สร้างพลังบวกได้ตลอดเวลา ด้วยการแผ่เมตตาให้สรรพสัตว
์และเซลล์ในตัวคุณ รวมถึงเซลล์มะเร็ง!
ทุกวันนี้นักจิตวิทยาและนัก
ประสาทวิทยา (neuroscientist) ต่างก็เห็นตรงกันว่า การคิดบวก มองสิ่งต่าง ๆ ในด้านบวกนั้น เป็นผลดีต่อสุขภาพจิตและสุข
ภาพสมองของคนเรา แม้ในทางพุทธศาสตร์ก็เช่นกั
น จิตที่เป็นกุศลนั้นเป็นจิตท
ี่มีพลัง สามารถนำไปสร้างสรรค์สิ่งต่
าง ๆ ได้ และหนึ่งในวิธีสร้างพลังบว
...กง่าย ๆ ก็คือ “การแผ่เมตตา” นั่นเองค่ะ
ตามปกติคนไทยเรามักนึกถึงบทสวด “สัพเพ สัตตา” เวลานึกถึงการแผ่เมตตา ซึ่งมักจะเป็นการท่องไปอย่างนั้นเอง แต่การที่จะน้อมจิตส่งความรักและความปรารถนาดีตามไปด้วยจริง ๆ นั้นเป็นสิ่งค่อนข้างยากที่ต้องฝึกฝน ครูบาอาจารย์จึงมักให้เริ่มจากการแผ่เมตตาให้กับตนเองก่อนให้ชินเพราะไม่ว่าใครก็ย่อมมีความรักความปรารถนาดีให้ตนเองมีความสุขและปราศจากทุกข์กันทั้งสิ้น แต่ท่านเคยนึกลึกลงไปในรายละเอียดหรือไม่ว่าสิ่งที่ท่านคิดว่าเป็น “ตัวท่าน” นั้นไม่ได้เป็นหน่วยเพียงหนึ่งเดียว แต่มีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมายเป็นล้านล้านหน่วยอาศัยอยู่ในนั้นด้วย! ท่านเคยแผ่เมตตาให้กับพวกเขาบ้างไหมคะ?
ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเอาไว้ว่าในร่างกายของคนเราเป็นแหล่งที่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อยจำนวนมากมาย ซึ่งถ้าเทียบกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็น่าจะเทียบได้กับจุลินทรีย์ เชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัสต่าง ๆ นั่นเอง นอกจากนั้นก็ยังมีเซลล์ต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายเรา มีผู้ประมาณไว้ว่า ร่างกายมนุษย์นั้นประกอบขึ้นมาด้วยเซลล์จำนวนถึง 100 ล้านล้าน เซลล์ทีเดียว เซลล์เหล่านั้นล้วนแต่มีชีวิตและต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างหนักเพื่อที่จะรักษาสุขสภาวะของเราให้อยู่ในสภาพที่สมดุลย์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราเคยได้นึกถึงพวกเขากันบ้างไหมคะ?
วิธีการแผ่เมตตานั้นทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ภาษาบาลีค่ะ ขอเพียงท่านตั้งจิตเป็นสมาธินึกถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อยรวมถึงเซลล์ต่าง ๆ ทุกเซลล์ในร่างกายของท่านแล้วก็ส่งใจไปถึงพวกเขาว่า “ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอท่านได้รับส่วนบุญกุศลทั้งหลายทั้งทาน ศีล และภาวนาที่ข้าพเจ้าได้ทำไปด้วยทั้งหมดเสมอเหมือนว่าได้กระทำด้วยตนเอง เมื่อหมดอายุขัยของท่านขอให้ท่านได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้มรรคผลนิพพาน พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิงโดยทั่วกันเทอญ” แล้วก็ส่งจิตที่มีความรักความเมตตาปรารถนาดีตามไปอีกสักพักนะคะ
ถ้าท่านทำได้ถูกต้องด้วยจิตที่มีความรักเมตตาปรารถนาดีจริง ๆ ท่านจะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของท่านค่ะ สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นสามารถรับรู้ความปรารถนาดีของท่านได้ และก็จะส่งความปรารถนาดีกลับมาให้ท่านเช่นกัน ท่านอาจจะรู้สึกถึงอาการปิติ วูบวาบ หรือขนลุกเล็กน้อย หรือรู้สึกอบอุ่นใจ ตัวเบา สบายใจ ปลอดโปร่งใจนะคะ เพราะท่านได้ผูกมิตรกับมหามิตรที่อยู่ใกล้ชิดท่านที่สุดเอาไว้แล้ว ให้ท่านหมั่นสร้างกุศลด้วย ทาน ศีล ภาวนา แล้วแผ่เมตตาเช่นนี้ทุก ๆ วันท่านจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในกายใจของท่านค่ะ ท่านจะพบว่าท่านมีพลังบวกมากขึ้น จิตใจปลอดโปร่งมีพลังแจ่มใสมากขึ้น และท่านจะรู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ นั่นเป็นเพราะเซลล์ต่าง ๆ ให้ "ความร่วมมือ" กับท่านมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
**หมายเหตุ** วิธีนี้จะได้ผลดีเป็นพิเศษแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยนะคะ ถึงแม้มะเร็งจะเป็นเนื้อร้าย เป็นเซลล์ที่มาเบียดเบียนท่าน ก็ขอให้ท่านอย่าไปรังเกียจเกลียดโกรธหรือหวาดกลัวเขา ก็ให้แผ่เมตตาให้ความรักความปรารถนาดีต่อเขา ส่งส่วนบุญกุศลไปให้เขาเช่นกันค่ะ บอกว่าให้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ อย่างไม่เบียดเบียนกันเพื่อที่จะได้ร่วมกันสร้างคุณงามความดี จะได้มีส่วนสร้างสมกุศลไปด้วยกัน เขาเองก็จะได้พ้นทุกข์ไปด้วย ท่านเคยคิดไหมคะว่าเซลล์มะเร็งนั้นก็เป็นทุกข์เหมือนกันแต่ไม่เคยมีใครแผ่เมตตาไปให้เขาเลย มีแต่คอยจ้องจะฆ่าเขา วิปัสสนาจารย์ของผู้เขียนก็ป่วยเป็นมะเร็งมาแล้วกว่า 10 ปี แต่สามารถควบคุมการแพร่ขยายของเซลล์มะเร็งนี้ได้ด้วยวิธีนี้ควบคู่ไปกับการรักษาตามปกติและรักษาวิธีธรรมชาตินั่นเองค่ะ
ถ้าวิธีการรักษาของท่านจำเป็นจะต้องไปฆ่าเซลล์มะเร็ง ก็ขออโหสิกรรมกับเขาก่อนด้วยนะคะว่า ท่านไม่ได้มีจิตพยาบาทเกลียดโกรธอะไรเขา แต่จำเป็นต้องรักษาร่างกายธาตุขันธ์นี้เอาไว้เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ มีชีวิตอยู่รอดต่อไป “เพื่ออะไร”? นี่ล่ะค่ะเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านต้องตอบเซลล์มะเร็งที่ท่านจำต้องฆ่าเขาให้ได้ “เพื่อสร้างคุณงามความดีให้กับโลกนี้” ไงคะ บอกกับเซลล์มะเร็งที่ท่านจะต้องฆ่าเขา(ถ้าจำเป็นจริง ๆ)ว่า ท่านจะใช้ร่างกายธาตุขันธ์ของท่านที่รอดมานี้สร้างกุศลด้วยทาน ศีล และภาวนาให้ครบและอุทิศบุญกุศลให้เขาไปโดยตลอด ถ้าท่านทำได้เช่นนี้ ท่านก็น่าจะมีโอกาสได้อยู่สร้างคุณประโยชน์กับโลกต่อไปอีกใช่ไหมคะ เพราะเซลล์มะเร็งก็ย่อมหวังจะได้บุญกุศลที่ท่านจะอุทิศให้กับเขาต่อไปอีกนาน ๆ เช่นกันค่ะ
ถ้าท่านทดลองแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในร่างกายและให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายท่านไปแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง แวะมาเล่าให้ผู้เขียนฟังกันบ้างนะคะ
ท่านทราบไหมคะว่าในโลกตะวันตกหลายประเทศขณะนี้มีการสอนการเจริญสติกันอย่างแพร่หลายใน "โรงพยาบาล" ค่ะ! ตั้งแต่ปี 1979 Jon Kabat-Zinn นักชีววิทยาผู้เป็นนักปฏิบัติธรรมด้วยได้ริเริ่มนำการเจริญสติไปสอนผู้ป่วยในรพ.ของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแมสสาชูเสททส์ให้สามารถบริหารจัดการอาการเจ็บป่วยทั้งทางกายและทางใจได้อย่างได้ผล จนทุกวันนี้โรงพยาบาลชั้นนำต่าง ๆ ในโลกตะวันตกต่างก็มีโปรแกรมการฝึกสตินี้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษ...าพยาบาลค่ะ
ในอเมริกานั้นมีเรื่องเล่าว่าแต่เดิมผู้ป่วยมะเร็งในระยะสุดท้ายซึ่งมีความทุกข์ทรมานทางกายมากและต้องพึ่งยาระงับปวดชนิดแรงที่สุดซึ่งแน่นอนค่ะว่ามีผลข้างเคียง เมื่อมีโครงการการฝึกสตินี้ขึ้นมาทางโรงพยาบาลก็ได้ให้ทางเลือกว่า จะยังรับยาแก้ปวดอย่างแรงเหมือนเดิมหรือว่าจะเข้าคอร์สการเจริญสติ! ไม่เลวเลยใช่ไหมคะ แม้แต่กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาก็มีทุนวิจัยสำหรับแพทย์เพื่อศึกษาผลดีของการเจริญสติต่อการบำบัดรักษาโรคและอาการต่าง ๆ ด้วยค่ะ
คุณผู้อ่านว่าไหมคะว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าประเทศไทยริเริ่มเอาของดีที่เรามีอยู่ใกล้ตัวอยู่แล้วนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างแพร่หลายเช่นนี้บ้าง?
นอกจากนี้ สตินั้นถ้าฝึกให้ถูกวิธีก็จะมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมหาศาลนอกเหนือจากการบรรเทาอาการทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยด้วยค่ะ ถ้าจะสรุปให้สั้นก็คือ สตินั้นฝึกแล้วจะก่อให้เกิด 2 สิ่งหลัก คือ ปัญญา และ ความสงบสันติทางกายและทางใจ ปัญหาของสังคมทุกวันนี้ สาเหตุหลักก็มาจากผู้ไม่มีสติปัญญาแยกแยะดีชั่ว ไม่มีกำลังของสติในการยับยั้งชั่งใจไม่ให้ทำชั่วต่าง ๆ ทั้งสิ้น เรามาช่วยกันส่งเสริมให้สังคมเราเป็นสังคมที่มีสติ ส่งเสริมการฝึกสติการระลึกรู้ทางกายใจที่ถูกต้องไม่ใช่เป็นการเพ่งสมาธิแบบลัทธินอกรีตเชิงพาณิชย์ และส่งเสริมการนำการฝึกสติไปใช้ประโยชน์ให้แพร่หลายกันนะคะ