มิสเตอร์ 2 ล้านล้าน ชายผู้แข็งแกร่งในปฐพี (ขอเล่นด้วย ^^)
โครงการกู้เงินลงทุนเพื่อพั ฒนาประเทศ 2 ล้านล้านบาท
สร้างหนี้ 50 ปี ดอกเบี้ยอีก 3 ล้านล้าน
ใช้กระดาษไม่กี่แผ่นออก พ.ร.บ. และผ่านสภาด้วยวิธีลักหลับ ...
ส่อเสี่ยงใช้วิธีพิเศษดำเนิ นโครงการ
เลี่ยงการตรวจสอบการใช้งบปร ะมาณ เปลี่ยนการใช้งบได้ตามใจ
ใช้งบรถไฟความเร็วสูงโดยยัง ไม่ศึกษาร่วม 1 ล้านล้าน
โกหกว่าทำเชื่อมอาเซียนแต่ท ำสุดสายแค่บ้านนายกฯ สายเดียว
โครงการกู้เงินลงทุนเพื่อพั
สร้างหนี้ 50 ปี ดอกเบี้ยอีก 3 ล้านล้าน
ใช้กระดาษไม่กี่แผ่นออก พ.ร.บ. และผ่านสภาด้วยวิธีลักหลับ ...
ส่อเสี่ยงใช้วิธีพิเศษดำเนิ
เลี่ยงการตรวจสอบการใช้งบปร
ใช้งบรถไฟความเร็วสูงโดยยัง
โกหกว่าทำเชื่อมอาเซียนแต่ท
ต้องตายกี่ศพ ‘ยิ่งลักษณ์’ จึงจะออกมาพบกับชาวนา!
ชาวนาฆ่าตัวตายศพแล้วศพเล่า มินำมาซึ่งความสะดุ้งสะเทือนของนางยิ่งลักษณ์ ผู้เคยดื้อด้านต่อการทักท้วง ทั้งจากคนไทยด้วยกันและองค์กรต่างประเทศ ด้วยถ้อยคำหวานหูว่า “ขอเถอะค่ะ ขอให้ชาวนานะคะ”
วันนี้ชาวนานั่งรออยู่ แต่นางยิ่งลักษณ์ดูเหมือนล้มหายตายจากไปแล้ว ไม่เคยออกไปดูดำดูดี พบปะพูดคุยกับชาวนาเหล่านั้นเลย เอาแต่สาละวนอยู่กับ “การเลือกตั้ง” ซึ่งกระทั่งจะหย่อนบัตรให้ถูกหีบยังไม่มี มัวแต่ห่วงโพสท่าถ่ายรูป อยากเป็นข่าว มากกว่าจะเป็นคนมีสมองหรือยังไงก็ไม่ทราบได้
ต้องใช้กี่ศพครับ คุณยิ่งลักษณ์ คุณถึงจะลงมาพบกับเกษตรกรชาวนา คุณถึงจะยอมรับว่า พวกเขาเดือดร้อนและน่าเห็นใจ คุณจึงจะแก้ปัญหาให้แก่พวกเขา โดยไม่เอาแต่โทษคนอื่น
ระหว่างที่ชาวนารอเงินจากคุณ ระหว่างที่คุณเอาข้าวเขาไปแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ สุรนันทน์ เวชชาชีวะกับนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ตัดข่าวเหล่านี้ให้คุณอ่านบ้างไหมครับ
1.(26 ม.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.ท.พิสิษฐ์ คำชัยภูมิ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองร้อยเอ็ด ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลร้อยเอ็ด ว่า มีคนผูกคอตาย หลังจากรับแจ้งจึงรุดไปร่วมชันสูตรศพ ทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ นายทองมา ไกยสวน อายุ 60 ปี ชาวบ้าน หมู่ 3 บ้านโนนสั้น ต.โนนรัง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด สภาพศพที่ลำคอมีร่องรอยถูกรัดรอบ ไม่พบบาดแผลจากการถูกทำร้าย
จากการสอบสวน นายถวิล ไกยสวน อายุ 70 ปี ลุงของนายทองมา ให้การว่า ก่อนหน้านี้ผู้ตายได้ไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มา กว่า 4 แสนบาท เพื่อซื้อรถตู้ให้ลูกเขยขับรับ-ส่งนักเรียนในหมู่บ้าน ซึ่งในเดือนก.พ. นี้ จะครบกำหนดจ่ายคืนธนาคาร 1 แสนบาท แต่ผู้ตายยังหาเงินได้ไม่ครบ
อีกทั้งเงินจากโครงการรับจำนำข้าวกว่า 1 แสนบาท ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้ ทำให้นายทองมาเกิดความเครียด และเคยถามเพื่อนบ้านว่า ผูกคอแบบไหนที่ตายเลยไม่ทรมาน ซึ่งทุกคนคิดว่าพูดเล่นๆ จนกระทั่งช่วงเช้า นายทองมาได้ถือเชือกยาวกว่า 2 เมตร ออกจากบ้านเดินไปที่สวน จนกระทั่งช่วงสายๆ มีเพื่อนบ้านเดินผ่านไปพบนายทองมาใช้เชือกผูกคอตัวเองกับต้นประดู่ จึงรีบช่วยกันนำส่งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้
2.(27 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 7 หมู่ 21 บ้านอาวอยพัฒนา ต.โสน อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ นางคำปุ่น พันธุชาติ อายุ 45 ปี ร่วมกับญาติพี่น้องกำลังช่วยกันจัดงานศพของ นายเมือง พันธุชาติ อายุ 46 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 21 ซึ่งเป็นสามีของนางคำปุ่น และได้ผูกคอฆ่าตัวตาย เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (27 ม.ค.)
นางคำปุ่น พันธุชาติ อายุ 45 ปี กล่าวว่า ก่อนสามีจะผูกคอตาย รู้สึกเครียดมากที่นำข้าวเปลือก จำนวน 6 ตันไปจำนำตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลแล้ว เวลาได้ผ่านมานานกว่า 2 เดือน ยังไม่ได้รับเงิน รวมทั้งบรรดาชาวบ้านที่เป็นลูกบ้านได้พากันเข้ามาร้องทุกข์กับผู้ใหญ่บ้านหมู่ 21 ว่า ยังไม่ได้รับเงินจำนำข้าวเช่นกัน ซึ่งสามีตนได้นำลูกบ้านไปทวงถามที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร( ธ.ก.ส.) อ.ขุขันธ์ ได้รับแจ้งว่ารัฐบาลยังไม่ได้โอนเงินมาให้ อีกทั้งเจ้าหนี้ที่ตนไปยืมเงินนอกระบบ จำนวน 100,000 บาท และหนี้เงินกู้ ธ.ก.ส.อีกจำนวน 100,000 บาท เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกข้าว ซึ่งเจ้าหนี้ทวงถามหนี้ทุกวัน ทำให้ นายเมือง เกิดความเครียด จึงได้ไปผูกคอตาย
3.เมื่อช่วงเย็นวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งเหตุมีคนผูกคอตายในบ้าน จึงรุดไปตรวจสอบ ภายหลังจึงทราบว่า ผู้ตายคือ นายเหลา สุวรรณทอง อายุ 43 ปี ได้ใช้ผ้าขนหนูผูกคอตายกับขื่อบ้าน คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
โดยลูกสาวของผู้ตาย อายุ 14 ปี ให้การว่า พ่อกับแม่ได้แยกทางกัน ส่วนพี่สาวไปอยู่กรุงเทพฯ ตนจึงอาศัยอยู่กับพ่อเพียง 2 คน ตอนเช้าก่อนเกิดเหตุ พ่อได้ถามว่าตนมีเงินไปโรงเรียนไหม ตนตอบไปว่าไม่มี พ่อจึงให้เงินมา 30 บาท พอตอนเย็นตนเลิกเรียนก็กลับมาที่บ้าน แต่เห็นประตูบ้านปิดอยู่ จึงร้องเรียกพ่อแต่ไม่มีเสียงตอบรับ สุดท้ายตัดสินใจพังประตูเข้ามา แล้วก็พบว่าพ่อผูกคอตายแล้ว
ขณะที่จากการสอบสวนเพื่อนบ้าน ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุในช่วงบ่าย นายเหลามาขอยืมเงิน 1,500 บาท เพื่อจะไปซื้อข้าวสารและของใช้ แต่เพื่อนบ้านไม่มีให้ เพราะยังไม่ได้เงินจำนำข้าวมา นายเหลาจึงได้ไปขอยืมเงินคนอื่น ๆ ในละแวกบ้านอีกหลายคน แต่ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีเงิน เพราะยังไม่ได้เงินจำนำข้าว
ทั้งนี้ ทางครอบครัวเชื่อว่าสาเหตุที่นายเหลาฆ่าตัวตายนั้น เพราะไม่มีเงิน เนื่องจากยังไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าว ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
4.เมื่อเวลา 13.30 น. ของวันที่ 9 ม.ค.57 ร.ต.ท.พีรพงษ์ ฟุ้งเจริญศักดิ์ พนักงงานสอบสวน สภ.เมืองพิจิตร ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยว่ามีคนเสียชีวิต บริเวณห้างนา กลางทุ่งนา ม.2 ต.ป่ามะคาบ อ.เมือง จ.พิจิตร ขอให้ไปสอบสวนด้วย จึงรายงานผู้บังคับบัญชาพร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.พิจิตร ไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งภายในกระท่อมที่มีลักษณะมุงด้วยสังกะสี พบศพ นายเฉลิม จันทร์แดง อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 163 ม. 2 ต.ป่ามะคาบ อ.เมืองพิจิตร สภาพนอนเสียชีวิตในท่านอนหลับภายในกระท่อมดังกล่าว และไม่มีร่องรอยการต่อสู้ เสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 ชม.
จากการสอบสวนนางลำไย จันทร์แดง อายุ 59 ปี ภรรยานายเฉลิม ผู้ตายได้ความว่าก่อนเกิดเหตุ นายเฉลิมผู้ตายออกจากบ้านพักในหมู่บ้านมานอนค้างที่ห้างนาเพื่อเฝ้านาข้าว และหาปลาตามปกติ และจะเข้าบ้านรุ่งขึ้นของอีกวัน แต่วันนี้นายเฉลิมไม่ยอมกลับบ้าน ตนจึงตามมาดูพบนอนเสียชีวิตแล้ว
นางลำไย ภรรยาผู้ตายเชื่อว่า สาเหตุที่สามีตายในครั้งนี้ เกิดจาก อาการเครียด เนื่องจากสามีบ่นเครียดจากการขายข้าวโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทาง ธ.ก.ส.ยังไม่จ่ายเงินให้เป็นเงินกว่า 200,000 บาทเศษ นานกว่า 5 เดือนแล้วยังไม่ได้เงิน จนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เงินนอกระบบ กว่า 1 แสนบาทมาใช้จ่ายในครอบครัว รวมถึงนำมาลงทุนทำนารอบใหม่ ประมาณ 10 ไร่ ประกอบกับสถานการณ์ทำนาที่ทำรอบใหม่ ข้าวเพิ่งยังเริ่มตั้งท้อง แต่เริ่มขาดน้ำเนื่องจากน้ำในคลองเริ่มแห้งขอด ทำให้นายเฉลิม เกิดอาการเครียด และนั่งปรับทุกข์พูดคุยเรื่องนี้ทุกวัน ประกอบกับนายเฉลิมมีโรคความดันอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้นายเฉลิม เครียดจากเรื่องนี้จนทำให้ความดันสูงและเสียชีวิตดังกล่าว
“ความตาย” เหล่านี้ มีความหมายกับคุณยิ่งลักษณ์บ้างไหมครับ
หรือก็เหมือนๆ กับ “ความตาย” ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นความตายที่มันยิดกรือเซะ, ความตายที่หน้า สภอ. ตากใบ นราธิวาส, ความตายของทีมฟุตบอลเยาวชน ที่ จ.ยะลา, ความตายในคดีฆ่าตัดตอนยาเสพติด
หรือก็เหมือนๆ กับ “ความตาย” ของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 วันที่นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ดึงดันจะแถลงนโยบาย เพื่อเข้าสู่อำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีให้จงได้ จนไม่สะทกสะท้านกับ “ระเบิดแก๊สน้ำตา” ที่ตำรวจกระหน่ำยิงเข้าใจประชาชนตั้งแต่เช้ายันค่ำ
หรือก็เหมือนๆ กับ “ความตาย” ของพี่น้องคนเสื้อแดง ในการชุมนุมปี 2553 ที่นางยิ่งลักษณ์เคยเอาไปใช้เป็นเครื่องมือโอดครวญในการกล่าวปาฐกถาที่อูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย ที่ว่า “เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ารัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ได้ได้มาฟรีๆ สิทธิ เสรีภาพและความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงมีความเท่าเทียมกันนั้นได้มาด้วยการต่อสู้และที่น่าเศร้าใจคือ ทำให้ต้องมีผู้เสียชีวิต”
กับอีกตอนหนึ่งว่า “ดิฉันขอปิดท้ายด้วยการประกาศว่าดิฉันหวังว่าความเจ็บปวดที่ครอบครัวของดิฉันได้รับที่ครอบครัวของเหยื่อทางการเมืองไทย และครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 91 คนในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม2553 ต้องเผชิญจะเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายสำหรับประเทศไทย
ขอให้เราทุกคนสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยเพื่อที่เสรีภาพและอิสรภาพของมนุษย์ได้รับการปกปักษ์รักษาเพื่อลูกหลานและคนรุ่นต่อๆไป”
แต่พอกลับมาถึงเมืองไทยไม่นาน รัฐบาลของเธอ ต่างก็ยกมือสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งอยุติธรรมต่อผู้เสียชีวิตอย่างร้ายแรง ด้วยการไม่ค้นหาความจริง ไม่ให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงาน ไม่เอาผิดคนฆ่า
ดังนั้น ความตายทั้งหลาย ล้วนประดุจเครื่องสังเวย “นางกาลี” เท่านั้น ใช่หรือไม่
เมื่อมาถึง “ความตายที่น่าเศร้า” ของพี่น้องชาวนา คุณเคยได้ยินคำว่า “เสียใจ” และ “เป็นห่วง” จากปากของนางยิ่งลักษณ์บ้างหรือไม่
นางยิ่งลักษณ์ซึ่งใช้งบประมาณแผ่นดินเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆเกือบครึ่งโลก ได้ดำเนินการเจรจาเปิดตลาดการค้า นำไปสู่การ“ระบายข้าว”ที่รอวันเน่าในโกดังอย่างเป็นความลับ คือไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในสภาพใด อยู่ครบตามจำนวนที่นำเข้าไปหรือไม่ ใช่ของเดิมหรือเปล่า ฯลฯ ได้สักลิตรไหม
ไอ้ที่บอกว่า จะค้าแบบจีทูจีกับเมืองจีน ก็กลายเป็นคดีที่ ปปช. แจ้งข้อกล่าวหากับรัฐมนตรีและข้าราชการ พร้อมทั้งอาจโยงถึงนางยิ่งลักษณ์ด้วยในเร็ววันนี้
ขณะที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการระบายข้าวว่า รัฐบาลกำหนดให้มีการระบายข้าว 4 แสนตัน โดยจะประกาศวันที่ 6 ก.พ.นี้ โดยจะเปิดให้ผู้สนใจยื่นซองประมูลวันที่ 12 ก.พ.และจะเปิดซองวันที่ 13 ก.พ. จึงขอประกาศเชิญชวนพ่อค้าข้าว นักธุรกิจ นักวิชาการ นักการเมืองที่รู้จักพ่อค้าข้าวแนะนำให้มาซื้อข้าวจากรัฐบาลได้ เพื่อที่รัฐบาลจะได้นำเงินที่ได้จากการขายข้าวครั้งนี้ไปให้แก่เกษตรกร ควบคู่กับการหาเงินกู้โดยกระทรวงการคลัง ดังนั้นขอให้เกษตรกร ชาวนาทั้งหลายมั่นใจว่ารัฐบาลได้พยายามหาเงินมาให้เกษตรกรอย่างเต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า คาดจะได้เงินเท่าไหร่จากการขายข้าวครั้งนี้ นายนิวัฒน์ธำรงกล่าวว่า ยังไม่ชัดว่า จะได้เงินเท่าไหร่ เพราะต้องดูราคาหลังเปิดซองประมูล แต่รัฐบาลก็มีราคากลางซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลสามารถระบายข้าวได้ 1 ล้านตัน ก็คาดจะได้เงินกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งข้าวที่ระบายในครั้งนี้ มีข้าวทุกชนิด และหากระบายข้าวครั้งนี้สำเร็จ จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการขายข้าวให้กับรัฐวิสาหกิจจีนเป่ยต้าฮวง ที่เคยทำสัญญาซื้อขายข้าวไทยจำนวน 1 ล้านตันนั้น รมว.พาณิชย์กล่าวว่า ยกเลิกไปแล้ว เนื่องจากรัฐวิสาหกิจเป่ยต้าฮวงนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจมณฑล ซึ่งเป็นรัฐบาลท้องถิ่นไม่ใช่รัฐบาลกลาง ซึ่งเขามีความกังวลว่าถ้ามาสัญญาซื้อขายอาจจะทำให้มีปัญหาจึงยกเลิกการทำสัญญา
รมว.พาณิชย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลได้พยายามคุยกับสมาคมชาวนาให้เข้าใจถึงสิ่งที่รัฐบาลได้พยายามทำอยู่ ส่วนกรณีที่มีข้าวในสต๊อกของรัฐบาลใน จ.อุดรธานี จำนวน 3 ล้านตันหายนั้น ตนไม่ทราบยังไม่ได้รับรายงาน ส่วนเรื่องเงินกู้เป็นเรื่องที่กระทรวงคลังเป็นผู้ดำเนินการ
พอเสียทีเถิดครับ กับการหยุดโทษนั่นโทษนี่ เช่น หยุดโทษว่าม็อบปิดกระทรวงการคลัง, หยุดโทษว่าธนาคารไม่ปล่อยกู้ ฯลฯ เพราะหน้าที่ของรัฐบาล คือ บริหารนโยบายนี้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ ซื้อมาในราคาแพงกว่าตลาด (โง่ขั้นที่ 1) เก็บในรูปของข้าวสารซึ่งเสื่อมสภาพง่าย (โง่ขั้นที่ 2) สุดท้ายขายใครไม่ได้ ก็ใช้วีธีกู้เงินเพิ่ม แล้วภาระการใช้หนี้ที่แท้จริงคือใครล่ะครับ หากมิใช่ประชาชนคนไทย
ขายข้าวซะ แล้วเอาเงินไปให้ชาวนา
กลับไปดูคำเตือนก่อนหน้านี้ซะ เขาเตือนกันมานักต่อนักแล้วว่า โครงการรับจำนำข้าวนี้ อาจถึงขั้นต้อง “จำนองประเทศ” ตอนนั้นก็ทำเป็น “จองหอง” กัน ไม่ฟังคำเตือน
เวลานี้เป็นเวลารับผิดชอบ เริ่มจากเปิดเผยโครงการและตัวเลขทั้งหมดให้ตรวจสอบ ทำให้โปร่งใส หาเงินไปจ่ายชาวนาก่อนที่เขาจะ “ตาย” มากกว่านี้
และอย่างเร็วที่สุด ออกมายอมรับความผิด แสดงความเสียใจ และประกาศให้ชัด ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ทั้งในทางการเมือง ทางจริยธรรม และตามกฎหมาย หยุดวิ่งหนีปัญหาเสียที คุณยิ่งลักษณ์!!
5 ก.พ.57 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงกรณีที่ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ออกมายอมรับว่า บริษัทจีนในเครือเป่ยต้าหวง ล้มสัญญาซื้อข้าวรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นการซื้อขายแบบหน้าคลัง ว่า ตนยืนยันมาตลอดว่าไม่มีสัญญาจริง แต่เป็นเครือข่ายที่มาทำเหมือนกับสยามอินดิก้า เป็นเครือข่ายม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เพราะการซื้อขายหน้าคลังแบบจีทูจีไม่มีในโลกทำ นอกจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนกระทั่ง ป.ป.ช.ออกมาชี้มูลเรื่องจีทูจีเก๊ ก็เลยทำให้เกิดความกลัวว่าจะติดคุก ที่นำจีทูจีปลอมมาอ้างเป็นความผิดซ้ำซาก ตนจึงขอย้ำว่า สัญญาดังกล่าวไม่มีจริง จึงล้มเพราะกลัวติดคุก ทั้งนี้เห็นว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องพูดความจริงแทนคำโกหก
นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า กรณีเงินชาวนาขอเรียกร้องให้รัฐบาลเห็นใจชาวนา เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัด กระทรวงพาณิชย์แจวเรือหนีทำหนังสือถึง รมว.พาณิชย์ ให้ รมว.คลัง ยืนยันว่าจะเดินหน้าหรือชะลอ เพราะหมิ่นเหม่ต่อการขัดรัฐธรรมนูญ แต่ รมว.พาณิชย์ ยืนยันเดินหน้า ทั้งที่เป็นรัฐบาลรักษาการแก้ปัญหาไม่ได้ ชาวนาไม่มีทางได้เงิน เพราะรัฐบาลต้องขายข้าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามีรัฐบาลใหม่เข้ามาจะแก้ปัญหาให้ชาวนาได้ ดังนั้น รัฐบาลคิดแต่ขายข้าวตามสภาพกล้ายอมรับความจริงว่าข้าวในโกดัง 17 ล้านตัน มีปัญหาข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวเน่า สต๊อกลม ดังนั้น ต้องแยกสินทรัพย์คุณภาพดีและเสื่อมสภาพ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในวงการค้าข้าวเพื่อให้ระบายข้าวได้ จะทำให้ประสิทธิภาพในการขายให้ได้เงินมาชำระหนี้ชาวนาทำได้ง่ายมากขึ้น
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลขายข้าวได้เพียง 1.7 แสนล้านบาทเท่านั้น หากยังดำเนินการเหมือนเดิมก็ไม่มีทางหาเงินมาจ่ายชาวนาได้ และขอเสนอแนะให้โรงสีปล่อยกู้ให้รัฐบาล 1,000 แห่ง แห่งละ 100 ล้าน และคนแดนไกลปล่อยเงินอีก 3 หมื่นล้าน ก็จะทำให้รัฐบาลเพื่อมาจ่ายชาวนา เพราะคนเหล่านี้ได้ประโยชน์จากโครงการจำนำข้าวบนความทุกข์ยากของชาวนามานานแล้ว