ยานวิเศษของระบอบทักษิณ
โดย สิริอัญญา
วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2557
ไม่ว่า คสช. จะขับเคลื่อนการปรองดองภายในชาติในขั้นตอนที่ 1 อย่างขะมักเขม้น แต่ก็ไม่วายที่คนไทยทั้งหลายจะวิตกกังวลว่าเมื่อการเลือกตั้งมาถึง ระบอบทักษิณก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ก็เห็นทีจะถึงกาลสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน สิ้นกษัตริย์
แม้นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้แถลงว่าจำเป็นต้องปิดประเทศสักระยะหนึ่งแต่อย่านานนัก พร้อมทั้งระบุว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว โอกาสสุดท้ายอะไร? ก็คือโอกาสที่จะฟื้นฟูชาติบ้านเมืองและป้องกันไม่ให้ทุนสามานย์กลับมายึดบ้านยึดเมืองนั่นเอง
แล้วอะไรเล่าที่ทำให้สังคมไทยหวาดหวั่นพรั่นพรึง และอะไรเล่าที่ทำให้เครือข่ายของระบอบทักษิณมั่นอกมั่นใจว่าจะกลับมาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ดังที่นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้พูดกับสื่อมวลชนที่ไปขอสัมภาษณ์ในวันเกิดว่าเอาไว้คุยกันหลังเลือกตั้ง
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ประกาศว่าการยึดอำนาจจะไม่เสียของเหมือนปี 2549 ในขณะที่เครือข่ายระบอบทัก
ษิณก็ประกาศว่าหลังเลือกตั้งค่อยเจอกัน ส่วนประชาชนผู้รักชาติทั้งผองได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เมื่อถึงวันนั้นยังจะมีเรี่ยวแรงกำลังวังชาออกมาขับไล่รัฐบาลของระบอบทักษิณอีกหรือไม่?
ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับที่มาของรัฐบาลหลังเลือกตั้ง หรืออาจกล่าวได้ว่ายานวิเศษอันใดที่ระบอบทักษิณจะอาศัยกลับมาเป็นรัฐบาลเล่า? เพราะตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีมานี้ ระบอบทักษิณก็ได้อาศัยยานชนิดนี้แหละในการเข้าสู่อำนาจเป็นรัฐบาลยึดครองประเทศไทย
นั่นคือระบบการเลือกตั้งแบบเส็งเคร็งที่ได้วางเสาเอกไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยมีกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง ว่าด้วยการเลือกตั้ง และว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญ
ระบบเลือกตั้งแบบเส็งเคร็งนี่แหละที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยหรือเป็นยานวิเศษให้กับระบอบทักษิณในการเป็นรัฐบาลตลอดมา เลือกตั้งครั้งไหนก็ชนะทุกครั้ง บรรดาพรรคการเมืองไม่ว่าเก่าใหม่ไม่มีทางต่อสู้ได้เลย
เพราะการเลือกตั้งระบบเส็งเคร็งนี้ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล การเลือกตั้งเมื่อปี 2537 ทั้งระบบใช้เงินเพียงประมาณ 20,000 ล้านบาท มาถึงปี 2540 ก็ใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 80,000 ล้านบาท และได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาลทุกครั้ง จนถึงการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ก็มีวงเงินที่ต้องใช้ในการเลือกตั้งเกือบ 200,000 ล้านบาท โดยบางพรรคต้องจ่ายเงินแก่ผู้สมัครถึงคนละ 50 ล้านบาท ในขณะที่บางเขตเลือกตั้งต้องใช้เงินถึง 200 ล้านบาท
และยังประกอบด้วยการใช้อำนาจรัฐทุกชนิด ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตำรวจ ซึ่งมีแต่ระบอบทักษิณเท่านั้นที่มีศักยภาพที่จะทำได้ พรรคการเมืองอื่น ๆ ไม่มีขีดความสามารถที่จะต่อสู้ได้เลย ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการซื้อคนใน กกต. ทั้ง กกต.กลาง กกต.จังหวัด และกกต.เขต ซึ่งจะสังเกตได้ว่าไม่ว่าจะโกงการเลือกตั้งสักเพียงใด ก็จะไม่มีการแจกใบแดงให้แก่ใครเลย
ระบบเลือกตั้งแบบเส็งเคร็งนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดขึ้นไปอีกในรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นการเฉพาะ แต่ก็รู้กันว่าเบื้องหลังยังมีคณะร่างรัฐธรรมนูญเจ้าเก่าเป็นผู้ครอบงำบงการอยู่ทั้งสิ้น
การเลือกตั้งแบบระบบเส็งเคร็งปรากฏผลเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าทำให้คน ๆ เดียวเป็นเจ้าของพรรค เป็นเจ้าของรัฐสภา เป็นเจ้าของรัฐบาล และบงการยึดครองประเทศไทยได้อย่างโจ่งแจ้งโจ๋งครึ่ม โดยที่กฎหมายทำอะไรไม่ได้เลย เพราะมือไม้ในการบังคับใช้กฎหมายล้วนเป็นอัมพาตหรือเป็นข้าทาสบริวารไปเกือบหมด กระทั่งแค่จะเอ่ยชื่อคนบางคนก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง แม้กระทั่งในวันนี้ก็ตาม
เมื่อมีการยึดอำนาจ คสช. ได้ประกาศให้รัฐธรรมนูญปี 2550 สิ้นสุดลง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรื้อถอนและสร้างใหม่ซึ่งระบบการเลือกตั้งที่จะทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ทว่าในที่สุด กกต.ชุดนี้ก็ประสบความสำเร็จในการนำเสนอให้ คสช. ออกประกาศรื้อฟื้นการเลือกตั้งระบบเส็งเคร็งทั้งหมดทั้งระบบให้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
ยานวิเศษสำหรับนำระบอบทักษิณกลับมายึดครองประเทศไทยได้รับการจัดวางไว้เสร็จสิ้นแล้ว คงเหลือแต่การร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องรองรับกันเมื่อใด เมื่อนั้นก็จะมีความพร้อมอย่างสมบูรณ์ที่จะนำระบอบทักษิณกลับมาเป็นรัฐบาล
เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่วิตกกังวลต่อบรรดาผู้คนทั้งปวงที่รักบ้านรักเมืองและไม่ต้องการให้ประเทศกลับไปสู่ความขัดแย้งหรือกระทั่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นรัฐไทยใหม่
ดังนั้นถ้าไม่ต้องการให้การยึดอำนาจครั้งนี้เสียของ ก็ต้องทำลายหรือรื้อยานวิเศษดังกล่าวเสีย และจะต้องจับตาให้แม่นมั่นในร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อวางรากฐานให้กับการเลือกตั้งแบบใหม่ที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง!
http://www.paisalvision.com/content/88-features/11771----qq-28-57.html
“ไพศาล” เชื่อระบอบทักษิณพลาดอีกครั้งหนึ่ง ที่ให้ “จารุพงศ์” เปิดตัวขบวนการเสรีไทย
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เปิดเผยเมื่อเช้าวันนี้ว่า การที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์เปิดตัวขบวนการเสรีไทยเป็นความพลาดครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของระบอบทักษิณ ชี้ไม่ต่างกับการเคลื่อนไหวของนายจักรภพ เพ็ญแข
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่ากลยุทธ์หลักของระบอบทักษิณในการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งคือ การฟื้นคืนระบบเลือกตั้งแบบเส็งเคร็งที่ทำสำเร็จแล้ว การวางค่ายกลให้มีการร่างรัฐธรรมนูญที่จะสวมรองรับกับการเลือกตั้งแบบเส็งเคร็ง และการเร่งกำหนดการเลือกตั้ง ซึ่งทั้งสามกระบวนนี้จะต้องซุ่มซ่อนและเงียบงัน เพื่อให้คนไทยตายใจ และหลงลืมไปกับความสุขที่ได้รับคืนมา ยิ่งประมาทขาดความระมัดระวังก็จะอำนวยประโยชน์ให้แก่ระบอบทักษิณที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลมากขึ้นและเร็วขึ้น การเปิดตัวขบวนการเสรีไทยเป็นการตีฆ้องให้คนไทยตื่น ให้ทหารตื่น ยิ่งกว่าการแหวกหญ้าให้งูตื่นเยอะแยะ ผลแท้จริงคือการทำลายแผนการซุ่มซ่อนยาวนานให้พังพินาศไปทั้งหมด เพราะคาดว่านับแต่นี้ไป คสช. และประชาชนไทยจะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น จะตื่นตัวจากความประมาทและจะร่วมกันหาทางป้องกันไม่ให้ระบอบทักษิณกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าการเปิดตัวขบวนการเสรีไทยมีความผิดพลาดหลายประการคือ
ประการแรก การตั้งธงการเมืองว่าเสรีไทยสวนทางกับความเป็นจริง เพราะที่ผ่านมาประจักษ์ชัดว่าระบอบทักษิณคือการที่ทุนสามานย์เป็นเจ้าของพรรค พรรคเป็นเจ้าของสภาและรัฐบาล รวมทั้งองค์กรมวลชนที่จัดตั้งขึ้น กลายเป็นทุนผูกขาด เป็นเจ้าของประเทศไทย และทำให้คนไทยวงการต่างๆ กลายเป็นทาส ธงการเมืองชนิดนี้จึงไม่มีพลังที่จะปลุกเร้าประชาชนไทยทั่วประเทศให้เข้าร่วมได้
ประการที่สอง การถือฤกษ์ย่ำรุ่งวันที่ 24 มิถุนายน 2557 ซึ่งเลียนแบบการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร์ เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เพราะเมื่อครั้งกระโน้นเป็นการรวมตัวกันของประชาชนและเหล่าทัพ รวมทั้งผู้คนทุกสาขาอาชีพ เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การถือฤกษ์ทำนองเดียวกันจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบไหน ย่อมทำให้คนไทยนึกถึงรัฐไทยใหม่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยล้านนา หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขอย่างนั้นหรือ? แค่นี้ก็แพ้แล้ว เพราะคนไทยทั้งประเทศ กองทัพทุกเหล่าทัพ ไม่มีใครที่จะยอมรับและเข้าด้วย กลับจะเห็นว่าขบวนการนี้คืออริราชศัตรูที่เป็นกบฏทรยศชาติ ที่สามารถใช้แสนยานุภาพเข้าปราบปรามด้วยซ้ำไป
ประการที่สาม นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไว้วางใจมาก ตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรค และยังเป็นผู้บัญชาการกองกำลังในห้วงเวลาที่ผ่านมาด้วย จึงเท่ากับเป็นการเปิดตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เอง ทำให้ความพยายามที่จะปรองดองพังพินาศหมด และจะพาให้ครอบครัวนักการเมืองทั้งหลายที่เกี่ยวข้องเดือดร้อนตามไปด้วย เพราะอาจถูกยึดทรัพย์และอาจเกี่ยวพันด้วยความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับขบวนการอันเป็นอันตรายต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งคาดว่าคนทั้งหลายจะจับตาดูว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองตระกูลสำคัญต่าง ๆ จะมีท่าทีอย่างไร หรือจะพูดกับประชาชนอย่างไรต่อการเคลื่อนไหวของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ในครั้งนี้
ประการที่สี่ การจะตั้งใครเป็นหัวหน้าองค์กรนำของขบวนการใด ๆ ก็ต้องเป็นคนที่มีลักษณะเป็นผู้นำ เป็นชายชาตรีที่มีความสมบูรณ์พร้อม แต่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เคลื่อนไหวสอดประสานรับกับนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งลักษณะการนำจะควรแก่การนำทัพหรือไม่ ย่อมมีความหมายอย่างยิ่ง เหตุแห่งชัยชนะและปราชัยข้อแรกคือขุนพล หากไม่ใช่ขุนพลมานำทัพก็แพ้แต่ต้นมือแล้ว
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าถ้าให้ตนเองประเมินผลของการเปิดตัวขบวนการเสรีไทยในครั้งนี้ ก็เชื่อว่าจะมีฐานะไม่ต่างอะไรกับการเคลื่อนไหวของนายจักรภพ เพ็ญแข ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ต่างกันก็แต่ว่านายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ คงไปเคลื่อนไหวแดนไกลไม่ได้ เห็นจะวิ่งไปวิ่งมาอยู่แถว ๆ ลาวและตะเข็บชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และอีกไม่นานก็เชื่อว่า คสช. ซึ่งจะตื่นตัวและประเมินผลการปรองดองที่มุ่งหมายจะให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองว่าใช้ได้กับนักการเมืองและพรรคการเมืองของประเทศไทยหรือไม่ ในขณะเดียวกัน ประชาชนไทยและองค์กรประชาชนต่างๆ ก็จะได้ตื่นตัวว่าภัยอันตรายที่ประชาชนต่อสู้มาสิบปีนั้นไม่ได้สูญหายไปไหน และเตรียมการจะกลับมามีอำนาจใหม่อีกครั้งหนึ่งในทันทีที่เหตุปัจจัยสามประการเกิดขึ้นครบถ้วน.
http://www.paisalvision.com/news/paisal-new/11751-2014-06-24-06-36-27.html
"บิล ไฮเนค":ความจริงวันนี้ ปท.ไทย ที่สื่อต่างชาติ (ปิดปาก) ไม่บอกชาวโลก?
“…ประเทศ
ไทยไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมือง
แต่ต้องประสบกับผลของรายงานข่าวของสื่อที่เกินความเป็นจริง
ซึ่งสร้างภาพที่บิดเบี้ยวและไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
รายงานข่าวเหล่านี้อาจจะทำให้ขายหนังสือพิมพ์และสร้างผู้ชมโทรทัศน์ได้
แต่กลับเป็นการสร้างความตระหนกและก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
ทำให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ออกคำเตือนและส่งผลเสียร้ายแรงต่อการท่องเที่ยว…”
หมายเหตุ : เป็นข้อความในจดหมายของ วิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮน์เน็คกี (William Ellwood Heinecke) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “บิล ไฮเนค”
นักธุรกิจสัญชาติไทย เชื้อสายอเมริกัน ผู้ก่อตั้งเครือบริษัท ไมเนอร์
อินเตอร์เนชั่นแนล
หนึ่งในกลุ่มบริษัทด้านการบริการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
แปลโดย ดร.วรัชญ์ ครุจิต แห่งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ทั้งนี้ ธุรกิจในเครือไมเนอร์ กรุ๊ป มีมากกว่า 30 บริษัทในเครือ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ร้านอาหาร โรงแรม
แบรนด์แฟชั่น ฯลฯ เป็นทั้งผู้นำเข้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศเข้ามาประเทศไทย
รวมไปถึงสร้างแบรนด์สัญชาติไทยขยายออกไปสู่ตลาดอินเตอร์ด้วย
โดยปัจจุบันนี้ไมเนอร์ กรุ๊ป มีธุรกิจอยู่ทั่วโลก
ดูแลโรงแรมและรีสอร์ตอยู่กว่า 80 แห่ง ร้านอาหารกว่า 1,300 สาขา
และร้านค้าอีกกว่า 200 ร้านทั้งในเอเชีย แอฟริกาและออสเตรเลีย
แบรนด์
ดังๆ ที่อยู่ในการดูแลครอบคลุมไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของคนรุ่นใหม่
ทั้งโรงแรมเครืออนันตรา แบรนด์โรงแรมที่บุกเบิกขึ้นเอง
หรือจะเป็นโรงแรมโฟว์ซีซั่นส์, เซนต์ รีจิส, แมริออท ในประเทศไทย, เอลามิส
(Elemis), เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company), สเวนเซ่นส์
(Swensen’s), แดรี่ ควีน (Dairy Queen), ซิซซ์เล่อร์ (Sizzler), เบอร์เกอร์
คิง (Burger King), เดอะ คอฟฟี่ คลับ (The Coffee Club), ไทย เอ็กซ์เพรส
(Thai Express), เอสปรี (Esprit), แกป (GAP), บอสซินี (Bossini), ทูมี่
(Tumi), ชาร์ลส แอนด์ คีธ (Charles&Keith), เพโดร (Pedro), เรดเอิร์ธ
(Redearth) ฯลฯ (อ้างอิงจาก “วิลเลียม อี.ไฮเนคกี้” ชาวอเมริกันสัญชาติไทยเจ้าของธุรกิจหมื่นล้านแห่งไมเนอร์ กรุ๊ป/manager.co.th/20 ก.พ.57)
นิตยสารฟอร์บส์ไทยแลนด์ (Forbes Thailand) ฉบับเดือนมิถุนายน 2557 จัดอันดับให้ นายวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค เป็น มหาเศรษฐีเมืองไทยประจำปี 2557 ในอันดับที่ 23 มีมูลค่าทรัพย์สิน 35,854.50 ล้านบาท
‘ปิยสวัสดิ์’ เลวตรงไหน?
เปลว สีเงิน
Monday, 30 June, 2014 – 00:00
เออ…มันจะอะไรกันนักหนา กะอีแค่ตั้งนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายพรชัย
รุจิประภา และนายคุรุจิต นาครทรรพ เข้าสมทบเป็น “บอร์ด ปตท.”
เท่านั้นแหละ…..โวยวายกันยังกะประเทศไทย “เสียกรุง” ครั้งที่ ๓!?
เพราะมีพวกหนึ่ง โกรธแค้น จะเอาเป็น-เอาตาย
คล้ายปิยสวัสดิ์-พรชัย-คุรุจิตเป็น “นนทก ๒๕๕๗” ได้รับพรจากพระนารายณ์
มีอำนาจสูงสุดเหนือ ปตท. เหนือผู้ถือหุ้น ปตท. เหนือ คสช.
เหนือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และเหนือประชาชนคนไทยทั้งบ้าน-ทั้งเมือง
มีนิ้วเพชร “ชี้เป็น-ชี้ตาย” ได้ทุกอย่างใน ปตท.?
ผมว่า “มีสติ” กันหน่อย หุงข้าวให้เดือดนั้น ถูกต้อง
แต่ปล่อยให้เดือดจนล้นหม้อ-ล้นไหออกมานองเลอะเทอะ อย่างนั้น
น้ำจะแห้งหม้อข้าว ลงท้าย ทั้งคน-ทั้งหมา. อดแดก! ที่พูดนี่ ใช่ว่าเห็นนายปิยสวัสดิ์กับคณะดีเหนือใคร
หรือเห็นใครกับคณะดีเหนือกว่าปิยสวัสดิ์ เท่าที่ฟัง แต่ละคน-แต่ละฝ่าย
มีจุดเหมือนกัน คืออยากเห็นการ “ล้าง ปตท.” เป็นรูปโฉมใหม่….. ! เป็น “พลังงานเพื่อชาติ-เพื่อประชาชน” ด้วยบริหารธรรมาภิบาล
มากกว่าพลังงานเพื่อกลุ่มทุน กลุ่มไอ้โม่งผู้ถือหุ้น
และกลุ่มการเมืองด้วยโจราภิบาล. แต่ในจุดที่เหมือนกัน
มีความเห็น-ความเข้าใจด้วย “ข้อมูล-ข้อเท็จจริง” ที่ต่างกันอยู่มาก
ฝ่ายนายปิยสวัสดิ์ก็มีข้อมูล-ข้อเท็จจริงพลังงานด้านหนึ่ง การแก้ปัญหา ไม่ได้เน้น “ราคาถูก-ราคาแพง” แต่เน้น “ราคาเป็นจริง” ตามกลไกตลาด และมุ่งเน้น “พลังงานเพื่ออนาคต” ประเทศเป็นหลัก!
การทำ “พลังงานเพื่อชาติ” ให้เป็น “พลังงานเพื่อการเมือง”
ด้วยการอุ้มราคาให้ชาวบ้านใช้ถูกๆ นานไปก็เหมือน “เด็กติดสะเอว”
ปล่อยให้เดินเองไม่ได้ เอะอะก็ร้อง..แม่ อุ้ม..แม่ อุ้ม..! ไม่เป็นผลดีทั้งภาครัฐ-ภาคประชาชน ผู้ใช้จะเคยตัว ใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย
ภาครัฐก็จะแบกภาระหนัก สะดุดวิกฤตินิดเดียว พังด้วยหนัก “ดินพอกหางหมู”
ทันที! แต่ “กูรูพลังงาน” อีกฝ่ายหนึ่ง อ้างว่าได้ศึกษาคัมภีร์พลังงานเจนจบ
ด้วยเคล็ดลับวิชา เป็นข้อมูล ตัวเลข จากปรมาจารย์สำนักต่างๆ ลงความเห็นว่า
“ไทย-ซาอุฯ” มีน้ำมันพอๆ กัน!? แต่ขุดเอาไปขายต่างประเทศ ครึ่งต่อครึ่ง
บ่อน้ำมันก็เอาไปขายสัมปทานให้ต่างชาติ แทนที่คนไทยจะได้ใช้ของถูก
กลับต้องใช้น้ำมันแพง อ้างอิงตลาดสิงคโปร์ ตลาดโลกลวงตา
ฉะนั้น ต้องยึด ปตท.กลับมาเป็นของรัฐ ราคาก๊าซ-น้ำมัน จะได้ถูกลง!
นี่…เรื่องพลังงาน มันเป็นเรื่อง ๒ คนยลตามช่องแบบนี้ ถ้าให้ผมสรุป ก็สรุปได้ว่า “ทุกฝ่าย” เจตนาดีเพื่อประโยชน์ชาติ-ประโยชน์ประชาชน แต่รูปแบบ-วิธีการ-แนวคิด ในการแก้ปัญหา ต่างกันอยู่มาก
ทั้งด้านข้อเท็จจริงและด้านอีโก้ แต่ที่แน่ๆ ฝ่ายประชาชน “ฟังทั้ง ๒ ด้าน”
แล้ว สิ่งที่อยากเห็น คือ
-การจัดระเบียบ “องค์กรบริหาร ปตท.” ให้เกิดธรรมาภิบาล
-การได้รับทราบ “ข้อมูลพลังงาน” ที่ถูกต้อง-ชัดเจนเป็นหนึ่งเดียว
-เคลียร์ข้อสงสัย ไทยมีแหล่งพลังงานมากมายจริงหรือไม่?
-เคลียร์ข้อเท็จจริงด้านสัมปทาน ราคา รายได้ จะเอายังไงให้ชัด ให้ลงตัว
-สะสางปัญหาคาใจ ปตท.จากเป็นของรัฐ แต่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ
แปรรูปเป็นบริษัทมหาชนนั้น เบื้องหลังคำว่า “มหาชน” ตัวจริง
ที่ครองหุ้นส่วนใหญ่ ทักษิณกับกลุ่มทุนใช่หรือไม่?
-ทำไม ปตท.จะต้องตั้ง “บริษัทลูก” ไว้ใน-นอกประเทศร่วม ๓๐๐ บริษัท โปร่งใส หรือเพื่อ “สอดไส้” ให้เงินไหลออก?
-ทำไมบอร์ดบริษัทเครือ ปตท. ทั้งหลาย จึงตั้งคน “ไขว้กันไป-ไขว้กันมา”
จนเป็นอาณาจักรยึดครองของ “แก๊งค์อำนาจ” ผูกขาดตลอดกาลของแก๊งค์ใด-แก๊งค์หนึ่ง? และ -ประชาชนอยากฟังนโยบายแน่นอนว่า ไทยจะเอายังไง-แบบไหนกับพลังงาน ในปัจจุบันและอนาคต?
เนี่ย…ผมว่า เราสนใจประเด็นเหล่านี้ดีกว่า
เรื่องตั้งปิยสวัสดิ์-พรชัย-คุรุจิต ไปเป็นบอร์ด ปตท.นั้น พอใจ หรือไม่พอใจ
เป็นเรื่องของใจแต่ละคน ไม่ว่ากัน แต่การ “ทำความเข้าใจ”
และการแสดงออกเชิงปฏิปักษ์นั้น โตๆ กันแล้ว น่าจะใคร่ครวญให้รอบคอบ ในความเห็นผม ทั้ง ๓ คนนั้น มีคุณ มากกว่า มีโทษ
อย่างที่ขุดมาโจษขานประจานกัน คุณพรชัย ท่านก็เคยเป็นปลัดพลังงานมาก่อน
คุณคุรุจิต ก็เคยเป็นอธิบดี เป็นรองปลัดพลังงาน
ที่ทำงานด้านพลังงานโดยตรงมาก่อน
ผมก็เคยศึกษางานท่านทั้ง ๓ มาบ้าง ไม่เห็นมีอะไรว่า “เป็นร่างทรง” ของไอ้ตัวแสบคนไหน เข้าไป ปตท. เพื่อสืบสายตระกูลสูบเลือด คุณพรชัยนั้น ถ้าใครไม่รู้ว่าเป็นถึงปลัด เจอตามถนนนึกว่าตาแป๊ะ
เป็นคนซื่อสัตย์ สมถะ ไม่โลภ และผมมั่นใจ ท่านไม่ตะกายหาตำแหน่งใดๆ ด้วย ส่วนคุณคุรุจิต เรียนด้านพลังงานมาโดยตรง เป็นข้าราชการเพื่อข้า-ราชะ-การ เงียบๆ เรียบๆ เฉยๆ แต่ทำงานมุ่งมั่น-มุ่งหวังสร้างทางอนาคตประเทศด้วยขวนขวาย…จะทำยังไงเมื่อ
ประเทศโตใหญ่แล้วไฟฟ้าไม่ขาดแคลน นี่ผมแอบสังเกตจากงานท่านนะครับ
ส่วนคุณปิยสวัสดิ์ ไม่ต้องพูดถึง เอ่ยชื่อ ในโลกพลังงาน ร้อยละ ๙๙ รู้จักชื่อท่าน แต่ในร้อยละ ๙๙ นั้น มีซัก ๑๐ หรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่จะรู้ว่า…..ประเทศไทย ที่มีพลังงาน น้ำมัน-ก๊าซ
ใช้เป็นระบบถึงวันนี้ และมี ปตท. จนทักษิณนำไปแปรรูปเข้าตลาดหุ้นเมื่อปี
๒๕๔๔ นั้น”ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์”
คนที่เข้าไปเป็นดีดีการบินไทยสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ปุ๊บ
ก็ถีบหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ลงจากเครื่องบินการบินไทยทั้งหมดทุกเส้นทาง
ตราบทุกวันนี้ คนนี้แหละ…..! ร่วมกับท่านศุลี มหาสันทนะ รมต.สำนักนายกฯ สมัยรัฐบาลเปรม ๒
ช่วยกันก่อร่างสร้างอนาคตให้ “พลังงานไทย” เกิด ก่อนหน้านั้น
พูดได้ว่าประเทศไทย ยังไม่มีหน่วยงาน-องค์กร-นโยบายใดๆ
เกี่ยวกับพลังงานเป็นเรื่อง-เป็นราวเลย!
สมัยก่อน ขอโทษ…เบนซินถูกกว่าน้ำล้างเท้า ลิตรละไม่ถึง ๓ บาท ยุคจอมพลถนอมแค่ ๓ บาท จึงไม่มีใครให้ความสนใจด้านพลังงาน จนกระทั่งเกิดวิกฤติน้ำมันในปี ๒๕๒๐-๒๑ ยุคพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ “นายกฯ แกงเขียวหวานใส่บรั่นดี” เป็นครั้งแรก น้ำมันขาดแคลนคุยกับแฟนต้องดับไฟ เป็นเรื่องใหญ่โต จนรัฐบาลเกรียงศักดิ์พังไป
“พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” ขึ้นมาเป็นนายกฯ สืบต่อ จึงได้วางรากฐานพลังงาน เท่าที่ผมจำได้ สมัยรัฐบาลเปรม ๒ ปี ๒๕๒๔ ช่วงสภาพัฒน์ที่มี “คุณเสนาะ อูนากูล” เป็นเลขาฯ ป๋าเปรม ใช้สภาพัฒน์เป็น “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” ใครเสนอแผนอะไร-โครงการอะไร
ป๋าโยนให้สภาพัฒน์ศึกษาก่อน ถ้าสภาพัฒน์โอเคก็โอเค ถ้าไม่โอเค
โครงการนั้นแช่ตู้เย็นสภาพัฒน์ไปเรื่อยๆ
ด้วยคำว่า…อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด! แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ ๕-๖ ตอนนั้น เน้นเรื่องนโยบายพลังงาน
คุณปิยสวัสดิ์ที่เรียนคิดเลขจบจากอังกฤษจนได้เป็นดอกเตอร์
มาเป็นข้าราชการสภาพัฒน์พอดี แล้วคุณปิยสวัสดิ์ จากนั้น…เลือดในตัวก็เปลี่ยนเป็น “สายเลือดน้ำมัน”
จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ปิยสวัสดิ์อยู่กัพลังงานมา ๓๐ กว่าปีแล้ว! จากสภาพัฒน์โอนมาเป็นข้าราชการสำนักนายกฯ ทำงานกับ รมต. ศุลี มหาสันทนะ
ที่ป๋าเปรมมอบหมายให้วางโครงสร้างพลังงาน
จากไม่เป็นหน่วย-เป็นกอง-เป็นกรมอะไรก็ตั้งเป็น “สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ” หรือ สพช.
มีฐานะระดับกอง คุณปิยสวัสดิ์ อายุ ๓๐ ได้หรือยังก็ไม่ทราบ เป็น
ผอ.คนแรกตอนปี ๒๕๒๙ และยกเป็นระดับกรมในรัฐบาลต่อๆ มา เล่าก็ยาว อีกอย่างก็จำไม่ได้ทั้งหมด ยุคนั้นผมเป็นหัวหน้า
จึงอ่านข่าวคุณปิยสวัสดิ์ทำโน่น-ทำนี่เรื่องน้ำมันแทบทุกวัน ก๊าซยังไม่มี
มามีตอนหลัง
สรุปคือ พลังงานของไทยทั้งหมด จากทำท้องถึงทำคลอด คุณปิยสวัสดิ์
“ทำทั้งหมด” และวางแผนอนาคตให้ทารกพลังงาน
ตั้งแต่คลอดจนเติบใหญ่มูลค่าเป็นล้านล้านๆ ต่อปี จนมาเป็น ปตท.วันนี้ คุณปิยสวัสดิ์ “ทำมากะมือ” เขาเอง!
แล้วมีเหตุอะไร มารังเกียจ มาตั้งแง่ ว่าเข้ามามีแผนไม่ซื่อ
มาเป็นร่างทรงฝรั่ง-ไทย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนแล้วเป็น “หมา”
ก็ยังสูงไปด้วยซ้ำ!
ฉะนั้น กับงานที่สร้างมากับมือเขา ให้โอกาสคุณปิยสวัสดิ์เขาเข้าไปตรวจตรา และแก้ปัญหาพลังงานผ่าน ปตท. ดูซักพักหนึ่งจะเป็นไร ถ้าไม่ไว้ใจ ก็ยังมีพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง คอยตรวจสอบพฤติกรรมอยู่อีกตั้ง ๒ คน พ้นจากในบอร์ด ปตท. ออกมายังเจอซูเปอร์บอร์ดคอยเอ๊กซเรย์อีกด่าน พ้นจากด่านซูเปอร์บอร์ดยังต้องเจอด่าน “ซูเปอร์ตู่” จังก้าอยู่อีก ฉะนั้น ลองไว้ใจทีมงานปิยสวัสดิ์สร้างสรรค์ดูซักยก ถ้าไม่แน่จริง คสช.ไม่กล้าตั้งมาเป็นเดิมพันอนาคตตัวเองหรอกน่า!
คำตอบว่า ทำไมคนต้องการแย่งตำแหน่ง บอร์ด ปตท.
และเป็นคำตอบเดียวกับราคาน้ำมันของประเทศด้วย
http://ptt.listedcompany.com/misc/form561/20140401-ptt-form561-th.pdf