GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

บารมี "หลวงปู่ดู่" ช่วยชีวิตเด็กน้อย/อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ


บารมีหลวงปู่ดู่ช่วยชีวิตเด็กน้อย
***********************
ช่วงที่ 1
--------
เขาเล่าให้ฟังว่าเขาแต่งงานอยู่กินกับภรรยามา12ปีไม่มีบุตร เลยคิดว่าชาตินี้คงไม่มีลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่าจึงหมดหวัง และวันหนึ่งภรรยาได้ไปหาหมอเพราะระยะหลังเธอเมารถ หมอบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้4เดือน ผมดีใจมากภรรยาผมแพ้ท้องมากกว่าคนอื่นในที่สุดก็คลอดลูกเป็นผู้ชายโดยเธอ ต้องแบกท้องอยูสิบเดือนกว่า ผมรับลูกชายและภรรยากลับมาอยู่บ้าน ในวันหนึ่งก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นว่าดูหมอไหมครับนาย ผมรีบตอบทันทีว่าไม่ดูครับลุง แต่ไหนๆก็มาแล้วกินน้ำให้หายเหนื่อยก่อน ผมถามลุงมาจากไหน ชายผู้นั้นบอกว่าเขาเป็นคนจรหมอนหมิ่นค่ำไหนนอนนั่น ผมนึกสงสารจึงดูหมอกับแกเลยหันไปถามภรรยาว่าดูอะไรดี ภรรยาว่าดูดวงลูกเราสิ แกบวกเลขอยู่พักใหญ่แล้วพูดด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า ลูกของนายคงอยู่กับนายได้ไม่นานไม่ถึง2ฝนจะต้องตกน้ำเป็นตายร้ายดียังบอกไม่ ได้ แต่ถ้ารอดไปได้ฝนที่5จะต้องถูกสัตว์ร้ายด้วยเขี้ยวงา ตายหรือเป็นฟ้าดินกำหนดแต่ถ้ายังไม่วายชีวา ฝน7จะต้องอาวุธร้ายเป็นตายกำหนดยาก ถ้ารอดไปได้ถึงฝนเก้าเทวดาก็ช่วยยาก

ชายชราพูดต่อว่าที่ผมบอกนายเป็นแต่ตอนร้ายหน่อย แต่ยังมีอีกมากถ้าบอกไปกลัวนายจะใจเสียผมจึงไม่กล้าบอกนายครับ ผมพูดขึ้นอย่างไม่พอใจลุงเอาอะไรมาพูดตำราของลุงเดาเอาหรือเปล่า ท่าทางแกโมโหเหมือนกันแกพูดว่าถ้านายด่าหรือดูถูกผมไม่ว่ากัน นี่นายดูถูกตำราผม มันเกินไปผมทนไม่ได้ผมจะบอกให้เอาบุญตำราของผมตระกูลเราหลายชั่วอายุคนไม่ สอนคนนอกตระกูลคนที่จะเรียนได้ต้องเป็นลูกชายเท่านั้น ถ้าดูว่าร้ายก็ต้องร้ายถ้าดูว่าดีก็ต้องดี ดูตายไม่เคยมีใครรอดสักคนเลย แกพูดด้วยท่าทางดุดันและเอาจริง

ผมมองดูแววตาแกมีอำนาจอะไรบางอย่างทำให้ผมขนลุกทั้งตัว ผมรู้สึกเกรงใจในความเอาจริงเอาจังของแกจึงพูดด้วยวาจาที่สุภาพว่า ลุงครับแล้วผมจะทำอย่างไรดีลุงช่วยผมหน่อยน่ะครับ แกมองผมอย่างเห็นใจ"พูดน่าฟังอย่างนี้พอคุยกันได้" ผมจะบอกให้ตำราท่านว่าดวงตกร้ายถึงปานนี้เทวดาช่วยไม่ได้ พระอรหันต์ท่านยังต้องวางเฉย แต่ผู้มีบุญใหญ่ช่วยได้ ผมถาม"ลุงครับผู้มีบุญกว่าพระอรหันต์ ผมจะหาได้ที่ไหนหล่ะ" ชาย ชราตอบว่าเรื่องนี้ผมก็ตอบนายไม่ได้เหมือนกัน ผมพยายามคุยกับแกเพื่อขอคำแนะนำแต่ก็หาทางออกไม่ได้ ผมคุยกับแกอยู่หลายชั่วโมงจนเย็นแล้วแกก็ลาผมจึงส่งเงินให้แกไป100บาท แกร้องโอ้โหตั้ง100หรือครับนายไม่เคยมีใครให้ผมมากเท่านี้เลย ชายชราผู้นั้นเดินออกจากบ้านผมไปไม่ไกลมากนัก แกหันมามองผมกับภรรยาแล้วพูดขึ้นว่า"บุญเป็นของพึ่งได้จริง"

ช่วงที่ 2
--------
แล้วแกก็หันเดินจากไปจนลับสายตา ชายแปลกหน้าจากไปแล้ว ผมก็บอกกับภรรยา "เธออย่าไปฟังหมอดูมากนัก เดี๋ยวจะไม่สบายใจ เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนจรหมอนหมิ่น เธออย่าคิดมากนะ โบราณก็เคยบอกคนจรหมอนหมิ่นเชื่อยาก" จากวันนั้นมาลูกชายเราก็ได้สองเดือนเขาเริ่มเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อย ๆ ผมและภรรยาต้องพาลูกชายเข้าออกคลีนิค-โรงพยาบาลหลายสิบครั้ง

ลูกชายผมได้สองขวบ บ้านเราอยู่ติดกับแม่น้ำป่าสัก วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ผมและภรรยาออกไปธุระนอกบ้าน น้องสาวผมเลี้ยงลูกของผมอยู่ตามปกติ น้องสาวบอกผมว่า วันนั้นเธอไม่ค่อยสบาย เลยกินยาแก้ไข้ไปสองเม็ดจึงง่วงนอน และหลับไป ตื่นอีกครั้งก็ได้ยินคนตะโกนว่า "เด็กตกน้ำ!" เธอก็วิ่งไปดู มองเห็นหลานนอนอยู่ โดยมีคนสองคนผายปอดให้อยู่ แต่เด็กก็ไม่มีอาการดีขึ้น คนข้างบ้านช่วยกันเอารถไปส่งโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่า เด็กขาดอากาศนานเกินไป หมอไม่แน่ใจว่าจะมีความหวังอยู่เท่าไหร่ อยากให้ญาติทำใจ ลูกผมอยู่ รพ.หลายวัน อาการก็ยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น และอยู่ ๆ วันหนึ่งลูกชายผมก็ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ ไม่นานก็กลับบ้านได้ ลูกชายผมเกิดเรื่องอีกมากมายหลายอย่าง จนน่าเป็นห่วงว่าชีวิตของเขาจะรอดไปได้หรือไม่

ในปีที่เขาอายุครบห้าขวบ ขณะเท่ากับห้าฝนพอดี ตอนนี้เขาเข้าโรงเรียนแล้ว วันนี้ที่เขาและเพื่อน ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ในสนามของโรงเรียน มีหมาตัวหนึ่งวิ่งตรงมากัดลูกชายผม จนเป้นแผลลึกและใหญ่ถึงสี่เขี้ยว ทั้ง ๆ ที่มีเด็กตั้งมากมายวิ่งเล่นกันอยุ่แต่หมาตัวนั้นกลับไม่สนใจเด็กคนอื่น กัดเฉพาะลูกชายของผมเพียงคนเดียว แล้วมันก็วิ่งจากไป เรารักษาเขาตามประสาแบบชาวบ้าน ผู้เฒ่าของชาวบ้านที่คนทั่วไปนับถือวาแกมีวิชาต่าง ๆ เช่น สูณฝี กวาดยา พ่นลมพิษ งูสวัต และรักษาได้อีกหลายอย่างตามแบบอย่างหมอประจำหมู่บ้านทั่วไป ผมพาลูกชายไปหาปู่ใหญ่ แกก็นำว่านยาหลายชนิดมาบดแล้วปิดแปลให้แกบอกว่า "ไอ้หนูไม่เป็นอะไร แล้วมาหาปู่ เปลี่ยนยาสามวันก็หาย" ผมถามปู่ใหญ่ว่า "คืนนี้ลูกผมจะปวดแผลหรือครับ" แกบอกว่า "รักษามามากไม่เคยมีคนมาบอกว่าปวดเลยสักคน ว่านยาที่ใส่ให้แก้ได้ทั้งพิษงูและพิษสัตว์ร้ายต่าง ๆ เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกไอ้หนู" ผมพาลูกชายไปให้แกเปลี่ยนว่านยาทุกวัน จนครบสามวัน แต่พอถึงวันที่สี่ลูกชายผมก็มีอาการหนัก ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก สิ่งเดียวที่คิดได้คือพาลูกชายไป รพ. พอถึงมือหมอทั้งหมอและพยาบาลวิ่งวุ่นไปหมด หมอบอกว่า อาการน่าเป็นห่วงสงสัยหมาที่กัดเขาคงเป็นหมาบ้า ผมได้ยินคำว่าหมาบ้าผมนึกไม่ถึงว่าลูกชายจะโชคร้ายถึงปานนี้ วันนี้ผมเฝ้าลูกชายอยู่ที่ รพ.ทั้งคืน ประมาณตีห้าผมก็เผลอหลับไป และก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งมาปลุกผมบอกว่า "กลับบ้านไปก่อนค่ะ ทางเราต้องเอาตัวเด็กไว้ก่อน ตอนนี้เด็กอยู่ในห้องไอซียู"

ผมกลับบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีความหวังอะไรมากนัก เพราะผมเห็นอาการลูกชายขนาดนั้น คนเป็นพ่อยังคิดว่าจะรอดยาก อาการของเขาน่ากลัวตอนที่เขาชักจนตาค้างแล้วแน่นิ่งไป เป็นภาพที่ติดตาผมเวลานอนภาพนั้นจะปรากฏอยู่เสมอ ทำให้ผมข่มตานอนไม่ลงผมไป รพ.ทุกวัน เฝ้าเขาจนมืดหรือบางวันก็ดึก ถึงจะกลับบ้าน ผมนอนไม่กี่ชั่วโมงก็รีบตื่นแต่เช้าไปรพ.ผมทำอยู่อย่างนี้ถึงแปดวัน

ในวันที่ เก้าคุณหมอก็บอกว่า "เด็กพ้นขีดอันตรายแล้ว ผมดีใจกับคุณด้วยปาฏิหาริย์จริง ๆ" คุณหมอพูดแล้วเดินจากไป ส่วนผมยืนน้ำตาซึมและไหลออกมาจนเปียกแก้มสองข้าง ตอนนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตครึ่งหนึ่งที่หายไปของผมได้กลับคืนมาอีกครั้ง เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของผม ภรรยาและผมก็หวังจะฝากผีฝากไข้กับเขา ตอนไม่มีเขาเราสองคนก็ทำใจไว้แล้ว ว่าคงต้องอยู่กันตามลำพังไปจนเฒ่า และตายอย่างไม่มีผู้สืบสกุล แต่พอมีเขาความหวังเของเราก็เปลี่ยนไปจากคนสิ้นหวัง เป็นคนมีความหวัง ภรรยาของผมเป็นคนใจอ่อน จึงไม่กล้ามา รพ.ดูอาการลูกชาย คอยแต่ฟังข่าวเล่าที่ผมกลับบ้าน ผมก็ไม่กล้าเสี่ยงให้เธอไป รพ.ผมกลัวเธอเห็นลูกชายเป็นอะไรไปแล้วเธอจะช็อก ผมไม่อยากเสียทั้งลูกชายและภรรยา วันนั้นพอผมได้ข่าวดีจากคุณหมอ ผมรีบกล้บบ้านไปบอกข่าวดีกับภรรยา พอภรรยาของผมเธอรู้ว่าลูกรอดตายแล้ว เธอดีใจจนน้ำตาออกมาแล้วเธอก็กอดผม และพูดว่า “ลูกเราไม่จากเราไปแล้วพี่”

ช่วงที่ 3
--------
นับจากวันนั้นหวนคิดไปถึงคำพูดของคนจรหมอนหมิ่นหมอดูชรา ที่แกบอกว่า ฝนสองจะต้องตกน้ำ พอลูกผมอายุได้สองขวบเขาก็ตกน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และแกบอกต่อว่าถ้ารอดไปได้ฝนห้าจะต้องถูกสัตว์ร้ายด้วยเขี้ยวงา ลูกผมครบห้าขวบก็ถูกหมาบ้ากัด พึ่งรอดมาได้ แกยังพูดอีกว่า ฝนเจ็ดจะต้องถูกอาวุธร้าย เป็นตายกำหนดยาก คำพูดของแกไม่เคยผิดเลยสักครั้งแล้วครั้งที่สามจะเป็นอย่างไร ทำให้ผมและภรรยาเกิดความกลัวถึงชะตากรรมของลูกชายเราทั้งสอง ว่าต่อไปจะดีร้ายอย่างไร

คนแก่แถวบ้านผมบอกว่าลูกของเอ็งเป็นอย่างนี้โบราณเคราะห์ ร้ายดวงตก ต้องพาไปทำสังฆทานต่ออายุถึงจะดี แกบอกว่าเรื่องอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ดังนั้นวันต่อมาผมและภรรยา ก็พาลูกชายตะเวนไปทำสังฆทาน บางวัดท่านก็อาบน้ำมนต์ให้ บางที่ก็ให้นอนแล้วเอาผ้าขาวมาคลุมแล้วบังสุกุล บางวัดก็ให้ลูกผมลงไปนอนในโลงศพ แล้วสวดมนต์หลายบทเป็นการต่อชะตาต่ออายุ เมื่อผมมีเวลาว่างใครบอกว่าวัดไหนดีที่ไหนคนเขาไปทำมาแล้วดีหายเจ็บไข้ ดวงไม่ดีก็ดีในเดือน ๆ อย่างน้อยก็เดือนละสองครั้งแต่ถ้าเดือนไหนผมว่าง ก็เดือนละสี่ถึงห้าครั้งเป็นอย่างน้อย ผมทำอย่างนี้มาเป็นเวลาเกือบสองปี ด้วยความหวังว่า ทำบุญมาก ๆ ชะตากรรมของลูกชายผมจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี

แต่พอเขาอายุได้เจ็ดขวบ วัดข้างบ้านผมจัดงานประจำปี มีการละเล่นมากมายหลายอย่าง เช่น หนัง-ลิเก-วงดนตรี ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน และของขายอีกมากลูกชายผมและเด็กข้างบ้านหลายคน ทั้งที่เล็กกว่าเขาบ้างก็มีอายุมากกว่าเป็นรุ่นพี่หลายคนพากันไปเที่ยวงาน วัดตามปกติ เวลาผ่านไปสักสองทุ่มเห็นจะได้ คนข้างบ้านก็วิ่งมาบอกว่า "พี่..ลูกพี่ถูกยิง!" ผมพูดตอบเขาไปว่า "เป็นไปได้ยังไง ลูกผมเพิ่งเจ็ดขวบจะไปมีเรื่องถึงขนาดถูกยิง มาบอกบ้านผิดหรือเปล่า" เขารีบเถียงว่า "ไม่ผิดหรอก พี่รีบไปดูลูกของพี่เถอะ เลือดท่วมตัวเลย" เมื่อเขายืนยันอย่างนั้น ผมก็รีบวิ่งไปที่งานวัด สิ่งที่ผมเห็นมีคนกลุ่มใหญ่มุงดูอะไรบางอย่าง ผมวิ่งแหวกฝูงคนเข้าไป ก็เห็นลูกชายของผมเลือดเต็มตัวไปหมดมีรถคันหนึ่งวิ่งมาจอดใกล้ ๆ และมีคนตะโกนว่า "เอาเด็กขึ้นรถเร็ว" ผมไม่รอให้เขาบอกเป็นครั้งที่สอง ผมรีบอุ้มลูกขึ้นรถและก็กอดลูกชายไปตลอดทาง

พอถึงโรงพยาบาล ผมอุ้มลูกลงจากรถและก็วิ่งเข้า ปากก็ร้องตะโกนว่า “หมอช่วยลูกผมด้วย” ผมร้องซ้ำ ๆ อย่างนั้นตลอดทางจนถึงห้องไอซียู มีหมอและพยาบาลสามสี่คนวิ่งออกมารับ เขานำลูกผมเข้าห้องผ่าตัด พอผมจะไปดูลูกอย่างใกล้ชิด จะเข้าเขตประตูห้องผ่าตัด พยายาลคนหนึ่งร้องบอกว่า “คุณคะเข้าไปไม่ได้ รออยู่ข้างนอกก่อน” เป็นอันว่าผมต้องรออยู่ข้างนอก ผมเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมง ตัวเองเดินวนไปมากี่รอบ นานจนผมคิดว่าผมไม่เคยรออะไรนานขนาดนี้เลย

ในที่สุดคุณหมอก็ออกมาบอกว่าหมอได้ผ่าเอากระสุนออกจากตัวเด็กแล้ว เขาถูกยิงถึงสามนัด ตอนนี้ยังไม่ได้สติหมอยังบอกอะไรคุณๆไม่ได้มากกว่านี้ คืนนั้นผมอยู่ที่รพ.ถึงเช้า ทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าของผมมีแต่เลือดของลูกชายแดงเต็มอกเสื้อ พอตอนเช้าเพื่อนของผมรู้ข่าวก็พากันมาเยี่ยมกันหลายคน มีเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเขาบอกว่าเด็กวัยรุ่นมีเรื่องกัน ชกต่อยกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ขณะกำลังชุลมุนกันอยู่ก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด วัยรุ่นต่างแตกกระจายวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง หันมาเห็นอีกทีลูกของผมก็นอนอยู่ที่พื้น ผมพูดกับเพื่อนว่า “พวกมันมีเรื่องกันต่อยกันและก็ยิงปืนใส่กันพวกมันไม่เป็นอะไร แต่ลูกกูไม่ได้มีเรื่องแต่กลับถูกลูกปืนกูไม่เข้าใจจริงๆ" ลูกของผมนอนอยู่ รพ.หลายวันคุณหมอก็บอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องอยู่ รพ.เดือนกับห้าวันจึงกลับบ้านได้

เขากลับมาอยู่กันอีกครั้ง ผมและภรรยายิ่งให้ความรักและความห่วงใยเขามากกว่าเก่า ภรรยาของผมพูดกับผมว่า "ลุง หมอดูบอกว่าลูกเราเจ็ดฝนจะถูกอาวุธร้ายนี่พอเขาเจ็ดขวบลูกเราก็ถูกยิงแต่ ครั้งนี้ลูกเรารอดมาได้ ก็เพราะอาจเป็นบุญที่เราพาเขาทำมาตลอด แต่ครั้งหน้าลูกเราคงไม่รอดหรอกพี่ เพราะหมอดูเฒ่าแกบอกว่าฝนเก้าเทวดาก็ช่วยไม่ได้" ผมปลอบใจภรรยาว่า "แกอาจดูไม่ถูกก็ได้" เธอเถียงทันที "พี่ก็บอกอย่างนี้ทุกทีแล้วเป็นไง ลุงหมอดูแกพูดอย่งไรไม่เคยผิดเลยสักครั้ง” ผมจนด้วยเหตุผลเลยเถียงเธอไม่ขึ้น เพราะสิ่งที่เธอพูดเป็นจริงทุกอย่าง ผมเริ่มคิดหนักว่าลูกจะไม่มีชีวิตอยู่กับเราไม่นานเท่าไร แต่ไม่กล้าบอกภรรยา ได้แต่พาลูกชายไปทำบุญให้ได้มากที่สุด เพราะผมเชื่อว่า บุญเท่านั้นที่จะติดตามเหมือนเงาตามตัวเขาไปได้ นอกจากบุญคงไม่มีอะไรช่วยเขาได้เลย ผมยังจำได้ก่อนหมอดูชราจะจากไป แกหันมาพูดว่า “บุญเป็นของพึ่งได้จริง”

ลูกชายผมเกิด พ.ศ.2520 ตอนนี้ พ.ศ.2529 ลูกชายของผมก็จะมีอายุ 9 ขวบพอดี ปีนั้นลูกชาย อยากไปเที่ยวที่ไหน ผมและภรรยาไม่เคยขัดใจเขา ลูกอยากกินอะไร ภรรยาจะให้เขากินตลอด ในปีนั้นผมและภรรยาหยุดงานมากเป็นพิเศษ ใช้เวลาอยู่กับลูกชายเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่งมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มาบอกว่า ที่ วัดสะแกเกิดปาฏิหาริย์ คนกรุงเทพฯ จะมาเป็นเจ้าภาพกฐินเพื่อซ่อมหลังคาโบสถ์อยู่ ๆ ภาพหลวงปู่ทวด หลวงพ่อดู่ ก็ปรากฏขึ้นตามองค์พระพุทธรูปที่ฉัตรหน้ากุฏิหลวงพ่อดู่ ก็มีเทวดาอยู่ตามชั้นของยอดฉัตรเต็มไปหมด ผมถามเพื่อนว่าขนาดมีเทวดาเชียวหรือ นึกว่าเทวดามีแต่ในหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ และผมก็พาลูกชายกับภรรยาไปวัดสะแก แต่ก็ไม่ได้มีความหวังอะไรมากนัก ไปทำบุญเหมือนกับวัดอื่น ๆ ที่เคยไปทำบุญมา ผมไปถึงวัดหลังเพล พระท่านฉันเพลแล้ววันนั้นมีคนไปทำบุญมากพอสมควร ผมและภรรยาทำบุญ ใส่ตู้กฐินคนละหนึ่งร้อยบาท ส่วนลูกชายผมเขาล้วงเงินในกระเป๋ากางเกงของเขาแต่เขามีเงินอยู่เพียงห้าบาท ผมเห็นเขาเอาเงินใส่ตู้กฐินและยกมือขึ้นไหว้ เห็นดังนั้นผมก็บอกเขาว่าเดี๋ยวพ่อให้ร้อยหนึ่ง แล้วไปใส่ตู้ใหม่นะลูก พอดีมีคนสองคนเดินผ่านมา คนหนึ่งพูดว่า "รีบไปกันเถอะหลวงพ่อดู่จะถึงเวลาจำวัตรแล้ว"

พอผมได้ยินว่ารีบไปกันเถอะหลวงพ่อดู่จะถึงเวลาจำวัตรแล้ว ผมหันมาบอกภรรยา "เรารีบไปหาหลวงพ่อก่อนเถอะ" เราทั้งสามคนก็ไปที่กุฏิหลวงพ่อดู่ มีคนอยู่ก่อนแล้วสิบกว่าคน ผมพาภรรยาและลูกเข้าไปใกล้ท่าน และกราบท่านสามครั้ง ท่านเห็นเราทั้งสาม ท่านก็ยิ้มอย่างเมตตา

ผมพูดบอกท่านว่า “หลวงพ่อครับ ผมพาลูกชายมาให้หลวงพ่อเมตตาสะเดาะเคราะห์ให้เขาครับ" ผมทำท่าจะเล่าความเป็นมาของลูกชายผมให้ท่านฟัง ท่านก็ยกมือขึ้นห้าม แล้วท่านพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แกไม่ต้องบอกหรอก” ผมนึกในใจยังไม่ได้เล่า ท่านจะรู้ได้อย่างไร ผมถามต่อ “หลวงพ่อครับผมต้องเตรียมอะไรบ้างครับ” ท่านตอบ “ไม่ต้องเตรียมอะไร” ผมร้อง “อ้าว แล้วจะทำอย่างไร"

ผมก็พูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอให้ลูกชาย เอาเงินไปใส่ตู้กฐินทำบุญก่อนนะครับ” ท่านพูดว่า “ห้าบาทก็เกินพอแล้ว” ท่านเรียกลูกชายผมเข้าไปใกล้ๆ แล้วบอกเขาว่า "เดี๋ยวเวลาข้าให้พร แกก็พูดว่า พรใด ๆ ที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าตลอดไป แกเข้าใจไหม” เขาตอบท่านว่า “เข้าใจครับ” และหลวงพ่อก็เริ่มให้พร ลูกผมก็พูดตามที่ท่านสอน ไม่ถึงห้านาที ท่านลืมตาขึ้นแล้วบอกว่า "เสร็จเรียบร้อย" ผมถามท่านทันทีว่า “เสร็จแล้วหรือครับหลวงพ่อ” ท่านตอบ “ก็เสร็จนะสิ” ผมบอกท่านว่า "ไปมาหลายที่ ทุกวัดเขาทำกันตั้งนาน ให้นอนในโลงศพบ้าง อาบน้ำมนต์ก็มีสารพัดวิธี บางทีเป็นชั่วโมงก็เคย" ท่านตอบว่า “ข้าไม่ต้องตั้งท่ามาก” ท่านหันไปพูดกับลูกชายผมว่า “เอ็งมันดวงไม่เหมือนชาวบ้านเขา เอาพระเหนือพรหมของข้าไปติดตัวไว้” ผมบอกท่านอีกว่า “หลวงพ่อครับ หมอดูบอกว่าลูกชายผมจะอยู่ไม่เกินเก้าขวบ” ท่านก็ว่า “ข้าไม่ใช่หมอดู แต่ข้าบอกว่าไม่ตายก็ไม่ตายหรอกแก” ผมคิดในใจว่าจะเชื่อได้มากแค่ไหนก็ยังไม่รู้ มีลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งฟังอยู่ใกล้ๆ เขาพูดกับผมว่า "แต่ โบราณมาเชื่อกันว่า พระพรหมเป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์ให้ดีร้าย ยากจน หรือร่ำรวยและมีชีวิตอยู่ยืนยาวหรือสั้นก็ตามแต่ท่านจะลิขิต

หลวงพ่อดู่ของพวกเราสอนว่า “ใครจะใหญ่เกินกรรม” ท่าน ให้พวกเราทำแต่กรรมดี พี่ไม่ต้องกลัวลูกชายตายหรอก เพราะหลวงพ่อท่านให้พระเหนือพรหมเขาไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งพี่กับลูกทำบุญกฐินปีนี้กับหลวงพ่อ ท่านบอกว่ากฐินปีนี้เป็นบุญใหญ่ แม้แต่เทวาเทพ พรหม ยังมาร่วมอนุโมทนาด้วยเลย" ใคร ๆ เขาก็เห็นกันทั้งวัด ผมก็เห็นเหมือนกัน ผมเกิดมาไม่เคยเห็นหลวงปู่ทวด วันนี้มาวัดสะแกก็ได้เห็นเป็นบุญตา เราสามคนลาหลวงพ่อดู่กลับ ท่านก็พูดว่า “บุญเป็นของพึ่งได้จริง” ผมนึกในใจเคยได้ยินคำพูดนี้ที่ไหน นึกไม่ออก

เขาบอกว่าเวลาใดผ่านไปนานหลายปี ทุกวันนี้เขายังคิดถึงหลวงพ่อดู่อยู่ตลอด เพราะท่านมีพระคุณกับครอบครัวของเขามากเหลือเกิน หลวงพ่อดู่ท่านละสังขารไปนานแล้ว แต่ท่านจะอยู่ในใจของเขาตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่

ผู้เขียนพบกับเขาที่วัดสะแก เมื่อปี พ.ศ.2540 เขาบอกว่า ลูกชายทำบุญเพียงห้าบาทกับกฐินครั้งนั้น หรือเป็นเพราะหลวงพ่อดู่ท่านให้พร หรือเพราะพระหรหมของหลวงพ่อ ที่ลูกชายผมห้อยคอจนถึงทุกวันนี้จึงทำให้เขารอดชีวิตมาถึงปี พ.ศ.2540

พุทธคุณและปาฏิหาริย์ของพระเหนือพรหม ของหลวงปู่ดู่ ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อดู่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าพระเหนือพรหมของหลวงพ่อ ใครมีไว้บูชา เรื่องร้ายจะกลับกลายเป็นดี คนดวงตกก็รอดได้ ผู้ใดได้ไข้ได้เจ็บก็หายผี และปีศาจร้ายมิอาจกล้ำกราย คุณไสยมนต์ดำการกระทำย่ำยีมิอาจครอบงำ ผู้ใดเป็นศัตรูคิดร้าย จะพินาศด้วยวิบากกรรมของตนเอง บูชาติดตัวไว้ เทพ พรหม เทวดาและมนุษย์รักใคร่เมตตาปราณี ถ้าถึงเวลาหมดอายุจิตสงบพบทางสว่างมีสุคติเป็นที่ไปผู้ที่มีพระเหนือพรหม ของหลวงพ่อองค์เดียวก็เกินพ

ข้อมูลจาก: นะโภคทรัพย์ เล่ม 7





ธรรมโอวาท ของหลวงปู่ดู่

".....เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ"

"สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ กรรม"...

"คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร"

"ของดีอยู่ที่ตัวเราหมั่นทำ(ปฏิบัติ)เข้าไว้"

"ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"

"อย่าลืมตัวตาย"

"ให้หมั่นพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

"ที่แกปฏิบัติอยู่ให้รู้ไว้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง"

"ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า
แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว"

"บุญนั้นหมั่นทำไว้ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม
โมทนาไปเลยไม่มีเสียมีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา"

"หมั่นทำเข้าไว้...ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต
...ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา"

"ปฏิบัติแล้ว โลภ โกรธ หลง แกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลงข้าว่าแกใช้ได้"

"นั่งไปเถอะ สว่างก็ได้บุญ มืดก็ได้บุญ"

"โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม"

"ธรรมนั้น อยู่ฟากตาย"

"ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต"

"ตัวตายน่ะ ตัวสำเร็จ"

"นิพพาน อยู่ฟากตาย"

"ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ) เป็นเถ้าเสียดีกว่า"

"เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม"

"เชื่อไหมหละ ถ้าเราเชื่อจริง ทำจริง มันก็เป็นของจริง ของจริงมีอยู่ แต่เรามันไม่เชื่อจริง จึงไม่เห็นของจริง"

"ติดวัตถุมงคล ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล"

"เอาของจริงดีกว่า พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้"

"ของจริง ต้องหมั่นทำ"

"ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น"

"ข้าไม่มีอะไรให้แก
(ธรรม)ที่สอนไปนั้นแหละ ให้รักษาเท่าชีวิต"

"แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก"

"หมั่นทำเข้าไว้ พระท่านคอยจะช่วยเราอยู่แล้ว แล้วเราได้ช่วยเหลือตัวเองก่อนหรือยัง"

"ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวนี่แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก มันจะไม่ทันการณ์"

"ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็ให้มันตาย ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง"

"แกจะรู้เหรอว่า แกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลา จับกุ้ง ก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร ยังไง ๆ ก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะมีศีลขาดก็ยังดีกว่าไม่มีศีล"

"ครูอาจารย์ดี ๆ แม้จะมีอยู่มาก แต่สำคัญที่ตัวแกต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มากนั่นแหละจึงจะดี"

"คนเราทุกวันนี้ โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม เรามัวพากันยุ่งอยู่กับโลกจนเหมือนลิงติดตัง เรื่องของโลก เรื่องเละ ๆ เรื่องไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้จะต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนด้วยตนเอง"

"ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าวแล้ว นั่นแหละ จึงค่อยเลิกทำ"

"ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตัดบาตรจนขันลงหินทะลุ"

"หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า"

นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ







เวลาทำบุญ ควรอธิษฐานอย่างไร

คนส่วนใหญ่เวลาทำบุญมักอธิษฐานว่า ขอให้รวย ขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอให้ได้ยศตำแหน่ง ฯลฯ แต่ที่จริงแล้วมีคำอธิษฐานที่ง่าย สั้น ครบวงจรเป็นประโยชน์ครบถ้วนกว่ามาก

หลวงปู่ดู่เคยสอนไว้ว่า เวลาทำบุญให้อธิษฐานสั้นๆไปเลยว่า "ขอให้ประสบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์" เพราะคำว่า ความดี นั้นรวมครบหมด ทั้งรวย สุขภาพดี มียศตำแหน่ง มีคนรักเมตตา ฯลฯ ส่วนปราศจากความทุกข์ก็ตัดสิ่งไม่ดีหมดทุกอ...ย่าง ไม่มีทุกข์ ไม่มีโรคภัย ไม่มีอุปสรรค ไม่มีศัตรู ฯลฯ

ที่สำคัญคือ การ "พบแต่ความดี" นั้นสำคัญมาก เพราะแม้เราจะขอพรจนร่ำรวยจริง แต่ไม่ดี เงินนั้นเราอาจเอาไปเล่นพนัน ไปซื้อยาบ้า สุดท้ายก็พาไปนรก แม้จะมียศตำแหน่งแต่ปราศจากความดี ก็อาจเอาตำแหน่งไปข่มเหงคนอื่น คดโกงประเทศชาติ ก็มีนรกเป็นที่ไป แม้จะมีแต่ใครๆก็รักเมตตา แต่หากเราไม่ดี เราก็อาจกลายเป็นคนเจ้าชู้ หลอกคนนี้ให้รัก คนนั้นให้หลง สุดท้ายก็ทะเลาะตบตีกัน และไปนรกกันทั้งหมู่

"การขอให้พบความดี" จึงถือเป็นพรอันสำคัญที่สุด เพราะผู้ที่จะทำความดี ต้องมีปัญญาพอที่จะรู้ว่าความดีมีประโยชน์เช่นใด ดังนั้นเมื่อมีปัญญา แม้จะเกิดมาจน ก็ใช้ปัญญาหาเงินจนรวยได้ แม้จะเกิดมาต่ำต้อย ก็ใช้ปัญญาทำงานหายศตำแหน่งมาได้ไม่ยาก แม้เกิืดมาไม่มีใครรัก แต่หากมีปัญญารู้จักพูดจา ใครๆก็จะหันมารัก ที่สำคัญคือเมื่อมีปัญญา ก็รู้ว่าความชั่วไม่มีประโญชน์ ไม่ควรทำ ความดี มีแต่ประโยชน์และควรทำ ดังนั้นจึุงเป็นผู้มีความสุขทั้งโลกนี้ และโลกหน้า มีแต่สุคติเป็นที่ไป นรกไม่ได้เยี่ยมเยีน ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข

ดังนั้น เวลาทำบุญครั้งใด อธิษฐานง่ายๆก็ได้เช้นกันว่า "ขอให้พบแต่ความดี ปราศจากความทุกข์..."





ความเมตตาผูกพันของครูบาอาจารย์ต่อเหล่าลูกศิษย์

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญนั้น เป็นพระสุปฏิปัณโณที่ท่านเอาใจใส่กับการสอนลูกศิษย์ เป็นอย่าง มาก มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า

"พระ สงฆ์เป็นผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครูบาอาจารย์สูง ...
ถ้าพระท่านเป็นอาจารย์ของใคร พระท่านจะเคี่ยวกรำ
จนลูกศิษย์ผู้นั้นได้ดี ท่านจะไม่ปล่อยปละละเลยเด็ดขาด"

"เขา มาจากไกล ๆ เป็นร้อยเป็นพันกิโล ถ้าไม่เจอข้า เขาจะผิดหวัง
ผู้ที่มาหาข้านี้ล้วนแต่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า ข้าก็จะนั่งคอยอยู่นี้แหละ"

คำพูดนี้แสดงถึงมหาเมตตาบารมีของหลวงปู่ดู่
ที่มีต่อมหาชนอย่างมากมายเกินกว่าที่จะกล่าวได้...

ครั้งหนึงหลวงตาม้าท่านพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำได้ใจความว่า

"...ให้ นึกถึงหลวงปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า
ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้
ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."

หลวงตาม้าท่านพูดต่อไปได้ใจความว่า...

"อย่าง ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านผูกพันกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นพิเศษก็เพราะท่านเคย
อธิษฐานอย่างนี้กับสมเด็จองค์ปฐมเนี่ยแหละ คราวนี้ถึงแม้สมเด็จองค์ปฐมท่านเข้านิพพานไป
ท่านก็ยังตามมาดูแลหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้"

และท่านได้อธิบายเพิ่มถึงข้อดีของการถวายตัว
กับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปะฐิปันโนได้ใจความว่า...

"ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

การ ฝากดวงไว้กับหลวงปู่นี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับลูกหลานหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเราฝากตัวเป็นลูกหลานท่านอย่างเต็มตัวแล้ว เราก็ควรจะทำตัวให้สมกับ
ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานของพระมหาโพธิสัตว์บารมีเต็ม ที่จะมาตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านเคยพูดกับบรรดาลูกศิษย์ว่า

"กลับลงไปจากถ้ำแล้ว อย่าไปทำให้เสียชื่อนะ อย่าลืมว่าเทวดาเขารู้จักหลวงตาเยอะนะ กลับลงไปแล้วที่สอนไปก็ให้ทำด้วย เจอกันครั้งหน้าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครทำหรือไม่ทำ(หัวเราะ)"

หลวงตาม้าท่านเมตตาย้ำว่า......
"รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคนนี่คือสูตรของหลวงปู่ดู่
See More



การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระ

การจุดธูป เทียน เพื่อบูชาพระในพิธีกรรมต่าง ๆ มักจะไม่เหมือนกัน บางท่านต้องการไหว้พระแต่ยังตกลงใจไม่ได้ว่า จะใช้ธูปกี่ดอกจึงจะเหมาะสม หลวงปู่ดู่เคยตอบปัญหาเรื่องนี้กับผู้ที่สงสัยว่า

หลวงพ่อ : "จุดกี่ดอกก็ได้ ส่วนใหญ่...
มักใช้ 3 ดอก บูชา พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ กี่ดอกก็มีความหมายทั้งนั้น"

ผู้ถาม : "อย่างนั้นถ้าจุดดอกเดียว
ไม่ถือว่าไหว้ผี หรือไหว้ศพหรือครับ"

หลวงปู่ดู่ :
"จุด 1 ดอก หมายถึง จิตหนึ่ง
จุด 2 ดอก หมายถึง กายกับจิต โลกกับธรรม
จุด 3 ดอก หมายถึง พระรัตนตรัย หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จุด 4 ดอก หมายถึง อริยสัจ 4
จุด 5 ดอก หมายถึง พระเจ้า 5 พระองค์ นะโมพุทธายะ
จุด 6 ดอก หมายถึง สิริ 6 ประการ ที่แกกราบพระ 6 ครั้ง
จุด 7 ดอก หมายถึง โพชฌงค์ 7
จุด 8 ดอก หมายถึง มรรคแปด
จุด 9 ดอก หมายถึง นวโลกุตรธรรม
จุด 10 ดอก หมายถึง บารมี 10 ประการ
อยู่ที่เราจะคิดให้ดี เอาอะไรก็ได้"

ผู้ถาม : "ถ้า 11 ดอก หมายถึง... "

หลวงพ่อ : "ก็บารมี 10 ประการกับจิตหนึ่ง
ว่าไปได้เรื่อย ๆ แหมแกถามซะข้าเกือบไม่จน"

ผู้ถาม : "ถ้าไม่มีธูปเทียน"

หลวงพ่อ : "ก็ใช้ชีวิตจิตใจบูชา
ไม่เห็นต้องมีอะไร พุทธัง ธัมมัง
สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ"

หลวงพ่อหัวเราะมองหน้าผู้ถา
ที่รู้สึกทึ่งในปฏิภาณของหลวงพ่อ
See More





อยากไปนิพพาน

ผู้ที่มากราบนมัสการหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญหลายๆคน มาถึงก็แจ้งความประสงค์กับหลวงพ่อ ปรารถนาไม่เกิด อยากไปนิพพานในชาตินี้ จะได้พ้นทุกข์ บางคนก็ตั้งเจตนาจริง บางคนก็พูดไปอย่างนั้น หลวงพ่อเคยให้ข้อคิดสำหรับคนที่ไม่ตั้งใจจริงเหมือนคำพูดที่ปรารถนาว่า

“อยากไปนิพพาน แต่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะไปได้อย่างไร”...

“วันนี้มีผู้หญิงอยู่คนมากราบข้า บอกว่าจะไปนิพพาน ข้าไม่พูดแต่มองดู ปากยังทาแดงแจ๋ เล็บตีนเล็บมือยังแดงแจ๋ หัวตะพานจะไปถึงหรือเปล่า”

ดังนั้นหลวงพ่อจึงสอนพวกเราทั้งหลาย เมื่อตั้งใจสิ่งใดแล้ว ต้องทำหรือปฏิบัติจึงจะสมปรารถนา ดังที่หลวงปู่ทวดกล่าวว่า “การปฏิบัติจะตัดภพชาติให้สั้นลงทีละครึ่ง เช่น ถ้าเราจะเกิดอีก ๑๐๐ ชาติ ก็เหลือ ๕๐ ถ้าจะเกิด ๒๐ ชาติ ก็เหลือ ๑๐”

ผุ้เขียนเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน ท่านเคยเปรียบเทียบดังนี้ “ทำทานเหมือนกับไปด้วยถ่อ รักษาศีลไปด้วยรถยนต์ ภาวนาก็ขี่เรือบินไป อาจถึงนิพพานได้ในชาตินี้”

คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า “ใกล้ก็ไม่ใกล้ ไกลก็ไม่ไกล มองเห็นไวไว เป็นทิวลิบลิบ” ซึ่งเทียบได้กับพระนิพพาน คือปลายจมูกนี่เอง หลวงพ่อกล่าวว่า “จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็ไม่เชิง ผู้ปฏิบัติพึงรู้เอง เห็นเอง เพราะเป็นปัจจัตตัง”

(เรียบเรียงจากบทความของ อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์จากหนังสือไตรรัตน์)
See More




เมตตาธรรมแห่ง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

หลวงปู่ดู่หรือหลวงพ่อดู่ ท่านมีวิธีการสอนลูกศิษย์ของท่าน โดยการใช้คำแนะนำสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งในตัว โดยเล่าจากเหตุการณ์ที่ท่านพบเห็นมากับตัวของท่านเองหรือได้มาจากการปฏิบัติธรรมอันยาวนานตลอดชีวิตท่านและบางครั้งก็กล่าวถึงพุทธประวัติ ธรรมบทหรือชาดกต่าง ๆ ตามแต่ท่านจะเห็นควร ในเวลาหรือโอกาสต่าง ๆ ที่จะนำมาสอนศิษย์เพราะลูกศิษย์แต่ละคนนั้นมีภูมิธรรมไม่เท่...ากัน คนที่เข้าวัดใหม่ ๆ ท่านก็จะสอนแบบเข้าใจง่าย ๆ แต่ลึกซึ้งและกินใจจนคนที่เข้ามากราบท่านหรือมาฟังธรรมจากท่าน ส่วนใหญ่มักพูดว่าไปหาหลวงพ่อหลวงปู่ที่อื่นก็มาก แต่พอมาพบหลวงปู่ดู่ ท่านสอนได้ถึงจิตที่อยู่ลึก ๆ จนขนลุกขึ้นถึงหัว คำสอนของท่านกินใจและลึกซึ้งจริง ๆ

และส่วนมากผู้ที่ได้ฟังธรรมะจากท่าน ก็จะขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านจนนับไม่ถ้วนว่ามีจำนวนเท่าไร ส่วนลูกศิษย์ที่มีภูมิธรรมที่ละเอียดขึ้นมาแล้ว ท่านมองเห็นว่าพอจะทำหรือปฏิบัติได้ดี ท่านก็จะเมตตาสอนเป็นพิเศษอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

ครั้งหนึ่งท่านได้บอกกับศิษย์ว่า ข้าอธิษฐานว่าสู้แค่ตาย และก็เป็นจริงอย่างท่านว่า ถ้าใครไปวัดสะแกประมาณหกโมงเช้าก็จะเห็นหลวงปู่ดู่ท่านนั่งอยู่หน้ากุฏิของท่านเสมอ คอยสอนและเมตตาคนที่มีทุกข์ร้อนมาหาให้ท่านช่วยเหลือ หลวงปู่ก็จะอนุเคราะห์ตามเหตุและปัจจัย ท่านจะให้ธรรมะเป็นแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งเป็นทางออกจากทุกข์อย่างแท้จริง ท่านจะนั่งสอนธรรมะปฏิบัติ คอยช่วยเหลือคนต่าง ๆ ที่มีทุกข์แล้วมาให้ท่านช่วยจนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วท่านถึงจะเข้าห้องปฏิบัติกิจของสงฆ์ ท่านทำแบบนี้ตั้งแต่ประมาณก่อน พ.ศ. 2500 จนถึงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2533 เวลาประมาณ 05.00 น. กว่า ๆ ก่อนหกโมงเช้า ซึ่งท่านจะเดินออกมาคอยสั่งสอนศิษย์ของท่านพอท่านเปิดประตูห้องแล้วเดินออกมาหน้าห้องท่านก็ล้มและละสังขารลงหน้าห้องของท่าน เป็นจริงดังที่ท่านได้อธิษฐานว่าข้าสู้แค่ตาย

หลายสิบปีที่ผ่านมาท่านไม่เคยออกนอกวัด ก่อนหกโมงเช้าท่านจะนั่งอยู่หน้ากฏิเพื่อคอยผู้ที่ศรัทธาที่มาจากจังหวัดต่าง ๆ บ้าง เหนือ-ใต้-ออก-ตก ภาคกลาง หลวงปู่บอกว่าเขามาจากไกล ๆ เป็นร้อยเป็นพันกิโล ถ้าไม่เจอข้า เขาจะผิดหวัง ผู้ที่มาหาข้านี้ล้วนแต่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า ข้าก็จะนั่งคอยอยู่นี้แหละ ครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า หลังจากข้าตายไปแล้ว ลูกศิษย์ที่ไม่เคยพบท่านไม่ต้องเสียใจ และน้อยใจในวาสนาไม่มีโอกาสพบข้า ท่านได้อธิษฐานไว้ว่า ผู้ใดที่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เป็นลูกเป็นหลาน สร้างบุญกุศลมากับข้ามา แม้ในชาตินี้ไม่ได้พบสังขารธรรมของข้า แต่พอพบเห็นหลักธรรมคำสั่งสอนของข้า แล้วเกิดศรัทธา คนผู้นั้นแหละเคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เป็นลูกเป็นหลานของข้า ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมะภาวนาไตรสรณคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว รีบพากันปฏิบัติเพื่อจะได้ไว้เป็นที่พึ่งในภายหน้า ข้าจะคอยช่วยศรัทธาข้าจริงนับถือข้าจริง แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้ นี่เป็นความเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อลูกศิษย์ทุกคน ตั้งแต่ พ.ศ. 2533 ที่หลวงปู่ได้ละสังขารไป แต่บารมีท่านยังอยู่ทุกอณูทั่วจักรวาลนี้
See More


ทางสายกลาง . . .

หรือมัชฌิมาปฏิปทา คือ ความพอดี ถ้ามากเกินหรือน้อยเกินไปจะมีผลต่อจิตใจ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เคยกล่าวเกี่ยวกับคนที่เสียจริตไว้ว่า กรรมอะไรที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนั้น หลวงปู่ดู่ท่านตอบแบบปัจจุบันกรรม คือ กรรมในชาตินี้ว่า "ผู้ที่เสียใจสุดขีด หรือดีใจสุดขีด จะทำให้เป็นบ้าได้"

นอกจากนี้ หลวงปู่ดู่ยังได้กล่าวถึง คนที่อารมณ์ของตนไม่ปกติ ท่านบอกว่า เป็นโรคลมบาดจิต บาดทะยักเกิดขึ้นกับร่างกา...ย บาดจิตเกิดขึ้นกับจิตใจ มีผลถึงประสาท ดังนั้น การรักษาอารมณ์ของคนจึงมีความจำเป็น บุคคลบางประเภทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่แน่นอน หรือที่เรียกว่า "ลมขึ้นลมลง" เนื่องจากไม่ได้มีการฝึกจิตหรือฝึกสติให้มั่นคง การชำระแต่เพียงร่างกาย ถ้าไม่ได้ชำระจิตใจเสียบ้าง ในที่สุดจะเกิดการหมักหมมของอารมณ์ เช่นเดียวกับผลไม้ที่เกิดการหมักหมมกลายเป็นเหล้า ทำให้เกิดการมัวเมาหาทิศทางไม่เจอ จิตใจเต็มไปด้วยอธรรม มีการแก่งแย่งชิงดี ริษยา อาฆาตไปต่างๆ นานา เมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ จิตก็เกิดการล้มละลายได้ ลำพังความรู้ทางโลกอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถนำมาปฏิรูปจิตได้

มีครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านอ่านวิชาการทางโลก
เมื่อเจ้าของหนังสือได้เรียนถามว่า
"หลวงพ่ออ่านเรื่องอะไร"

หลวงพ่อ "ข้าอ่านไปอย่างนั้นแหละ ข้าถามหลวงปู่ทวดว่า อ่านแล้วจะได้อะไร ท่านตอบข้าว่า อ่านยังไงก็ไม่พ้นทุกข์ ที่ท่านทำอยู่นั้นคือ ทางพ้นทุกข์ นั่นคือการปฏิบัตินั่นเอง"

พระพุทธองค์ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วตรัสถามพระภิกษุว่า

พระพุทธองค์ "ปริมาณของใบไม้ในมือกับในป่า อันไหนมากกว่ากัน"
พระภิกษุ "ในป่ามีมากกว่ากันจนประมาณไม่ได้"
พระพุทธองค์ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ที่ตถาคตนำมาสอนพวกเธอก็เช่นเดียวกัน เพราะความรู้มีมากมาย แต่ที่ให้พ้นทุกข์
คือสิ่งที่นำมาสอนพวกเธอเท่านั้น"



ดีแตก

ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านจะเตือนมิให้ลูกศิษย์ท่านเที่ยวเอาผลการปฏิบัติหรือสิ่งที่ปรากฏแก่จิต ในขณะปฏิบัติสมาธิภาวนาไปเที่ยวบอกเที่ยวเล่า ท่านว่า "เดี๋ยวดีแตก" เพราะขาดการสำรวมระวังจิต และเปิดโอกาสให้กิเลสความหลงตัวหลงตนเข้าครอบงำได้โดยง่าย พูดภาษาโลก ๆ ก็คือ ใจคนเรามันคอยจะอวดเก่งอยู่แล้วอีก ประการหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏก็ล้วนเป็นอาการของจิต หรือเป็นปีติ แล้วเรื่องของปีติแม้ใน...ตำรำตำราจะกล่าวไว้ ๕ ประเภทใหญ่ เช่น ขนลุกขนพอง น้ำตาไหล เห็นแสงสว่าง ฯลฯ เป็นต้น แต่ในภาคปฏิบัตินั้นมีปีติปลีกย่อยเป็นร้อยเป็นพันอย่าง หรืออาจมากกว่านั้น

แล้วปีติทุกประเภทก็เป็นเพียงอาการของจิตที่บอกว่าจิตใกล้เข้าสู่ความสงบแล้วเท่านั้น ปีติมิใช่ตัวชี้วัดว่ากิเลสเราลดลงแต่อย่างใด

ดังนั้น ในหมู่นักปฏิบัติจึงมักไม่ค่อยให้ความสำคัญและไม่นำเอาเรื่องปีติมาซักถาม ครูบาอาจารย์เท่าใดนัก สิ่งที่นำมาถามมักเป็นอุบายเพื่อเข้าถึงความสงบ และอุบายพิจารณาธรรมมากกว่า ยิ่งการเห็นนิมิตด้วยแล้ว ยิ่งไม่นำมาพูด เพราะจิตของเรายังไม่หมดโลภโกรธหลง สิ่งที่เห็นจึงอาจเป็นเพียงสังขารการปรุงแต่งของจิตที่ยังมีกิเลสเท่านั้น พูดเล่าไปแล้ว มักจะเสียมากกว่าได้ ถ้าอัดอั้น ก็ควรเล่าถวายครูบาอาจารย์เพื่อแก้ข้อลังเลสงสัย มากกว่าจะเที่ยวเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง เพราะล่อแหลมต่อการให้กิเลสความหลงตัวขึ้นขี่หัว

เล่าปฏิปทาของหลวงปู่ในเรื่องการพูดเล่าผลการปฏิบัติสมาธิภาวนา ก็เพื่อการระมัดระวังไม่ให้ "ดีแตก" นี้ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง ปฏิปทาในวงกรรมฐาน เวลาเกิดข้อสงสัยในการภาวนา เขาก็จะพยายามปฏิบัติให้มาก หมั่นพิจารณาและสังเกตให้มาก ก็มักค้นพบคำตอบเอง มิใช่เกิดอาการของจิตทีหนึ่ง ก็จะไปพูดเล่าหรือซักถามครูบาอาจารย์ทุกครั้งไป จนกลายป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต พึ่งตัวเองไม่ได้สักที นี่หากครูบาอาจารย์กรรมฐานที่ปฏิบัติอยู่ในป่า ท่านมีอาการทางจิตแปลก ๆ เกิดขึ้น ท่านจะไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนให้ซักถามกันได้บ่อย ๆ นะ

นี้แหละจึงว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และก็ต้องระวังอย่ามีปฏิปทาเพื่อความหลงตน เพราะจะเสียเป้าหมายเดิมของการปฏิบัติที่ต้องการลดความโลภ ความโกรธ ความหลง
See More





ทรรศนะต่างกัน

การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้าย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า ดังนั้น หากใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำน...ักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด เท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง




อุเบกขาธรรม

 การอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มาก ๆโดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงปู่ท่านบอกว่า
ให้ระวังให้ดีจะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคน 2 คน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อแล้วเขาเป็นคนจุดไฟ บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาพาตกเหว

หลวงปู่ได้ยกอุทาหรณ์ สอนต่อว่า

เหมือนกับมีชายคนหนึ่งตกอยู่ในเหวลึก มีผู้จะมาช่วย คนที่หนึ่งมีเมตตาจะมาช่วย เอาเชือกดึงขึ้นจากเหว ดึงไม่ไหวจึงตกลงไปในเหวเหมือนกัน คนที่สองมีกรุณามาช่วยดึงอีก ก็ตกลงเหวอีก คนที่สามมีมุทิตามาช่วยดึงอีกก็พลาดตกเหวอีกเช่นกัน คนที่สี่สุดท้ายเป็นผู้มีอุเบกขาธรรมเห็นว่าเหวนี้ลึกเกินกว่ากำลังของตนที่ จะช่วย ก็มิได้ทำประการใดทั้ง ๆ ที่จิตใจก็มีเมตตาธรรมที่จะช่วยเหลืออยู่ คนสุดท้ายนี้จึงรอดชีวิตจากการตกเหวตามเพราะ อุเบกขาธรรมนี้แล





พุทธนิมิตร...หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
(บทความจากหนังสือกายสิทธิ์)

การตอบคำถามของหลวงพ่อแก่ศิษย์ช่างสงสัยอย่างข้าพเจ้า บางครั้งท่านไม่ตอบตรงๆ แต่ตอบด้วยการกระทำ การแสดงให้ดู และการตอบของท่านก็ยังความอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆเป็น อย่างยิ่ง ดังเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เกิด "พุทธนิมิต" เมื่อคืนวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ก่อนวันวิสาขบูชาปี พ.ศ. 2528 หนึ่งคืนที่วันสะแก
...
เหตุเริ่มแรกเกิดจากเมื่อตอนกลางวันในวันนั้น ข้าพเจ้าได้มากราบนมัสการหลวงพ่อที่วัด พร้อมกับพกพาเอาความสงสัยสองเรื่อง คือ เวลาที่หลวงพ่อหลวงปู่ทั้งหลาย ท่านจะไปช่วยลูกศิษย์ที่อยู่ห่างกันคนละที่ในเวลาเดียวกัน ท่านไปได้อย่างไร พร้อมกับเรื่องนี้ ในวันนั้นข้าพเจ้าได้นำรูปปาฏิหาริย์ของครูอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ศิษย์ของท่านเหล่านั้นถ่ายภาพ ได้รวบรวมมาถวายให้หลวงพ่อท่านดู มีภาพของพระอาจารย์มหาปิ่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาฯ และพระอาจารย์จวน ด้วยความงวยงงสงสัย ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่าภาพเหล่านี้ถ่ายกันจริง หรือ ว่าทำขึ้นมา

หลวงพ่อท่านพิจารณาดูรูปเหล่านั้นทีละใบจนครบ ใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที แล้วรวบเข้าไว้ด้วยกัน ยกมือไหว้ แล้วบอกข้าพเจ้าว่า "ข้าโมทนาสาธุด้วย ของจริงทั้งนั้น" ดังนั้น จึงไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีกนอกจากนี้

ครั้นตกเวลากลางคืนประมาณสองทุ่ม ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ มาที่กุฏิหลวงพ่ออีกครั้ง มีลูกศิษย์มากมายต่างมาสรงน้ำหลวงพ่อในโอกาสวันคล้ายวันเกิดท่าน...วันวิสาข ปุรณมี เมื่อคณะที่มาสรงน้ำหลวงพ่อเดินทางกลับไปหมด เหลือแต่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ พวกเราขออนุญาตหลวงพ่อถ่ายรูปกับท่านไว้เป็นที่ระลึก ข้าพเจ้าจำได้ดีว่าเมื่อหลวงพ่ออนุญาตแล้ว จากนั้นท่านก็นั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ศิษย์ตากล้องผลัดกันถ่ายภาพได้ประมาณสิบภาพ แล้วทุกคนก็กราบนมัสการท่านอีกครั้ง บรรยากาศคืนนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกที่แปลกไปกว่าทุกวัน จำได้ว่าบริเวณกุฏิหลวงพ่อเย็นสบาย... เย็นเข้าไปถึงจิตถึงใจข้าพเจ้าอย่างยิ่ง

เมื่อนำฟิล์มทั้งหมดไปล้าง ปรากฏว่ามีภาพปาฏิหาริย์ "พุทธนิมิต" เกิดขึ้น ส่วนแรกเป็นภาพพุทธนิมิต คือ เป็นภาพพระพุทธเจ้าที่ถ่ายได้โดยไม่มีวัตถุที่เป็นพระพุทธรูป เหตุอัศจรรย์อีกประการหนึ่งคือเป็นภาพที่อยู่ต้นฟิล์มที่มิได้ตั้งใจถ่าย เป็นภาพที่ผู้ถ่ายต้องการกดชัตเตอร์ทิ้ง ส่วนที่สองเป็นภาพหลวงพ่อโดยมีแสงสีเป็นรังสีต่างๆ รอบๆองค์ท่าน

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว นี่เป็นการตอบคำถามที่หลวงพ่อเมตตาตอบข้าพเจ้าที่ได้ถามท่านไว้สองคำถามเมื่อตอนกลางวัน ภาพ "พุทธนิมิต" เป็นการตอบคำถามที่ว่าเวลาที่หลวงพ่อหรือหลวงปู่ทั้งหลายท่านจะไปช่วยลูก ศิษย์ที่อยู่ห่างกันคนละที่ในเวลาเดียวกัน ท่านไปได้อย่างไร ส่วนภาพหลวงพ่อดู่ที่มีแสงสีเป็นรังสีต่างๆรอบๆองค์ท่าน ก็เป็นการตอบต่อคถามที่ว่า ภาพครูอาจารย์องค์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้านำมาถวายให้ท่านดูนั้น "เป็นของจริง" ข้าพเจ้าเชื่อแน่เหลือเกินว่า หลวงพ่อคงมิได้ตอบคำถามข้าพเจ้าเพียงสองคำถามเท่านั้น จึงขอฝากท่านผู้รู้ที่ได้เห็นภาพเหล่านี้ให้นำไปพิจารณาด้วยดี ก็จะได้รับประโยชน์อีกมากทีเดียว

หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ข้าพเจ้าได้นำภาพเหล่านี้มาถวายให้หลวงพ่อดู่และกราบเรียนขอคำอธิบายจากท่าน ท่านตอบอย่างรวบรัดว่า "เขาทำให้เชื่อ" หลวงพ่อเน้นเสียง สีหน้าเกลื่อนยิ้มด้วยเมตตา
See More


รับขันธ์ ๕

ประมาณปี ๒๕๓๑-๒๕๓๒ ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการ “หลวงปู่ดู่” ที่ “วัดสะแก” จะพบว่ามีขันและพานที่ใช้ในพิธีรับขันธ์ ๕ วางเรียงต่อกันหลายแถวหลายชั้นจนท่วมศีรษะ

คนจำนวนไม่น้อยที่ "เข้าพิธีรับขันธ์ ๕".. นัยว่าเป็นการเปิดรับกายทิพย์ของหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ บ้างก็อ้างว่าเป็นดวงวิญญาณบุรพกษัตริย์ไทยในอดีต หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ เพื่อเข้ามาคุ้มครองป้องกันภัย หรือเสริมชีวิตให้เกิดความเป็...นสิริมงคล แต่แท้จริงแล้ว..

หลวงปู่กล่าวว่า..

"ส่วนใหญ่นั้นหลอกลวงกันแทบทั้งสิ้น หากจะมีก็มักเป็นวิญญาณชั้นต่ำที่มาอาศัยกินเครื่องบวงสรวง.."

หลวงปู่สอนมาโดยตลอดที่จะให้เราฝึกฝนอบรมจิตใจให้บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วด้วยเหตุใดคนเราจึงพากันยินดีปฏิบัติในทางตรงกันข้าม โดยให้สิ่งอื่นเข้ามาครอบงำกายใจของเราได้ !

หลวงปู่ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยในแต่ละวัน ๆ กับการสงเคราะห์พวกที่เคยไปรับขันธ์แล้วเปลี่ยนใจ เพราะต้องการความเป็นไทแก่ตัว ต้องการควบคุมตนเองให้ได้เหมือนเมื่อก่อน

ไม่ใช่อยากจะร่ายรำ หรือพูดภาษาแปลก ๆ หรือตัวสั่นงันงกในที่สาธารณชน ก็ทำขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้

นอกจากการแผ่ให้แก่ดวงวิญญาณที่มาสิงสู่ร่างเหล่านั้นออกไปแล้ว หลวงปู่ก็เน้นย้ำว่าตัวผู้ (ป่วย) นั้นก็ต้องช่วยตัวเองด้วยเช่นกัน ด้วยการ..

"ทำภาวนาเพิ่มสติสัมปชัญญะให้กับตัวเอง"

มิเช่นนั้นก็เหมือนประตูบ้านยังปิดไม่มิดชิด สิ่งแปลกปลอมก็อาจกลับเข้ามาใหม่ได้อีก หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก
See More

ภาวนาบทมหาจักรพรรดิ

นะโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ

มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา...

พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง

สีวลี จะมหาเถรัง

อะหังวันทามิ ทูระโต

อะหังวันทามิ ธาตุโย

อะหังวันทามิ สัพพะโส

พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ต้องภาวนาไตรสรณคมณ์และบทมหาจักรพรรดิ ตามกำลังวันทุกวัน เหรียญและพระผงดวงนี้ จึงจะเกิด พุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ ที่เรียกว่า ดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง
(อาทิตย์ 6, จันทร์ 15, อังคาร 8, พุธ 17, พฤหัสบดี 19, ศุกร์ 21, เสาร์ 10, )

บทสวดมหาจักรพรรดินี้ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นผู้เรียบเรียงขึ้น เป็นการสวดบูชาพระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยะสงฆ์ และพระสงฆ์สาวกทั้งมวล เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหม พระอริยเจ้าทั้งหลาย การสวดครั้งหนึ่งๆ เป็นการอัญเชิญกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน รวมถึงกำลังแห่งพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอนาคต อาราธนาเข้าที่กาย ใจ จิต วิญญาณของผู้สวด

อานิสงค์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ

บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวล ไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย การสวดครั้งหนึ่งเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมดึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้า มารวมอาราธนาเข้าที่กายและใจ และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีต
ถึง ปัจจุบัน และอนาคต

การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงค์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงการอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อัญเชิญเข้าตัว เพื่อป้องกันภัย และสร้างมหาโชคมหาลาภ

อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั้งมหาบุญมหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี รวมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้) หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมีติดข้องใจไห้ได้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ ท่านก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล

ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว

พระคาถามหาจักรพรรดิก่อให้เกิดพุทธนิมิตครอบสถิตผู้ทรงคาถา

พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้เกิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า มาครอบสถิตผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการสว่างไสว พร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธ ทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี ของพระศรีอารย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่ปี่ยมไปด้วยบุญญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญานได้เคยนำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึ่งด้วย)
ฏิบัติจึงมีพร้อมทั้งบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์ เป็นพลังงานที่บริบูรณ์ สนับสนุน ให้การอธิษฐานจิต สัมฤทธิ์ผล ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิต ปางมหาจักรพรรดิได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ มีความศักสิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิ อย่างวิจิตรอลังการเปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตผู้ภาวนา บารมีของ หลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิตจึงมีความศักสิทธิ์ป็นอย่างมาก เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญเชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมีท่านมาประจุอีกด้วย
(เมื่อสวดครบตามกำลังวันแล้ว เท่ากับเราได้เก็บกักพลังงานอันมหาศาลยิ่ง เป็นพลังของหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด พระมหาจักรพรรดิทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หรือจะเรียกว่าเราสวดภายใต้การสนับสนุนส่งเสริมของทุกๆพระองค์นั่นเอง ถ่ายเทพลังบุญบารมีรวมเข้าสู่ภาชนะของผู้สวดภาวนา ให้บังเกิดสว่างไสวนับล้านๆๆๆ แรงเทียน เป็นที่สังเกตของสรรพสัตว์ในมิติต่างๆอย่างกว้างไกล ระหว่างที่สวด

หลวงตาม้าท่านอธิบายต่อไปว่า เมื่อเราน้อมจากหลวงปู่ มาที่ธาตุเรานั้น เสมือนเป็นการเก็บพลังงานไว้ในภาชนะ(ภาชนะของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและบารมีเก่าก่อนที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ) หลังจากที่เราน้อมนำพลังงานของหลวงปู่มาที่เราแล้ว จากนั้นให้เราก็ส่งต่อพลังงานออกไปยังเป้าหมาย โดยการอธิษฐานจิต แล้วสวดสัพเพฯ ส่งพลังงานออกไป พลังงานของหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด พระมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ไปสู่สรรพสัตว์ทั่วทั้ง 3 โลก และทุกตำแหน่งแห่งที่ในทุกๆมิติ หรือไปถึงบุคคลที่เราระบุ ส่งพลังงานไปช่วยเหลือ หรือครอบวิมานให้หรือกิจการงานต่างๆ ผู้เกี่ยวข้องทุกคน

พลังงานที่ส่งผ่านภาชนะเป็นพลังงานของครูบาอาจารย์ทุกๆ พระองค์ มีกำลังส่งกว้างไกล และทรงพลังยิ่งนัก มีคลื่นความถี่สูงกว่าการเดินทางของแสงอาทิตย์ อย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ เช่นพอนึกเท่านั้นก็ไปทั่วแสนโกฏิจักรวาลนั่นเอง เพียงแต่ให้เราหมั่นทำทุกๆวัน หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด และพระมหาจักรพรรดิ ทุกๆพระองค์ที่หลวงปู่ดู่ได้อัญเชิญเอาไว้ล่วงหน้า ก็จะช่วยส่งเสริมการสวดภาวนาของเราเต็มที่ หลวงปู่จึงเตือนให้เราหมั่นทำ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หากเราไม่ดำริ หลวงปู่ก็จะวางอุเบกขา หากเราทำตามคำแนะนำของท่านๆก็ยินดีช่วยเราเต็มที่ เช่นเดียวกับที่หลวงปู่เคยพูดให้ลูกศิษย์ได้ฟังว่า ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้ พลังงาน บุญกุศล คลื่นแสง สี เสียง ที่หลวงปู่ได้สร้างไว้ยาวนาน 80 อสงไขย กับแสนมหากัป นับตั้งแต่หลวงปู่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ยังอยู่ครบถ้วนพร้อมบริบูรณ์ สำหรับให้ลูกหลานได้น้อมนำพลังงานมาที่ภาชนะของตนเองในการสวดภาวนาและสัพเพฯ)

* รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านได้ที่หนังสือ มณีนพรัตน์จักรพรรดิเปิดโลก เรียบเรียงโดย โด่งวัดถ้ำ

อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ

โดยย่อกล่าวคือ

บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย ...

การสวดครั้งหนึงเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอารธนาเข้าที่กายและใจและรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตั้งแต่อดีต
ถึง ปัจจุบัน และอณาคต

การสวดครั้งหนึงมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุสามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเราญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรและหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัวร่วมถึงการอารธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัวเพื่อป้องกันภัยและสร้างมหาโชคมหาลาภ อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั่งมหาบุญมหาลาภเนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลีร่วมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์(ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้
จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล

ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว
บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

การสวดครั้งหนึงเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมถึงกำลังของ
พระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอารธนาเข้าที่กายและใจ
และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน และอณาคต

การสวดครั้งหนึงมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุสามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดา
ประจำตัวเราญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรและหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัวร่วมถึงการอารธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัวเพื่อ
ป้องกันภัยและสร้างมหาโชคมหาลาภ

อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั่งมหาบุญมหาลาภเนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลีร่วมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน
หากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา
คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์(ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้
จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล

ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว

--------------------------------------------------

พระคาถามหาจักรพรรดิก่อให้เกิดพุทธนิมิตครอบสถิตผู้ทรงคาถา

พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น
นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย
อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้กิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า
มาครอบสถิตผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข
ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการสว่างสไหวพร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธ
ทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ
ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี
ของพระศรีอารย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่ปี่ยมไปด้วย
บุญญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญานได้เคย
นำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึงด้วย)

ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสู
มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง
หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิต
ปางมหาจักรพรรดิได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์
มีความศักสิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิ
อย่างวิจิตรอลังการเปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี
เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตผู้ภาวนา บารมีของ
หลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิตจึงมีความศักสิทธิ์ป็นอย่างมาก
เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย
และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมีท่านมาประจุอีกด้วย

คำแปล

นะโมพุทธายะ : ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชา ต่อพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ
นะ - พระกกุสันธะ
โม - พระโกนาคม
พุท - พระกัสสป
ธา - พระสมณโคดม
ยะ - พระศรีอริยเมตไตรย
พระพุทธไตรรัตนญาณ : พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระญาณแก้วทั้งสาม อันหมายถึง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ, จุตูปปาตญาณ, อาสวักขยญาณ
มณีนพรัตน์ : มีสมบัติคือแก้ว ๙ ประการ มีเพชร, ทับทิม เป็นต้น ซึ่งหมายถึงพระนวโลกุตรธรรม
สีสะหัสสะ สุธรรมา : มีมือถึงพันมือ หมายถึงการที่พระพุทธองค์ ทรงแจกแจงหลักธรรม คือ พระไตรปิฎก ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พุทโธ : ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ธัมโม : พระธรรมของพระพุทธเจ้า
สังโฆ : พระสาวกผู้ปฏิบัติตาม
ยะธาพุทโมนะ : ขอพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีชัยแก่พญาชมพูผู้มีฤทธิ์มาก พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ จงบังเกิดขึ้น ณ บัดนี้ด้วยเทอญ
พุทธบูชา : ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า
ธัมมะบูชา : ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรม
สังฆะบูชา : ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์
อัคคีทานัง วะรังคันธัง : ด้วยสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ ธูป เทียน ไฟ หรือแสงสว่าง และของหอมทั้งมวล มีดอกไม้และน้ำอบ เป็นต้น
สีวลี จะมหาเถรัง : ขอนมัสการพระสีวลีเถระเจ้า ผู้เป็นเลิศทางลาภสักการะ
อะหังวันทามิ ทูระโต : ขอนมัสการสถานศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป มีสังเวชนียสถาน เป็นต้น
อะหังวันทามิ ธาตุโย : ขอนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล
อะหังวันทามิ สัพพะโส : ขอนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ : ซึ่งเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ปูเชมิ : ด้วยเทอญ

บทวิเคราะห็บทสวดมนต์มหาจักรพรรดิ

คำอัญเชิญภพภูมิ

การใช้คำอัญเชิญภพภูมิ ผลและกำลังบุญที่ได้จะมากมายกว่าสวดคนเดียวมาก และเช่นเดียวกัน หากสวดมนต์บทพระมหาจักรพรรดิเวลา 20.30 น. กำลังที่ได้ก็มากกว่าสวดเวลาอื่นมากมายนัก ด้วยสาเหตุคือ

1. เป็นการทำสมาธิหมู่ สวดมนต์หมู่ทั้ง 3 โลก กำลังย่อมมีมากกว่า
2. เป็นช่วงเวลาที่หลวงปู่ท่านเปิดโลกให้ภพภูมิมองเห็นกันทั้ง 3 โลก พลานิสงส์ การขอ การให้ การช่วยเหลือจึงเกิดขึ้นได้โดยง่าย และมหาศาลกว่ามาก

ลูกขอตั้งสัจจะอธิษฐานกราบขออาราธนาเมตตาบารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ขอหลวงปู่ได้โปรดมีเมตตา อาราธนาบารมีรวม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยตั้งแต่องค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบันบรมมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด บารมีรวมหลวงตาม้าเป็นต้น

การอ้างอิงบารมีของพระพุทธเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวเพื่ออัญเชิญภพภูมิ จะมีผลมากกว่าเรากล่าวเชิญเองลอย ๆ ด้วยเหตุที่บางภพภูมิก็อยากจะมาแต่มาไม่ได้ เพราะด้วยข้อจำกัดแห่งบุญของแต่ละภพภูมิ คือชั้นที่จะไปไหนมาไหนได้เองไกล ๆ จะต้องสูงกว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นต้นไป การกล่าวอ้างพระบารมีของพระพุทธองค์เป็นประธาน บารมีรวมของพระโพธิสัตว์เป็นที่สุด พระโพธิสัตว์ท่านจะกำหนดเป็นทางแสงทำให้ภพภูมิต่าง ๆตามแสงนั้นมาร่วมสวดมนต์ได

ขอบารมีหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำ ภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ อันประกอบไปด้วยเทพ 6 ชั้นพรหม 20 ชั้น เทพพรหมทุกชั้นฟ้ามหาสมุทรโดย ทั่วทั้งหมื่นแสนโกฎิจักรวาล เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า เทพพรหมเทวาที่เกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ท่านปู่พระอินทร์เจ้าฟ้า ท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 พระยายมราชพร้อมด้วยบริวารทั้งหมด พระศรีสยามเทวาธิราชทุกๆพระองค์ วีรบุรุษและวีรสตรีทั้งหลาย ที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยาม โอปาติกะทั้งหลาย พระฤาษีและดาบสทั้งหลาย ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกๆจังหวัด พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระราหูวราหก เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระโพสพ แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย พระพิรุณ พญาครุฑ-พญานาคพร้อมด้วยบริวาร คนธรรพ์ ชาวเมืองลับแล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปอธิษฐานไว้ ขอหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำท่านทั้งหลายมาร่วมสวดบทพระมหาจักรพรรดิ พร้อมกันกับพวกข้าพเจ้า เพื่อเพิ่มกำลัง ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด

คำอัญเชิญนี้เป็นแบบยาวที่คิดว่ามีประโยชน์ เพราะท่านที่ลองฝึกใหม่ ๆอาจจะยังไม่คล่องในการกำหนดจิต จึงใส่คำอัญเชิญแบบคลุมที่สุดให้ จะตัดทอนหรือเพิ่มได้ตามใจชอบ รักใครชอบใคร นับถือใครพิเศษก็กล่าวเพิ่มได้ หรือจะย่อ ๆว่า “ ขอเชิญภพภูมิต่างๆทั้งหลายในทั่วทั้ง 3 แดนโลกธาตุ มาร่วมสวดมนต์พร้อมกันเพื่อเพิ่มกำลัง” ก็ได้

บทบูชาพระ

พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิต
ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระธรรมเจ้า ด้วยชีวิต
สังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
ข้าพเจ้า ขอบูชาพระสงฆ์เจ้า ด้วยชีวิต

เป็นบทกล่าวถึงการมอบกายถวายชีวิต เพื่อพระรัตนตรัยแล้วแม้ชีวิตก็มอบให้ได้ พลานิสงส์บทนี้จึงมากมายนัก เรียกว่าทำดี ๆ ปิดทางนรกได้เว้นแต่กระทำอานันตนิรยะกรรม 4 ประการเท่านั้น เป็นบาทฐานของการเข้าถึงพระไตรสรณะคมนั่นเอง

กราบพระ ๖ ครั้ง

พุทธัง วันทามิ(กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระพุทธเจ้า
ธัมมัง วันทามิ(กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระธรรมเจ้า
สังฆัง วันทามิ(กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระสงฆ์เจ้า
ครูอุปัชฌาย์อาจาริยคุณัง วันทามิ(กราบ) (ผู้หญิงว่า อาจาริยคุณัง วันทามิ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งครูอุปัชฌาย์อาจารย์
มาตาปิตุคุณัง วันทามิ(กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งบิดา มารดา
พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ(กราบ)
ข้าพเจ้า ขอไหว้ซึ่งพระไตรสิกขา

การไหว้พระ ๖ ครั้งเป็นการแสดงความอ่อนน้อมแก่สรณะผู้ควรบูชา ๖ สรณะด้วยกัน แฝงไว้ด้วยกุศโลบายแห่งความอ่อนน้อมและความกตัญญูกตเวทีอันเป็นเครื่องหมายแห่งคนด

สำหรับในบทกราบพระไตรสิกขาบทนั้น เนื่องเพราะเป็นบทสรุปแห่งธรรมะทั้งปวงในพระพุทธศาสนา เป็นหนทางโดยย่อแต่ชัดเจนไม่อ้อมค้อม ทั้งยังเป็นปัจฉิมโอวาท แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย นั่นคือ "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

บทสมาทานศีล ๕

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมต้องกล่าวบทคำบูชาพระพุทธเจ้านี้ก่อนว่าคาถา(ที่โบราณเรียกตั้งนะโม ๓ จบ) หรือ นำหน้าบทสวดมนต์ต่าง ๆตลอดด้วย ที่มาของคำบูชาพระบรมศาสดานี้ มีเรื่องเล่าว่า ณ แดนหิมวันต์ประเทศ มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า สาตาคิรียักษ์ มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ สาตาคิรียักษ์ได้มีโอกาสสดับ พระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า " นะโม "หมายถึง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

กล่าวฝ่ายอสุรินทราหู เมื่อได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนา ที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลน พระบรมศาสดา ว่า มีพระวรกายเล็กดังมด จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้า พระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก จนทำให้อสุรินทราหูอดรนทนอยู่มิได้ จึงเหาะมาในอากาศ ตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอฟังธรรม แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้าง ของอสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า “ ตัสสะ ”แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ

เมื่อครั้งที่ท้าวจาตุมหาราช ทั้ง ๔ ผู้ดูแลปกครองสวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้น กามาวจร มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวาร ท่านทั้ง ๔ นั้น จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า “ ภะคะวะโต ” แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

อะระหะโต เป็นคำกล่าวสรรเสริญ ของท้าวสักกะเทวราช เจ้าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ท่านสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหา แด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และ ทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราช ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า " อะระหะโต " แปลเป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

สัมมาสัมพุทธัสสะ เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญ ของท้าวมหาพรหม หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ จึงเปล่งคำสาธุการ "สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด
รวมเป็นบทเดียวว่า "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ" แปลโดยรวมว่า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น(3) ด้วยเหตุนี้โบราณท่านจึงว่า หากขึ้นต้นคาถาหรือบทสวดมนต์ใด ๆด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ คาถานั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักด้วย เพราะเป็นคำสรรเสริญพระพุทธเจ้าที่มีเทพพรหมชั้นหัวหน้าได้กล่าวไว้ แรงครูหรือแรงแห่งเทพ-พรหม และแรงพระรัตนตรัยท่านจึงประสิทธิ์ให้สมประสงค์

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก

บทสมาทานพระไตรสรณะคมณ์ : บทนี่สำคัญมาก กล่าวด้วยกำลังใจที่เข้าถึงเต็มเปี่ยม ขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งที่ยึดถืออื่นใดสูงกว่า เป็นปัจจัยให้ปิดทางนรกภูมิได้ เว้นแต่ได้กระทำอานันตนิรยะกรรมมาก่อน บทนี้ควรทำความเข้าใจและให้เข้าถึงให้ได้ ด้วยเป็นเส้นทางเดินที่ตรงต่อพระนิพพาน ไม่หลงทาง ผู้เข้าถึงจะได้เกิดในบวรพุทธศ่าสนาอีกหากยังไม่เข้านิพพานฉันใด บทนี้คนกล่าวกันเป็นประจำแต่หาได้เข้าใจเข้าถึงอย่างลึกซึ้งไม่ จะสังเกตว่าด้วยไม่เข้าถึงจุดนี้กัน การถือมงคลตื่นข่าวจึงเกิดขึ้นได้ตลอดในสังคมไทย…..บทนี้นี่เองที่หลวงปู่ใช้ภาวนาทำสมาธิจนกระทั่งค้นพบวิชาภูติพระพุทธเจ้า หรือวิชาเปิดโลกที่มีผู้อื่นตั้งชื่อวิชาให้ในภายหลังนั่นเอง

และเพื่อพลานิสงส์ยิ่งขึ้น และเป็นการตล่อมจิตให้ชินต่อการทรงคุณความดี หลวงปู่ดู่ท่านแนะนำให้มีการบวชจิตในขณะกล่าวการสมาทานพระไตรสรณะคมด้วย ดังนี้

" ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...
ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ...
ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "

เมื่อจะออกจากสมาธิก็ให้อธิษฐานกลับมาเป็นฆราวาสเหมือนเดิม การสวดมนต์ภาวนาของเราจะมีผลมากครับ อีกประการความชินของจิตในการทรงกำลังความเป็นพระจะทำให้เราปฏิบัตธรรมได้โดยง่ายขึ้น

บทอาราธนาศีล

1 ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่า
2 อทินนาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมยหรือโจร
3 อพรัมจริยา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในพรหมจรรย์
4 มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ
5 สุราเมรยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
อิมานิ ปัญจสิกขา ปทานิ สมาธิยามิ(๓ ครั้ง)

ข้าพเจ้าขอทรงไว้ซึ่งศีลทั้งห้าประการด้วยจิตตั้งมั่น
สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา
ศีลนำความสุขมาให้ ศีลนำมาซึ่งโภคทรัพย์
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโส ธะเย
ศีลคือหนทางสู่พระนิพพาน

บทอาราธนาศีล : เป็นกุศโลบายให้คนชินต่อการกล่าวศีล เพื่อการรักษาศีลอย่างแท้จริงในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเกิดพลานิสงส์อย่างมาก เพราะถือว่าตลอดเวลาที่เราสวดมนต์อยู่นี่เรามีศีลบริสุทธิ์จนกว่าเราจะล่วงศีลด้วยความจำเป็นต่าง ๆเช่น ด้วยอาชีพ ในส่วน “อพรัมจริยา เวรมณี…” นั้นเพราะในช่วงที่สวดมนต์อยู่นั้น เราไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกับเพศตรงข้ามอยู่แล้ว ท่านจึงในถือพรหมจรรย์เสีย เพื่อบุญที่มากกว่า แต่เมื่อเราสวดมนต์เสร็จแล้วหากต้องถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามด้วยฆราวาสวิสัยก็ย่อมทำได้ ศีลจะเลื่อนมาที่กาเมสุมิจฉาฯแทน เรื่องศีลนี้ความจริงมีถึง 3 ขั้น ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงปรมัติเลยทีเดียว

บทอาราธนาพระ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ(๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระพุทธเจ้า
ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระธรรมเจ้า
สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ
ข้าพเจ้าขออาราธนาซึ่ง พระสงฆ์เจ้า

บทอาราธนาพระรัตนตรัยนี้เป็นการอัญเชิญพระบารมีของพระรัตนตรัยมาสถิตอยู่ที่กายและมโนแห่งเราอยู่ทุกลมหลายใจเข้า-ออก อยู่ทุกขณะจิต ให้เราไม่ห่างจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อการเข้าถึงพระไตรสรณะคม เรื่องการเข้าถึงพระไตรสรณะคมนี่ถือว่าจำเป็นมาก เพราะปิดอบายได้ เราจะไม่ลงนรก ผู้เขียนเคยถามหลวงตาว่า แล้วชาติหน้าเราจะต้องทำใหม่ไหม หลวงตาท่านว่า ไม่ต้อง เข้าถึงชาตินี้แล้วอารมณ์เก่าจะมี จะเข้าถึงตลอดทุกชาติ ปิดอบายตลอดทุกชาติจนกว่าจะนิพพาน

คาถาหลวงปู่ทวด

น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวด แล้วว่าคาถาดังนี้
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ เจ้าประคุณสมเด็จหลวงปู่ทวด ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีโชคซึ่งเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของข้าพเจ้านี้ (4)

คาถาหลวงปู่ดู่

น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วว่าคาถาดังนี้
นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ (๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพรหม ปัญโญ โพธิสัตว์

หลวงตาม้าท่านเมตตาเล่าฟังว่า ถ้าจะศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงปู่ดู่ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในชื่อของท่านก่อน คือพระพรหมปัญโญมีความหลายเช่นไร

โดยคำว่า “พรหมปัญโญ” มีความหมายถึง การเป็นผู้มีปัญญาเยี่ยงพระพรหม นั่นเอง ในการที่จะมีปัญญา เยี่ยงพระพรหม ได้นั้นต้องสร้างความเป็นพระพรหมให้เกิดขึ้นแก่เราก่อน โดยการปฏิบัติตามหลักของพรหมวิหาร 4 ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และพยายามทรงอารมณ์ตามหลักของพรหมวิหารให้ได้ก่อน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามแนวของหลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ

บทขอขมาพระรัตนตรัย

โยโทโส โมหะจิตเต นะพุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ
การกระทำอันหลงผิดอันใด ซึ่งกระทำล่วงเกินแล้วในคุณพระพุทธเจ้า ข
See More

เรื่องราวที่เกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ ที่หลวงตาม้าเคยเล่าไว้ ยกมาบางเรื่อง

"หลวงพ่อดู่ท่านเป็นพระที่ยิ้ม หน้าตาผ่องใส ท่านไม่เคยว่าใครเลยนะ เราเห็นก็ยังเข้าใจว่าท่านเป็น พระอรหันต์ หลายๆคนก็เข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านบอกหลวงตาว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ท่านเป็นอย่างนี้เพราะบารมีท่านเยอะ"

หลวงตาย้อนเล่าถึงสมัยฝึกอยู่กับหลวงปู่ดู่ว่า "ตอนฝึกกับ หลวงพ่อ(ดู่) ท่านก็ให้พระมา เร...าก็เอามานั่งกำแล้ว สวดไตรสรณคมณ์ ในใจ ใจก็อยู่ที่พระในมือและคำสวด อยู่อย่างนั้นแหละ หลวงพ่อ(ดู่) ท่านบอกว่า วิธีนี้เร็ว เรา 50% พระ 50%ไง"

หลวงพ่อดู่ ท่านเคยกล่าวถึงครูบาอาจารย์ที่เด่นด้าน คาถาอาคมท่านต่างๆให้ หลวงตาม้า ฟัง แต่ละท่านล้วนเก่งกาจชนิดที่เรียกว่าหาตัวจับยาก หลวงตาม้าท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเคยไปศึกษาตำราของคาถาอาคมอยู่เหมือนกัน คาถาบางคาถายาวเป็นหน้าเลย

หลวงพ่อดู่ ท่านเคยพูดกับ หลวงตาม้า ได้ใจความว่า สวดสั้นๆก็พอ ไม่ต้องไปสวดยาวหรอก (เช่น ไตรสรณคมณ์, จักรพรรดิ) ไม่ต้องไปเรียนหรอกคาถาอาคมน่ะ มาเอาพระรัตนตรัยดีกว่า

หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวไว้ได้ใจความว่า "พระพระรัตนตรัยมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม มีครบหมด!"

หลวงตาม้า ท่านเล่าต่อให้ฟังได้ใจความว่า สมัยนั้นมีเด็กคนนึงเป็นนักศึกษา มักจะมีเรื่องประจำ ถูกเขาตีเขาต่อยประจำ หลวงพ่อดู่ให้มานั่งสมาธิ ภาวนาไตรสรณคมณ์ พอเห็นแสงปุ๊ป ท่านให้อธิษฐานขอ เหนียวๆๆๆๆ (หมายถึงฟันแทงไม่เข้า) "ทีนี้พอเด็กคนนั้นไปมีเรื่อง มันก็ไม่เป็นอะไรเลยนะ ได้ผลจริง(หัวเราะ)" หลวงตาม้ากล่าว

สมัยนั้นตอนหลวงปู่ดู่ท่านยังไม่ละสังขาร หลังออกพรรษา หลวงตาม้าก็มากราบลาหลวงปู่ที่กุฎิเพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่ดู่ท่านได้เทศสอนหลวงตาในการเตรียมตัวจากนั้นหลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย... หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้” เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเมตตาและความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันของหลวงปู่ที่มีต่อหลวงตาได้เป็นอย่างดี และยังแสดงให้เห็นถึงความเมตตาอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ดู่ด้วย

ครั้งหนึ่งเล่าถึง วิญญาณที่ติดภพภูมิ วิญญาณเร่ร่อน วิญญาณสัมพเวสี หลวงตาม้า ท่านได้เมตตากล่าวให้ฟังได้ใจความว่า หลวงพ่อดู่ ท่านเรียกพวกวิญญาณที่ติดภพติดภูมิ หรือวิญญาณเร่ร่อนพวกนี้ว่า ขยะวิญญาณ หมายถึงพวกที่ไม่มีประโยชน์ ท่านสอนให้ช่วยเหลือพวกนี้ โดยเอาบุญ หลวงพ่อ(ดู่) ไปช่วยเหลือ บางทีพวกนี้ก็ส่งผลกระทบต่อมนุษย์เหมือนกัน "อย่างตลาดสดนี่ เห็นไหมว่ามีคนทะเลาะกันเป็นประจำ วิญญาณอยู่เยอะไง ฆ่าทุกวัน ฆ่าสัตว์ทุกวัน พลังงานมันไม่ดี" หลวงตาม้ากล่าว

หลวงปู่ดู่ ท่านเคยบอกลูกศิษย์ไว้ว่า "เวลาไปไหน ให้ส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ ถ้าเอ็งแผ่เองไม่ได้ให้นึกถึงข้านี่ ข้าแผ่ให้เอ็งได้ !"

เรื่องการแผ่บุญปรับภพภูมินี้ เมื่อเขาได้ัรับบุญไป ถ้าหากเขาเปลี่ยนไปอยู่ในภพภูมิที่ดีหรือมีกำลัง เขาก็จะต้องมาช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวได้ใจความว่า คุยกับมนุษย์นี่มันลำบาก คุยกับวิญญาณง่ายกว่า เราสวดมนต์ รักษาศีลให้เขาก็พอแล้ว ไปไหนเรามีผีมีเทวดาเป็นเพื่อนไม่ต้องกลัวอะไร เผลอๆให้โชคให้ลาภเราเสียด้วย(หัวเราะ)

หลวงตาม้า ท่านเล่าให้ฟังถึงหลักสูตรการปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงพ่อดู่ว่า การปฏิบัติธรรมแบบ หลวงพ่อ(ดู่) นี่เป็นการปฏิบัติธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน อย่างถ้าเราไปแผ่บุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของใครบางคนที่เดินผ่านเราไปนี่ เราจะไปบอกมันได้ไหมว่า "เฮ้ย ข้าส่งวิญญาณให้เอ็งนะเว้ย (หัวเราะ)" มันพูดไม่ได้นะ ขืนพูดไป ดีไม่ดีมันจะมาไล่เตะเราด้วย !

หลวงตาม้า ท่านเล่าให้ฟังว่า มันต้องมีความพอใจ อย่างหลวงตาเนี่ย พอใจที่จะศรัทธา หลวงพ่อดู่ ใครจะว่าอะไรก็ช่าง หลวงตาก็ยังเชื่อ หลวงพ่อดู่ จากนั้นก็ต้องมี ความเพียร เพียรสวด เพียรภาวนา ไง จากนั้นก็ต้องมีใจจดจ่อ อย่างหลวงตาเนี่ย จดจ่ออยู่กับพลังงานของหลวงพ่อดู่ อย่างเดียว แค่นี้แหละ "ถ้าทำได้อย่างนี้เอาพลังงานหลวงพ่อดู่ไปใช้ได้เลย อย่างเราเนี่ย เอาไปแผ่บุญปรับภพภูมิส่งวิญญาณได้อย่างสบายๆเลย"

อีกครั้งหนึ่ง หลวงตาม้า ท่านเคยเล่าให้ฟังได้ใจความว่า "จะจับภาพองค์ไหนก็ได้ พระจักรพรรดิก็ได้ หลวงปู่ทวดก็ได้ หลวงปู่ดู่ก็ได้ จับองค์ใดองค์หนึ่งก็ให้จับองค์นั้นไปเลย อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จับองค์ไหนก็ย้ำอยู่ที่องค์นั้นอย่างเดียว มันถึงจะดี" หลวงตาม้าท่านยังกล่าวอีกว่า "นึกถึงองค์ไหน ก็นึกถึงองค์นั้นไปเลย มันถึงจะเจ๋ง(ยิ้ม)"

มีผู้หญิงท่านหนึ่งมากราบ หลวงตาม้า มาบ่นให้ท่านฟังว่าหาโอกาสมากราบยาก อยากมากราบบ่อยๆ หลวงตาม้าท่านก็ให้โอวาทว่า "ไม่ต้องมาที่ถ้ำหรอก ถ้าเคารพกัน นึกถึงกันจริงๆ อยู่ที่ไหนหลวงตาก็ไปได้" คำพูดนี้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่ยังไม่มีโอกาสไปกราบหลวงตาได้เป็นอย่างดี

ยังมีเรื่องราวกล่าวถึง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ว่าท่านนั้นเป็นพระสุปฏิปัณโณที่ท่านเอาใจใส่กับการสอนลูกศิษย์เป็นอย่างมาก มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า

"พระสงฆ์เป็นผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครูบาอาจารย์สูง ถ้าพระท่านเป็นอาจารย์ของใคร พระท่านจะเคี่ยวกรำจนลูกศิษย์ผู้นั้นได้ดี ท่านจะไม่ปล่อยปละละเลยเด็ดขาด"

"เขา มาจากไกล ๆ เป็นร้อยเป็นพันกิโล ถ้าไม่เจอข้า เขาจะผิดหวัง ผู้ที่มาหาข้านี้ล้วนแต่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า ข้าก็จะนั่งคอยอยู่นี้แหละ"

คำพูดนี้แสดงถึงมหาเมตตาบารมีของหลวงปู่ดู่ที่มีต่อมหาชนอย่างมากมายเกินกว่าที่จะกล่าวได้...

ครั้งหนึงหลวงตาม้าท่านพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำได้ใจความว่า

"...ให้ นึกถึงหลวงปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้ ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."

หลวงตาม้าท่านพูดต่อไปได้ใจความว่า...

"อย่าง ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านผูกพันกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นพิเศษก็เพราะท่านเคย อธิษฐานอย่างนี้กับสมเด็จองค์ปฐมเนี่ยแหละ คราวนี้ถึงแม้สมเด็จองค์ปฐมท่านเข้านิพพานไป ท่านก็ยังตามมาดูแลหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้"

และท่านได้อธิบายเพิ่มถึงข้อดีของการถวายตัวกับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปะฐิปันโนได้ใจความว่า...

"ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

การ ฝากดวงไว้กับหลวงปู่นี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับลูกลานหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเราฝากตัวเป็นลูกหลานท่านอย่างเต็มตัวแล้ว เราก็ควรจะทำตัวให้สมกับที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานของพระมหาโพธิสัตว์บารมีเต็ม ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านเคยพูดกับบรรดาลูกศิษย์ว่า

"กลับลงไปจากถ้ำแล้ว อย่าไปทำให้เสียชื่อนะ อย่าลืมว่าเทวดาเขารู้จักหลวงตาเยอะนะ กลับลงไปแล้วที่สอนไปก็ให้ทำด้วย เจอกันครั้งหน้าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครทำหรือไม่ทำ(หัวเราะ)"

หลวงตาม้าท่านเมตตาย้ำว่า
"รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคน นี่คือสูตรของหลวงปู่ดู่"

และหากกล่าวถึงเรื่องราวของหลวงตาม้าหลังจากกราบลาหลวงปู่ดู่เพื่อออกธุดงค์จะทำให้เข้าใจถึงเมตตาบารมีของครูบาอาจารย์มากขึ้น...

หลวงตาม้าท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่และท่านได้อยู่ฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่ดู่เป็นเวลานับสิบกว่าปี แต่ก่อนที่หลวงปู่ดู่ท่านจะมรณภาพไปไม่นานนั้น หลวงปู่ดู่ท่านก็ได้สั่งให้หลวงตาม้าท่านออกธุดงค์ขึ้นเหนือเพื่อตามหาถ้ำแห่งหนึงซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ดู่

เรื่องราวการออกธุดงค์ตามคำสั่งหลวงปู่ดู่ของหลวงตาม้านั้น เริ่มต้นเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ หลังจากออกพรรษาในปีนั้นหลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อออกธุดงค์ คืนนั้นไม่มีใครอยู่เลยที่กุฎิหลวงปู่ดู่ มีเพียงหลวงปู่และหลวงตาเท่านั้น หลวงปู่ดู่ท่านได้เทศอบรมหลวงตาในเรื่องต่างๆ จากนั้นหลวงปู่ดู่จึงได้หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้หลวงตาม้า ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า

"จำไว้.. เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย..แกไปไหน เหรออยู่ที่ไหน ข้าก็อยู่ด้วย..แกเอาพระองค์นี้ไป หากแกสงสัยอะไรในการปฎิบัติให้แกถามเอากับพระองค์นี้"

หลวงปู่ดู่ท่านยังเมตตาให้เงินติดตัวหลวงตาท่านมาอีก ๕๐๐ บาท พร้อมทั้งของใช้สำหรับสงฆ์ พอตอนเช้าหลวงปู่ดู่ท่านได้ให้พระในวัดสะแก นำปิ่นโตข้าวมาให้หลวงตาเพราะทราบว่าท่านไม่ได้ออกบิณฑบาตร เพราะเตรียมธุดงค์ขึ้นเหนือ ตามคำสั่งหลวงปู่

หลังจากกราบ ลาหลวงปู่ดู่แล้ว หลวงตาได้เดินทางโดยรถไฟไปยังเชียงใหม่ แล้วเริ่มออกธุดงค์กำหนดจิตตามหาสถานที่ที่มีกระแสพลังงานเกี่ยวเนื่องกับ หลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ หลวงตาม้าท่านได้ธุดงค์รอนแรมอยู่เป็นเวลานาน ท่านได้ธุดงค์แวะภาวนาตามถ้ำต่างๆเรื่อยไปในส่วนเรื่องราวการธุดงค์ของท่านหลวงตาม้านี้สนุกและพิศดารมากแต่คงนำมาเล่าได้ไม่หมดในบทความนี้ อยู่มาวันหนึงท่านได้มาพักอยู่ที่พระธาตุจอมแจ้ง หรือพระธาตุจอมกิตติ พอท่านมาถึงท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานกลางแจ้งเลยว่า ท่านอยากจะหาสถานที่ที่สงบท่านต้องการจะเก็บตัว พอเช้าวันรุ่งขึ้นมีผู้เฒ่าชราผู้หนึงมาบอกท่านว่าที่เมืองนะ มีถ้ำน่าอยู่แห่งหนึง ท่านบอกว่าถ้าไม่เจอะผู้เฒ่าผู้นี้ท่านคงไปอยู่ที่พระบาท ๔ รอยแทน

เมื่อธุดงค์มาถึงเมืองนะ ในช่วงแรกหลวงตาได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำฮก ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า “ที่ถ้ำฮกจะมีงูอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสีเขียวเหลือบแดง แล้วมีหงอนด้วย ก็คือพญานาคนั่นหล่ะ เค้าจะมาขดตัวอยู่ใกล้ๆกับกลดที่เราปฏิบัติธรรมทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่างคนต่างอยู่” โดยหลวงตาได้อยู่ปฏิบัติ ธรรมที่ถ้ำนี้ประมาณ ๑ เดือน แต่เนื่องจากถ้ำฮกเป็นถ้ำลึกที่มีทางน้ำใต้ดินไหลผ่าน ทำให้ถ้ำมีความชื้นมาก ไม่สะดวกต่อการอยู่ปฏิบัติธรรมนัก ท่านจึงได้ออกธุดงค์หาถ้ำอื่นต่อไป

หลังออกจากถ้ำฮก หลวงตาได้ธุดงค์ตามกระแสพลังงานของหลวงปู่ดู่ไปเรื่อยๆ จนได้พบกับถ้ำเมืองนะซึ่งในสมัยนั้นมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนมองไม่เห็นปากถ้ำ แต่เมื่อแหวกต้นไม้เข้าไปกลับพบว่าในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำร้างนั้นกลับ สะอาดสะอ้าน มากเหมือนมีใครมาปัดกวาดเช็ดถูอยู่ทุกวัน ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่าใต้ ถ้ำแห่งนี้เป็นเมืองบาดาล และมีพญานาคอยู่เป็นจำนวนมากคอยเฝ้ารักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งที่ เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่เอาไว้ ท่านจึงตัดสินใจอยู่ปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเมืองนะแห่งนี้เรื่อยมา และได้ส่งข่าวมาทางหลวงปู่ดู่

หลังจากหลวงตาม้าท่านจำพรรษา ที่ถ้ำเมืองนะได้ไม่นาน ก็มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ตามขึ้นมาหาหลวงตาและเล่าให้ท่านฟังว่า หลวง ปู่เล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่างว่าหลวงตาจะไปอยู่ที่ถ้ำไหน ลักษณะของถ้ำเป็นอย่างไร ทั้งที่หลวงปู่ดู่ไม่เคยมาที่ถ้ำแห่งนี้ และไม่เคยออกจากกุฏิของท่านที่อยุธยาเลย และในเวลาต่อมา หลวงปู่ดู่ยังได้เมตตาอธิษฐานจิตพระหน้าตัก ๑๙ นิ้วองค์หนึ่งให้ลูกศิษย์นำขึ้นมามอบให้หลวงตาประดิษฐานไว้ในถ้ำเมืองนะแห่ง นี้อีกด้วย

นอกจากถ้ำเมืองนะจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวเนื่อง กับหลวงปู่ดู่แล้ว ถ้ำนี้ยังมีความเกี่ยวพันกับหลวงตาเป็นอย่างมาก โดยหลวงตาเล่าว่า บริเวณกุฏิของท่านในปัจจุบันนี้ ตอนที่พบครั้งแรกท่านรู้สึกคุ้นเคยมาก รู้สึกว่ายังไงต้องเอาตรงนี้เป็นที่พักให้ได้ ท่านจึงได้กำหนดจิตดูก็พบว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นวัดมาก่อนตั้งแต่สมัยอยุธยา และบริเวณนี้เป็นที่ ที่ท่านซึ่งเป็นพระในสมัยนั้นเคยอยู่จำพรรษามาก่อน โดยท่านได้พบหลักฐานเป็นบาตรดินเก่าที่แตกหัก ซึ่งเป็นบาตรเก่าของท่านตั้งแต่สมัยนั้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

ขณะที่ปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำ เมืองนะ หลวงตาได้เจอกับภพภูมิต่างๆที่อาศัยกันอยู่ในบริเวณนี้บ่อยครั้ง โดยท่านเล่าให้ฟังว่า “เคยเห็นเทวดาใส่ชฎามายืนอยู่หน้าถ้ำ เราเห็นแต่ก็ไม่ได้สนใจ เขาเห็นเราไม่สนใจก็เลยบอกว่า ‘ตุ๊นี่หยิ่งจริง วันหลังไม่มาดีกว่า!’ หลังจากนั้นลองเรียกเขายังไง เขาก็ไม่ยอมปรากฏตัวมาหาอีกเลย... หรือบางครั้งนั่งพักอยู่ในถ้ำ ก็เห็นเหมือนคนเดินผ่านหน้าไป แล้วก็เดินหายเข้าไปในผนังถ้ำต่อหน้าต่อตาเลยก็มี แต่เราก็เฉยๆไม่ได้สนใจอะไร” นอกจากนี้ ลูกศิษย์หลวงตาจะรู้กันดีว่า ที่ถ้ำนี้มีเทวดาอยู่ท่านหนึ่งซึ่งทุกคนจะเรียกว่า “พี่ยักษ์” เวลาใครมาถ้ำเมืองนะก็มักจะแวะมากราบไหว้พี่ยักษ์ซึ่งหลวงตาได้หล่อเป็นรูป ยักษ์ยืนเฝ้าอยู่หน้าถ้ำเสมอ เวลาใครมานอนค้างปฏิบัติธรรมที่ถ้ำ ก็จะตั้งจิตอธิษฐานบอกพี่ยักษ์ไว้ว่าต้องการจะตื่นกี่โมง พอถึงเวลาที่บอกกล่าวไว้นั้น บางคนจะได้ยินเสียงกระทืบพื้นดังตึงๆ บางคนก็โดนเคาะหัว บางคนก็ฝันว่าพี่ยักษ์ไปเรียกในฝันก็มี ทำให้แต่ละคนสามารถตื่นขึ้นมาได้ตรงเวลาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกเลย ซึ่งเรื่องพี่ยักษ์นี้เป็นเรื่องที่มีหลายคนเคยพบเจอจนกลายเป็นเรื่องปกติ ของลูกศิษย์วัดถ้ำเมืองนะไปแล้ว

ประมาณ ๓-๔ ปีแรกที่หลวงตามาปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำเมืองนะนั้น ท่านจะจำวัดในโลงศพเสมอ และยังได้ตั้งจิตอธิษฐานเร่งความเพียรปฏิบัติธรรมอยู่แต่ภายในบริเวณถ้ำโดย ไม่ออกไปไหน ต่อมาเมื่อหลวงปู่ดู่มรณภาพลงเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ ท่านจึงได้ออกจากถ้ำเพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพในปี พ.ศ.๒๕๓๔ โดยหลวงตาได้พิจารณาเห็นว่า เมื่อหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครคอยเป็นหลักในการแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนหันมาปฏิบัติธรรมแทนหลวงปู่เลย ในขณะที่ตัวท่านเองเป็นลูกศิษย์ที่ได้ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง และความรู้ต่างๆจากหลวงปู่มาอย่างเต็มภูมิ รวมทั้งได้มาอยู่ที่ถ้ำเมืองนะซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รวมกระแสพลังงานอัน ไม่มีประมาณของหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่เอาไว้อีกด้วย ท่านจึงควรจะช่วยทำหน้าที่วางรากฐาน และเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติธรรมสร้างบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย และสร้างพระเครื่องเพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ต่อไป

ในครั้งแรก หลวงตาไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้หรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงที่หลวงปู่เคยบอกท่านไว้ก่อนออกธุดงค์ว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย” ก็ทำให้ท่านมีกำลังใจว่าหลวงปู่จะต้องคอยช่วยให้ท่านทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จ แน่ หลวงตาจึงได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าจะให้ท่านทำหน้าที่แทนหลวงปู่ได้ ขอให้หลวงปู่นำของที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่มาให้ภายใน 3 เดือน... ซึ่งหลังจากท่านอธิษฐานได้เพียง 2 เดือน ก็มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ขึ้นมาที่ถ้ำ และมอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่กายของหลวงปู่ชิ้นหนึ่งให้กับท่าน ทั้งที่เขาบูชาของสิ่งนั้นมาในราคาแพงหลักแสน โดยเขากล่าวว่า อยู่กับเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร อยู่กับหลวงตามีประโยชน์กว่า และหลังจากนั้นก็เริ่มมีคนนำมวลสารของหลวงปู่ดู่มาถวายให้ท่านมากมาย หลายอย่าง ท่านจึงได้เริ่มสร้างพระตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๔ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

การอธิษฐานจิตปลุกเสกพระในสายหลวงปู่ดู่นั้น จะไม่เน้นการใช้คาถาอาคมในการปลุกเสก เพราะเป็นกำลังของผู้ปลุกเสกเพียงคนเดียว มีพลังงานน้อย และอาจเสื่อมคลายได้ แต่ท่านจะเน้นการใช้บุญฤทธิ์ อธิษฐานจิตรวมกระแสบุญบารมีของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ เทพพรหม ทุกๆพระองค์ ให้มารวมกำลังกันเป็นกระแสพลังเหนือพลังผ่านพระคาถามหาจักรพรรดิลงไปสู่พระ เครื่องทุกองค์ เพราะพลังงานบุญบารมีแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น เป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่มีวันเสื่อม และมีพลังงานมากอย่างไม่มีประมาณ สามารถอธิษฐานใช้ได้ทุกทาง

หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงพ่อดู่ ได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้วหลวงตาท่านก็ได้เดินทางกลับไปยังถ้ำเมืองนะ ท่านได้อยู่ภาวนาอย่างเงียบๆในถ้ำนั้นเป็นเวลาหลายปีโดยมีชาวบ้านในละแวกนั้นซึ่งเป็นชาวไทยและชาวไทยใหญ่คอยอุปัฐฐากท่านตลอดมา จนถึงวันหนึ่งเมื่อท่านได้ปฎิบัติธรรม จนรู้แจ้ง เห็นจริง ประจักษ์ใจแล้ว ท่านก็ได้เริ่มออกสังคมและเริ่มสร้างวัดขึ้นที่นั้นและสั่งสอนลูกศิษย์เรื่อยมาจนถึงบัดนี้ นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีญาณบารมีแก่กล้าและเมตตาอันล้นเหลือ มากรูปหนึ่งในปัจจุบันที่สั่งสอนคนให้เดินบนเส้นทางแห่งธรรมะ และท่านยังเป็นผู้ที่สืบทอดวิชาต่างๆของหลวงปู่ดู่ในปัจจุบันอีกด้วย ทั้งด้านการภาวนาเปิดโลก และ ด้านการสร้างพระเครื่อง ซึ่งท่านได้เมตตาสั่งสอนถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ในปัจจุบัน เพื่อนำไปช่วย มนุษย์และภูมิทั้งหลาย ตลอดถึงความสงบแก่จิตและการอยู่เย็นเป็นสุขของผู้ปฎิบัติ

เรียบเรียงเนื้อหาจากบทความนิตยสารพระเกจิ
และบทความประวัติหลวงตาม้า โดย ดร.รอบทิศ ไวยสุศรี










MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY