมูลต่างๆ จากหนังสือหลายๆ เล่ม ว่าท่านมีลักษณะอย่างไรอยู่สวรรค์ชั้นไหนรายละเอียดเป็นอย่างไร แต่เราก็ยังไม่ได้ทำความรู้จักท่านจริงๆ ท่านก็มองเห็นเราเหมือนกัน แต่ท่านก็ยังไม่รู้จักเรา คนไม่รู้จักกันจะให้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก

เทวดากับเรา อาจจะยังคงเป็นคนแปลกหน้าหรือญาติห่างๆ ที่ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดยังไม่ถึงขั้นที่พร้อมจะช่วยเหลือหรือเต็มใจช่วยในเรื่องสำคัญบางอย่างได้

เพราะฉะนั้น “การเชื่อมบุญ” นี่แหละที่จะเป็นตัวที่สามารถทำให้ เราสามารถรู้จักกับเทวดาได้และท่านก็จะรู้จักเรา กระชับสายใยแห่งความผูกพันและสายในแห่งบุญทั้งบุญเก่าและบุญใหม่เข้าหากัน เพื่อให้บุญนั้นมีกำลังพอที่จะส่งผล ช่วยให้พบกรรมดีได้เร็วขึ้นและช่วยคลายวิบากกรรมไม่ดีได้

ในเมื่อเรายังเป็นมนุษย์ยังอยู่ในโลกมนุษย์ ต่างภพภูมิกับท่าน ด้วยพลังบุญเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์ติดต่อสื่อสารและมีบุญที่ร่วมกันกับเทวดา ยิ่งเราเป็นผู้ชอบทำบุญกุศลแล้ว เทวดจะพึงพอใจมากถ้าลองพิจารณาคำสอนของท่านกุมารกัสสปะเถระที่ท่านสั่งสอนพระ



..........@.....ดับทุกข์...ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า.....@....

หลังจากโกณฑัญญะ... ได้มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว... จึงขอบวชเป็นพระสาวกองค์แรก... ของพระพุทธเจ้า... ต่อมา... วัปปะ... ภัททิยะ... มหานามาะ... อัสสชิ... ได้มีดวงตาเห็นธรรม... ตามลำดับ... ก็ขอบวชเป็นพระสาวกของ... พระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์... หลังจากปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้บวชแล้ว... พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรม... อนันตลักขณสูตร... ให้ฟังต่อ คือ ให้รู้จักขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ามันไม่ใช่ของเรา ถ้ามันเป็นของเราจริง เราก็สามารถบังคับมันได้ หรือสั่งมันได้

แล้วพระพุทธเจ้าก็ถาม... แล้วให้ปัญจวัคคีย์ตอบว่าดังนี้...

ขันธ์ ๕ มีรูป (ร่างกาย)... แล้วรูปเป็นของเที่ยงหรือ.... ไม่เที่ยง  = ตอบไม่เที่ยง...

ขันธ์ ๕ มีเวทนา (ความรู้สึก)... แล้วเวทนาเที่ยงหรือ... ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...

ขันธ์ ๕ มีสัญญา (ความจำ)... แล้วสัญญาเที่ยงหรือ..... ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...

ขันธ์ ๕ มีสังขาร (ความคิด)... สังขารเที่ยงหรือ......... ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...

ขันธ์ ๕ มีวิญญาณ (ความรู้)... วิญญาณเที่ยงหรือ........ ไม่เที่ยง = ตอบไม่เที่ยง...

สิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์หรือเป็นสุข = ตอบเป็นทุกข์

สิ่งใดที่ไม่เที่ยงมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา... ควรหรือที่จะตามยึดมั่นว่า... นั้นเป็นของเรา = ตอบไม่ควร

จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัสสรุปว่าเมื่อเราเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า... รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ... และการกระทบสัมผัสทางตา... หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ พิจารณาภาวนาขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖ เป็นของไม่เที่ยง เกิดดับ เมื่อเห็นว่ามันไม่เที่ยง เกิดดับ ย่อมเบื่อหน่ายในรูปในสัมผัส... เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็ไม่มีชาติ ไม่มีภพอีกต่อไป...

จากนั้นปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้บรรลุอรหันต์ รวมกันทั้ง ๕ พระองค์ตามลำดับ...

...ขอยกตัวอย่างอีกสูตรหนึ่ง...

ยสะ... เป็นบุตรเศรษฐี แห่งเมืองพาราณสี มีความเป็นอยู่อย่างสุขสมบูรณ์ วันหนึ่งเห็นสภาพในห้องนอนของตนเอง เป็นเหมือนป่าช้า เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย จึงหนีออกจากบ้าน...ยสะ... เกิดความเบื่อหน่าย จึงเดินไปด้วยและพูดไปด้วยว่า...

"ที่นี่วุ่นวายหนอ... ที่นี่น่าเบื่อหนอ"... "ที่นี่วุ่นวายหนอ... ที่นี่น่าเบื่อหนอ"...

เมื่อไปพบพระพุทธเจ้าที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าตรัสตอบ ยสะ ว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่น่าเบื่อหนอ"... มากับเราสิแล้วเราจะแสดงธรรมให้เธอฟัง หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเทศนา "อนุปุพพิกถา" และ "อริยสัจ ๔" โปรด ยสะ มีความดังนี้...

การยึดมั่นถือมั่นในตัวของตัว คือขันธ์ ๕ เช่น การติดในรูป ติดในกาม ติดในรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ เป็นทุกข์ทั้งปวง ถ้าเธอออกบวชจะเกิดอานิสงส์คือ... ทุกข์ทั้งหลายนี้จะหมดไป ทุกข์อื่นจะไม่เกิดขึ้น จากนั้นพระพุทธเจ้าก็สอนการพิจารณา การสัมผัสที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หลังจากฟังการเทศนาธรรม... ของพระพุทธเจ้าแล้ว ยสะ ก็มีดวงตาเห็นธรรม คือบรรลุเป็นโสดาบันบุคคล...

ต่อมาเศรษฐีผู้เป็นบิดาออกตามหา ยสะ พอมาพบรองเท้า ก็จำได้ว่านี่คือรองเท้าของ ยสะ นี่ จึงเข้่าไปหาพระพุทธเจ้า แล้วถามพระพุทธเจ้าว่า เรามาตามหาบุตรชื่อ... ยสะ... ไม่ทราบว่าท่านเห็นบุตรชายของข้าพเจ้าหรือไม่...

พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบเศรษฐีว่าดูก่อน... ท่านเศรษฐีขอให้ท่าน จงรับฟังการเทศนาธรรมจากเราก่อนแล้วเราจะให้ท่านได้พบกับลูกชายของท่าน... ความจริงแล้ว ยสะ ก็นั่งอยู่ใกล้ๆ กับเศรษฐีนั่นเอง คือด้วยฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า... ที่ยังไม่ให้เศรษฐีได้พบกับลูกชายของตัวเองก็เพราะว่าจะเป็นอุปสรรคแก่การบรรลุธรรมของทั้งสองคน หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมให้กับเศรษฐีเหมือนกับการแสดงธรรมให้กับ ยสะ ตอนแรก  พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ... ท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดาของ ยสะ... ก็มีดวงตาเห็นธรรมได้เป็นโสดาบันบุคคล ส่วน... ยสะ... ก็ได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้า... แสดงให้กับบิดาของตัวเอง... เป็นครั้งที่สอง... จึงบรรลุเป็น... อรหันต์สาวกองค์ที่ ๖... ของพระพุทธเจ้าในขณะนั้นด้ว


“จิตสุดท้ายก่อนตาย”

สำคัญก็จริง แต่ .......“จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก” ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้ว

“การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง” บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น”

ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด

ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด (ภวังคจิต) บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง” แปลว่า ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน) สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนต์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนตร์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี  แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว ญาติๆ ร้องไหร้ระงมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงเซ็งแซ่ บรรยากาศเหล่านนั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนต์ โดยสิ่งที่อาจารย์อาภรณ์ทำประจำคือ เมื่อรู้ว่ามีคนไข้ตาย ก็จะหยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากระหว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้

สรุป บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลังความตาย 20 นาที จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศก การทะเลาะเบาะแว้ง หรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา จิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า
See More

หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ

นิสัยของสัตว์โลก จะให้เหมือนกันมันไม่เหมือนกันหรอก บางท่านเป็นผู้มีตาทิพย์ ดูพรหมโลกได้ ดูนรกได้ ดูเทวดาได้ อย่างพระโมคคัลลานะ หรือพระอนุรุทธะ ตอนพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน องค์อื่นจำต้องคอยถามท่านพระอนุรุทธะ ท่านมีทิพยจักษุเป็นเลิศที่สุดในบรรดาสาวก องค์อื่นไม่เทียบเท่ากับท่าน ดูแต่พระอรหันต์ยังไม่เหมือนกัน พวกเราก็ไม่ต่างกันกับท่าน บางคนจิตหยาบ บางคนละเอียด ที่เขาละเอียดเขามีพื้นฐานดีแล้ว พอเขาเจริญภาวนาเขาก็ได้เลย ตัดไปเลย พวกเราก็ต้องพยายามบำเพ็ญความเพียรกันไป อย่าทอดทิ้งความเพียร วันหนึ่งผลสำเร็จก็ต้องเป็นของเรา ถึงจะไม่ถึงที่สุดในชาตินี้ แต่ก็จะเป็นนิสัยปัจจัยติดตัวเราไปในชาติหน้าภพหน้า ขอให้บำเพ็ญต่อไปเถอะ


MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY