ท่ามกลางกระแสการเมืองร้อนแ
รงแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้มีแฟนเ
พจคนดังหลายคนกลายเป็นกระแส
ทอล์กออฟเดอะทาวน์ เพราะรายงานข่าวหรือวิจารณ์
การเมืองไทยได้ถูกอกถูกใจคน
ไทยนักหนา
หนึ่งในนั้น คือ แฟนเพจของ “ไมเคิล ยอน” (Michael Yon) นักเขียนชาวอเมริกันที่ออกม
าวิพากษ์การเมืองไทยได้อย่า
งรู้ลึก รู้จริง เรียกว่าลงสนามจริงๆ โดยไม่ได้
...นั่งเทียนเขียนข่าว
รู้ไหมว่า ชายคนนี้แหละที่เป็นทั้งทหาร นักเขียนสงครามและช่างภาพ เคยเดินทางไปทำข่าวท่ามกลางสมรภูมิรบมาแล้วหลายประเทศ เช่น สงครามอิรัก สงครามอัฟกานิสถาน ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วนับไม่ถ้วน
เชื่อว่าเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของเขา คงทำให้คุณรู้จักตัวตนของเขาและการเมืองไทยผ่านสายตานักเขียนคนนี้มากขึ้น
เห็นหลายคนนิยามว่าคุณเป็นนักข่าว นักเขียน คำไหนที่คุณคิดว่าน่าจะนิยามตัวตนของคุณได้ดีที่สุด
ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักข่าวเท่าไหร่ เพราะสำหรับผม คำว่า “นักข่าว” เราไม่สามารถใส่ความคิดเห็นลงไปในข่าวได้ บอกได้แค่ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่ในขณะที่คำว่า “นักเขียน” ผมสามารถใส่ความคิดเห็นลงไปในบทความได้ ดังนั้นผมชอบที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนมากกว่า
คนอ่านบางคนอาจจะไม่ชอบความคิดเห็นของผม และบอกว่า” ความคิดเห็นอะไรกันเนี่ย” แต่ผมเชื่อว่าความเห็นของผมจะทำให้คนอ่านเข้าใจมากขึ้น หลังจากที่พวกเขาฟังและใช้เวลาที่จะทำความเข้าใจมัน
แล้วคุณเริ่มต้นทำงานเป็นนักเขียนข่าวสงครามได้อย่างไร
มันเกิดจากผมมีเพื่อนเป็นทหารและเสียชีวิตในสงครามอิรักไป 2 คน จึงทำให้ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ กันแน่ เลยตัดสินใจมาดูเหตุการณ์จริงๆ ที่สงครามอิรัก เชื่อไหมว่าพอลงจากเครื่องบินมา ภาพที่เห็นมันต่างจากข่าวที่ได้รับลิบลับเลยจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้ผมอยากเขียนบล็อก บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้คนรับรู้ สิ่งที่ยากของการทำงานนี้คือ พอคุณเขียนในสิ่งที่คนอ่านชอบ เขาก็จะบอกว่าเยี่ยม! แต่ถ้าคุณเขียนอะไรที่คนอ่านไม่ชอบ คนก็จะบอกว่า ไม่! เขียนอะไรเนี่ย(ยิ้ม)
ตอนผมเขียนว่าอเมริกาจะชนะสงครามอิรัก คนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ บอกว่าจะเป็นไปได้ยังไง เพราะทหารอเมริกันบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก แต่สุดท้ายอเมริกาก็ชนะสงครามจริงๆ ตอนนั้นผมบอกล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะผมลงไปพูดคุยกับคนในท้องที่ ได้เห็นบรรยากาศของสงครามจริงๆ ว่าเป็นยังไง รวมถึงมีคนมาให้ข้อมูล ทำให้ผมรู้ว่าอเมริกามีโอกาสจะชนะอิรัก จนพอมาถึงสงครามอัฟกานิสถาน ผมบอกว่าอเมริกาจะรบแพ้ ก็ปรากฏว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ ตามที่ผมเขียน กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรู้จักผม และกลายเป็นคนดังขึ้นมา
หลายคนบอกว่าผมเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ บอกได้ว่าผมไม่ใช่นักเขียนฟรีแลนด์ เพราะคำว่าฟรีแลนซ์ในความเห็นของผมคือ รับเงินจากบริษัทมาเป็นจ็อบๆ ไป แต่วิธีการทำงานของผมไม่ใช่อย่างนั้น ผมรับความช่วยเหลือมาจากผู้อ่านที่อ่านบล็อกของผมและชอบ จากนั้นเขาก็โอนเงินมาให้ผมทางบัญชี Paypal คิดว่าผมเป็นคนแรกๆ ที่ใช้วิธีการทำงานแบบนี้ เพราะตอนหลังมีคนพยายามทำแบบผม แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่
บางคนบอกว่าผมมาอยู่เมืองไทย เพราะต้องการเงิน หรือรับเงินจากกลุ่มไหนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่จริงหรอกครับ ถ้าผมอยากได้เงินจริงๆ ผมน่าจะไปอยู่ที่อเมริกาหรือแคนาดามากกว่า เพราะที่นั่นผมดังมากๆ แล้วพอมาอยู่เมืองไทย ผมก็ต้องเสียฐานกลุ่มคนอ่านต่างชาติที่ไม่ได้สนใจเรื่องเมืองไทยเท่าไหร่ ดังนั้นเงินที่ได้จากการทำงานก็น้อยลงด้วยซ้ำไป
อยู่ท่ามกลางสนามรบแบบนั้น มีเหตุการณ์ครั้งไหนที่ทำให้คุณรู้สึกกลัวบ้าง
ผมเคยอยู่ในสงครามที่อิรักและสงครามอัฟกานิสถานมาแห่งละ 2 ปี เลยพยายามไม่รู้สึกกลัว เพียงแต่ต้องระมัดระวังมากขึ้นเวลาที่ต้องเข้าไปในพื้นที่อันตราย
ที่ผ่านมาเคยผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง เจอเหตุการณ์ระเบิดคาร์บอมม์มานับไม่ถ้วน จนจำไม่หวาดไม่ไหว ครั้งหนึ่งตอนอยู่สงครามอัฟกานิสถาน ผมเจอการสู้รบสองวันเต็มๆ มีการยิงกันตลอดเวลาในระหว่าง 30 - 40 กลุ่ม คือ ยิงกันจริงๆ เรียกว่าอยู่ใกล้กับความตายมาก
อะไรคือสิ่งที่คุณรู้สึกเป็นห่วงในเหตุการณ์การเมืองไทยช่วงนี้
ความที่ผมมีภรรยาเป็นชาวไทย ก็เหมือนว่าผมแต่งงานกับประเทศไทยด้วย ทำให้ผมสนใจเกี่ยวกับประเทศไทยเป็นพิเศษ ตอนนี้มีสองเรื่องที่ผมกังวล คือ เมืองไทยกำลังแตกเป็นสองส่วน และห่วงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากท่านทูตของอเมริกาประจำประเทศไทย คือ “คริสตี้ เคนนี่ย์“ เห็นชัดเจนว่าเวลาที่เธอออกมาพูด มักจะดูเข้าข้างคุณทักษิณ
ผมคิดว่าท่านไม่ควรออกมาพูดอะไรในฐานะทูต คนอเมริกันไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ดังนั้นเวลาที่ท่านทูตพูดอะไรเกี่ยวกับเมืองไทย ซึ่งดูไม่เป็นมิตรกับผู้ชุมนุม และเข้าข้างรัฐบาล อาจจะทำให้ชาวอเมริกันเชื่อได้ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมพอจะทำได้คือ ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย คือ ระหว่างคนไทยและชาวอเมริกัน
มีผู้สื่อข่าวต่างชาติจำนวนมากอ่านงานเขียนของผม และติดต่อเข้ามา เพราะต้องการรู้ว่าเกิดอะไรจริงๆ ที่เมืองไทย ผมก็จะตอบเขาว่า “ไปอ่านเฟซบุ๊กของผมได้" (หัวเราะ) ความจริงผมบอกเขาไปว่าทุกอย่างสงบ สันติสุข ผู้ชุมนุมไม่ได้ไปเผาอะไรที่ไหน ไม่ได้พยายามเปลี่ยนไปเป็นคอมมิวนิสตส์ หรือคำพูดที่ว่าคนไทยไม่เอาประชาธิปไตยนั่น ก็ไม่ใช่เรื่องจริงเลย
แล้วมีเรื่องไหนที่คุณอยากสร้างความเข้าใจให้แก่คนไทยบ้าง
ผมอยากให้คนไทยเข้าใจวัฒนธรรมตะวันตก ไม่อยากให้คนไทยเรียกกลุ่มผู้ชุมนุมว่า “ม็อบ” เพราะคำว่าม็อบในความเห็นของตะวันตกคือ สิ่งที่น่ากลัว ก้าวร้าว เหมือนว่ามีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นแนะนำว่าควรใช้คำว่า “กลุ่มผู้ชุมนุม” ดีกว่า
อีกเรื่องที่คนไทยไม่ควรทำ คือขู่ว่าจะไปปิดสถานทูตอเมริกา เพราะเป็นประเด็นอ่อนไหวมาก ชาวอเมริกันยังจำภาพที่มีการบุกยึดสถานทูตอเมริกาที่อิหร่านในปี 1979 ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝังใจชาวอเมริกันมาก หรือสถานทูตในลิเบียก็มีท่านทูตถูกฆ่าตาย ฉะนั้นคนไทยอย่าไปขู่ว่าจะปิดสถานทูต เพราะไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นคุณทักษิณ แล้วเห็นภาพคนไทยไปปิดล้อมสถานทูต คุณทักษิณคงจะบอกว่าขอบคุณนะ จากนั้นถ่ายรูปไปบอกสื่อว่า “ดูสิ พวกนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยเลย” กลายทำให้คุณทักษิณได้เปรียบไปโดยปริยาย ดังนั้นอย่าทำดีกว่าครับ
คุณมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลไทย
ผมคิดว่าการชุมนุมครั้งนี้แตกต่างจากสมัยการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในปี 2010 อย่างชาวนาที่มาร่วมชุมนุมประท้วงรัฐบาลในครั้งนี้ ก็ไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรง ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนแก่ ไม่ใช่คนหนุ่มสาวที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรรุนแรงได้
การชุมนุมประท้วงครั้งนี้จึงมีวัฒนธรรม มีความสงบ และมีสันติ เวลากลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนย้ายไปไหนก็จะมีการเก็บกวาดทำความสะอาดกัน ดูแล้วมีความเป็นศิวิไลซ์อยู่ นอกจากนั้นในกลุ่มผู้ชุมนุมของกปปส.ไม่อนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ เห็นแล้วรู้สึกดี ต่างจากเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงที่ราชประสงค์ในปี 2010 ซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เห็นมีการดื่มแอลกอฮอล์ กินกันทั้งวันทั้งคืน ว่างก็เผายาง ทำให้เกิดความรุนแรง
ครั้งหนึ่งคุณเคยโพสต์แสดงความเห็นว่ามีทหารอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและและคอยปกป้องผู้ชุมนุม คุณรู้ได้ยังไง
การที่ผมรายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีทหารปกป้องผู้ชุมนุมอยู่ อาจไม่ใช่เรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ แต่ผมเคยผ่านเหตุการณ์สงครามมาก่อน จากประสบการณ์บอกได้ว่ามีทหารแฝงตัวและคอยปกป้องอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย อย่างเวทีชุมนุมที่ชิดลม คนที่คอยดูแลและคอยป้องกันก็เป็นทหาร บางครั้งผมเดินเข้าไปถามเลยว่า “คุณเป็นทหารใช่ไหม” เขาบอกว่าไม่ใช่ครับ แต่ยิ้มๆ เหมือนว่าพูดมากไม่ได้ หรือมีผู้ชายคนหนึ่งจ้องเขม็งมาที่ผมเหมือนเสือมองเหยื่อ คือ มองไม่ละสายตาเลย ผมก็ถามเขาว่าคุณเป็นทหารใช่ไหม เขาตอบว่า ”รู้ได้ยังไง” (หัวเราะ) เขามองผมเหมือนเสือจะกินเหยื่อ ดังนั้นเขาจะไม่ใช่ทหารได้อย่างไร
ตอนที่กลุ่มของโกตี๋เข้ามาปะทะกับกลุ่มของหลวงปู่พุทธะอิสระที่หลักสี่นั้น ผมเชื่อว่าเขาไม่คาดมาก่อนว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะมีทหารรวมอยู่ด้วย คุณดูได้สิว่าไม่มีใครตายเลย ทั้งๆ ที่มีเสียงปืนดังและมีการยิงกันตลอดเวลา ผมเลยเดาว่าน่าจะเป็นหน่วยทหารที่เก่งเฉพาะ อาจจะเป็นหน่วยซีลก็ได้
มีเรื่องไหนที่คุณประทับใจในการชุมนุมประท้วงครั้งนี้
คงเป็นวันที่ 26 ธ.ค. ปีที่แล้ว วันนั้นมีเหตุการณ์ปะทะกันที่ดินแดง มีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 1 คน ตำรวจ 1 คน ผมไปถึงที่นั่นตอนประมาณบ่ายโมง ได้ยินเสียงระเบิดปิงปอง เสียงประทัดยักษ์ มีเสียงกระสุนปืน บางคนบอกว่าไม่มีกระสุนปืนได้ยังไง เพราะสิ่งที่ผมได้ยินคือ เสียงกระสุนปืนชัดๆ นอกจากนั้นยังมีแก๊สน้ำตาด้วย
ตอนนั้นผมหันมาเจอหญิงชราคนหนึ่ง อายุประมาณ 80- 90 ปีได้ ถ้าคุณเห็นเธอแล้วจะต้องไม่เชื่อแน่ๆ เพราะตำแหน่งที่เธอยืนอยู่นั้น มันอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบชัดๆ เลยประทับใจในความกล้าหาญของเธอมากๆ เธอเป็นเหมือนผู้บัญชาการทหาร ทั้งที่อายุมากขนาดนั้น หลังจากที่ผมถ่ายรูปเธอและโพสต์รูปลงเฟซบุ๊ก หลายคนส่งข้อความมาบอกว่าเห็นผู้หญิงคนนี้บ่อยๆ บางวันเธออยู่ที่นี่ บางวันเธออยู่ที่นั่น คือส่วนใหญ่จะอยู่แถวหน้าที่มีการชุมนุม (หัวเราะ)
นอกนั้น ผมยังประทับใจคุณกบ (วีรชาติ เปรมกมล) ชอบที่เขาสู้กับตำรวจ โดยใส่แค่กางเกงในตัวเดียว และใช้ถังดับเพลิงสู้ โดยไม่กลัวอะไร (หัวเราะ) อีกคนที่ผมประทับใจคือ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ชอบที่เขากล้าหาญออกมานำการชุมนุมประท้วงครั้งนี้ โดยที่ไม่กลัวอันตรายใดๆ
มีสิ่งไหนที่คุณไม่ชอบในการชุมนุมประท้วงครั้งนี้บ้าง
คงเป็นภาพที่ผมเห็นในคลิปว่า มีคนพยายามปิดกั้นไม่ให้ผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผมไม่แน่ใจว่าภาพในคลิปนี้ถูกจัดฉากขึ้นหรือเปล่า หรือเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงไหม แต่ผมคิดว่าไม่ควรจะมีภาพนี้ออกมาเท่าไหร่
เหตุการณ์ครั้งไหนที่ทำให้คุณรู้สึกเศร้ามากที่สุด
เรื่องที่ทำให้ผมเศร้า คือ เวลาที่มีคนเจ็บหรือคนตายในเหตุการณ์ชุมนุมนี้ ผมไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์สูญเสียจริงๆ แต่ทุกครั้งที่ผมได้ข่าว ก็รู้สึกแย่ได้ทุกครั้ง
นอกจากนั้นผมมีโอกาสได้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มชาวนา ได้ขึ้นรถบัสไปกับพวกเขา คนกลุ่มนี้ยากจนมาก ขนาดว่าเขาควรจะได้เงินที่ควรมีอยู่ในมือ แต่เขาก็ยังไม่มี และยังจนต่อไป เชื่อว่าตอนนี้กลุ่มชาวนาตระหนักรู้แล้วว่าทักษิณเอาเปรียบพวกเขา มันเหมือนว่าชาวนาโดนปล้นไปเรียบร้อยแล้ว ชาวนาเดินทางมาที่นี่เพื่อทวงเงินพวกเขาคืน แต่รัฐบาลไม่แม้กระทั่งส่งตัวแทนออกมาเจรจา โดนปล้นไปยังไม่พอ ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นชาวนาปลอมอีกต่างหาก จึงเป็นเรื่องที่น่าปวดใจมาก
ชาวนาคนหนึ่งถอดรองเท้าให้ผมดูและบอกว่า “อยากจะรู้ว่าใครเป็นชาวนาตัวจริง ให้ดูที่เท้าสิ” ผมเลยถ่ายภาพเท้าของเขาและโพสต์ภาพลงเฟซบุ๊ก เรื่องนี้บอกได้ชัดเจนว่าชาวนาต้องการบอกว่าพวกเขาเป็นชาวนาตัวจริง โดยดูได้จากเท้าที่แตกและเล็บขบ
เรื่องไหนที่คุณคิดว่าตลกที่สุดในการเมืองไทย
คงเป็นเรื่องที่คุณยิ่งลักษณ์หย่อนบัตรเลือกตั้งผิด ตอนที่ผมได้ข่าวเรื่องนี้ ผมเดินเข้าไปเล่าให้ผู้ชุมนุมฟังว่า “คุณรู้ไหมว่า ยิ่งลักษณ์หย่อนบัตรเลือกตั้งผิด” ผู้ชุมนุมบอกผมว่า “เป็นไปได้เหรอ รู้ว่ายิ่งลักษณ์โง่ แต่เธอคงไม่โง่ขนาดหย่อนบัตรเลือกตั้งผิดจริงๆ หรอกมั้ง” จากนั้นมีคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่ายิ่งลักษณ์หย่อนบัตรเลือกตั้งผิดจริงๆ พอผู้ชุมนุมได้ยินก็พากันหัวเราะกันใหญ่ (หัวเราะ)
ในความเห็นของคุณ คิดว่าอะไรคือปัญหาของการเมืองไทย
“คุณทักษิณ” เพราะเห็นชัดเจนว่าเขาไม่ได้ห่วงใยประชาชน หรือทำเพื่อประชาชนเลย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายรถคันแรกหรือเรื่องอะไรก็ตาม ทุกอย่างย้อนกลับมาที่เงินหรืออำนาจของเขาอย่างเดียวเท่านั้น เขาไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ถ้าผมมีโอกาสสัมภาษณ์ทักษิณ ผมจะถามเขาว่า “ ทำร้ายประเทศไทยทำไม!”
ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะบอกรัฐบาลไทยว่าลงจากอำนาจซะ ถือว่าทำเพื่อประเทศไทย ถ้าเห็นแก่ประเทศไทยจริงๆ แต่ผมรู้ว่าความจริงไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอก เพราะคุณทักษิณไม่มีทางปล่อยวางทุกอย่างได้แน่ๆ
ถ้าอย่างนั้นคนไทยควรทำอย่างไร จึงจะพัฒนาประเทศไทยให้ดีขึ้นได้
เรื่องสำคัญคือ ถ้ามีระบบตรวจสอบและบทลงโทษที่เหมาะสม จะช่วยไม่ให้มีการโกงเกิดขึ้น ดังนั้นตัวคุณทักษิณอาจไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือ “ระบบ” เพราะถ้าระบบไม่ดีอาจจะทำให้ใครมีอำนาจก็ได้ หรือแต่งตั้งใครก็ได้ในฐานะนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นควรทำอย่างไรก็ได้ให้มีการกระจายอำนาจออกไป รวมถึงมีระบบที่ตรวจสอบได้ ไม่ให้อำนาจมาผูกขาดอยู่ที่นายกรัฐมนตรีเพียงอย่างเดียว
ถ้าเราไม่ได้ทำตรงนี้ ก็เหมือนว่าเรามีสนามหญ้ารกๆ แล้วไม่ได้ถอนหญ้าทำความสะอาด สักวันหนึ่งสนามหญ้านั้นก็จะรกและมีแต่หญ้า ยากจะกำจัดได้ ดังนั้นเราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือกำจัดหญ้าที่รกๆ นี้ออกไป เพื่อให้สนามหญ้าสวยงามและเกิดความสมดุลครับ