GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วิทย์ ยกวาทะ 'ดร.สุรินทร์' ตอกมะกัน ก่อนวิจารณ์ใครให้ดูตัวเอง

Photo: ●●●วิทย์'ยกวาทะ'ดร.สุรินทร์'ตอกมะกัน ก่อนวิจารณ์ใครให้ดูตัวเอง 

31 พ.ค.57 ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน นักสื่อสารมวลชน โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว Wit Sittivaekin ยกคำสนทนาของ อดีตเลขาธิการอาเซียน ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ ที่มีต่ออดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือนางฮิลลารี คลินตัน

 หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ทำรัฐประหาร เพื่อนำพาชาติสู่ความสงบอีกครั้ง

ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวไว้ดังนี้ ระยะหลังเห็น บทบาทของ อเมริกาต่อเรื่องการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยเร็วมากเยอะ เลยนึกถึง บทสนทนาระหว่าง อดีตเลขาธิการอาเซียน ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ ที่มีต่ออดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือนางฮิลลารี คลินตัน ที่สะท้อนถึงอะไรบางอย่างเกียวกับอเมริกาเหมือนกัน

นาง ฮิลลารี ถาม ดร. สุรินทร์ว่า เห็นอาเซียนกำหนดกรอบเวลาในการรวมตัวกันมายาวนาน เมื่อไหร่จึงจะเกิดขึ้นได้จริงเสียที

ดร. สุรินทร์จึงถามว่า โทมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้ประพันธ์สารนิพนธ์ประกาศเอกราชของอเมริกา ได้เขียนเอาไว้ว่า All men are created equal คนทุกคนเกิดมาโดยเท่าเทียม ....

 แต่ที่สุดแล้ว กี่ปีกว่าที่ อเมริกา จะให้สิทธิในการโวตแก่ ผู้หญิง หลังจากนั้นอีกกี่ปีอเมริกาจึงจะเลิกทาสและคนผิวสีจะมีโอกาสเทียบเท่ากับคนขาว หลังจากนั้นกี่ปีที่คนผิวสีไม่ได้โดนแบ่งแยกกีดกัน ...

อืมมมม. ฮิลลารี่ คลินตัน ตอบดร. สุรินทร์ว่า "ดิฉันเข้าใจละท่าน โปรเฟสเซอร์" ...

โทมัส เจฟเฟอร์สัน นักคิดทางการเมืองและประธานาธิบดีคนที่๓ ของสหรัฐ เขียนวลีก้องโลกเอาไว้ใน Declaration of Independence ในปี ๑๗๗๖ ทำให้คนมองว่า อเมริกาคือหนึ่งในต้นแบบของความเท่าเทียม และประชาธิปไตย แต่ อเมริกาใช้เวลาอีก ๙๘ ปีจึงจะมีการเลิกทาสอย่างเสียเลือดเสียเนื้อทั่วไปทั้งอเมริกา
 ด้วยการประกาศการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ ๑๓ ในปี ๑๘๖๕ และจากนั้นอเมริกาชาติที่เชื่อในความเท่าเทียม ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า ร้อยปี
 ในการลดระดับการกีดกันทางสีผิวอย่างไม่เป็นทางการ Martin Luther King, Malcolm X และอีกหลายคนต่อสู้กับความเท่าเทียม ในประเทศที่ประกาศว่าเป็นผู้นำทางความเท่าเทียมและ ประชาธิปไตย

ขอเล่าเรื่อง ผู้นำประชาธิปไตยโลก อย่างสหรัฐอเมริกา ที่เรียกร้องให้ประเทศไทยรีบเร่งกอบกู้ประชาธิปไตยไว้ประมาณนี้ละกัน
 
By เจ้าหญิง ราพันเซล รักในหลวง
●●●วิทย์ ยกวาทะ 'ดร.สุรินทร์' ตอกมะกัน ก่อนวิจารณ์ใครให้ดูตัวเอง

31 พ.ค.57 ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน นักสื่อสารมวลชน โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว Wit Sittivaekin ยกคำสนทนาของ อดีตเลขาธิการอาเซียน ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ ที่มีต่ออดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือนางฮิลลารี คลินตัน

หลัง...จากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ทำรัฐประหาร เพื่อนำพาชาติสู่ความสงบอีกครั้ง

ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัวไว้ดังนี้ ระยะหลังเห็น บทบาทของ อเมริกาต่อเรื่องการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยเร็วมากเยอะ เลยนึกถึง บทสนทนาระหว่าง อดีตเลขาธิการอาเซียน ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ ที่มีต่ออดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือนางฮิลลารี คลินตัน ที่สะท้อนถึงอะไรบางอย่างเกียวกับอเมริกาเหมือนกัน

นาง ฮิลลารี ถาม ดร. สุรินทร์ว่า เห็นอาเซียนกำหนดกรอบเวลาในการรวมตัวกันมายาวนาน เมื่อไหร่จึงจะเกิดขึ้นได้จริงเสียที

ดร. สุรินทร์จึงถามว่า โทมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้ประพันธ์สารนิพนธ์ประกาศเอกราชของอเมริกา ได้เขียนเอาไว้ว่า All men are created equal คนทุกคนเกิดมาโดยเท่าเทียม ....

แต่ที่สุดแล้ว กี่ปีกว่าที่ อเมริกา จะให้สิทธิในการโวตแก่ ผู้หญิง หลังจากนั้นอีกกี่ปีอเมริกาจึงจะเลิกทาสและคนผิวสีจะมีโอกาสเทียบเท่ากับคนขาว หลังจากนั้นกี่ปีที่คนผิวสีไม่ได้โดนแบ่งแยกกีดกัน ...

อืมมมม. ฮิลลารี่ คลินตัน ตอบดร. สุรินทร์ว่า "ดิฉันเข้าใจละท่าน โปรเฟสเซอร์" ...

โทมัส เจฟเฟอร์สัน นักคิดทางการเมืองและประธานาธิบดีคนที่๓ ของสหรัฐ เขียนวลีก้องโลกเอาไว้ใน Declaration of Independence ในปี ๑๗๗๖ ทำให้คนมองว่า อเมริกาคือหนึ่งในต้นแบบของความเท่าเทียม และประชาธิปไตย แต่ อเมริกาใช้เวลาอีก ๙๘ ปีจึงจะมีการเลิกทาสอย่างเสียเลือดเสียเนื้อทั่วไปทั้งอเมริกา
ด้วยการประกาศการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ ๑๓ ในปี ๑๘๖๕ และจากนั้นอเมริกาชาติที่เชื่อในความเท่าเทียม ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า ร้อยปี
ในการลดระดับการกีดกันทางสีผิวอย่างไม่เป็นทางการ Martin Luther King, Malcolm X และอีกหลายคนต่อสู้กับความเท่าเทียม ในประเทศที่ประกาศว่าเป็นผู้นำทางความเท่าเทียมและ ประชาธิปไตย

ขอเล่าเรื่อง ผู้นำประชาธิปไตยโลก อย่างสหรัฐอเมริกา ที่เรียกร้องให้ประเทศไทยรีบเร่งกอบกู้ประชาธิปไตยไว้ประมาณนี้ละกัน


Photo: ●●1 มิ.ย.ที่ทำการสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา ชั้น 21 ตึกจามจุรีสแควร์ คุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี และดร.สุวิทย์ ยอดมณี

 รวมทั้งคณะกรรมการและสมาชิกสมาคมฯ แถลงตอบโต้สหรัฐอเมริกา หลังโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยเร่งจัดการเลือกตั้ง

คุณหญิงทรงสุดา กล่าวว่า การแถลงข่าวในวันนี้กระทำในฐานะเพื่อนที่หวังดีต่อกันเท่านั้น ไม่ได้วิจารณ์ทางการเมืองแต่อย่างใด
 เนื่องจากสมาคมฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองด้วยประการทั้งปวง และมาร่วมกันแถลงเพื่อแสดงความรู้สึกต่อถ้อยแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
 ที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ออกมาแถลงไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและเรียกร้องให้เลือกตั้งโดยเร็ว...
 และยังกล่าวถึงโรดแมปสำหรับประเทศไทยของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าไม่ชัดเจน และไม่มีเหตุผลอันใดที่จะยืดเวลาการเลือกตั้งออกไป

"อยากจะเตือนให้ทางสหรัฐฯ ทราบว่า ประเทศไทยซึ่งมีประวัติยาวนานเกือบ8ศตวรรษ
 ในระหว่างนั้นเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตกเลย...
 เราเป็นราชอาณาจักรที่มีเกียรติ และหลีกเลี่ยงจะทำอะไรก็ตามที่จะเข้าไปแทรกแซงกิจภารภายในของประเทศอื่น โดยเฉพาะของมิตรประเทศ เช่น สหรัฐฯ"

จึงอยากแจ้งให้ทราบว่าการที่สหรัฐฯ
ได้เร่งให้มีการแถลงถึงรายละเอียดของโรดแมปและการเลือกตั้งโดยเร็วนั้น 

สหรัฐฯ เริ่มที่จะเสียเพื่อนไปจำนวนมากแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ควรนับถือมิตรประเทศ เช่นประเทศไทยในฐานะเท่าเทียมกัน

● ไม่ใช่ในฐานะเมืองขึ้นของสหรัฐ ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร และจะดำรงความเป็นอิสรภาพและเสรีภาพ เป็นราชอาณาจักรที่มีเกียรติเช่นนี้ต่อไป

ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า หากนับตามประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯแล้ว สหรัฐฯเคยมีความยากลำบากในเรื่องการเมือง หลายๆ ฝ่ายพยายามปฏิรูป..
 หลังการเลิกทาสและสงครามกลางเมืองที่สูญเสียชีวิตไปนับล้านคนของสหรัฐฯ โดยใช้เวลากว่า 25 ปี แน่นอนว่าแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน ทางสหรัฐระบุการปฏิรูปของไทยต้องน้อยกว่า 1 ปี 

สหรัฐฯ ได้ศึกษาดูหรือยังว่าความแตกแยกและปัญหาในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง..
 เนื่องจากตลอดช่วงที่ผ่านมาในประเทศไทยมีประชาชนต้องสูญเสียชีวิตกว่า 20 คน บาดเจ็บอีกกว่า 700 คน
 และยังมีเรื่องเงินค่าจำนำข้าวที่ค้างจ่ายชาวนาอีก ทำให้ชาวนาเป็นหนี้สิน บางคนถึงขั้นต้องฆ่าตัวตาย 

ส่วนตัวเห็นว่า เวลา 1 ปี 3 เดือน ในการแก้ไขปัญหาไม่พอที่จะปฏิรูปให้สำเร็จด้วยซ้ำ เพราะมีปัญหาเยอะแยะ จึงอยากให้พิจารณาให้รอบคอบว่าเพื่อนบ้านมีเหตุผลอย่างไร

via สำนักข่าวไทย

1 มิ.ย. 2557ที่ทำการสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา ชั้น 21 ตึกจามจุรีสแควร์ คุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี และดร.สุวิทย์ ยอดมณี

รวมทั้งคณะกรรมการและสมาชิกสมาคมฯ แถลงตอบโต้สหรัฐอเมริกา หลังโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยเร่งจัดการเลือกตั้ง

คุณหญิงทรงสุดา กล่าวว่า การแถลงข่าวในวั...นนี้กระทำในฐานะเพื่อนที่หวังดีต่อกันเท่านั้น ไม่ได้วิจารณ์ทางการเมืองแต่อย่างใด
เนื่องจากสมาคมฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองด้วยประการทั้งปวง และมาร่วมกันแถลงเพื่อแสดงความรู้สึกต่อถ้อยแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
ที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ออกมาแถลงไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและเรียกร้องให้เลือกตั้งโดยเร็ว...
และยังกล่าวถึงโรดแมปสำหรับประเทศไทยของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าไม่ชัดเจน และไม่มีเหตุผลอันใดที่จะยืดเวลาการเลือกตั้งออกไป

"อยากจะเตือนให้ทางสหรัฐฯ ทราบว่า ประเทศไทยซึ่งมีประวัติยาวนานเกือบ8ศตวรรษ
ในระหว่างนั้นเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตกเลย...
เราเป็นราชอาณาจักรที่มีเกียรติ และหลีกเลี่ยงจะทำอะไรก็ตามที่จะเข้าไปแทรกแซงกิจภารภายในของประเทศอื่น โดยเฉพาะของมิตรประเทศ เช่น สหรัฐฯ"

จึงอยากแจ้งให้ทราบว่าการที่สหรัฐฯ
ได้เร่งให้มีการแถลงถึงรายละเอียดของโรดแมปและการเลือกตั้งโดยเร็วนั้น

สหรัฐฯ เริ่มที่จะเสียเพื่อนไปจำนวนมากแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ควรนับถือมิตรประเทศ เช่นประเทศไทยในฐานะเท่าเทียมกัน

● ไม่ใช่ในฐานะเมืองขึ้นของสหรัฐ ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร และจะดำรงความเป็นอิสรภาพและเสรีภาพ เป็นราชอาณาจักรที่มีเกียรติเช่นนี้ต่อไป

ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า หากนับตามประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯแล้ว สหรัฐฯเคยมีความยากลำบากในเรื่องการเมือง หลายๆ ฝ่ายพยายามปฏิรูป..
หลังการเลิกทาสและสงครามกลางเมืองที่สูญเสียชีวิตไปนับล้านคนของสหรัฐฯ โดยใช้เวลากว่า 25 ปี แน่นอนว่าแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน ทางสหรัฐระบุการปฏิรูปของไทยต้องน้อยกว่า 1 ปี

สหรัฐฯ ได้ศึกษาดูหรือยังว่าความแตกแยกและปัญหาในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง..
เนื่องจากตลอดช่วงที่ผ่านมาในประเทศไทยมีประชาชนต้องสูญเสียชีวิตกว่า 20 คน บาดเจ็บอีกกว่า 700 คน
และยังมีเรื่องเงินค่าจำนำข้าวที่ค้างจ่ายชาวนาอีก ทำให้ชาวนาเป็นหนี้สิน บางคนถึงขั้นต้องฆ่าตัวตาย

ส่วนตัวเห็นว่า เวลา 1 ปี 3 เดือน ในการแก้ไขปัญหาไม่พอที่จะปฏิรูปให้สำเร็จด้วยซ้ำ เพราะมีปัญหาเยอะแยะ จึงอยากให้พิจารณาให้รอบคอบว่าเพื่อนบ้านมีเหตุผลอย่างไร

via สำนักข่าวไทย




แฉเบื้องลึก USAถูกชายผู้น่าสังเวชตุ๋นสู้ แลกน้ำมันอ่าวไทย"

เรื่องราวข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกากับชายผู้น่าสังเวชเกิดขึ้นช้านาน หลังจากที่เขาได้พันธ์ศักดิ์ ชายผู้ผูกหูกระต่าย ที่เคยทำงานเป็นวอร์รูม 1 ใน 7 ของบุชผู้พ่อเพราะเคยได้เมียเป็นผู้ดีเศรษฐีฝรั่ง ต่อมาเขาเข้ามาเป็นประธานที่ปรึกษานายกตั้งแต่รัฐบาลชุดแรกของชายผู้น่าสังเวช จนเป็นข่าวไปเลื่องลือว่าชายผู้น่าสังเวชคือตัวแทนของสหรัฐอเมริกาที...่จะเข้ามารุกราน และกุมอำนาจเอเซียมิต่างจากซัดดัม ฮุตเซ็นต์ ที่สหรัฐอเมริกาเคยสนับสนุนให้รุกรานและฮุบตะวันออกกลาง สุดท้ายก็นำกำลังเข้าบุกยึดแหล่งน้ำมันและนำไปแขวนคอ

ข้อตกลงระหว่างชายผู้น่าสังเวชผ่านนกต่อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากย้อนไปดูเหตุการณ์ที่สำคัญคือเหตุการณ์หลังการเลือกตั้ง 4 กรกฎาคม 2554 ที่มีการทุจริตซื้อเสียงเป็นอันมากรู็กันไปทั่วโลก พรรคทรราชย์ก็กระทำความผิดอย่างโจ่งแจ้ง ผู้น่าสังเวชก็ได้ให้นกต่อเข้าไปพบกับวอร์รูมสหรัฐ รับปากว่าจะมอบสัมปทานบ่อน้ำมันในอ่าวไทยให้สหรัฐเป็นเจ้าภาพในการขุดแต่เพียงเจ้าเดียว โดยผ่านบริษัทเชฟร่อน

ในช่วงเวลานั้นขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดมีท่าทีว่า คณะกรรมการเลือกตั้งจะไม่รับรองผลการเลือกตั้งและจะให้ใบแดงแก่หญิงผู้น่าสังเวช และจะยุบพรรค จึงมีการประสานจากCIAไปยังเยอรมันทำการยึดเครื่องบินของสมเด็จพระบรมฯ ขณะเสด็จเดินทางไปยังเยอรมันโดยพาพระยุรญาติและพระบรมวงค์ษานุวงค์ไปรักษาตัวที่เยอร์มัน เพื่อเป็นการกดดันและต่อรอง โดยในครั้งนั้นเยอรมันอ้างว่าไทยได้กระทำการผิดสัญญากรณีโครงการโฮบเวล ที่มีการทุจริตครั้งมโหราฬตั้งแต่ยุคพลเอกชาติชาย ชุนหวัน เป็นนายกรัฐมนตรี จนเป็นที่มาของการรัฐประหารโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร และสานต่อการทุจริตเรียกเงินใต้โต้ซ้ำสองในยุคของชายผู้น่าสังเวช พอในยุคหญิงผู้น่าสังเวชก็รีบสั่งให้ทุบทิ้งเพื่อทำลายหลังฐานทั้งหมด

เหตุการณ์ยึดเครื่องบินในครั้งนั้นทั้งที่เป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ แต่มิเคยมีใครเผยแพร่ข้อเท็จจริงในเบื้องหลังว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคนที่ขอให้มีการยึดเครื่องบินคือชายผู้น่าสังเวชนั้นเอง จนต่อมารัฐบาลรักษาการในสมัยนั้นยุคภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องนำเงินของรัฐบาลไปค่ำประกันกับศาลระหว่างประเทศ สามารถนำเครื่องบินกลับมาได้ในภายหลัง จึงเป็นที่มาของการรับรองให้หญิงผู้น่าสังเวชเป็นรัฐบาลปกครองประเทศ และจึงมีการนำเรื่องของมาตรา 190 การทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศเข้าสู่สภาฯเพื่อทำการแก้ไขให้รัฐบาลสามารถทำการยกแผ่นดิน บ่อน้ำมันให้กับต่างชาติได้โดยไม่ผ่านสภา จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต เกิดความโกลาหลในสภาหลายครั้งหลายหน

ครั้งล่าสุดก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร คนไทยทั้งชาติคงได้เห็นภาพชายผู้น่าสังเวชกับนกต่อ เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาทั้งที่ติดบัญชีดำยาเสพติด และเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับไปทั่วโลก โดยอ้างว่าไปสัมนา จนมีข่าวว่ามีการนำเงินจำนวน60ล้านบาทไปให้กับวอร์รูมสหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อแลกกับการโจมตีไทย บีบบังคับให้มีการเลือกตั้ง อันที่จริงแล้วเขาไปตกลงในเงื่อนไขเดิมคือสนธิสัญญาบ่อน้ำมันในอ่าวไทย ที่มีมูลค่า 7 แสนล้านๆบาท

แม้น้ำมันในอ่าวไทยจะน้อยกว่าหมู่เกาะสเปชลี่ถึง 100 เท่า แต่จากการตรวจสอบดาวเทียมของสหรัฐพบว่า น้ำมันในในตะวันออกกลางใกล้จะหมดลง แหล่งน้ำมันแหล่งใหญ่ในเอเซีย อย่างอ่าวไทย และหมู่เกาะสเปชลี่จึงเป็นที่หมายปอง จนเกิดความรุนแรงการปะทะ การใช้กำลัง แม้กระทั้งเครื่องบินของมาเลเซียที่สูญหาย ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วเกิดจากการจะก่อวินาศกรรมจากต้นเหตุความขัดแย้งแหล่งพลังงานในทะเลจีนใต้นั้นเอง

หากย้อนเวลาไปดูแล้วเราจะเห็นว่าชายผู้น่าสังเวชตุ๋นสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด ว่าจะยกบ่อน้ำมันให้-จะเปลี่ยนการปกครองประเทศเป็นเหมือนสหรัฐ แต่แท้ที่จริงแล้วการจะยกสัมปทานบ่อน้ำมัน หรือแผ่นดินนั้น เป็นอำนาจของประมุขประเทศ เป็นพระราชอำนาจของกษัติย์ เหมือนหลายๆประเทศที่เป็นอำนาจของประมุขประเทศ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสากลปฎิบัติมายาวนาน หลายร้อยหลายพันปี ที่สำคัญชายผู้น่าสังเวชได้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งกลยุทธ์ วิธีการ วาทกรรม สีธงในการต่อสู้ ทุจริต คตโกง มิได้เป็นประชาธิปไตยเหมือนสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด

หลักที่ชายผู้น่าสังเวชใช้นี้เป็นหลักขายแผ่นดิน ที่เขาได้ตัวแบบมาจาก ดร.ซุนยัดเซ็น ที่ได้เดินทางไปยังสหรัฐขอให้สหรัฐ และอารยะประเทศหยุดการสนับสนุนราชวงค์จีนในยุคราชวงค์ชิง ในสมัยนั้นจะมีการสร้างทางรถไฟทั่วแผ่นดินจีน โดยดร.ซุนยัดเซ็นยอมยกแผ่นดินส่วนต่างๆให้เป็นเขตปกครองพิเศษ เพื่อแลกกับการเปลี่ยนการปกครอง ต่อมาดร.ซุนยัดเซ็น กลับมายังจีนได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีขั่วคราว และเขาได้ต่อรองให้จอมพลจูเต้ ให้นำกำลังเข้าจับกุม “ปูยี่” ฮ่องเต้แห่งราชวงค์ชิง ภายในพระบรมมหาราชวัง แลกกับการยกให้เป็นประธานนาธิบดีคนแรกของจีน

สำหรับผมเองมองว่าการที่สหรัฐทำเช่นนี้คนไทยส่วนมากอาจจะไม่พอใจพฤติกรรมของสหรัฐ แต่หากมองในมุมกลับผมมองว่า สิ่งที่สหรัฐทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่เขากระทำก็เพราะเขาคิดถึงชาติ คิดถึงแผ่นดิน แม้ประชากรเขาจะมีเพียง290ล้านคน ต่างจากจีนมีถึง1300ล้านคน แต่เขาก็ยังรักชาติมากกว่าผู้นำไทย ที่ยึดเพียงผลประโยชน์ของตัวเอง ทุจริต คตโกง แผ่นดินจนเป็นคดีที่ทุจริตระดับโลกคือจำนำข้าว มูลค่ากว่า 5 แสนล้าน ข้าวสูญหายกว่า3ล้านตัน

หากสหรัฐได้มีโอกาสทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับสหรัฐที่มีมายาวนานนับร้อยๆปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงประสูตในสหรัฐ ผู้นำสหรัฐก็ได้ยกย่องพระองค์ท่านด้วยการตั้งชื่อถนนในสหรัฐตามชื่อพระองค์ ความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างไทยสหรัฐ ก็ถือว่าดีเป็นอันมากมีการฝึกซ้อมร่วมกันเป็นประจำทุกปี ที่สำคัญไทยเคยเป็นฐานที่มั่นให้กับสหรัฐยอมให้ใช้อู่ตะเภาในยุคสมัยสงครามเวียดนาม ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐเองก็สนับสนุนให้ หม่อมราชวงค์เสนี ปราโมช เอกอักราชทูตไทยประจำสหรัฐมาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ฯลฯ

เมื่อมองถึงความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศแล้วถือว่าผูกพันธ์กันมายาวนาน หากสหรัฐจะเชื่อถือชายผู้น่าสังเวช ที่ทำตัวเหมือนเด็กเลี้ยงแกะ โกหกทุกวันจนเข้าใจว่าเรื่องโกหกเป็นเรื่องจริง แม้กระทั้งล่าสุดพูดออกปากว่าจะหยุดเล่นการเมืองมามากกว่า 3 ครั้งแต่ก็ทำมิเคยได้ เรื่องแหล่งน้ำมันในอ่าวไทยเขาก็ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะยกแผ่นดินไทยให้กับใคร เพราะนี้คือพระราชอำนาจของกษัตริย์เขาจึงตุ๋นสหรัฐเพื่อหวังยืมมือใช้อำนาจก็เท่านั้น

อันที่จริงแล้วในแผนการปฎิรูปประเทศ ที่มีส่วนการปฎิรูปพลังงานเป็นสำคัญนั้น ไทยก็คาดหวังว่าสหรัฐจะเข้ามาเป็นหัวหอกสำคัญในการขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยร่วมกันประเทศออื่น อย่างออสเตเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ อยู่แล้ว เพราะไทยขาดเครื่องไม้เครื่องมือ งบประมาณ ผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ สหรัฐอเมริกาจึงไม่จำเป็นจะต้องมาทำการต่อต้านไทยสนับสนุนชายผู้น่าสังเวชให้เสียเวลา ส่วนการปฎิรูปพลังงานที่เกิดขึ้นเป็นข่าวติดต่อมาหลายเดือนนั้น คือการปฎิรูปภายในประเทศเรื่องราคาพลังงานให้มีราคาถูกลงตามสัดส่วนที่เหมาะสม ให้ประชาชนในประเทศยอมรับได้ มิได้ทำให้สหรัฐต้องเสียผลประโยชน์ใดๆ อันนี้ต้องอธิบายกันให้ชัดเจน

นี้แหละคือความจริงที่มิเคยถูกเปิดเผย ที่บางคนพร่ำพูดกันไปเพราะความเข้าใจผิดๆ จนทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ อยากเรียกพวกนี้ว่าพวก “ปากพร่อย” พูดเรื่องพลังงานจนเลยเถิดจนกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พูดแบบรู้ไม่จริง อันนี้ต้องขอตำหนิ

อีกไม่น่าเกิน 30 วันชาติไทยจะมีการจัดตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฎิรูประเทศแห่งชาติ และมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 9 มาตรา ชาติก็จะเข้าสู่การปฎิรูปในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างการปกครอง สิ่งเหล่านี้คือการปฎิรูปทุกมิติ ชาติไทยมิได้คิดไปรบไป แต่ได้กำหนดทิศทางของชาติไว้ล่วงหน้า มาแล้วอย่างน้อย3ปี “ผู้ชนะคิดก่อนรบ ผู้แพ้รบก่อนจึงคิดชนะ” หากปฎิรูปทุกด้านแล้วเสร็จ เศรษฐกิจจะดี ประเทศจะมั่นคง ประชาชนจะมั่งคั่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะยั่งยืนสถาพร ชาติจะเข้าสู่สันติสุข กลับมาร่มเย็นเป็นสุขอย่างน้อย10-50 ปี หากทำครบถ้วนกระบวนความ นี้แหละความหมายของ “ปฎิรูปประเทศ” (Thailand reform) ของนกกระจอกบ้านนอกตัวนี้

“ รู้จักบุญคุณแผ่นดินถิ่นกําเนิด
รู้จักเทิดองคกษัตริยของรัฐถา
รู้จักคําสอนขององค์พระศาสด
จงรู้จักคําว่าประชาธิปไตย มีเมตตา. กรุณามุทิตาแก่กันท่ัวทั้งชาติ
มีอุเบกขาในลาภยศสขุสรรเสริ
มีความเจริญเพราะ ขยัน ซื่อสัตย์ ัประหยัด สุภาพและอดทน มีใจมั่นคงท่ีจะรักษาเอกราชของชาตไิทย.”

บทความในหนังสืออำนาจที่ยิ่งใหญ่ โดย ท่านไกรสร ตันติพงศ์ ปรามาจารย์การเมืองไทย

เทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา
1 มิถุนายน 2557









สนับสนุนกับไอเดียนี้นะฮ่ะ ไงก็พิจารณาด้วยนะค๊ะ ....

รัฐประหารทั้งที อย่าให้เสียของ เอาให้คุ้ม^^



ใครอยู่เบื้องหลังเว็บ "ประชาไท"

http://chaoprayanews.com/blog/canthai/2014/05/31/%E0%B9%83%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%9B/


 

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

โมเดลศูนย์ปรองดองแสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่างสู่สันติ/ข้อความจากอาคม มกรานนท์/Sutin Wannabovorn

โมเดลศูนย์ปรองดองแสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่างสู่สันติ !!!!!
คมชัดลึกออนไลน์

ผุดโมเดลศูนย์ปรองดองฯ2มิ.ย. แสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่างสู่สันติ : รายงาน
               
เป็นที่จับตามองอย่างมากว่า แนวทางของ "ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป" หรือ ศปป. ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมีรูปแบบการดำเนินการอย่างไร?

               ที่สำคัญจะสามารถแก้ไขความขัดแย้ง หรือ "สลายสีเสื้อ" ได้หรือไม่ เนื่องเพราะความขัดแย้งในสังคมการเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 10 ปีได้ฝังรากลึกไปจนถึงระดับครอบครัวแล้ว

               ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการสร้างความปรองดองดังกล่าวของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ต้องการสลายความคิดที่ขัดแย้งที่มีอยู่เดิมที่ลงลึกไปจนถึงระดับครอบครัว เพื่อให้คนที่มีความคิดแตกต่างกันสุดขั้วสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

               แต่ก็ต้องยอมรับถึงความพยายามของทหารที่ก้าวเท้าเข้ามาสร้างความมั่นคงในประเด็นนี้ในยามที่บ้านเมืองเข้มข้นชนิดหน้าสิ่วหน้าขวานในสังคมไทยขณะนี้

               "โครงสร้างของ ศปป. จะใช้โครงสร้างเดิมของ กอ.รมน.ทุกจังหวัด เนื่องจาก กอ.รมน.ทั้ง 77 จังหวัดรู้ปัญหาในพื้นที่ของตัวเองดี และปัญหาในแต่ละจังหวัดมีไม่เหมือนกัน โดยมีภารกิจ คือ การเร่งเข้าไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่"  พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ขยายความถึงแนวคิดของหัวหน้า คสช.ให้ฟัง
 
               ส่วนขั้นตอนของการดำเนินงานนั้น โฆษก กอ.รมน.ย้ำว่า จะทำตั้งแต่ระดับล่างสุดในระดับชุมชน ระดับหมู่บ้าน ในลักษณะกลุ่มย่อย และไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นกลุ่มรุนแรง กลุ่มรุนแรงน้อย หรือพื้นที่สีแดง สีเขียว

               ด้วยเห็นผลที่ว่า ศปป.ไม่เคยคิดว่าจะมีการแบ่งแยก!
 
               โรดแม็พของ คสช.ที่ได้วางไว้ใน 3 ขั้นตอน ได้ขับเคลื่อนไปแล้ว เริ่มจากการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ต่อไปคือการทำเรื่องความสมานฉันท์ สามัคคี การปฏิรูป และสุดท้ายต่อด้วยการเลือกตั้ง

               แต่สิ่งที่ต้องการโฟกัสในขณะนี้ คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ และ หยุดพักเรื่องเก่าไว้ก่อน เมื่อเรียนรู้ร่วมกันอย่างสันติแล้ว ความสัมพันธ์ และเครือข่ายที่มีอยู่จะเกิดเรื่องดีๆ ต่อไปได้

               สาเหตุจากคนเราต้องอยู่ในสังคมเดียวกัน ที่ทำงานเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรหากยังมีแนวคิดแตกแยกอยู่ แต่เราไม่ได้หวัง 100 เปอร์เซ็นต์ เอาแค่ประคับประคองให้อยู่ร่วมกันให้ได้ อะไรที่เป็นจุดต่างก็เว้นเอาไว้ สงวนเอาไว้ในเรื่องที่มีความเห็นร่วมกัน หรือแสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่าง

               "ถ้าสิ่งนี้ (ความปรองดอง) ไปไม่ได้ อย่างอื่นก็ไปไม่ได้ ถ้ายังเห็นแตกแยกกันอยู่ก็จะเกิดเหตุการณ์ใต้ดิน เกิดการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นมา ขณะนี้ความไม่สงบได้หยุดชะงัก แต่จะชั่วคราวหรือยั่งยืนยังไม่รู้...

               ...แต่พื้นฐานสำคัญคือการแก้ปัญหาทางความคิดความเชื่อ ซึ่งยังไม่ต้องไปเปลี่ยนความคิดความเชื่อ แต่ขอให้แสดงท่าทีในการอยู่ร่วมกัน อย่างเช่นแกนนำหลายคนที่ถูกปล่อยตัวมาแล้ว ก็แสดงท่าทีว่าจะหยุดกิจกรรม บางคนก็ลาออกจากพรรคการเมือง บางคนก็เห็นชอบว่าประเทศควรจะเดินหน้าแต่หลายคนก็ยังไม่แสดงท่าทีแบบนี้ ยังมาถามเรื่องการนิรโทษกรรม หรือเรื่องอดีตต่างๆ ซึ่งเรื่องอดีตจะต้องถูกดำเนินคดีไปตามกฎหมาย ส่วนปัจจุบันเราจะต้องอยู่ร่วมกันให้ได้"

               ความขัดแย้งที่ฝังรากลึกมาหลายปี ส่งผลให้โฆษก กอ.รมน. ต้องรีบเดินหน้าความปรองดองสมานฉันท์ แต่พื้นที่ต่างๆ ไม่เหมือนกัน บางพื้นที่จะต้องใช้เวลากว่าจะปรับทัศนคติได้ แต่บางพื้นที่มีความพร้อม ทั้งนี้ ไม่หนักใจในพื้นที่ภาคเหนือ-ภาคอีสาน ที่มีกลุ่มเห็นต่างเป็นจำนวนมาก

               "ที่หนักใจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเรื่องย้อนหลังไปหลายร้อยปี ซึ่งเราก็พยายามแก้ไขปัญหามานานแล้ว"

               ส่วนเรื่องการ "ปฏิรูป" นั้น เขาอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ท่านได้ให้แนวทางอย่างเดียว คือ ต้องทำให้ได้ เพราะหากทำไม่ได้แล้วบ้านเมืองจะเดินหน้าอย่างไร หรือจะปฏิรูปบ้านเมืองอย่างไร ถ้าคนยังขัดแย้งกันแบบสุดขั้ว

               ดังนั้น จะต้องทำเรื่องนี้ให้เกิดความพร้อม หากนำเรื่องของความขัดแย้ง ความต้องการ หรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่มีมาอยู่เดิมก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม มาเถียงกันก็จะไม่รู้จบ

               "อยากจะให้หยุด และพักเรื่องอุดมการณ์การเมืองไว้ก่อน ยืนยันว่าเราเคารพความคิดเห็นอยู่แล้ว เพราะทุกคนมีเหตุมีผลของตัวเอง และมีความเชื่อในอุดมการณ์ของตัวเอง อยากให้หยุดตรงนั้นก่อน และเริ่มมาคิดถึงการอยู่ร่วมกันก่อน และนำไปสู่การปฏิรูป ซึ่งการปฏิรูปก็จะต้องได้รับการยอมรับจากทุกพวกทุกฝ่าย จะได้เดินหน้าประเทศไทยต่อไปได้"

               สำหรับรูปแบบ และแผนผังโครงสร้าง ศปป. แต่ละพื้นที่ในขณะนี้ได้มีเอกสารออกมาแล้วเป็นระดับศปป.ของ กอ.รมน. ภาค 1-4 โดยจะมีการประชุมร่วมกันอีกครั้งเพื่อนำเสนอให้เป็นแนวทางร่วมกันในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ คาดว่าจะเป็นรูปร่าง หากในพื้นที่ใดสามารถดำเนินการได้ก็จะเริ่มดำเนินการทันที

               อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการเปิดเผยรูปแบบ และโครงสร้างของ ศปป. อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 มิถุนายน ทางกองทัพได้ขับเคลื่อน "โมเดลปรองดอง" เป็นแห่งแรกขึ้นที่หน้าหมู่บ้านเฟริสโฮม ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีวิทยุเรดการ์ด (โกตี๋) ต.คูคต จ.ปทุมธานี ในเวลา 10.00-11.30 น. วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม นี้

               ทั้งนี้ พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) จะเป็นประธานจัดกิจกรรม คสช.สร้างความปรองดองสมานฉันท์ พร้อมกำลังพลกรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์ (ป.2.รอ.) เเละกองพันทหารม้าที่ 30 (ม.พัน.30) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนในพื้นที่และทหาร

               มีการจัดกิจกรรมกระชับสัมพันธ์ และช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เช่น ดนตรีเทิดทูนสถาบัน, ตัดผม, บริการทางการเเพทย์, อาหารว่าง, น้ำดื่ม พร้อมนำหน่วยงานอื่นเข้าร่วม เช่น สถานีตำรวจภูธรคูคต เทศบาลคูคด โรงพยาบาล เป็นต้น

               ต้องติดตามว่า โมเดลปรองดองสมานฉันท์ของ คสช. จะสามารถนำไปสู่ "ผลลัพธ์" คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้ความคิดเห็นที่แตกต่างสมดังเจตนารมณ์ของหัวหน้า คสช. ได้หรือไม่?

โมเดลศูนย์ปรองดองแสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่างสู่สันติ !!!!!
คมชัดลึกออนไลน์
ผุดโมเดลศูนย์ปรองดองฯ2มิ.ย. แสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่างสู่สันติ : รายงาน
เป็นที่จับตามองอย่างมากว่า แนวทางของ "ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป" หรือ ศปป. ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมีรูปแบบการดำเนินการอย่างไร?
ที่สำคัญจะสามารถแก้ไขความขัดแย้ง หรือ "สลายสีเสื้อ" ได้หรือไม่ เนื่องเพราะความขัดแย้งในสังคมการเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 10 ปีได้ฝังรากลึกไปจนถึงระดับครอบครัวแล้ว
ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการสร้างความปรองดองดังกล่าวของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ต้องการสลายความคิดที่ขัดแย้งที่มีอยู่เดิมที่ลงลึกไปจนถึงระดับครอบครัว เพื่อให้คนที่มีความคิดแตกต่างกันสุดขั้วสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
แต่ก็ต้องยอมรับถึงความพยายามของทหารที่ก้าวเท้าเข้ามาสร้างความมั่นคงในประเด็นนี้ในยามที่บ้านเมืองเข้มข้นชนิดหน้าสิ่วหน้าขวานในสังคมไทยขณะนี้
"โครงสร้างของ ศปป. จะใช้โครงสร้างเดิมของ กอ.รมน.ทุกจังหวัด เนื่องจาก กอ.รมน.ทั้ง 77 จังหวัดรู้ปัญหาในพื้นที่ของตัวเองดี และปัญหาในแต่ละจังหวัดมีไม่เหมือนกัน โดยมีภารกิจ คือ การเร่งเข้าไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่" พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ขยายความถึงแนวคิดของหัวหน้า คสช.ให้ฟัง
ส่วนขั้นตอนของการดำเนินงานนั้น โฆษก กอ.รมน.ย้ำว่า จะทำตั้งแต่ระดับล่างสุดในระดับชุมชน ระดับหมู่บ้าน ในลักษณะกลุ่มย่อย และไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นกลุ่มรุนแรง กลุ่มรุนแรงน้อย หรือพื้นที่สีแดง สีเขียว
ด้วยเห็นผลที่ว่า ศปป.ไม่เคยคิดว่าจะมีการแบ่งแยก!
โรดแม็พของ คสช.ที่ได้วางไว้ใน 3 ขั้นตอน ได้ขับเคลื่อนไปแล้ว เริ่มจากการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ต่อไปคือการทำเรื่องความสมานฉันท์ สามัคคี การปฏิรูป และสุดท้ายต่อด้วยการเลือกตั้ง
แต่สิ่งที่ต้องการโฟกัสในขณะนี้ คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ และ หยุดพักเรื่องเก่าไว้ก่อน เมื่อเรียนรู้ร่วมกันอย่างสันติแล้ว ความสัมพันธ์ และเครือข่ายที่มีอยู่จะเกิดเรื่องดีๆ ต่อไปได้
สาเหตุจากคนเราต้องอยู่ในสังคมเดียวกัน ที่ทำงานเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรหากยังมีแนวคิดแตกแยกอยู่ แต่เราไม่ได้หวัง 100 เปอร์เซ็นต์ เอาแค่ประคับประคองให้อยู่ร่วมกันให้ได้ อะไรที่เป็นจุดต่างก็เว้นเอาไว้ สงวนเอาไว้ในเรื่องที่มีความเห็นร่วมกัน หรือแสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่าง
"ถ้าสิ่งนี้ (ความปรองดอง) ไปไม่ได้ อย่างอื่นก็ไปไม่ได้ ถ้ายังเห็นแตกแยกกันอยู่ก็จะเกิดเหตุการณ์ใต้ดิน เกิดการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นมา ขณะนี้ความไม่สงบได้หยุดชะงัก แต่จะชั่วคราวหรือยั่งยืนยังไม่รู้...
...แต่พื้นฐานสำคัญคือการแก้ปัญหาทางความคิดความเชื่อ ซึ่งยังไม่ต้องไปเปลี่ยนความคิดความเชื่อ แต่ขอให้แสดงท่าทีในการอยู่ร่วมกัน อย่างเช่นแกนนำหลายคนที่ถูกปล่อยตัวมาแล้ว ก็แสดงท่าทีว่าจะหยุดกิจกรรม บางคนก็ลาออกจากพรรคการเมือง บางคนก็เห็นชอบว่าประเทศควรจะเดินหน้าแต่หลายคนก็ยังไม่แสดงท่าทีแบบนี้ ยังมาถามเรื่องการนิรโทษกรรม หรือเรื่องอดีตต่างๆ ซึ่งเรื่องอดีตจะต้องถูกดำเนินคดีไปตามกฎหมาย ส่วนปัจจุบันเราจะต้องอยู่ร่วมกันให้ได้"
ความขัดแย้งที่ฝังรากลึกมาหลายปี ส่งผลให้โฆษก กอ.รมน. ต้องรีบเดินหน้าความปรองดองสมานฉันท์ แต่พื้นที่ต่างๆ ไม่เหมือนกัน บางพื้นที่จะต้องใช้เวลากว่าจะปรับทัศนคติได้ แต่บางพื้นที่มีความพร้อม ทั้งนี้ ไม่หนักใจในพื้นที่ภาคเหนือ-ภาคอีสาน ที่มีกลุ่มเห็นต่างเป็นจำนวนมาก
"ที่หนักใจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเรื่องย้อนหลังไปหลายร้อยปี ซึ่งเราก็พยายามแก้ไขปัญหามานานแล้ว"
ส่วนเรื่องการ "ปฏิรูป" นั้น เขาอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ท่านได้ให้แนวทางอย่างเดียว คือ ต้องทำให้ได้ เพราะหากทำไม่ได้แล้วบ้านเมืองจะเดินหน้าอย่างไร หรือจะปฏิรูปบ้านเมืองอย่างไร ถ้าคนยังขัดแย้งกันแบบสุดขั้ว
ดังนั้น จะต้องทำเรื่องนี้ให้เกิดความพร้อม หากนำเรื่องของความขัดแย้ง ความต้องการ หรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่มีมาอยู่เดิมก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม มาเถียงกันก็จะไม่รู้จบ
"อยากจะให้หยุด และพักเรื่องอุดมการณ์การเมืองไว้ก่อน ยืนยันว่าเราเคารพความคิดเห็นอยู่แล้ว เพราะทุกคนมีเหตุมีผลของตัวเอง และมีความเชื่อในอุดมการณ์ของตัวเอง อยากให้หยุดตรงนั้นก่อน และเริ่มมาคิดถึงการอยู่ร่วมกันก่อน และนำไปสู่การปฏิรูป ซึ่งการปฏิรูปก็จะต้องได้รับการยอมรับจากทุกพวกทุกฝ่าย จะได้เดินหน้าประเทศไทยต่อไปได้"
สำหรับรูปแบบ และแผนผังโครงสร้าง ศปป. แต่ละพื้นที่ในขณะนี้ได้มีเอกสารออกมาแล้วเป็นระดับศปป.ของ กอ.รมน. ภาค 1-4 โดยจะมีการประชุมร่วมกันอีกครั้งเพื่อนำเสนอให้เป็นแนวทางร่วมกันในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ คาดว่าจะเป็นรูปร่าง หากในพื้นที่ใดสามารถดำเนินการได้ก็จะเริ่มดำเนินการทันที
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการเปิดเผยรูปแบบ และโครงสร้างของ ศปป. อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 มิถุนายน ทางกองทัพได้ขับเคลื่อน "โมเดลปรองดอง" เป็นแห่งแรกขึ้นที่หน้าหมู่บ้านเฟริสโฮม ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีวิทยุเรดการ์ด (โกตี๋) ต.คูคต จ.ปทุมธานี ในเวลา 10.00-11.30 น. วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม นี้
ทั้งนี้ พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) จะเป็นประธานจัดกิจกรรม คสช.สร้างความปรองดองสมานฉันท์ พร้อมกำลังพลกรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์ (ป.2.รอ.) เเละกองพันทหารม้าที่ 30 (ม.พัน.30) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนในพื้นที่และทหาร
มีการจัดกิจกรรมกระชับสัมพันธ์ และช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ เช่น ดนตรีเทิดทูนสถาบัน, ตัดผม, บริการทางการเเพทย์, อาหารว่าง, น้ำดื่ม พร้อมนำหน่วยงานอื่นเข้าร่วม เช่น สถานีตำรวจภูธรคูคต เทศบาลคูคด โรงพยาบาล เป็นต้น
ต้องติดตามว่า โมเดลปรองดองสมานฉันท์ของ คสช. จะสามารถนำไปสู่ "ผลลัพธ์" คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้ความคิดเห็นที่แตกต่างสมดังเจตนารมณ์ของหัวหน้า คสช. ได้หรือไม่?



"บิ๊กตู่" ผุดรายการแจงผลงานคสช. ทุกวันเสาร์
พล.อ.ประยุทธ เตรียมจัดรายการทีวีทุกเช้าวันเสาร์ เวลา 08.00 น. โดยใช้ชื่อรายการว่า "คสช : คืนความสุขให้คนในชาติ" เพื่อแจงผลการดำเนินงานและผลงานของ คสช.ในรอบสัปดาห์ พร้อมทั้งทำความเข้าใจกับประชาชน
...
วันนี้ (31 พ.ค.57) มีรายงานว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้า คสช. เตรียมจะจัดรายการทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในทุกเช้าวันเสาร์ เวลา 08.00 น. โดยใช้ชื่อรายการว่า "คสช : คืนความสุขให้คนในชาติ" ดำเนินรายการประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อแจงผลการดำเนินงานและผลงานของ คสช.ในรอบสัปดาห์ พร้อมทั้งทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปประเทศ

ทั้งนี้ วันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่รายการดังกล่าวได้ออกอากาศ แต่เป็นการนำเทปคำปราศรัย พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงต่อประชาชนผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย มาออกอากาศซ้ำ แต่คาดว่่าในวันเสาร์หน้า (7 มิ.ย.57) รายการจะมีการกำหนดรูปแบบการจัดรายการให้ชัดเจนมากขึ้น

ซึ่งเมื่อเวลา 08.00 น. วันเดียวกันนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่รายการดังกล่าวได้ออกอากาศ โดยมีการนำเทปคำปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้พล.อ.ประยุทธ์

อย่างไรก็ตาม การจัดรายการในลักษณะนี้ เป็นการเข้าถึงประชาชนเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและแจงผลงานการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งรัฐบาลก่อนหน้านี้ได้เคยดำเนินการเช่นกัน





ข้อความจากนักข่าวอาวุโส อาคม มกรานนท์
cr: Akhom Makaranond

พี่น้องร่วมชาติที่รักครับ
วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ในภาวะที่ยังไม่ปกติสมบูรณ์ ข้อเขียนวันนี้จึงขอฝากไปยังประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ทราบว่า ประเทศชาติถูกทำร้ายแทบปางตาย ถ้าเราไม่ช่วยกันรักษา บางคนออกมานั่งขวาง ไม่ยอมให้นำตัวส่งไปโรงพยาบาลอีกต่างหาก ครั้นพอหมอทหารออกมา"กู้ชีพประเทศชาติ" กลับมาส่งเสียงต่อต้านกันยกใหญ่ แน่นอนครับ เราแต่ละคน"เห็นต่าง"กันได้ในแง่ของมุมมอง ความรู้สึก แต่ในแง่ของ"ความเป็นจริง"ไม่น่าที่จะต่างกันออกไปมาก
ยกตัวอย่างเช่น ถือป้ายเขียนว่า"ไปเก่งที่ชายแดนใต้"นั้น ผมสงสัยเหลือเกินว่า "สติปัญญาของคนถือป้าย"มีความเป็นปกติดีหรือเปล่า? ทหารเขาลงไปปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เสียชีวิตไปแล้วไม่รู้กี่พันศพ อยากถามว่าเวลานั้นคนถือป้ายมัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหน หรือยังอยู่ในท้องมารดา ครั้นพอโผล่หัวออกมา ก็เห็นว่าทหารเขายืนถือปืนอยู่ในกรุงเทพฯเลยไล่เขาลงใต้ หรือยังไงผมไม่เข้าใจ พวกคุณต่อต้านรัฐประหารปี ๔๙ ว่าเลวร้ายมาก แล้วความเลวร้ายก่อนหน้านั้น ที่ระบอบทักษิณและพวกพ้องร่วมกันกระทำต่อชาติบ้านเมือง ทำไมพวกคุณจึงมองไม่เห็น ทำไมคุณทำตัวเหมือนหนอนในกองขี้ ที่บังเอิญแม่เพิ่งมาหยอดไข่แล้วฟักเป็นตัวในวันรัฐประหาร คุณจึงไม่เห็นความชั่วร้ายสามานย์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเลย มีคำกล่าวว่่า"ระหว่างศีลธรรมกับกฏหมาย เลือกศีลธรรมสิ ยกเว้นพวกกึงดิบกึงดี ขาดความอบอุ่น ต้องหลับหูหลับตากอดกฏหมาย กอดประชาธิปไตย" เหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีที่มา เราจะตัดตอนมามองอย่าง"แยกส่วน"ไม่ได้ ขอถามว่า ที่ผ่านมาตลอด ๒ ปี ๙ เดือน กับ ๒ วัน บ้านเมืองปกติดี มีรัฐบาลที่เคารพกฏหมายมาก เคารพรัฐธรรมนูญ มีความรับผิดชอบ มีความสำนึกทางการเมืองที่ดี บริหารประเทศอย่างดี เศรษฐกิจดี เป็นที่ยอมรับของประชาชนใช่หรือเปล่า คำตอบ คือ "เปล่าเลย" ไม่อยากจะนำความล้มเหลวก่อนและระหว่างที่บริหารประเทศมากล่าวซ้ำ เชื่อว่าทุกคนคงทราบดี ทำให้นึกถึงข้อความบางข้อที่เขียนว่า"คนชั่วข่มขืนประเทศชาติ แล้วปิดประตูทางออก คนดีไม่มีกุญแจไข ประชาชนกำลังนัดกันพังประตู ทหารตัดสินใจพังกำแพง" เข้าใจเมืองไทยง่ายๆแค่ประโยคสั้นๆเท่านี้แหละ
ในเฟชบุ๊คที่พิมพ์กันว่อนเวลานี้"ทำเป็นรับไม่ได้" อยากให้เห็นว่า"รัฐประหาร"เพียงหนึ่งวัน ได้เห็นอะไรบ้าง
๑.  ได้เห็นหมอเหวงที่ชอบมาบอกรัฐประหารเมื่อใดจะสู้ ยกมือยอมแพ้ทหารคาเวทีเสื้อแดงอย่างง่ายดาย
๒. ได้เห็นจตุพรที่ออกมาบอกว่ารัฐประหารเมื่อใด จะปลุกแดงสู้ โดนคุมตัวจนบัดนี้
๓. ได้เห็นสุภรณ์ แกนนำแดงที่เคยประกาศจะนำกลุ่มมวลชน(อพปช.)ตั้งเป้าไว้ ๕ แสนคน แต่ได้แค่หมื่นกว่าคน เอามาฝึกกินเงินดูไบ ประกาศตอบโต้ทุกองค์กรที่เล่นงานรัฐบาลและรักษาประชาธิปไตย โดยรวบตัวอย่างง่ายดาย ไม่หือสักคำเดียว
๔. ได้เห็นพวกเสื้อแดงที่ชอบเอากองกำลังตำรวจบ้านมาเดินสวนสนามถือธงแดง สร้างภาพข่มขู่ จนบางคนโดนบ่นว่าโดนหลอกมา สุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราคาคุย
๕. ได้เห็นทักษิณยื่นข้อเสนอตอนเจรจาว่า ให้นิรโทษตนและครอบครัวทุกคดี แลกกับการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง รัฐบาลยอมลาออก แสดงว่าตัวเองนั้นทรยศพวกเสื้อแดง ทีบอกว่า"ต้องมีเลือกตั้งเท่านั้น ไม่มีนายกฯคนกลาง"หลอกแดงซ้ำซาก เหมือนตอนออกกฏหมายนิรโทษกรรม เห็นหรือยังว่ามีแต่พวกเห็นแก่ตัว ราคาคุย หลอกคนเสื้อแดงฯ
ที่กล่าวมานี้ยังไม่หมดนะครับ ยังมีอีกเยอะ เอาเพียงเท่านี้ก็พอเห็นกันแล้วว่า ที่พากันออกมาต่อต้านรัฐประหารของคนกลุ่มหนึ่งนั้น มาด้วยใจจริงหรือมาด้วย...
ประเทศไทยกำลังกลับสู่ความเป็นปกติสุข แต่ภาระอันยิ่งใหญ่ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น นั่นคือการถอนรากถอนโคนระบอบทุนสามานย์ การฟื้นฟูระบบราชการ และปฏิรูปประเทศให้เดินไปข้างหน้า ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า พ้นจากวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายทางการเมืองได้สำเร็จ ตามเป้าหมายและตามความคาดหวังของประชาชน ที่ตั้งความหวังไว้ที่ตัวท่าน เช่นเดียวกับผมที่ขอบอกว่า "มีโอกาศแล้ว โปรดล้างแผ่นดินไทยให้สะอาด กำจัดพวกโกงบ้านกินเมืองให้สูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย เมื่อ"หมอทหาร"ได้โอกาศทำความดีแล้ว คงไม่ละทิ้งโอกาสนี้ คนไทยผู้รักชาติเชื่อเช่นนั้นด้วยความจริงใจ ขอให้"หมอทหาร"ล้างแผ่นดินไทยให้ขาวสะอาด ปราศจากคนโสโครกโกงบ้านกินเมืองทุกชนิด
"ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้า และคารวะด้วยจริงใจ"


By Sutin Wannabovorn
ฝรั่งใจทาสกับไทยใจสัตว์ ร่วมกันทำร้ายประเทศไทย

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ กับ วอชิงตันโพสต์ เสนอข่าวสองเรื่องที่เป็นลบต่อประเทศไทย นิวยอร์กไทม์ เขียนโดยขาประจำด่าไทย นายThomas Fuller ส่วนวอชิงตันโพสต์ ใช้คนไทยชื่อนายกวิน วิลัยรัตน์ด่าทหารไทยว่าเป็นอุปสรรคขัดการพัฒนาประชาธิปไตย
นิวยอร์กไทม์ หยิบเอาพิมพ์เขียวที่พล.เอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงเมื่อคืนวันเสาร์ว่า จะใช้เวลาประมาณปีครึ่ง จัดระเบียบประเทศไทย ตั้งแต่ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สร้างความปรองดองแห่ง และ สำคัญที่สุดคือการปฏิรูปประเทศ ที่ดูเหมือนว่าทำตามความประสงค์ของ กปปส ทุกประการ
ที่เจ็บแสบที่สุดคือมันสรุปเอาตอนสุดท้ายว่า กปปส ฉลองกันเต็มคราบในชุดเสื้อลายพลางทหาร ในร้ายอาหารฝรั่งเศษแห่งหนึ่ง ในงานเลี้ยงครั้งร้องเพลง “สู้เข้าไปอย่าได้ถอย” กันกระฮึ่มว่ากับฉลองรับรองการยึดอำนาจ ส่วนฝรั่งมันอ้างชื่อใครบ้างอ่านกันเอาเองเพราะภาษาดี นักเรียนนอกกันทั้งนั้น

Junta Sets Year’s Goals for Its Rule in Thailand
But before General Prayuth’s speech photos of them celebrating at a French restaurant in an upscale Bangkok neighborhood circulated on social media. Many wore military fatigues, an apparent sign of their approval of the coup, and were shown dancing and singing their protest anthem.
A video posted by one of the protest leaders, Chitpas Kridakorn, was titled “Keep on fighting, Don’t retreat.”

ส่วนวอร์ชิงตันโพสต์ นายกวิน วิลัยรัตน์ คนไทยใจสัตว์ เขียนจดหมายถึง บก เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ประชดประชันว่า “อเมริกา ประท้วงทหารยึดอำนาจไปจากรัฐบาลพลเรือน โดยสถานเบาทำเหมือนไม่จริงจังหรือแสแสร้งตำหนิทหารไปเล็กน้อยๆ (มันว่าของมันอย่างนั้นจริงๆลองอ่านดูข้างล่างครับ) อเมริกาไม่จริงใจตำหนิประเทศไทย เพราะไปเชื่อข้ออ้างตลอดกาลของทหารไทยว่ายึดอำนาจเพื่อรักษาความสะงบเรียบร้อย ทหารไทยพูดอย่างนี้ทุกครั้งที่ยึดอำนาจตั้งแต่ปี 2490 ความจริงแล้วทหารและกลุ่มคนรวยที่ทหารปกป้องอยู่นั้น ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย เสถรียรภาพทางการเมือง และ ความสามัคคีในชาติตลอดมา
ลงชื่อนายปวิน วิลัยรัตน์
Letters to the Editor
Thailand’s real obstacle to democracy is the military
May 30
The U.S. government’s mild rebuke of the recent military coup in Thailand [“Army coup ousts Thai government,” front page, May 23] was as hollow as it was hypocritical. The Thai junta’s justification for its actions was the same old refrain about the need to restore peace, order and democracy that has been issued after each coup since 1947. In fact, it is the military and the groups that it has protected, enriched and placed above the rule of law that have been the real obstacle to the development of democracy, political stability and national harmony in Thailand.
The United States has turned a blind eye to what has happened and, for misguided reasons, assisted in the empowerment of the Thai military. From Chile to Iran to Vietnam, the United States has often been on the wrong side of history. Dare we hope that this will not be the case with Thailand, which faces civil war and disintegration of the country?
Kawin Wilairat, Washington
ผมเอาตัวอย่างภาษาอังกฤษ เพียงบางตอนมาให้อ่าน เพราะจะได้รู้ว่าทั้งฝรั่งทั้งคนที่ที่ระบอบทักษิณ จัดตั้งผ่านบริษัทประชาสัมพันธ์ และ ลอบบี้ยีสต์ มันหาเรื่องด่าประเทศไทยได้ทุกเรื่อง แม้แต่อเมริกา แทรกแซงกิจการภายในของจนมากกว่าคำว่าน่าเกลียดแล้ว คนไทยใจสัตว์มันยังหาว่าอเมริกา ประท้วงไทยอ่อนไป ด่าไทยน้อยไป ลงโทษประเทศไทยน้อยไป

ในเมื่อคนไทยในวอรชิงตันคิดอย่างนี้ แล้วจะให้ฝรั่งทั้งในเมืองไทยและเมืองมันคิดอย่างไร เราเองเคยเห็นความเลวร้ายของขบวนทำลายชาติกลุ่มนี้ตั้งแต่ปี 2549 ตอนนั้นเรายังทำงานอยู่กับสำนักข่าวประเทศ ได้รู้ได้เห็นเรื่องที่ระบอบทักษิณ จ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ ให้ลอบบี้สื่อต่างประเทศให้รายงานทำร้ายประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันสูงสุด บริษัทประชาสัมพันธ์เหล่านี้ อ้างนักวิชาการจากมหาวิทยาต่าง ทำวิจัยบ้าง สัมมนาบ้าง รายงานประจำเดือน บ้างล้วนแต่เป็นเรื่องเลวร้ายของประเทศไทย ส่งเป็นข้อมูลเข้ามาในกล่องรับข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศ

เมื่อข้อมูลมาถึงประเทศไทยแล้วก็มีคนของพรรคไทยรักไทยที่ภาษาดีอย่างนายจักรภพ เพ็ญแข นายยอน บุญประคอง ตามไปประกบสำทับในสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ส่วนใหญ่นักข่าวฝรั่งจะชอบข้อมูลเลวร้ายของประเทศไทย นักข่าวไทยที่อยากดังบางคนก็ชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับมาตร 112 และ เกี่ยวกับสถาบัน แม้กระทั่งหนังสือเรื่อง คิง เนเวอร์ สไมล์ บางตอนก็ช่วยตรวจทานกันในกรุงเทพนี้

ผมเป็นคนเดียวที่ขัดขวางทัดทานมันในสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ จนต้องออกจากสำนักข่าวเอพี เพราะบริษัทประชาสัมพันธ์ในอเมริกา ได้รับหนังสือร้องเรียนไปจากคนที่ใช้ชื่อ เอกพิภบ Ekapipop น่าเป็นนายจักกร์ภพ ว่าผมไปร่วมมือกับพวกขบถยึดทำเนียบ (เวลานั้นพันธิมตรยึดทำเนียบ) สำนักข่าวเอพี สอบถามผมแต่ไม่ได้ว่าอะไร แต่ผมมาพลาดเองเพราะไปตั้งคำถามกับพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขณะที่ช่อง 11 กำลังถ่ายทอดสอว่า “ระหว่างชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนกับนายกเฮ็งชวยท่านจะเลือกใคร” ถึงตอนนี้มีหนังสือร้องเรียนไปถึงสำนักข่าวเอพีอีกฉบับ ผมเลยลาออกตั้งแต่วันนั้น

เขียนมายืดยาวเพราะต้องการให้รู้ว่า ขบวนการทำลายชาติโดยสื่อฝรั่งได้จัดตั้งกันมาเป็นระบบ เพราะฉะนั้นอย่าได้หวั่นไหวกับคำวิจารณ์ของสื่อฝรั่งและ ประเทศตะวันตกเพราะพวกมันเตรียมการทำลายประเทศไทยมานานแล้ว

ต้านรัฐประหาร "มันลึกกว่าที่คิด/"หมดเวลา 'นังคริสตี้' ได้เวลาสั่งสอน 'พญาอินทรีย์'"

ที่มา ที่ปรึกษา คสช.



ห้าในสิบของคณะที่ปรึกษาคสช. เป็นอดีตทหารใหญ่ในกองทัพ ซึ่งสองในห้าเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อย ที่เคยทำงานอย่างใก้ลชิดกันมาในค่ายพรหมโยธี จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองพลทหารราบที่สอง ฐานที่มั่นของบูรพาพยัคฆ์ นอกจากเติบโตมาในค่ายเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นน้องเล็กในบ้านพักภายในค่ายที่เคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน กลายเป็นความผูกพันธ์จนถึงปัจจุบัน การแต่งตั้งให้ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้เป็นประธานคณะที่ปรึกษา และให้อาป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ทำหน้าที่รองประธาน รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือผิดความคาดหมาย นายทหารในกองทัพตั้งข้อสังเกตถึงคำสั่งที่ออกมาว่า อาจเป็นการส่งสัญญานบอกล่วงหน้าว่าอาตู่ นอกจากจะทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว น่าจะต้องควบตำแหน่งรมว.กลาโหมด้วย ก่อนหน้านี้มีข่าวว่ิงเต้นเพื่อมาเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ทั้งจากอาป๊อก และ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุววณ ที่ได้รับการแต่งให้เป็นคณะที่ปรึกษาด้วยเช่นกัน นายทหารที่ใก้ลชิดอาตู่ ให้ข้อมูลว่า มีกาศึกษาบทเรียนที่เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจในปี 2534 และ 2549 ดึงคนนอกและอดีตผู้บังคับบัญชามาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้มีปัญหาตามมาบานตะเกียง เป็นเหตุผลที่น่าจะทำให้อาตู่ ตัดสินควบเองทั้งสองตำแหน่ง จะได้เล่นบทเดินหน้าผลักดันการปฏิรูปได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องใครจะปฏิวัติซ้อน หากมีใครปล่อยข่าวนี้ก็ไม่ต้องให้น้ำหนักเพราะเป้นข่าวเลอะเทอะ ที่ไม่มีน้ำหนักของความเป็นไปได้เอาเลย...

 
By วรวรรณ ธาราภูมิ
เปลว สีเงิน เขียนว่า “ประเด็นที่น่าจับตากันเป็นพิเศษภายใต้เงื่อนไขรัฐประหาร อยากจะบอกว่า เรื่องที่พูด ว่าด้วยทักษิณ ว่าด้วยปัญหาภายในนั้น นั่นแค่...ฉากพรางตา!

เมื่อวาน มีโอกาสคุยกับ "คุณทนง ขันทอง" ผู้สันทัดวิเทศ ค่ายเนชั่น ท่านตั้งข้อสังเกตน่าคิดว่า....

"ม็อบมดกัดไข่ ช...ูป้ายต้านรัฐประหาร แถวๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีแค่ ๒-๓ ร้อยคน แต่ทำไมจึงมีนักข่าวต่างประเทศแห่มาทำข่าวตั้ง ๔๐-๕๐ คน ต่างกับตอนมวลมหาประชาชนชุมนุมออกมาเป็นล้าน สื่อต่างชาติไม่ให้ความสนใจเท่านี้?"

--------------------------------------
ต้านรัฐประหาร "มันลึกกว่าที่คิด

เปลว สีเงิน (ไทยโพสท์)
30 พฤษภาคม 2557

นักข่าวถาม "พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง" รองโฆษก ทบ. เมื่อวาน (๒๙ พ.ค.๕๗) ว่า "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะจัดการอย่างไรกับทักษิณ?"

ประเด็นนี้ ฟังดูง่าย แต่สำหรับคนตอบ ดูจะยาก ลองเดาดูซิครับว่า พ.อ.หญิงศิริจันทร์ จะตอบว่าไง  เธอตอบว่า....

"ท่านต้องการทำทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องอดีต และงานทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๒ พ.ค.ที่ผ่านมา ท่านเคยพูดต่อวงประชุมต่างๆ ว่า...เมื่อผมผูกเชือกรองเท้า ผมเดินทันที ไม่หันไปมองข้างหลัง" ทำเอาผมนึกถึงทนายนกเขา "คุณนิติธร ล้ำเหลือ" เจ้าของวลีมาดแมน "รองเท้าผ้าใบ กับใจถึงถึง" ขึ้นมาติดหมัด!  และนี่ก็...กระแทกใจผมนะ....!

"เมื่อผมผูกเชือกรองเท้า ผมเดินทันที ไม่หันไปมองข้างหลัง" เพียงสามวลีเท่านี้ อธิบายตัวตน อธิบายเป้าหมายของผู้ชายที่ชื่อ "ประยุทธ์ จันทร์โอชา-พลเอก" ได้หมดจด  สั้นๆ แต่จบจักรวาล พอๆ กับวลี "ผมขอโทษ...ผมจำเป็นต้องยึดอำนาจ" นั่นแหละ!

ท่านสังเกตมั้ย ตอนพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน รัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ พุ่งเป้าที่ตัวทักษิณโดยตรง หนึ่งในหลายความผิดของทักษิณคือ "การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ" บิ๊กบังได้ประกาศ แต่บิ๊กบังไม่ได้ทำ!  แล้วครั้งนี้ ๒๒ พ.ค. พลเอกประยุทธ์ทำรัฐประหาร ประกาศด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า เพราะมีการฆ่ากัน และเหตุผลหลัก ตามแถลงการณ์มีว่า....

"เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคีเช่นเดียวกับห้วงที่ผ่านมา ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกันทั่วทุกฝ่าย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ"
จะเห็นว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ยกเอารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้งพฤติกรรมบริหารมาเป็นเงื่อนไข รวมถึงเรื่องทุจริตคอร์รัปชันที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตา เพราะอะไร...?

เพราะช่วงรัฐประหารนั้น พลเอกประยุทธ์ถือว่า "ไม่มีรัฐบาลแล้ว" มีแต่ผลจากอดีตสร้างเหตุการณ์ปัจจุบันที่ต้องแก้ไข คือประชาชนแตกสามัคคี งานปฏิรูปโครงสร้างการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม เป็นภาระที่จำเป็นต้องเข้ามาแก้ไข

ถามว่า...แบบนี้ หมายความว่า "คณะ คสช." ตีค่าทุจริต-คอร์รัปชันในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็น "อดีตที่ คสช.จะไม่ย้อนกลับไปสะสาง" งั้นหรือ?

ผมตอบแทน คสช.ไม่ได้ แต่เท่าที่สังเกต ก่อนลงมือรัฐประหาร กองทัพ "สะสมข้อมูล" ทุกด้านไว้พร้อมหมดแล้ว และสังเกตในรอบ ๗ วัน ผ่านงานที่ออกมา ก็บอกได้ว่า การออกหมัดของ คสช.คนละสไตล์กับกำนันสุเทพ!  กำนันสุเทพ เวลาจะนำมวลมหาประชาชนออกปฏิบัติการ จะแถลงถึงเป้าหมาย สถานที่ ตัวบุคคล วัน-เวลา ให้ทราบล่วงหน้าหมด  แต่ คสช.แต่ละปฏิบัติการ จะรู้เมื่อเป็นคำสั่งออกมาฉบับที่เท่านั้น-เท่านี้ เท่านั้น!

ดังนั้น เรื่องตัวทักษิณก็ดี เรื่องทุจริต-คอร์รัปชันรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่องจำนำข้าวที่ฉาวออกมา คอร์รัปชันไปกว่า ๕ แสนล้านบาท ผมว่า โปรดรอซักครู่

"สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ไม่พูด ใช่ว่าเป็นสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ไม่ทำ"

ยิ่งเมื่อวาน "องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน" โดยคุณประมนต์ สุธีวงศ์ และคุณสมพล เกียรติไพบูลย์ ผู้เป็นหลักสู้ให้สังคมยึด ออกมากระตุกเร้า คสช.ให้ตั้งกรรมการตรวจสอบเรื่องคอร์รัปชัน ๕ แสนล้าน

ยิ่งเป็นสัญญาณตอกย้ำให้รู้ว่า ในแผนที่ "คสช.ไม่พูด" เรื่องทุจริต-คอร์รัปชันนั้น วันไหน เป็นวันลงดาบ จากฝ่ายไหนก็เถอะ วันนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะตัวยิ่งลักษณ์"แผลแบะแฉะ" แน่!

ประเด็นที่น่าจับตากันเป็นพิเศษภายใต้เงื่อนไขรัฐประหาร อยากจะบอกว่า เรื่องที่พูด ว่าด้วยทักษิณ ว่าด้วยปัญหาภายในนั้น นั่นแค่...ฉากพรางตา! เมื่อวาน มีโอกาสคุยกับ "คุณทนง ขันทอง" ผู้สันทัดวิเทศ ค่ายเนชั่น ท่านตั้งข้อสังเกตน่าคิดว่า...."ม็อบมดกัดไข่ ชูป้ายต้านรัฐประหาร แถวๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีแค่ ๒-๓ ร้อยคน แต่ทำไมจึงมีนักข่าวต่างประเทศแห่มาทำข่าวตั้ง ๔๐-๕๐ คน ต่างกับตอนมวลมหาประชาชนชุมนุมออกมาเป็นล้าน สื่อต่างชาติไม่ให้ความสนใจเท่านี้?"

"ม็อบมดกัดไข่" ผมเรียกเอง คุณทนงไม่ได้เรียก ตอนนี้เห็นเร่รังไปกัดไข่ยั่วทหารขยี้ที่โน่น-ที่นี่ เมื่อวานโผล่แถวๆ ท่าพระจันทร์

"นักข่าวต่างประเทศ" ที่ว่านั้น จะมาจากสำนักข่าวตะวันตกเป็นหลัก ก็สอดคล้องกับข้อความที่ "ขบวนการชักใย" เขียนให้ชู ด้วยศัพท์แสงสื่อให้ฝรั่งถ่ายภาพ-ทำข่าวไปเผยแพร่ในประเทศของเขาเพราะอะไร...เพราะทักษิณจ้างมางั้นหรือ?

ตื้นๆ ก็มองอย่างนั้น แต่ถ้าหรี่ตายอนลงไปตามซอกหลืบมะลำ-มะเลือง เราจะเห็นว่า "มือที่มองไม่เห็น" มันซ้อนรูป-ซ้อนรอยเข้ามาเล่นงานประเทศเราแล้ว!  มือที่มองไม่เห็น" นั้น คือ ..จักรวรรดิอำนาจทุนนิยมตะวันตก" มันสอดแทรกเข้ามาบ่อนทำลาย ตราบเท่าที่ "อำนาจประเทศไทย" หลุดไปจากมือรัฐบาล-บุคคลที่มันกดปุ่มได้

แหล่งน้ำมัน-ฐานทัพอู่ตะเภา" จักรวรรดิอำนาจทุนนิยมตะวันตก มันยอมให้หลุดมือไปไม่ได้ ขืนยอมให้ประเทศไทยหลุดไปจาก "อำนาจคอนโทรล" ตะวันตก นั่นเท่ากับยุโรป-สหรัฐ สูญเสีย "อุษาคเนย์" ให้กับจีน

ผมจะยกตัวอย่างให้ใคร่ครวญว่า "อำนาจตะวันตก" เนียนมาในรูปแบบ "สำนักข่าว" เพื่อสอดแทรก-ชักใยเป็นแนวร่วมกลุ่มต้านรัฐประหาร คสช.หรือไม่-อย่างไร

ผู้ใช้นามว่า "เจ้าหญิง ราพันเซล" นำข้อความหนึ่งมาโพสต์ใน fb ของเขาเมื่อวานว่า …

"ตอกหน้านักข่าวฝรั่งหงายเงิบเลย 555555555555... ลืมเล่าให้ฟัง วันก่อนเอาน้ำดื่มไปแจกทหารแถวๆ ราชดำเนินแล้วเจอนักข่าวฝรั่งของรอยเตอร์เข้ามาขอสัมภาษณ์ เราก็บอกว่า...ได้ คุณเธอก็ยิงคำถามเข้ามา

นักข่าว : ทำไมคุณถึงออกมามอบอาหารและน้ำดื่มให้ทหาร?

แชมป์  : เพราะเราต้องการที่จะให้กำลังใจ และแสดงความสนับสนุนแก่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อบ้านเมืองของเรา (เน้นเสียงที่คำว่า my country)

นักข่าว : แสดงว่าคุณสนับสนุนรัฐประหารครั้งนี้สิ?

แชมป์  : ใช่ ผมและเพื่อนๆ คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่รักประเทศไทยสนับสนุนการรัฐประหารครั้งนี้

นักข่าว : คุณไม่คิดเหรอว่า การรัฐประหารครั้งนี้เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคุณ

แชมป์ : อะไรคือลิดรอนสิทธิเสรีภาพในความหมายของคุณ ทุกวันนี้จะไปไหนก็ไม่มีใครห้าม อยากกินอะไรก็ได้

นักข่าว : แต่ทหารปิดข่าวสาร จำกัดเวลาออกจากบ้าน ค้นบ้านคนหลายๆ คน ถือเป็นการคุกคามมิใช่หรือ?

แชมป์  : ผมไม่ได้ทำผิดอะไร จะกลัวทำไมเรื่องค้นบ้าน ส่วนเรื่องปิดสื่อ ก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร ทุกวันนี้ก็ไม่คิดดูทีวีอยู่แล้ว เพราะมีแต่เรื่องบิดเบือน มีแต่เรื่องไร้สาระ แบบว่าหมีแพนด้ามีเซ็กซ์ หรือว่าบูชาจิ้งจกสองหัวอะไรแบบนี้ ผมว่าปิดก็ดีเหมือนกัน เผื่อพวกรายการจะสำนึกบ้าง

นักข่าว : คุณคิดมั้ยว่ามันแรงเกินไปที่ทหารออกมาควบคุมทุกอย่างในประเทศ?

แชมป์  : มันถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องล้างให้สะอาด ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาคุณไม่สบาย คุณหมอให้คุณกินยา แต่ยามันขม คุณจะกินมั้ยล่ะ?

นักข่าว : แต่ทุกอย่างไม่เป็นประชาธิปไตยเลยนะตอนนี้?

แชมป์  : แล้วไงล่ะ ประชาธิปไตยคืออะไร? คือให้คนมาฆ่ากันตามถนน หรือว่าคือให้โอกาสนักการเมืองคอร์รัปชันโดยอ้างว่ามาจากประชาชน คุณไม่รู้หรือไง หรือแกล้งไม่รู้ว่า คำว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยนั้น มันมาจากการซื้อเสียง นักการเมืองโกงกินภาษีของประชาชน นักการเมืองสร้างความแตกแยกให้ประชาชน แม้กระทั่งยกดินแดนให้ต่างชาติ นี่หรือคำว่าประชาธิปไตยของคุณ เราไม่แคร์หรอกนะว่า จะประชาธิปไตยหรือไม่ ขอเพียงประเทศของเราเดินหน้าไปได้ก็พอ อ้อ...ฝากไปบอกพวกคุณในประเทศของคุณด้วยนะ คนอเมริกันเองก็ใช้คำว่าประชาธิปไตยบังหน้าเพื่อเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในประเทศอื่นๆ มันแย่มากๆ เลวยิ่งกว่ารัฐประหารอีก แถมยังฆ่าคนในประเทศ.....

นักข่าว : โอเค...โอเค ขอบคุณมากๆ ฉันต้องไปแล้ว

แชมป์  : อ้าปากค้าง...กูยังสรรเสริญไอ้กันไม่จบเลย รีบหนีซะแล้ว! อ่านแล้วท่านเห็นอะไรในคำถามนักข่าวรอยเตอร์มั้ย

สอดคล้องกับที่ "คุณกรณ์ จาติกวณิช" โพสต์วันก่อนว่า "ทาง CNN ขอสัมภาษณ์ผมเรื่องปฏิวัติในมุมเศรษฐกิจ เขาถามว่าสถานการณ์เป็นไงบ้าง ผมตอบว่านักธุรกิจก็ดูเหมือนแฮปปี้ดี เพราะต้องทนอยู่กับความวุ่นวายมานาน ผู้สัมภาษณ์ดูเหมือนมีธงจึงสวนผมว่า 'ก็พวกนักธุรกิจเขาเป็นอำมาตย์ (elite) กันหมดไม่ใช่หรือ....."

แหม...จะเอาแถลงการณ์สหภาพยุโรปวานซืน กับแถลงการณ์นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐมาประกอบ ก็หมดเนื้อที่ซะก่อน

วันนี้อย่าเพิ่งคัน จะยกมาให้เกากันวันหลัง!.


 
 
By เจ้าหญิง ราพันเซล รักในหลวง

●●ส่วนหนึ่งของบทความ "หมดเวลา 'นังคริสตี้' ได้เวลาสั่งสอน 'พญาอินทรีย์'"
คอลัมน์...ไม้หน้าสาม โดย...วรพจน์ แสนประเสริฐ
แนวหนัา วันที่ 30 พ.ค. 2557

ในห้วงเวลาที่นักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนตื่นและเรียนรู้กับประชาธิปไตย การเมืองในยุคสมัยนั้นไม่แตกต่างจากยุคสมัยนี้ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี จะต่างกันก็ตรงเราอยู่บน “คณะรัฐประหาร” ที่ยังพอเป็นความหวังให้กับประชาชน และประเทศชาติบ้านเมืองเท่านั้น

ยุคสมัยนั้น ผมจำได้ว่า สิ่งแรกที่นักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนมองเห็นว่าประเทศถูกเอารัดเอาเปรียบ ประเทศถูกกดขี่จากมหาอำนาจที่กล่าวอ้าง ... ที่ทวงบุญคุณจากผืนแผ่นดินไทย และรัฐบาลที่ถูกกล่าวขานว่า ทรราชในขณะนั้นให้ความร่วมมือ แม้จะใช่หรือไม่ใช่ความเต็มใจก็ตามที มหาอำนาจที่ว่าก็คือ “สหรัฐอเมริกา”

การเคลื่อนไหวในยุคนั้นหลังจากเราได้ “รัฐบาลประชาธิปไตย” ภายใต้การนำของ “อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์” แล้ว การดำเนินการต่อจากการได้ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบก็คือการ “ขับไล่ฐานทัพอเมริกา” เข้ามากอบโกยและสร้างความหายนะทางวัฒนธรรมให้แก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก

“คาราวาน” ร้องเพลงอุดมการณ์ขณะนั้นไว้เพลงหนึ่ง  เพลงชื่อ “อเมริกันอันตราย”

เนื้อเพลงระบุว่า “มาพวกเราร่วมเดิน...ฟันฝ่า ก้าวไปกับประชาด้วยศรัทธา..ยิ่งใหญ่ เมืองไทยเป็นของเราทำไมให้เขาเข้ามา จักรวรรดิอเมริกา...อเมริกามันมาย่ำยี เลือดไทยต้องไหลริน แผ่นดินถูกครอบครอง ทำลายบ้านพี่เมืองน้อง ล้มตายก่ายกองเลือดนองแผ่นดิน เมืองไทยเป็นของไทยออกไปไม่ใช่ของมัน จักรวรรดิอเมริกันมันเที่ยวรุกรานไม่ว่าบ้านเมืองใคร แบ่งแยกแล้วทำลาย นาทรายนาหินกองอยู่กินกันอย่างพี่น้อง ไอ้ผู้ปกครองมันมาจุดไฟ รวมกันเถิดผองเรา เผ่าพันธุ์เพื่อนผองไทย อเมริกันมันต้องออกไป อธิปไตยจึงจะสมบูรณ์”

หากจะพูดถึงข้อเท็จจริงในเวลานั้น สหรัฐอเมริกา เข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของไทยไม่มากนัก เมื่อเทียบยุคสมัยนี้ ทว่า ในยุคสมัยนั้นการเข้ามาตั้งฐานทัพอเมริกาในประเทศไทย ซึ่งในเวลานั้นมีถึง 12 แหงคือ อู่ตะเภา ระยอง , ตาคลี นครสวรรค์ , อุบลราชธานี , อุดรธานี , นครพนม , น้ำพอง ขอนแก่ , สัตหีบ ชลบุรี , ลพบุรี , เขื่อนน้ำพุง สกลนคร , นครราชสีมา และ กาญจนบุรี โดยมีศูนย์บัญชาการใหญ่ และหน่วยจัสแม็ก ตั้งอยู่ในกทม. มีเครื่องบินสหรัฐประจำในไทยถึง 550 ลำ

นอกจากนี้แล้ว การเข้ามาของเหล่าทหารอเมริกันที่เรียกว่า “จีไอ” มันทำให้วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยเปลี่ยนไป “สุภาษิตสอนหญิง” ของ “สุนทรภู่” เกือบจะถูกลืมจนเลือนหายไป เกิดอาชีพใหม่ที่เรียกว่า “เมียเช่า”

เกิดเด็กไทยหัวแดงมากมาย จนยุคสมัยหนึ่งกลายเป็นปัญหาในสังคมไทย เกิดสถานบันเทิง ไปจนถึง อโกโก้

ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงกลายเป็น มรดกตกทอดกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน แม้ว่าฐานทัพอเมริกาในประเทศไทยจะย่อยสลายลงไปบ้างแล้วก็ตามที

แต่ยุคสมัยนี้ สหรัฐอเมริกา พยายามฉายแสงแห่งความโหดร้าย ไม่ใช่แสงแห่งการล่าอาณานิคม ไม่ใช่แสงแห่งการทำสงคราม ทว่า กลายเป็นแสงแห่งการสอดแทรกและบงการกิจการภายในประเทศมากยิ่งขึ้น

ผมยกตัวอย่าง ข้อเสนอของสหรัฐในการเรียกร้องให้ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะกลุ่ม กปปส. ให้เคลื่อนไหวภายใต้รัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย โดยให้การเลือกตั้งเป็นตัวแก้ไขปัญหา ตามที่ “นกตะกรุม-สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” หยิบยกมาประกาศผ่านสถานีโทรทัศน์

ข้อเรียกร้องของสหรัฐที่รัฐบาลขณะนั้นมี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็น นายกรัฐมนตรี และมี “นกตะกรุม สุรพงษ์” เป็นนายใหญ่กระทรวงบัวแก้ว อาจเกี่ยวข้องโยงใยกับความพยายามในการจัดตั้งฐานทัพสหรัฐในประเทศไทยอีกครั้ง

สอดรับกับคำแถลงจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่า รัฐบาลไทย / กระทรวงการต่างประเทศเมื่อ 31 ต.ค.56 ได้มอบหมายให้ “บริษัทดาเวนพอร์ต แมคเคสสัน” ให้เป็นผู้แทนประเทศไทยในภารกิจภายในราชอาณาจักรไทย โดยจะต้องไปทำการชักชวนแนะนำสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาและกระทรวงกลาโหมสหรัฐว่า ราชอาณาจักรไทยกำลังแสวงหาความช่วยเหลือจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐให้ไปสร้าง “ฐานบินต่อสู้อากาศยานราชนาวี” ( Naval Air Defense Base )ในประเทศไทย และไทยยังต้องการความช่วยเหลือทางด้านทหารจากสหรัฐที่จะกำหนดเขตความปลอดภัยทางน้ำ ( Safe harbor zone around its water ) รวมทั้งบริษัทจะดำเนินการช่วยเหลือไทย เพื่อให้มีศูนย์กลางตัวแทนการค้าในสหรัฐให้ด้วย โดยไทยได้จ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้แก่บริษัทฯเป็นเงินจำนวน 20,000 เหรียญสหรัฐ แน่นอน ... รัฐบาลระบอบทักษิณปฏิเสธทันควัน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ที่ร้ายไปกว่านั้น “คริสตี้ เคนนี่ย์” เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ก็สร้างวีรกรรมหลายครั้งที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เห็นว่า สหรัฐก้าวก่ายและเลือกที่จะดึงเอา “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็นนักโทษคดีอาญาของไทยไปเดินข้างในฐานะมิตรสหาย ออกวีซ่าเข้าประเทศโดยอ้างว่าเป็นการดำเนินการตามกฎหมายสหรัฐอเมริกาอย่างเข้มงวดเคร่งครัด มิใยดีข้อตกลงส่งคนร้ายข้ามแดนที่กระทำการลงนามต่อกันไว้แม้แต่น้อย

ตลอดเวลาที่ “คริสตี้ เคนนี่ย์” ทำหน้าที่ในไทย บทบาทของ “คริสตี้ เคนนี่ย์” ดูเหมือนจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเครือข่ายระบอบทักษิณ จนเกิดข้อสงสัยและคำถามกับประชาชนคนไทยถึงสายสัมพันธ์ของทูตสหรัฐฯ ผู้นี้กับ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่นที่ถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์และให้จำคุก 2 ปี ทั้งการออกวีซ่าให้แก่ “ทักษิณ” เข้าออกสหรัฐได้ตามอำเภอใจ ทั้งที่ระเบียบการขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ มีข้อกำหนดประการหนึ่งที่ระบุชัดว่า “ผู้ยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศสหรัฐฯ ต้องไม่มีประวัติอาชญากรรม”

กระทั่งล่าสุด “จอห์น เคอร์รี่” รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ที่ออกมาแสดงความเสียใจที่กองทัพไทยประกาศยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พร้อมประกาศตัดความช่วยเหลือและสนับสนุนกองทัพไทยจำนวนกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ จนโดน “สมเกียรติ อ่อนวิมล” โพสต์ข้อความตอบโต้ สอนให้สำเหนียกและสำนึกถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศ

ผมไม่ได้ติดใจกระทั่ง “ไมเคิล ยอน” โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คเกี่ยวกับพฤติกรรมของ “คริสตี้ เคนนี่ย์” ความที่ “ไมเคิล ยอน” เป็นนักข่าวสงครามของนิวยอร์คไทมส์ จึงน่ารับฟังอย่างมาก เขาบอกว่า รัฐบาลกลางสหรัฐน่าจะทบทวนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ในสถานะ “เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย” ได้แล้ว เพราะพฤติกรรมส่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ “ไทย-สหรัฐ” ที่มีสัมพันธ์อันดีมากว่า 181 ปี

“ไมเคิล ยอน” เขียนถึงว่า หมดเวลาของ “คริสตี้ เคนนี่ย์” ในประเทศไทยแล้ว

“เอกอัครราชทูตเคนนี่ คุณควรน่าจะได้อ่าน กรุณารับรู้ว่าผมไม่ได้เกลียดคุณ ประชาชนบางคนเขาเกลียดคุณ แต่ก็อีกนั่นและ คนจำนวนมากก็เกลียดผมเหมือนกัน โดยมากเป็นเพราะข้อมูลที่ผิด แม้ว่าบางครั้งก็ไม่ผิดความกังวลของผม ความกังวลของเรา ไม่ใช่ตัวคุณ หรือ ตัวผม แต่กังวลว่าเราจะผลักไสมิตรที่เชื่อใจ, ประเทศไทย, ให้เป็นปฏิปักษ์คู่อริที่เหม็นขี้หน้า วันเวลาการทำงานของคุณในประเทศไทยได้จบลง ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้ว”

ผมกำลังจะบอกว่า มันถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องมาจริงจังกับพฤติกรรมเสื่อมทรามของมหามิตรอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ได้แล้ว แน่นอน สหรัฐฯ อาจจะมีวิทยาการและเทคโนโลยีเหนือกว่าไทยกันเทียบไม่ติด แต่เราก็มีบางสิ่งบางอย่างที่สหรัฐฯไม่มี และไม่มีวันจะมี ขณะที่วิทยาการและเทคโนโลยีนั้นสามารถพัฒนาเรียนรู้ให้ทันกันได้

วันนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ มุ่งมั่นจะปฏิรูปประเทศไทย คงไม่ลืมหรือมองข้ามการปฏิรูปการศึกษาเป็นแน่ ถ้าการปฏิรูปการศึกษาไทยมีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้เยาวชนไทยมีความรู้ความสามารถมากขึ้น งานวิจัยต่างๆ ย่อมเพิ่มมากขึ้น และอาจจะประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นด้วย

ถึงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศต้องเชื่อมั่น และลุกขึ้นมาต่อต้านการเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของสหรัฐอเมริกาได้แล้ว ครั้งหนึ่ง “คาราวาน” เคยร้องเพลงต่อต้าน “จักรวรรดิอเมริกา” ครั้งนี้ก็น่าจะกระทำได้อีก แต่มุ่งไปยังการบอยคอตสินค้าอเมริกา ไทยไม่ใช่เมืองขึ้น และไม่มีวันเป็นเมืองขึ้นสหรัฐ
มันคงหมดเวลาของนังคริสตี้ แต่มันคือจุดเริ่มต้นแห่งการสั่งสอนอเมริกากันแล้วครับ  ลุกฮืออีกสักครั้ง สั่งสอนอเมริกากันสักที เถอะครับ
 

สถิติจำนวนปฎิวัติและคำสั่ง/เหตุการณ์ผู้ชุมนุม ทำร้ายทหาร และรุมทำลายรถทหาร




มีลุ้นปฏิรูปพลังงาน “ประยุทธ์” ยืนยันดูแลราคาอย่างเป็นธรรม!
ผ่าประเด็นร้อน
  
       ม้ว่านาทีนี้ยังไม่มีความชัดเจนจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะมีการปฏิรูปด้านพลังงานภายในประเทศหรือไม่ หรือถ้ามีการปฏิรูปแล้วจะออกมาแบบไหน อาจเพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดกันในตอนนี้ก็ได้ ยังอยู่ในช่วงของการจัดระเบียบ เน้นในเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้ากันก่อนอยู่ก็ได้
  
       การเข้ามาบริหารบ้านเมืองอาจยังไม่เรียบร้อย ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เนื่องจากยังเป็นช่วงปัจจุบันทันด่วน เข้ามาแบบฉุกละหุก ต้องรอเวลาและความชัดเจนอีกระยะหนึ่งก่อน ไม่เป็นไร
  
       อย่างไรก็ดี ในระหว่างรอนั้น เราก็ได้เห็นปรากฏการณ์อะไรบางอย่างออกมาบ้างแล้ว จากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กล่าวต่อบรรดาข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้อง มีการพูดถึงเรื่องการดูแลค่าครองชีพ และอีกหลายเรื่องที่สำคัญ
  
       โดยตอนหนึ่งเขาพูดถึงเรื่องพลังงานว่า “จะดูแลเรื่องราคาพลังงานอย่างเป็นธรรม”
  
       คำพูดดังกล่าวยังไม่มีนำมาขยายความ หรือออกมาเป็นประเด็น เพราะบรรดาสื่อต่างๆ ก็ไม่ได้รายงานออกมาให้ได้ยิน แต่เมื่อตอนเที่ยงวันที่ 29 พฤษภาคม ที่มีรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย มีการปล่อยเสียงคำพูดตอนหนึ่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล่าวถึงเรื่อง “พลังงาน” ออกมา โดยเฉพาะเรื่อง “การดูแลราคาพลังงานอย่างเป็นธรรม” ทำให้หูผึ่งขึ้นมาทันทีว่าและคิดว่าวันข้างหน้า คสช.จะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปในทิศทางไหน แต่สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็คือจะต้องมีการแก้ไขจัดการแน่ เพียงแต่จะถึงขั้นปฏิรูปกันทั้งระบบหรือไม่นั้นต้องรอดูกันต่อไป
  
       แน่นอนว่าการปฏิรูปพลังงานของประเทศเป็นความหวังของประชาชนทุกคน เพราะรับรู้ว่าการใช้พลังงานและราคาพลังงานนั้นไม่เป็นธรรม ในฐานะที่เป็นคนไทยและเป็นเจ้าของพลังงาน แต่กลับต้องบริโภคในราคาที่แพงกว่าหลายประเทศอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เป็นพลังงานภายในประเทศแท้ๆ
  
       ที่สำคัญที่สุด ผลจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่าง ปตท. กลับทำให้ต้องแบ่งผลกำไรไปให้เอกชนที่เข้ามาถือหุ้นถึงร้อยละ 49 อ้างความเป็นสมบัติของชาติในการดำเนินธุรกิจ แต่กลับแบ่งผลกำไรไปให้นายทุน นักการเมืองที่เข้าฉ้อฉลซื้อหุ้นราคาถูก กอบโกยผลประโยชน์
  
       ดังนั้น เป้าหมายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องการสลายสีเสื้อของคนในชาติ เพื่อความสามัคคีอย่างได้ผลและยั่งยืนได้อีกทางหนึ่งก็คือ ใช้ความกล้าหาญปฏิรูปโครงสร้างระบบพลังงานอย่างขนานใหญ่ นั่นแหละน่าจะได้ผลเป็นรูปธรรมชัดกว่าไปทำเรื่องอื่น บางเรื่องถูกมองว่าไม่ต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งล้าสมัย เนื่องจากชาวบ้านยุคใหม่เขารับรู้ข้อมูลไปไกล และเปลี่ยนวิธีการรับรู้ใหม่แล้ว
  
       ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด แค่ข่าวว่ามีการบล็อกเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม แค่ 30 นาทีทำเอาร้อนฉ่าสถานการณ์เกือบพลิกผัน เรื่องพลังงานนี่แหละได้ใจที่สุด
  
       อย่างไรก็ดี น่าจับตาก็คือการเรียกประชุมผู้บริหารรัฐวิสาหกิจในวันที่ 31 พฤษภาคม โดย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็คงได้เห็นแนวทางและเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น
  
       เชื่อเถอะเรื่องพลังงานนี่แหละเป็นอีกหัวใจสำคัญในการปฏิรูปประเทศ อย่าทำให้ผิดหวังเป็นอันขาด!!
ชาย นิรนาม's photo.



"ประยุทธ์"ลั่นผูกเชือกรองเท้าแล้วต้องเดินทันที !!!!!
โพสต์ทูเดย์ออนไลน์
รองโฆษกทบ.เผยประยุทธ์ระบุผูกเชือกรองเท้าแล้วเดินทันทีไม่หันไปมองข้างหลัง เตรียมกำหนดรูปแบบวิธีสื่อสารรายงานการทำงานให้ประชาชนทราบ
...
เมื่อวันที่ 29 พ.ค พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก (ทบ.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีแนวคิดที่จะสื่อสารและรายงานสถานการณ์และการทำงานของคสช.ให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งอยู่ระหว่างการกำหนดรูปแบบซึ่งถือเป็นความตั้งใจของหัวหน้าคสช.ในฐานะที่เข้ามาบริหารประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจัดการปัญหาทางการเมืองโดยเฉพาะกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ งานทุกอย่างให้นับตั้งแต่เข้ามาทำงานคือวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา หัวหน้า คสช.ไม่เคยพูดถึงเรื่องอดีต
"ท่านต้องการทำทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องอดีตและงานทุกอย่างเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ท่านเคยพูดต่อวงประชุมต่างๆว่า เมื่อผมผูกเชือกรองเท้า ผมเดินทันที ไม่หันไปมองข้างหลัง"พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าว

เหตุการณ์ผู้ชุมนุม ทำร้ายทหาร และรุมทำลายรถทหาร (28/5/2557) เหตุเกิดที่ อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ไอ้เชี่ยสุรชัย ขี้ข้าแม้ว มันยอมรับกับรอยเตอร์แล้วว่า มันเป็นคนลงมือบล๊อคเฟสบุ๊คเอง..
สาสสสสเอ๊ยยยย

สัญญาณเตือน "โรคหัวใจ"/วิธีตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูกด้วยตัวเอง/สาระดี สำหรับคนกินแล้วไม่ถ่าย










ในบรรดาโรคมะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตหญิงไทย ปัจจุบันมะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด และมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงที่สุดตามจำนวนผู้ป่วยที่พบบ่อยขึ้น มะเร็งปากมดลูกที่เคยเป็นแชมป์อุบัติการณ์ที่พบบ่อยมายาวนานหลายปี ปัจจุบันตกมาเป็นอันดับสอง ไม่ใช่เป็นเพราะอุบัติการณ์ของมะเร็งเต้านมสูงขึ้นมากแต่อุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกยังเท่าเดิม แต่ข้อเท็จจริงก็คืออุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกนั้นลดลงชัดเจน
                      เหตุที่เป็นเช่นนั้น มิใช่เพราะจากโชคช่วยหรือปาฏิหาริย์แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความสำเร็จของโครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทั่วประเทศ 76 จังหวัดที่ดำเนินการโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ร่วมกับการให้เงินทุนสนับสนุนโครงการโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ สปสช. ที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 จวบจนปัจจุบันปี 2557 กำลังจะครบ 10 ปี จากเดิมก่อนเริ่มโครงการอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปากมดลูกอยู่ที่ 23.4 คนต่อประชากร 100,000 คนลดลงเหลือ 16.7 คนต่อประชากร 100,000 คน โดยใช้วิธีการตรวจแป๊ปสเมียร์ คือการใช้ไม้พายขนาดเล็กๆ ไปป้ายกวาดเซลล์บริเวณปากมดลูกไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยนักเซลล์วิทยา ดูว่ามีเซลล์หน้าตาผิดปกติอย่างไรหรือไม่ แต่ในความสำเร็จดังที่ว่า ก็ยังมีปัญหาที่แอบแฝงอยู่คือ กลุ่มผู้หญิงไทยที่ขี้อาย ขนาดให้ตรวจคัดกรองฟรีไม่ต้องเสียสตางค์แต่อย่างใดตามที่โครงการกำหนด ก็ยังไม่มาตรวจ ต่อให้เอาช้างมาฉุดเท่าไหร่ก็ไม่มีทางมาตรวจเด็ดขาด เพราะอายแพทย์ ไม่กล้าเปิดเผยของสงวน เรียกว่ายอมตายเสียยังดีกว่าต้องไปขึ้นขาหยั่ง กลุ่มผู้หญิงขี้อายที่ว่านี้โดยรวมตัวเลขอยู่ที่กว่า 40 เปอร์เซ็นต์

                      ล่าสุดมีอุปกรณ์สำหรับคุณผู้หญิงที่ขี้อายกลุ่มนี้ สามารถเก็บสารคัดหลั่งในบริเวณปากมดลูกได้ด้วยตนเอง โดยวิธีที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนหรือสร้างความเจ็บปวดแต่อย่างใด จากนั้นก็เก็บใส่ถุงใส่กล่องส่งไปรษณีย์ไปตรวจหาหาดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสหูดหรือไวรัสเอชพีวี เนื่องจากในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูก การตรวจด้วยวิธีการนี้มีความไวสูงมาก ถ้าผลตรวจเป็นลบ ก็สบายใจได้มากก็มาตรวจภายในซ้ำกันทุก 3-5 ปี ซึ่งผู้หญิงบ้านเราส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในกลุ่มนี้ แต่หากผลตรวจดีเอ็นเอเป็นบวก ก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจแป๊ปสเมียร์ต่อ ถ้าเจอเซลล์ผิดปกติก็ทำการตรวจส่องกล้องปากมดลูกกันต่อไป แต่ถ้าไม่พบเซลล์ผิดปกติกลุ่มนี้ก็ต้องมาตรวจแป๊ปสเมียร์ปีละครั้ง เพราะยังมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากยังมีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีบริเวณปากมดลูกอยู่

                      ท้ายที่สุดหากสามารถลดจำนวนผู้หญิงขี้อายที่ร้อยวันพันปีก็ไม่ยอมมาตรวจเลยลงได้ ให้มาตรวจกันมากขึ้น ซึ่งก็คงยากเอาการ หรือรณรงค์ส่งเสริมให้ใช้อุปกรณ์ที่ว่าเก็บสารคัดหลั่งได้ด้วยตนเองมาส่งตรวจ ก็จะสามารถค้นหาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้นได้มากขึ้นและอัตราการตายของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในภาพรวมก็จะลดลงในที่สุด...เชื่อผมสิ



สาระดีๆ สำหรับคนที่กินแล้วไม่ค่อยขับถ่าย อนาคต..
มะเร็งลำไส้..! (imp)"ตะลึง"
....คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางศพมีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 โล... แล้วเป็นเพราะอะไร???...

(yes)        เค้าว่า "อุจจาระตกค้าง" เนื่องมาจาก
(lips)    1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
(apple) 2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
(snow) 3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
(drop)  4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
(sun)    5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

(toilet)     หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า
(poop)     ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบนเวลาถ่ายจะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาท ปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอมาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึหลัง 7 โมงเช้า ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาด ช่วงเวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุดแต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวารทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่ามันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ก็เกาะติดแน่น

(poop)     ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อยๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะ และกดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมายเช่นท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัวอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ

(rage)      นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่าเวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ

(gasp!)    การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น
(content) แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้

(at last!) สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจ ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

(tearsofjoy)   1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวันหรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

(exasperated) 2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

(yummy)       3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออก

อาหารลดความดันเลือดสูง
ความดันเลือดสูงเป็นโรคที่สำคัญของคนไทย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพราะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตและพิการอันดับต้นๆ ของคนไทย การกินอาหารที่ช่วยลดความดันเลือดสูง เป็นวิธีที่ง่าย ประหยัดและมีประโยชน์คุ้มค่า ทั้งยังลดโอกาสที่จะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย
http://bit.ly/1wFQimC

ความดันเลือดสูงเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนไทยโดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมือง

เฉลี่ยแล้ว ทุกๆ ๕ คนจะมีผู้ที่เป็นโรคความ ดันเลือดสูง ๑ คน อายุยิ่งมาก ยิ่งมีโอกาสเป็นโรคความ ดันเลือดสูงมากขึ้นตาม ดังนั้น ผู้ที่อายุมากกว่า ๓๕ ปี ทุกคนควรได้รับการตรวจวัดความดันเลือดอย่างน้อยปีละครั้ง

ถ้าความดันเลือดเฉลี่ยจากการวัดหลายๆ ครั้งในเวลา ๑-๒ สัปดาห์ เกินกว่า ๑๔๐/๙๐ มิลลิเมตรปรอท ก็ถือว่าเป็นโรคความ ดันเลือดสูง
ผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูงมักจะไม่มีอาการใดๆ บอกว่าความดันเลือดสูง แต่อาจจะมาด้วยอาการแรก คือเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือแม้แต่หมดสติ จากหลอดเลือดสมองตีบ แตก หรือ ตัน ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ ๑ ในหญิงไทย และอันดับ ๒ ในชายไทย หรืออาจจะมาด้วยอาการเจ็บหน้าอก จากหลอดเลือดหัวใจตีบตันจนหัวใจขาดเลือด หรือเจ็บหน้าอกจากหลอดเลือดใหญ่ฉีกขาด ต้องได้ รับการรักษาอย่างรีบด่วน มิฉะนั้น อาจเกิดอันตรายถึง กับเสียชีวิตได้ เป็นต้น

ดังนั้น แม้ว่าเราจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ตามเมื่อความดันเลือดสูง แต่เราก็ต้องหาวิธีทำให้ความ ดันเลือดอยู่ในระดับปกติ โดยไม่ได้รักษา "อาการ" ของความดันเลือดสูง แต่เรา "ป้องกัน" โรคที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งถ้าโรคแทรกเกิดขึ้นแล้วอาจแก้ไข "รักษา" ไม่ทันจนเสียชีวิตหรือพิการได้ การป้องกันไว้ก่อนย่อม ดีกว่าตามรักษาทีหลัง

ความดันเลือดสูงก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะเป็น "สัญญาณ" บอกให้รู้ว่า การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเราคง จะไม่สอดคล้องกับธรรมชาติในร่างกายของเรา เช่น เรากินอาหารไขมัน น้ำตาลสูงเกินกว่าที่อวัยวะในร่างกายเราจะใช้หมด และกำจัดออกได้ทัน จึงสะสมในตัวเราจนน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง ทำ ให้ไขมัน น้ำตาลในเลือดสูง และความดันเลือดสูงขึ้นตามมา หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินกว่าที่ตับจะทำลายได้หมด แอลกอฮอล์ในเลือดจึงสูงกระตุ้นให้ความดันเลือดสูงตามมา เป็นต้น
ความดันเลือดสูงมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น การนอนกรนและหยุดหายใจเป็นระยะ ในเวลาหลับ (sleep apnea) ยาบางชนิด โรคไต โรคหลอดเลือดแดง เป็นต้น แต่อาหาร ก็เป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความดันเลือดสูง เราจึงสามารถจะใช้อาหารในการช่วยลดความดันเลือดที่สูงเกินปกติได้
แบบแผนอาหารลดความดันเลือดสูง (DASH dietary pattern)
อาหารที่ได้รับการพิสูจน์ในผู้ป่วยความดันเลือดสูงแล้วว่า สามารถลดความดันเลือดได้ผลดี คือ อาหารแดช (DASH ซึ่งย่อมาจาก Dietary Approach to Stop Hypertension) หรืออาหารหยุดความดันเลือดสูง จากการศึกษาในประชากรชาวอเมริกันที่ความดันเลือดปกติและสูงปานกลางจำนวน ๕๐๐ กว่ารายในเวลา ๘ สัปดาห์ พบว่าอาหารแดชนี้สามารถลดความดันเลือดทั้งตัวบนและความดันเลือดตัวล่างได้อย่างชัดเจน (ได้ผลพอๆ กับกินยาลดความดันเลือดหนึ่งตัว) โดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ ในขณะที่ผู้ที่กินอาหารอเมริกันทั่วไป ไม่พบว่าความดันเลือดลดลง และถ้ากินอาหารแดชร่วมกับการลดการกินเกลือโซเดียมในอาหาร จะยิ่งลดความดันเลือดได้เพิ่มขึ้น

แต่เนื่องจากวิธีการกินอาหารดังกล่าวใช้วิธีการแบบฝรั่ง ซึ่งแนะนำให้กินอาหารแต่ละประเภทเป็น "serving" (หนึ่ง serving ประมาณหนึ่งฝ่ามือ หรือเป็นปริมาณที่กินใน ๑ ครั้ง) เช่น ให้กินผลไม้ ๓-๔ serving ต่อวัน ซึ่งยากในการปฏิบัติสำหรับคนไทยทั่วไป จึงขอดัดแปลงวิธีการดังกล่าวให้ง่ายในการปฏิบัติ คือ

๑. กินอาหารต่อไปนี้เพิ่มขึ้นประมาณ ๒ เท่าจากเดิมที่เคยกิน
คือ
- ผัก หรือ ผลิตภัณฑ์จากพืช โดยเฉพาะผักสด เช่น ผักจิ้มน้ำพริก ส้มตำ ยำ
- ผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้สดจะให้คุณค่าอาหารมากกว่าการคั้นน้ำ หรือที่ทำสำเร็จรูปบรรจุกล่อง (สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ต้องลดการกินผลไม้ลง ถ้าคุมระดับน้ำตาลไม่ได้)
- ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว งาดำ เป็นต้น
- ปลานึ่ง ปลาต้ม (จะดีกว่าปลาทอด หรือแฮมเบเกอร์ปลา ซึ่งจะมีไขมันสูง)
- นมพร่องมันเนย หรือ นมปราศจากมันเนย หรือนมถั่วเหลือง

๒. กินอาหารต่อไปนี้ลดลงประมาณครึ่งหนึ่งจากเดิมที่เคยกิน
คือ
- อาหารรสเค็มและปริมาณเกลือโซเดียม เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ผงชูรส อาหารสำเร็จรูป เป็นต้น
- อาหารรสหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ขนมหวาน ไอศกรีม ขนมเค้ก คุกกี้ ฟาสต์ฟู้ด เป็นต้น
- อาหารรสมัน เช่น ไขมันสัตว์ และผลิตภัณฑ์สัตว์
- เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เป็ด ไก่ ห่าน ไม่ติดหนังติดมัน เป็นต้น

วิธีการเริ่มกินอาหารลดความดันเลือดสูง อาจจะเปลี่ยนชนิดอาหารทีละอย่าง ครั้งละน้อยๆ และค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ชอบกินอาหารรสจัด ต้องลดการปรุงแต่งเติมเสริมรสชาติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง และใช้เวลาประมาณ ๒-๓ สัปดาห์กว่าลิ้นของเราจะคุ้นเคยกับอาหารรสปรุงแต่งลดลง และเป็นธรรมชาติมากขึ้น
การจำกัดปริมาณอาหารที่กิน โดยเฉพาะอาหารไขมันและคาร์โบไเดรต และเพิ่มการออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกินในร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลง ถ้าน้ำหนักลดลงได้อย่างน้อยร้อยละ ๑๐ ของน้ำหนักตัว ก็สามารถทำให้ความดันเลือดลดลงได้

นอกจากนี้ คุณผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ควรลดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดื่มลง เช่น ลดลงเหลือ เบียร์วันละ ๒ กระป๋อง ไวน์วันละครึ่งแก้ว เป็นต้น (ผู้หญิงลดการดื่มลงครึ่งหนึ่งของผู้ชาย) ส่วนผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ก็ไม่แนะนำให้ดื่ม เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นได้
เมื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในด้านอาหารประมาณ ๒-๓ สัปดาห์แล้ว ควรจะวัดความดันเลือดเปรียบเทียบกับความดันเลือดก่อนปรับเปลี่ยนอาหาร ถ้าความดันเลือดยังไม่ลดลงอย่างชัดเจน เช่น ๕-๑๐ มิลลิเมตรปรอท ก็ควรจะปรับลดอาหารหวาน มัน เค็ม และเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น หรือปรึกษานักโภชนาการ บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการลดความดันเลือดต่อไป

การป้องกันความดันเลือดสูงและพฤติกรรมสุขภาพ
ผู้ที่วัดความดันเลือดหลายๆ ครั้งได้สูงกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่ยังไม่เป็นโรคความดันเลือดสูง
(ยังไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท) ควรจะป้องกันการเกิดโรคความดันเลือดสูง โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและไม่ต้องกินยา (non-drug lifestyle modifications)

ส่วนผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูงที่กินยาลดความดัน อยู่ ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วยเสมอ เพื่อลดการใช้ยาลงเหลือเท่าที่จำเป็น และลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาขนาดสูงและหลายๆตัว แต่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากกว่าผู้ที่ยังไม่เป็นโรค และทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน ถ้ามีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี และลดยาลงเหลือ 1 ชนิด โดยควบคุม ความดันเลือดได้เกินกว่า 1 ปี แพทย์ก็สามารถให้หยุดยาได้
ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาเอง เพราะรู้สึกสบายดีหรือตรวจวัดความดันเลือดไม่สูง หรือเพราะผลข้างเคียงของยา การหยุดยาเองแอาจทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิดอันตรายได้

สรุป
ความดันเลือดสูงเป็นโรคที่สำคัญของคนไทย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เพราะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตและพิการอันดับต้นๆ ของคนไทย การปรับเปลี่ยนวิธีการกินอาหารให้เหมาะกับสภาพร่างกาย โดยการกินอาหารลดความดันเลือดสูง เป็นวิธีที่ง่าย ประหยัดและมีประโยชน์คุ้มค่า ซึ่งนอกจากจะลดความดันเลือดโดยพึ่งการใช้ยาลดความดันเลือดน้อยลงแล้ว ยังทำให้ลดโอกาสที่จะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย

 

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รายชื่อพวก "หนักแผ่นดิน"/ขบวนการล้มเจ้า


ม.จ. จุลเจิม ยุคล

ขอความกรุณา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อกรุณา พิจารณา เพื่อให้ สถาบัน มีความมั่นคง อยู่คู่กับราชอาณาจักรไทย อย่างมั่นคง และปลอดภัย
ผม ดีใจที่ยังมีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย เหล่าทัพ และตำรวจ ของพระราชา ออกมาปกปักรักษาไว้ซึ่ง พระบรมเดชานุภาพ ขององค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว....... แต่ ผมขอความกรุณา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อกรุณา พิจารณา ดำเนินกับ กลุ่มนักวิชาการที่ เรียกตัวเอง ว่าเป็น “นักวิชาการอิสระ” นักประวัติศาสตร์ นักเขียน ครูบาอาจารย์ และนักวิชาการพวก “ซ้ายอกหัก” และกลุ่ม “นปช แดง ไม่เอาสถาบัน ที่ครอบงำทางวิชาการ ครอบงำทางความคิด ซึ่งพวกเหล่านั้นดำเนินการเป็นเรี่องที่แนบเนียนทึ่สุดในการควบคุม ครอบงำให้ประชาชนทำตาม โดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ
ดังนั้น ขอให้ท่าน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กรุณาจัดการขั้นเด็ดขาด อย่าทำแบบ อุจจาระไม่สุด แบบ รัฐบาลที่ผ่านๆมา ไม่เช่นนั้นสถาบัน และองค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ ก็ยังจะไม่ปลอดภัยอยู่ดี..........

พวกหนักแผ่นดิน.........
นายอดิศร เพียงเกษ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายสุนัย จุลพงศธร นาย ธเนศวร์ เจริญเมือง นายจรัล ดิษฐาภิชัย นายอภิวันท์ วิริยะชัย นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายสุรชัย แซ่ด่าน นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นาย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ นาย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (หนูหริ่ง) นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นาย เสถียร จันทิมาธรนักหนังสือพิมพ์อาวุโส นายจรัญ ดิษฐาอภิชัย นางสุดา รังกุพันธุ์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล นาย รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ - เศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ อนุสรณ์ ธรรมใจ - เศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต . ธีระ สุธีวรางกูร นางสุดสงวน นายเกษียร เตชะพีระ นายอานันท์ กาญจนพันธุ์ - สังคมและมานุษยวิทยา ม.เชียงใหม่

อาจารย์ และนักวิชาการที่ ให้ยกเลิก ม. 112
1. เสกสรรค์ ประเสริฐกุล - อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 2. ผาสุก พงษ์ไพจิตร - เศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 3. รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ - เศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 4. ทักษ์ เฉลิมเตียรณ - มหาวิทยาลัยคอร์แนล 5. เกษียร เตชะพีระ - รัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 6. พนัส ทัศนียานนท์ - อดีตคณบดีนิติศาสตร์ มธ. วุฒิสมาชิก และอัยการ 7. ธงชัย วินิจจะกูล - ม.วิสคอนซิน เมดิสัน 8. ธเนศวร์ เจริญเมือง - รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่ 9. อานันท์ กาญจนพันธุ์ - สังคมและมานุษยวิทยา ม.เชียงใหม่ 10. ยศ สันตสมบัติ - สังคมและมานุษยวิทยา ม.เชียงใหม่ 11. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ์ - ว.นานาชาติปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ 12. ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ - สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สิงคโปร์ 13. กฤตยา อาชวนิจกุล - สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล 14. ศรีประภา เพชรมีศรี - โครงการจัดตั้งสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล 15. ขวัญระวี วังอุดม 16. เอกกมล สายจันทร์ - รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่ 17. โกสุมภ์ สายจันทร์ 18. สมชาย ปรีชาศิลปกุล - นิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ 18. ฉลาดชาย รมิตานนท์ - สังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ 19. ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี - สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.เชียงใหม่ 20. วัฒนา สุกัณศีล - สังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ 21. ชัชวาล ปุญปัน - อดีต อ.ภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์ ม.เชียงใหม่ 22. จันทจิรา เอี่ยมมยุรา 23. ธีระ สุธีวรางกูร 24. ปิยบุตร แสงกนกกุล 25. สาวิตรี สุขศรี 26. ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล 27. ปูนเทพ ศิรินุพงษ์ 28. ประจักษ์ ก้องกีรติ - รัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 29. อภิชาติ สถิตนิรมัย - เศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 30. วันรัก สุวรรณวัฒนา - ศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 31. ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ 32. เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ - ประวัติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 33. ยุกติ มุกดาวิจิตร - สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ 34. อนุสรณ์ อุณโณ 35. นลินี ตันธุวนิตย์ 36. มรกต ไมยเออร์ - วิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ 37. อัครพงษ์ ค้ำคูณ 38. พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ - เศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 39. นพ.กิตติภูมิ จุฑาสมิต - ผอ.รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีษะเกษ 40. อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ - นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน 41. จีรนุชเปรมชัยพร - ผอ.สำนักข่าวประชาไท 42. จิตรา คชเดช - ผู้นำแรงงาน 43. อนุสรณ์ ธรรมใจ - เศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต 44. อันธิฌา ทัศคร - ปรัชญาและศาสนา ม.สงขลา วิทยาเขตปัตตานี 45. กานดา นาคน้อย - เศรษฐศาสตร์ ม.เพอดู (Purdue) สหรัฐอเมริกา 46. เก่งกิจ กิติเรืองลาภ - สังคมศาสตร์ ม.เกษตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 47. พฤกษ์ เถาถวิล - ศิลปศาสตร์ ม.อุบลราชธานี 48. ดร.พงศาล มีคุณสมบัติ - นักวิชาการอิสระด้านพลังงานนิวเคลียร์ 49. ไชยันต์ รัชชกูล - มหาวิทยาลัยพายัพ 50. คมลักษณ์ ไชยยะ - มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา 51. ชาตรี ประกิตนนทการ - สถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร 52. ชาญณรงค์ บุญหนุน - คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร 53. เชษฐา พวงหัตถ์ 54. โกวิท แก้วสุวรรณ 55. บุญส่ง ชัยสิงห์กานนท์ 56. พิพัฒน์ สุยะ 57. เอมอร นิรัญราช 58. พวงทอง ภวัครพันธุ์ - รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 59. เวียงรัฐ เนติโพธิ์ 59. นิติ ภวัครพันธุ์ " " 60. นฤมล ทับจุมพล 61. สิริพรรณ นกสวน สวัสดี 62. ฉลอง สุนทรวาณิชย์ - อดีตอ.ภาควิชาประวัติศาสตริ์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 63. สุวิมล รุ่งเจริญ - คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 64. ธนาพล ลิ่มอภิชาติ.............. "

.........ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเรา ผู้จงรักภักดี ต่อ สถาบัน และองค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ ออกมากันได้แล้ว อย่าปล่อยให้เป็นภาระ ต่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ แต่ฝ่ายเดียว พวกเราขอภาวนา ให้ องค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เปรียบเสมือน พ่อของแผ่นดินผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช เทวาภินิหาร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ได้โปรดอภิบาลให้ล้นเกล้าฯ ของชาวไทยทรงพระสิริสวัสดิ์ ทรงพระเกษมสำราญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ปราศจากโรคาพยาธิพิบัติภัยใดมาแผ้วพาน ขอจงทรงพระเจริญ ถึงพร้อมด้วยจตุรพิธพรชัยทุกประการเทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ...............

ท่านผู้ใดที่อยู่ใน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถ้าได้อ่าน หรือผ่านตาแล้ว กรุณา เผยแพร่ให้ถึงท่านหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะทำงานที่มิได้อ่าน ถึงแม้พวกท่านจะมีข้อมูล และกำลังดำเนินการ ผม และประชาชน ผู้จงรักภักดี ต่อ สถาบัน และองค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ ขอเป็นส่วนร่วมเพื่อให้ สถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคง อยู่คู่กับราชอาณาจักรไทย อย่างมั่นคง และปลอดภัย ตลอดการ

การให้ทูตไทยในอังกฤษรายงานตัวเป็นแค่ผลิตผลภูเขาน้ำแข็งของความอุบาทว์ที่นักการเมืองทำกับกระทรวงต่างประเทศ อันควรแสดงให้ปรากฎไว้ในแผ่นดินสักครั้งหนึ่ง
๑.  นักการเมืองมันสั่งให้ทูต กงสุลไทยเกือบทั่วโลกให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่ครอบครัวนักการเมือง ใหญ่เสมอด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และให้ดูแลรับใช้ลิ่วบล้อบริวาร จนข้าราชการสถานทูต กงสุลไทยกลายเป็นขี้ข้าอันน่าอัปยศ
๒.  มันทำลายพระราชอำนาจ โดยแจ้งการบรรดาทูตทั้งหลายที่มารับตำแหน่งว่า การถวายสาส์นตราตั้งเป็นแค่พิธีการที่ไม่มีความหมายให้ทำงานไปได้เลย แต่มีทูตหลายประเทศเช่น จีน อิหร่าน ไม่ยอมทำหน้าที่จนกว่าได้เข้าเฝ้าถวายสาส์นตราตั้งแล้ว
๓.  เมื่อต่างประเทศกราบทูลเชิญพระราชวงศ์เสด็จเยือน มันจะกัก เก็บ ดองเรื่องไม่ถวายรายงาน จนบางครั้งเกิดความเข้าใจผิดเป็นที่เสียหายเป็นอันมาก
๔.  การช่วยล็อบบี้ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศและการให้ความสะดวกแก่พวกอาชญากรหลบหนีในต่างประเทศ
 

ถ้าหากไม่มีการปฏิวัติ กระทรวงการต่างประเทศที่ถูกนักการเมืองทำเช่นนี้ก็จะกลายเป็นองค์กรที่เป็นอันตรายต่อประเทศ และสถาบันอย่างร้ายแรง
พี่น้องข้าราชการกระทรวงต่างประเทศทั้งหลาย ท่านได้รับการปลดแอกแล้ว จะได้กลับมาเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ได้ภาคภูมิใจกันแล้ว  กลับมาร่วมกับฟื้นฟูบ้านเมืองของเราให้เต็มกำลังเถิด


Photo: คนไทยรักพ่อหลวงทุกครับ

cd.Fern Cherpaat







"รอยเตอร์" ตีข่าวชัด!! คนไทยหนุน "รัฐประหาร" - ติงต่างชาติไม่เข้าใจบริบทการเมืองไทย

รอยเตอร์ เผยชาวกรุงเทพฯและคนไทยส่วนใหญ่สนับสนุนการรัฐประหารของ คสช. สวนทางกับเสียงประณามจากประชาคมนานาชาติ พร้อมตำหนิต่างชาติว่าไม่เข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทยดีพ

วานนี้ (28 พ.ค.) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเมื่อวันพุธ(28) พบเห็นการต่อต้านรัฐประหารกลุ่มเล็กๆ ท่ามกลางเสียงโวยวายของนานาชาติเกี่ยวกับการเข้ายึดอำนาจของพล...เอกประยุทธ์ จันทรโอชา แต่ประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพฯ ตอบสนองต่อการพบเห็นทหารบนท้องถนนด้วยความยินดี ตามหลังต้องเผชิญกับวิกฤตการเมืองที่เกิดความรุนแรงในบางครั้งตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา

"กล้าหาญมาก ลูกชาย" หญิงชราที่สวมเสื้อยีดสกรีนข้อความ "ฉันรักทหาร" กล่าวพร้อมกับมอบดอกไม้ให้แก่ทหารนายหนึ่ง โดยเธอเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามอบดอกไม้และน้ำดื่มแก่กำลังพลที่ยืนประจำการหน้ากองบัญชาการกองทัพในกรุงเทพฯ ภายใต้แสงแดดที่ร้อนระอุ

รอยเตอร์รายงานต่อว่าในประเทศที่มีชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เป็นเสาหลักแห่งความสามัคคี ฝ่ายสนับสนุนสถาบันมองกองทัพในฐานะผู้พิทักษ์สิ่งยึดเหนี่ยวของชาติ

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ทหารโค่นล้มอำนาจอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในปี 2006 ประเทศไทยก็ตกอยู่ท่ามกลางความแตกแยกอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายสนับสนุนทักษิณ ทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ กับฝ่ายยึดมั่นสถาบันในเมืองหลวงและทางภาคใต้

รอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์กับผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุนทหารในวันอังคาร(27) บอกว่าเห็นด้วยกับการรัฐประหาร เพราะนั่นหมายความว่าสามารถกำจัดอิทธิพลของทักษิณออกไปได้ โดยพวกเขาบอกว่ารัฐบาลที่นำโดยมหาเศรษฐีรายนี้และผู้สนับสนุน มักเล่นพรรคเล่นพวกและคอรัปชันอย่างกว้างขวาง รวมถึงละเลงงบประมาณมหาศาลไปกับนโยบายประชานิยมเพื่อหวังคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงชาวชนบทเท่านั้น

"เมื่อคนป่วยเราก็ควรให้ยา มันอาจจะขมบ้างเล็กน้อย แต่เราก็จำเป็นต้องกลืนมันลงไป" ภัค ปรีชา นักธุรกิจวัย 30 ปีกล่าว ขณะที่ผู้สนับสนุนรัฐประหารราว 40 คน แจกจ่ายธงชาติบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและร่วมกันร้องเพลงชาติ

รอยเตอร์บอกว่าการรัฐประหารครั้งนี้ก็เหมือนกับปี 2006 ที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความแตกแยกของสังคมไทย ด้วยแม้ว่ากองทัพจะจัดส่งคู่ขัดแย้งที่ปักหลักชุมนุมในกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียงกลับบ้านแล้ว แต่พวกเขาก็ยังต้องเผชิญกับการประท้วงต่อต้านรัฐประหารกลุ่มเล็กๆรายวัน ที่ต่างพากันร้องตะโกน "ทหาร ออกไป"

อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่ง กลุ่มผู้สนับสนุนทหารก็โผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ดบนโลกสังคมออนไลน์ แม้ว่าคณะรัฐประหารใช้มาตรการเข้มงวดต่างๆ ในนั้นรวมถึงควบคุมตัวเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งหลายและสื่อมวลชนบางรายก็ตาม

สื่อมวลชนชื่อดังแห่งนี้บอกว่ากลุ่มต่างๆซึ่งตั้งขึ้นมาให้กำลังใจคสช.หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติบนเฟซบู๊กผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในนั้นรวมถึงผู้ใช้เฟซบุุ๊กคนหนึ่งเรียกตัวเอง "The People s News" บอกว่ามีคนไทยหลายล้านคนดีใจที่เห็นรัฐประหาร และพวกผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหารพยายามดิสเครดิตกองทั

ส่วนผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกคนปฏิเสธเสียงประณามรัฐประหารของต่างชาติ ด้วยบอกว่าวิกฤตของไทยไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนภายนอกจะเข้าใจ "ไม่ว่าพวกเขาจะเรียกไทยว่าอย่างไร แม้แต่เผด็จการ เราไม่สนใจหรอก คนต่างชาติไม่รู้หรอกว่าปัญหาคอรัปชันในไทยมันเลวร้ายแค่ไหน"

พลเอกประยุทธ์ บอกว่าไม่มีทางเลือกอื่นเว้นแต่เข้าแทรกแซง ท่ามกลางความรุนแรงที่ลุกลามขึ้นระหว่างสองฝ่ายคู่อริ หลังการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือน โดยนายพลรายนี้ประกาศปฏิรูประบบการเมืองก่อนเลือกตั้ง แต่ยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่แน่ชัด และเตือนจะลงโทษอย่างหนักต่อผู้ฝ่าฝืนกฎอัยการศึก ในนั้นรวมถึงพวกที่ชุมนุมทางการเมือง

อย่างไรก็ตามมันล้มเหลวปัดเป่าแฟลชม็อบต่อต้านรัฐประหารที่ผุดขึ้นมาหลายจุดทั่วประเทศ โดยในกรุงเทพฯพบเห็นผู้คนหลายร้อยคนรวมตัวกันบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิท่ามกลางการจับตาของทหาร

กระนั้นในส่วนของฝ่ายสนับสนุน ก็เชื่อว่ากองทัพเข้าแทรกแซงได้ถูกเวลาแล้ว "หากทหารไม่ยื่นมือเข้ามา ไทยอาจถึงคราล่มสลาย" คุณครูเกษียณอายุรายหนึ่งบอก พร้อมกับส่งมอบช่อดอกไม้แก่ทหาร "ฉันยากให้พลเอกประยุทธ์ ปัดกวาดขยะที่รัฐบาลซุกไว้ใต้พรมให้หมด"

http://www.tnews.co.th/html/news/92151/รอยเตอร์-ตีข่าวชัด!!-คนไทยหนุน-รัฐประหาร-ติงต่างชาติไม่เข้าใจบริบทการเมืองไทย.html
 
สัมภาษณ์ : รศ. ดร. ไชยันต์ ไชยพร “เราไม่ควรเอาตัวของเราไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรับรอง การกระทำความผิดทางการเมืองของผู้นำ” นิตยสารสารคดี ปีที่ 22 ฉบับที่ 255 ประจำเดือนพฤษภาคม 2549
“... เคยมีคนโทรศัพท์มาต่อว่าผม บอกว่านายกฯ ทักษิณดีมาก นักวิชาการไม่รู้จริงหรอก ด่าว่าผมสารพัด ผมก็ปล่อยให้เขาพูดไป พอเขาพูดจบ ผมก็ถามเขากลับเกี่ยวกับเรื่องข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว ว่าเขาคิดยังไง เขาก็บอกข้อสอบเอนทรานซ์รั่วเพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยปล่อยให้ข้อสอบรั่วน่ะสิ อาจารย์เอาข้อสอบไปขาย ผมก็บอกไม่...ใช่ คนออกข้อสอบคือกระทรวงศึกษาธิการ
เสร็จแล้วผมก็บอกว่าพอมีข้อครหาเกิดขึ้นมา นายกฯ ไม่ลงมาเล่นประเด็นนี้ด้วยตัวเองเลย ขณะที่เวลามีวิกฤตอื่นๆ นายกฯ ลงมาเร็วมาก ที่สำคัญ ข้อสอบมารั่วในปีที่ลูกสาวนายกฯ สอบด้วย เด็กคนนั้นมีประวัติการสอบครั้งแรกคะแนนน้อย แต่พอข้อสอบรั่วคะแนนกลับสูง
ถึงตอนนี้เขาก็พูดเลยว่าถ้านายกฯ ทำดีขนาดนี้ ก็ยกให้ลูกเขาสักคนไม่เห็นเสียหาย ผมเลยบอกว่า คุณลองคิดดู ถ้ามีเด็กคนหนึ่งยากจน มาจากต่างจังหวัด หวังจะสอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ต้องถูกเบียดตกไปเพราะคนคนหนึ่งโดยไม่ยุติธรรม การที่เขาสอบเข้าไม่ได้ ชีวิตมันพลิกผันนะ คนที่สอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ หางานทำได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้นะ เขาจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ เขาช่วยเหลือครอบครัวของเขาได้ การให้การศึกษาคนมันยั่งยืน และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันเป็นระบบที่มีคุณธรรม ยุติธรรม มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเคารพมานานแล้ว
ผมบอกเขาต่อว่า คุณลองคิดดูสิว่าพอหลังจากมีการสืบสวนเรื่องนี้แล้ว พบว่าข้อสอบไปรั่วที่คุณวรเดช จันทรศร (เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาขณะนั้น) จากนั้นคุณวรเดชก็ถูกขอให้ลาออกไป แต่ล่าสุด คุณวรเดชกลับมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คุณตอบผมมาสิ นายกฯ ทักษิณทำอะไรอยู่ เขาก็บอกว่า แล้วผมจะกลับไปไตร่ตรองครับอาจารย์ อาจารย์พูดมีเหตุผล
ผมเลยคิดว่าคนที่ชอบนายกฯ ทักษิณโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการจ้างหรือให้เงินนะ ชอบเพราะคิดไปว่านายกฯ ทักษิณทำดี และเป็นสิ่งที่ดีกับประชาชนส่วนใหญ่ แบบนี้ยังคุยกันรู้เรื่องนะ ผมคิดว่าถ้าให้เวลา ๓-๔ เดือนโดยที่สื่อโทรทัศน์-วิทยุช่วยกันกระจายข่าวสารข้อมูลความจริงออกไป หรือเปิดให้มีเวทีสาธารณะมากขึ้น ระบอบทักษิณจะหมดไปทันที เพราะคนไม่โง่หรอก เพียงแต่ถูกปิดกั้นข่าวสาร และความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อวิถีชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของพวกเขา ไม่ใช่ดีแต่ช่วงสั้นๆ ...”



By Michael Yon
Thailand: anti-American sentiment growing
ประเทศไทย: ความรู้สึกนึกคิดเรื่องการต่อต้านอเมริกันกำลังเพิ่มมากขึ้น

นี่เป็นสิ่งที่น่าจับตามองเพราะประเทศไทยและประเทศสหรัฐฯเป็นมิตรกันมาช้านาน ประมาณ 180 ปีของความสัมพันธ์ มีเนื้อหาเรื่องความตึงเครียดในช่วงเวลาสั้นๆระหว่างสงครามโลกครั้งท...ี่2 กษัตริย์ของไทยยังเคยทรงพระราชทานช้างรบให้กับท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงสงครามการเมือง พวกเรามีความร่วมมือกันเป็นอย่างดีเป็นเวลาช้านาน

อะไรที่ผิดเพี้ยนไป? ภายใต้ความเปราะบาง รัฐบาลเผด็จการภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร ได้เริ่มที่จะปล้นประเทศและสังหารคนไปเป็นจำนวนหลายพันคน ในที่สุดเขาโดนขับไล่โดยทำรัฐประหาร และได้ทำการเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นมาเป็นเวลาหลายปีนับจากนั้น ผู้ที่สนับสนุนเขาบรรเลงการรณรงค์การก่อการร้ายซึ่งทำให้มีผู้คนบาดเจ็บหรือล้มตายนับพันๆคน และสหรัฐฯยังเข้าข้างทักษิณอย่างเปิดเผย แม้กระทั่งออกวีซ่าให้เข้าประเทศสหรัฐได้หลังจากที่เขาได้รับการตัดสินแล้วว่าเป็นอาชญากรที่หลบหนีคดี

วันนี้ เอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยของเรา คริสตี้ เคนนี่ เป็นคนวิกลจริต คำพดนี้ไม่ได้เป็นคำพูดที่ไม่มีน้ำหนัก ลองดูที่ทวิตเตอร์ของเธอ อินสตาแกรม และ วีดิโอใน Youtube ที่จัดทำโดยสถานทูตสหรัฐที่ใช้เงินของเราภายใต้อำนาจอิทธิพลของเธอ เอกอัครราชทูตเคนนี่เป็นผู้ที่หลงใหลในตัวเองอย่างร้ายกาจ

แต่ก็ไม่ใช่เพราะความหลงใหลในตัวเองหรือความที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ของเธอที่ทำให้คนไทยทั่วไปเกลียดชังเธอ คนไทยรังเกียจความเป็นคนที่หลงใหลในตัวเองของเธอ แต่นั่นไม่ได้นำมาซึ่งความโกรธในตัวของคุณเคนนี่

ความโกรธของคนไทยหลายล้านคนมาจากการที่เธอสนับสนุนกิจการงานของอาชญากรที่ตอบสนองต่อสิ่งที่สหรัฐฯต้องการแต่ไม่ใช่สิ่งที่คนไทยต้องการอย่างเปิดเผย

สูตรของการสร้างความเกลียดชังเป็นแบบง่ายๆ: ความรังเกียจ+ความโกรธ = ความเกลียดชัง

ความเกลียดชังเป็นการสนธิของอารมณ์ที่มาจากการผสมผสานของอารมณ์พื้นฐานซึ่งก็คือความรังเกียจและความโกรธ ท่ามกลางคนไทยหลายๆล้านคน ท่านเคนนี่ได้สร้างความรังเกียจและความโกรธถึงระดับสูงสุด แต่ก็ยังพอจะมีขอบเขต จนถึงขณะนี้มีเพียงแค่การชุมนุมอย่างสันติที่สถานทูตของเรา

ความเกลียดชังต่อท่านเคนนี่ได้เพิ่มมากขึ้นๆ มาถึงตอนนี้ จอห์น เครรี่ (รมต.กระทรวงการต่างประเทศ) ก็ออกมาสนับสนุนกิจการของอาชญากรอย่างเปิดเผย และสามารถทำให้เกิดการล้มครืนได้ สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความสัมพันธ์ สหรัฐ-ไทย ผิดเพี้ยนไป

อย่าเชื่อคำพูดของผม สิ่งเหล่านี้สามารถค้นพบได้โดยใครก็ตามที่มีความขวนขวายเพียงพอ

ความสัมพันธ์ของพวกเราตอนนี้ยังไม่ได้มลายหายไปหรือโดนทำลายลง ยังมีความเป็นนวนิยายอยู่แต่ก็ยังมีเวลาที่จะพลิกกลับ สำหรับการเริ่มต้น เราต้องการเอกอัครราชทูตคนใหม่ ในตอนนี้ความเกลียดชังมุ่งเน้นไปที่ตัวคุณเคนนี่ ท่านเอกอ้ครราชทูต และ นโยบายของเรา ไม่ได้มุ่งไปยังคนอเมริกันทั่วไป ที่นี่ยังคงยินดีต้อนรับคนอเมริกันอย่างมากและปลอดภัย

This is remarkable because Thailand and the US have been natural friends for a very long time. About 180 years of relations, arguably with a short bad stretch during World War II. A King of Thailand even offered a US President war elephants during the Civil War. Our cooperation has been tight for many years.

What went wrong? In a nutshell, a tyrannical government under Thaksin Shinawatra began to pillage the country and murder thousands of people. Eventually he was ousted in a military coup and has been operating a government in exile for some of the years since that time. His supporters have orchestrated a serious terror campaign leaving thousands of casualties. (Killed and wounded.) The US has openly sided with Thaksin, even granting him a visa to enter the USA after he became a convicted criminal on the run.

Today, our Ambassador to Thailand, Kristie Kenney, is a lunatic. This word is not used lightly. Check her Twitter, Instagram, and YouTube videos, made by the US Embassy at our expense under her reign. Ambassador Kenney is painfully narcissistic.

Yet her narcissism and immaturity is not what is causing normal Thai to hate her. Thai are disgusted with her narcissism, but that does not bring anger towards Kenney.

Anger from millions of Thai derives from her openly supporting the criminal enterprise that serves US interests, but not Thai interests.

The formula for creating hatred is simple: Disgust + Anger = Hatred.

Hatred is a compound emotion derived from mixing the basic emotions of disgust and anger. Among millions of Thai, Kenney has reached the level of creating extreme disgust and extreme anger. There have been only limited, peaceful demonstrations at our Embassy to date.

The growing hatred towards Kenney and now John Kerry openly supporting a criminal enterprise, could cause a landslide. This provides a start to what is going wrong with US-Thai relations.

Do not take my word for it. These things can be rediscovered by anyone with enough due diligence.

Our relations are not gone or destroyed...yet. There is high friction but there is still time to turn this around. For starters, we need a new Ambassador. At this time, the hatred is mainly towards Kenney as an Ambassador, and our policies, not towards Americans in general, who are still very welcome and safe here.


@เสธ น้ำเงิน

วันที่ 28 พ.ค.57 เวลา 19.00 น. ทหารจากค่ายมณฑลทหารบกที่ 14 จ.ชลบุรี สนธิกำลังกว่า 50 นาย บุกเข้าไปที่บ้านเลขที่ 9/74 หมู่บ้านบางแสนมหานคร ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นบ้าน ของนางมนัญชยา เกศแก้ว หรือเมย์ แดงทักษิณ ซึ่งเป็นผู้ดูแลท่อน้ำเลี้ยง แจกจ่ายเงินของกลุ่มขบวนการล้มเจ้าแดง นปช.ภาคตะวันออก และภาคอีสาน เพราะสืบทราบมาว่า เป็นแกนนำ ขบวนการล้มเจ้าแดง นปช. คนสำคัญ ที่มีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการรัฐประหาร พบว่า นางเมย์ ได้รีบเดินทางหนีไปประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นบ้านของสามี แต่สามารถจับกุม น.ส.เกศสุดา คุณะเสน อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นเลขาฯ สนิทของนางเมย์ ไว้ได้ พร้อมหลักฐานอื้อ ทหารต้องตกตะลึง ( ดูคลิป VDO การตรวจค้นที่)  http://www.youtube.com/watch?v=7i4QkpWzKH4
- อาวุธปืนกล็อก ขนาด 11 มม. 1 กระบอก ในห้องนอน
- ยึดรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซ สีขาว หมายเลขทะเบียน 350 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นของน้องชายนางเมย์
- ใบโอนเงิน
- บัญชีการแจกจ่ายเงิน
- บัญชีการว่าจ้างก่อการร้าย ก่อความวุ่นวาย
- ใบแจกจ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์
- ใบรายชื่อกลุ่มผู้มีอิทธิพล ที่ทำงานร่วมกัน
- รายชื่อมือปืนทั่วราชอาณาจักรไทย ที่ใช้จ้างวานสังหารผู้อื่น เพื่อก่อการร้าย
- รูปถ่ายที่นางเมย์ ได้ถ่ายร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวนมาก มีการพบปะกันเป็นประจำ และบ่อยครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นท่อน้ำเลี้ยง
- มีหน้าที่แจกจ่ายเงินให้แก่กลุ่มขบวนการล้มเจ้าแดง นปช.ภาคตะวันออก และภาคอีสาน
- เป็นผู้รับคำสั่งมาว่าจ้างก่อการร้าย ในกรณีต่างๆ อีกด้วย
- รวมได้ประมาณ 3 กล่องใหญ่ ทหารรวบรวมนำไปเป็นหลักฐานในตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีสู่ศาลทหารตามกฎอัยการศึก
- ทหารจึงได้ควบคุมตัวเลขาฯ และหลักฐาน ไปสอบสวนภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทันที
จากการตรวจเช็คพบว่า นางเมย์ มีการเคลื่อนไหวในต่างประเทศ ร่วมกับ ขบวนการล้มเจ้าแดง นปช. ในต่างประเทศ มีการไปยื่นหนังสือ  มีการจัดประชุมสมาชิกแดงล้มเจ้า  และเป็นแหล่งฟอกเงินจากต่างประเทศ นำมาก่อการร้ายในประเทศไทย โดยการสนับสนุนทุนจากการคนแดนไกล และการอำนวยความสะดวกคุ้มครอง จากรัฐบาลเลือกตั้งคอมมิวนิสต์เผาไทย มีความเกี่ยวโยงด้านการสนับสนุนเงินทุนให้ม็อบต้านทหารช่วยเหลือชาวนา ที่เคลื่อนไหวที่เชียงใหม่ เมเจอร์ และอนุสาวรีย์ชัย ที่มีประมาณ 200 คนต่อวัน โดยมีแกนนำฮาร์ดคอร์ ติดอาวุธปะปนมาวันละ 50 คน มีกระเป๋าติดตัวตลอดเวลา เช่น สมบัติ ทองย้อย ฯลฯ ที่ปรากฏภาพในการเป็นแกนนำ ม็อบตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.57 เป็นต้นมา ทำหน้าที่จัดกำลัง จ่ายเงิน และสั่งการให้ม็อบรับจ้างเข้าปะทะกับทหารและตำรวจ อัตราค่าจ้างคือมาชุมนุม 400 บาท  มาชูป้าย 1,000 บาท  การชุมนุมไม่เกิน 3 ชั่วโมง สังเกตดูจะเลิกไม่เกิน 19.00 น.ทุกครั้ง เพราะค่าจ้างตกลงกันแค่นี้ และจะมีหน้าม้าเป็นผู้หญิงใส่แว่น ผู้ชายสูงอายุ ที่เป็นเครือข่ายตู้ม้า ขึ้นไปบนสกายวอร์ค ปะปนกับประชาชนไทยมุงทั่วไป แล้วตะโกนลงมาด่าทหารและตำรวจ พวกนี้จะได้ 2,500 บาท มีการใช้พริตตี้ หญิงให้บริการสาวๆ กลุ่มเดิมรับจ้างมาเป็นม็อบ ที่เคยใช้เป็นโคยีตี้ นุ่งน้อยห่มน้อย ในการเต้นบนรถเรียกแขกไปทั่วพัทยา ในการจัดชุมนุม นปช.ลาวาแดงที่พัทยาที่ผ่านมา  และพริตตี้ โคยี้ตี้กลุ่มนี้ก็มารับจ้างเต้นเรียกแขก ในการชุมนุม นปช.ที่ถนนอักษะ เมื่อต้นเดือน พ.ค.57 และพริตตี้กลุ่มนี้ ก็คือ คู่ขารับจ้างผสมพันธ์ กับคางคกตู่ ใส้เดือนเต้น และแกนนำ นปช.นั่นเอง โดยใช้ฮาเล็มหลายที่ เช่น รีสอร์ท ที่นครนายก ที่จับปืนได้ที่ผ่านมา
ส่วนพวกที่พอเห็นนักข่าว แล้วจะเปิดนม หรือร้องให้บีบน้ำตาทันที คือ กลุ่มแดงล้มเจ้า กวป.ของศรรักษ์ จะได้ 2,500 บาท เช่นกัน  นักข่าวที่มาจะประมาณ 50 คน ในจำนวนนี้จะมีนักข่าวต่างชาติปะปนมา 2-3 คน ซึ่งเคยถูกจับได้ ว่ามาสอดแนม และชี้เป้า สมัยม็อบ กปปส. และจะมีผู้ชายรูปร่างผอม ติดปลอกแขนสีเขียวนักข่าวปลอมจาก Print Inkjet และกล้องไม่มีมาตรฐานนักข่าวจริง แต่เป็นผู้ชี้เป้าลงมือยั่วยุการปะทะ..ตรวจเช็คกับนักข่าวทุกคนแล้วคนนี้ไม่ใช่นักข่าวจริงๆ
ม็อบที่เชียงใหม่ และอนุสาวรีย์ชัย ไม่ใช่ม็อบปกติ แต่เป็นม็อบที่รับจ้างจากขบวนการล้มเจ้าที่ฟอกเงินเข้ามา และมีแผนจะก่อความรุนแรงขณะเข้าปะทะทหาร โดยฮาร์ดคอร์จะจ่อยิงผู้ชุมนุมเสื้อแดงจากด้านหลัง และตะโกนขึ้นว่าทหารทำ เหมือนปี 53..เพื่อสร้างสถานการณ์
ขอให้ประชาชนไทยมุง ทั้งอยู่บนถนน และบนสกายวอร์ครถไฟฟ้า ระวังลูกหลงปืน จากฮาร์ดคอร์ขบวนการล้มเจ้าเหล่านี้ เพราะมีการติดอาวุธแกนนำม็อบเพื่อสร้างสถานการณ์แล้ว  ทหารมีกลศึกในการจัดการม็อบขบวนการล้มเจ้าพวกนี้อยู่แล้ว ประชาชนใจร่มๆ อย่าใจร้อน ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมทหารไม่จัดการให้เด็ดขาดไปเลย..แบบนั้นมันง่ายไป กลยุทธ์บ้านๆ ไป..จะจับปลาใหญ่ อย่ากวนปลาซิวให้แตกวง..หึๆเดี๋ยวจะเสียการใหญ่..คนฉลาดจะไม่ใช้อารมณ์  ปลาใหญ่หลายตัว ถูกปลาซิวพาทหารไปหา..ใจร่มๆ ตามสอยไปเรื่อยๆ จัดการปลาใหญ่ให้หมด แล้วเอายอมาช้อนปลาซิวที่เดียว
แชร์หรือ Copy ส่งต่อไปประจานให้หนักเลยพี่น้อง “ ...คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา  ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ


MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY