มีนิทานเรื่องหนึ่งพระอาจาร
จะขอย่อคร่าวๆดังนี้
ท่านว่ามีพี่น้องคู่หนึ่งมา ถวายน้ำอ้อยให้พระ
คนพี่อธิษฐานให้มีดวงตาเห็น ธรรม...
คนน้องอธิษฐานขอให้ได้มนุษย ์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
ท่านก็บอกว่าโยมทำบุญก็ได้น ้ำอ้อย ส่วนพระนั้นก็ได้กากอ้อย
ถ้าพระอยากได้บุญก็ต้องทำตั วให้ดี เพื่อเป็นบุญจึงจะได้น้ำอ้อ ย
ที่เปรียบแบบนี้ เพราะพระได้แค่กากอ้อยคือยั งไม่ได้บุญเพราะกินของเขา
พระจะได้บุญต่อเมื่อกินของท ี่เขามาทำบุญแล้วก็ต้องทำหน ้าที่พระให้ดีปฏิบัติตัวให้ ถูกต้องถึงจะได้น้ำอ้อย
การเป็นพระใช่ว่าจะได้บุญถ้ าทำตัวไม่ดีก็เป็นบาปได้กาก อ้อยเท่าน้น
เรื่องการอธิษฐานนั้นโยมเข้ าใจว่าเป็นการขอ แต่ที่จริงนั้นการอธิษฐานก็ เป็น 1 ในบารมี 10ทัศ
แต่การอธิษฐานก็ต้องมีความต ั้งใจที่แน่วแน่ มีการบำเพ็ญบารมี มีความเพียร การกระทำที่ดี ไม่ใช่ว่าขอไปเรื่อย ขอให้รวยแต่ไม่บำเพ็ญบารมีใดๆก็ไม่สำเร็จ
คำว่าอธิษฐาน หมายถึงการตั้งมั่นที่จะทำใ ห้ได้ ถ้าขอให้รวยแต่ไม่ทำก็ไม่รว ย
ท่านว่ามีพี่น้องคู่หนึ่งมา
คนพี่อธิษฐานให้มีดวงตาเห็น
คนน้องอธิษฐานขอให้ได้มนุษย
ท่านก็บอกว่าโยมทำบุญก็ได้น
ถ้าพระอยากได้บุญก็ต้องทำตั
ที่เปรียบแบบนี้ เพราะพระได้แค่กากอ้อยคือยั
พระจะได้บุญต่อเมื่อกินของท
การเป็นพระใช่ว่าจะได้บุญถ้
เรื่องการอธิษฐานนั้นโยมเข้
แต่การอธิษฐานก็ต้องมีความต
คำว่าอธิษฐาน หมายถึงการตั้งมั่นที่จะทำใ
https://www.facebook.com/VRYMeditationCenter
วันสำคัญเดือน กรกฏาคม
ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 5 กรกฏาคม พ.ศ. 2529
พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ ได้ออกเดินทางตามที่ได้ตั้ง สัจจะอธิษฐานไว้ ว่าหากสร้างพระมหาเจดีย์สำเ ร็จเมื่อใด จะทำสมาธิปฏิบัติบูชา ที่พระศรีมหาโพธฺ์พุทธคยา ประเทศอินเดีย
โดยจะนั่งสมาธิให้ครบเก้าสิ บครั้ง แม้ในช่วงนั้นจะเป็นหน้าร้อ น ที่อินเดียถึงขนาดมีคนตายเพ ราะทนความร้อนไม่ไหว ถึงจะมีผู้ขอให้ท่านรอจนถึง หน้าหนาวก่อนจึงค่อยเดินทาง
แต่ท่า...นพระอาจารย์หลวงพ่อ ก็ตัดสินใจเดินทาง โดยท่านกล่าวว่า "เมื่อตัดสินใจแล้ว ขอให้เป็นไปตามนั้นเถิด ท่านยอมสละทุกอย่าง และไม่สามารถยอมให้ใครมาขวา งหน้าทัดทานได้"
ก่อนออกเดินทางท่านได้สละข้ าวของทุกสิ่งให้เป็นสมบัติข องวัด และได้ออกเดินทางเมื่อ วันที่5 กรกฏาคม พ.ศ. 2529 โดยเครื่องการบินไทย
มีพระติดตามรูปเดียวคือ พระธรรมศักดิ์ คุตธรรมโม
โดยท่านได้เดินทางธุดงค์ไปแ ถบแคชเมียร์ก่อน แล้วต่อมาจึงเดินทางไปพำนัก ที่ ศูนย์ปฏิบัติสมาธิของบังกลา เทศ พุทธคยา
ครั้งนี้เป็นการธุดงค์ครั้ง สาหัส
กำลังของพญามารครั้งนี้เหลื อที่จะประมาณได้ เพราะอากาศร้อนยังไม่พอ หนำซ้ำยังท้องเสียจากอาหารอ ินเดียและนมสด ฉันยาก็ไม่หยุดถ่าย
ต้องท้องเสียถึงสิบสี่วัน ขาดน้ำอาหารเกลือแร่ ทั้งการรักษาพยาบาลก็ไม่มี
แต่ท่านก็อุตส่าห์พยุงร่างก ายไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม
เมื่ออากาศร้อนจัดจนหายใจแท บไม่ออก ก็ยกถังน้ำเทใส่ศรีษะดับควา มร้อน พอยกครั้งที่สามกระดูกสันหล ังก็เคลื่อนเจ็บปวดทรมานแสน สาหัส ท่านก็นั่งสมาธิเพื่อดับทุก ข์ที่เกิดขึ้น
เมื่อจะพ้นจากการทำสมาธิแล้ วท่านจึงได้เห็นแสงตอนรุ่งส างมุ่งไปที่วัดไทยพุธคยา เห็นท่านเจ้าอาวาสนั่งอยู่ มีเสียงว่า "ไปที่วัดไทยจะมีผู้ช่วยเหล ือความทุกข์ครั้งนี้ได้" พอพ้นจากสมาธิท่านจึงไปที่ว ัดไทย จนได้หมอรักษาจนหายที่วัดไท ยพุทธคยา
นี้คือตัวอย่างที่เราสามารถ เรียนรู้ได้ การบำเพ็ญบารมีนั้นไม่ง่าย ก็จะมีอุปสรรคคอยขัดขวางเสม อ การสร้างบารมีจึงต้องอาศัย ความเพียร ต้องอาศัยความวิริยะอย่างมา ก ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อได้บำ เพ็ญสัจจะบารมีครั้งใหญ่ พญามารก็แรงเหลือประมาณ แต่เพราะท่านมีพลังจิตมาก ความตั้งใจก็มากจึงบำเพ็ญสั จจะบารมีได้สำเร็จ
ย้อนกลับมาที่ นศ. ครูสมาธิ หากไปเดินธุดงค์แล้วคิดว่าล ำบากก็ให้นึกถึง พระอาจารย์หลวงพ่อเราไว้ นศ.เราเดินธุดงค์ ได้ทานอาหารวันละสามมื้อ น้ำท่าไม่ขาดแคลน ส้วมก็มีให้ใช้ ถ้าคิดว่าลำบากให้นึกถึงหลว งพ่อตอนไปอินเดีย น้ำก้ขาด ร้อนก็ร้อน อาหารก็ไม่สะอาดและไม่พอ ส้วมก้ไม่สะดวกแล้วท้องเสีย ถึงสิบสี่วัน กว่าท่านจะชนะพญามารได้
การธุดงค์กินอยู่ลำบากถึงเป ็นการทดสอบพลังจิตโดยแท้
ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 5 กรกฏาคม พ.ศ. 2529
พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์
โดยจะนั่งสมาธิให้ครบเก้าสิ
แต่ท่า...นพระอาจารย์หลวงพ่อ ก็ตัดสินใจเดินทาง โดยท่านกล่าวว่า "เมื่อตัดสินใจแล้ว ขอให้เป็นไปตามนั้นเถิด ท่านยอมสละทุกอย่าง และไม่สามารถยอมให้ใครมาขวา
ก่อนออกเดินทางท่านได้สละข้
มีพระติดตามรูปเดียวคือ พระธรรมศักดิ์ คุตธรรมโม
โดยท่านได้เดินทางธุดงค์ไปแ
ครั้งนี้เป็นการธุดงค์ครั้ง
กำลังของพญามารครั้งนี้เหลื
ต้องท้องเสียถึงสิบสี่วัน ขาดน้ำอาหารเกลือแร่ ทั้งการรักษาพยาบาลก็ไม่มี
แต่ท่านก็อุตส่าห์พยุงร่างก
เมื่ออากาศร้อนจัดจนหายใจแท
เมื่อจะพ้นจากการทำสมาธิแล้
นี้คือตัวอย่างที่เราสามารถ
ย้อนกลับมาที่ นศ. ครูสมาธิ หากไปเดินธุดงค์แล้วคิดว่าล
การธุดงค์กินอยู่ลำบากถึงเป
ก่อนเดินทางกลับหลวงพ่อท่าน เล่าให้ฟังว่า
หลวงพ่อนี้เดินทางมามาก เอาแค่ที่เดินทางกับสายการบ ินเกาหลี เขาบอกว่า 191เที่ยวในไม่กี่ปีมานี้ ไม่ใช่น้อยเลย
เดินก็ไม่ใช่น้อยๆเลย จากจันทบุรี ไปสกลนคร ไปธุดงค์ถึงไหนๆต่อไหน สมัยก่อนก็ต้องเดินกันเป็นร ้อยๆกิโล
เปรียบให้ฟังว่าการเดินทางส มัยนี้กับสมัยก่อนก็ต่างกัน สมัยนี้มันสะดวกสบายกว่าเดิ มมาก
หากย้อนกลับไปสมัยก่อนร้อยป ีสองร้อยปี ไปบอกว่าคนไปขึ้นเครื่องยาน พาหนะไป...นอนกินถ่ายกันได้บนท้องฟ้า ใครจะไปเชื่อ มันเป็นเรื่องที่ลำบากไม่มี คนคิดว่าจะทำได้ การไปบอกสิ่งเหล่านี้เป็นเร ื่องยาก
คนในประเทศไทยเรา เป็นชาวพุทธกันได้อย่างไร รู้ไหม
ก็เกิดมา อุแว้ๆ พ่อแม่เป็นพุทธเกิดมาก็เป็น ชาวพุทธแล้ว
แต่แค่เกิดมาก็เป็นชาวพุทธไ ม่ได้รู้เรื่องไม่ได้ปฏิบัต ิตามคำสอน ตามศีล มันก็เหมือนเป็นนายพัน แต่มีแค่ยศ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีอำนาจบารมี ไปทำอะไรก็ไม่ได้ ได้ชื่อแค่ว่าเป็น
ดังนั้น อย่าได้ชื่อแค่ว่าเป็นชาวพุ ทธ เพราะเกิดมาเป็นชาวพุทธก็ไม ่มีประโยชน์
สมัยก่อนพระโสนะ พระอุตระ นำพุทธศาสนามาเผยแพร่ในเมือ งไทย กว่าท่านจะสร้างศรัทธานั้นไ ม่ง่าย
ไหนจะต้องเดินทางมาจากอินเด ีย จะอยู่ดีๆไปสอนคนเขา ใครจะไปเชื่อใครจะไปศรัทธา
แต่ท่านทั้งสองก็มีปัญญา ท่านมีวิชาการเป็นหมอ
มาถึงเจออหิวาระบาด ชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายไม่รู ้สาเหตุ ก็คิดว่าเป็นผีเป็นสางมาทำร ้าย ก็อาสาจะปราบผีให้ ก็ทำยามาให้ชาวบ่านมากินกัน มันก็หายไม่ตายกันก็สร้างศร ัทธาขึ้นมา ก็ใช้วิธีนี้จนมีคนศรัทธามา กมาย ก็สามารถนำพุทธศาสนามาเผยแพ ร่ในไทยได้ กว่าที่จะเผยแพร่พุทธศาสนาใ นไทยได้ก็ต้องใช้ความอดทนคว ามสามารถนานัปการ พวกเราจึงควรรักษาไว้ให้ดี
เมื่อเป็นครูสมาธิแล้ว ตอนมาเรียนก็มาเรียน จบไปก็เลิกกันแบบนี้ก็น่าเส ียดาย หากไม่ทำสมาธิเพิ่มเติมเพื่ อรักษาสมาธินั้นไว้See More
หลวงพ่อนี้เดินทางมามาก เอาแค่ที่เดินทางกับสายการบ
เดินก็ไม่ใช่น้อยๆเลย จากจันทบุรี ไปสกลนคร ไปธุดงค์ถึงไหนๆต่อไหน สมัยก่อนก็ต้องเดินกันเป็นร
เปรียบให้ฟังว่าการเดินทางส
หากย้อนกลับไปสมัยก่อนร้อยป
คนในประเทศไทยเรา เป็นชาวพุทธกันได้อย่างไร รู้ไหม
ก็เกิดมา อุแว้ๆ พ่อแม่เป็นพุทธเกิดมาก็เป็น
แต่แค่เกิดมาก็เป็นชาวพุทธไ
ดังนั้น อย่าได้ชื่อแค่ว่าเป็นชาวพุ
สมัยก่อนพระโสนะ พระอุตระ นำพุทธศาสนามาเผยแพร่ในเมือ
ไหนจะต้องเดินทางมาจากอินเด
แต่ท่านทั้งสองก็มีปัญญา ท่านมีวิชาการเป็นหมอ
มาถึงเจออหิวาระบาด ชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายไม่รู
เมื่อเป็นครูสมาธิแล้ว ตอนมาเรียนก็มาเรียน จบไปก็เลิกกันแบบนี้ก็น่าเส
สิ่งที่หลวงพ่อท่านเมตตาสอน พวกเราเกี่ยวกับการปฏิบัติ
ที่วังน้ำเขียวท่านได้กล่าว ถึง
ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา การปฏิบัติแบบลำบากแต่ได้ผล เร็ว
สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา การปฏิบัติที่สุขและได้ผลเร ็ว
นอกจากนี้ที่ผมได้ไปศึกษาอ่ านเอาเพิ่มเติมก็จะมี...
ปฏิปทา สี่แบบคือ
ปฏิปทา 4 (แนวปฏิบัติ, ทางดำเนิน, การปฏิบัติแบบที่เป็นทางดำเ นินให้ถึงจุดหมาย คือความหลุดพ้นหรือความสิ้น อาสวะ - modes of practice; modes of progress to deliverance)
1. ทุกขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะ แรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจ ากราคะ โทสะ โมหะนั้นอยู่เนืองๆ หรือเจริญกรรมฐานที่มีอารมณ ์ที่มีอารมณ์ไม่น่าชื่นใจ เช่น อสุภะ เป็นต้น อีกทั้งอินทรีย์ก็อ่อนจึงบร รลุโลกุตตรมรรคล่าช้า พระจักขุบาลอาจเป็นตัวอย่าง ในข้อนี้ได้ - painful progress with slow insight)
2. ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะแรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจ ากราคะ โทสะ โมหะนั้นอยู่เนืองๆ หรือเจริญกรรมฐานที่มีอารมณ ์ไม่น่าชื่นใจ เช่น อสุภะ เป็นต้น แต่มีอินทรีย์แก่กล้า จึงบรรลุโลกุตตรมรรคเร็วไว บาลียกพระมหาโมคคัลลานะเป็น ตัวอย่าง - painful progress with quick insight)
3. สุขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติสบาย แต่รู้ได้ช้า เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่ องจากราคะ โทสะ โมหะ นั้น เนืองนิตย์ หรือเจริญสมาธิได้ฌาน 4 อันเป็นสุขประณีต แต่มีอินทรีย์อ่อนจึงบรรลุโ ลกุตตรมรรคล่าช้า - pleasant progress with slow insight)
4. สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติสบาย ทั้งรู้ได้ไว เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่ องจากราคะ โทสะ โมหะนั้นเนืองนิตย์ หรือเจริญสมาธิได้ฌาน 4 อันเป็นสุขประณีต อีกทั้งมีอินทรีย์แก่กล้าจึ งบรรลุโลกุตตรมรรคเร็วไว บาลียกพระสารีบุตรเป็นตัวอย ่าง - pleasant progress with quick insight)
ที่วังน้ำเขียวท่านก็เล่าให ้ฟังด้วยความเมตตา
พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ ท่านกล่าวว่า ไปปฏิบัติลำบากมันก็ได้เร็ว อยู่
หลวงปู่มั่นท่านก็สอนไว้ เอ้าอยากได้เร็วก็ไปนั่งสมา ธิเอาบนรังมดแดง ท่านก็ลองไปนั่งเป็นชั่วโมง มันได้พุทโธ ประเดี๋ยวเดียว อุ๊ยๆ อ้าว โดนกัดอีกแล้วแหม นั่งตั้งนานสมาธิรวมได้ไม่เ ท่าไร
ท่านก็บอกว่านั่งสามชั่วโมง น่ะได้นิดเดียวตอนนั้น เพราะมันเจ็บมันคัน จะไปเอาสมาธิได้ที่ไหน มันก็ประเดี๋ยวเดียว
ท่านก็ถามว่า เอ้า แล้วพวกเธอจะเอาแบบไหน
แบบทุกข์ก็อาจจะสักห้าหมื่น ชาติ
แบบสุขก็อาจจะห้าแสนชาตินะ
ผมไม่ทราบแต่ละคนเลือกแบบไห น แต่ทั้งนี้เท่าที่ผมตามอ่าน
สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือ สบายรู้ได้ไว ถือว่เป็นการปฏิบัติที่ปราณ ีต
ผมคงเลือกทางนี้ดีกว่าครับ 555
ที่วังน้ำเขียวท่านได้กล่าว
ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา การปฏิบัติแบบลำบากแต่ได้ผล
สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา การปฏิบัติที่สุขและได้ผลเร
นอกจากนี้ที่ผมได้ไปศึกษาอ่
ปฏิปทา สี่แบบคือ
ปฏิปทา 4 (แนวปฏิบัติ, ทางดำเนิน, การปฏิบัติแบบที่เป็นทางดำเ
1. ทุกขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะ แรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจ
2. ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะแรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจ
3. สุขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติสบาย แต่รู้ได้ช้า เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่
4. สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติสบาย ทั้งรู้ได้ไว เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่
ที่วังน้ำเขียวท่านก็เล่าให
พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์
หลวงปู่มั่นท่านก็สอนไว้ เอ้าอยากได้เร็วก็ไปนั่งสมา
ท่านก็บอกว่านั่งสามชั่วโมง
ท่านก็ถามว่า เอ้า แล้วพวกเธอจะเอาแบบไหน
แบบทุกข์ก็อาจจะสักห้าหมื่น
แบบสุขก็อาจจะห้าแสนชาตินะ
ผมไม่ทราบแต่ละคนเลือกแบบไห
สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือ สบายรู้ได้ไว ถือว่เป็นการปฏิบัติที่ปราณ
ผมคงเลือกทางนี้ดีกว่าครับ 555
จะกล่าวถึงศัพท์ภาษาอังกฤษท ี่หลวงพ่อท่านใช้สอนฝรั่ง ท่านพูดถึง
Divine's eye คำที่หลวงพ่อท่านพูดถึงในสม าธิชั้นสูง
คำว่า Divine ในภาษาอังกฤษนั้นแปลว่า เทพ ทิพย์ เทวดา ผู้ที่เหนือมนุษย์
ถ้าตามที่ฝรั่งเขาใช้กับพวก เทวดากรีก เช่น เทพโอลิมปัส Olympus เทพเอเทนน่าAthena เทพอพอลโลApollo หรือ เทพเจ้านิเก Nike หรือ ไนกี้ ที่เราเคยได้ยินกัน
Devine's eye ที่เราได้ยินหลวงพ่อพูดก็คื อ ทิพย์จักษุ หรือตาทิพย์ เมื่อฝึกการปฏิบัติสมถะมามากจ นมีพลังจิตระดับหนึ่ง คือถึงจุดพลังอำนาจ ก็จะเกิด Devine's eye นี้ขึ้นมา
Divine's eye คำที่หลวงพ่อท่านพูดถึงในสม
คำว่า Divine ในภาษาอังกฤษนั้นแปลว่า เทพ ทิพย์ เทวดา ผู้ที่เหนือมนุษย์
ถ้าตามที่ฝรั่งเขาใช้กับพวก
Devine's eye ที่เราได้ยินหลวงพ่อพูดก็คื
ประวัติงานสวดลักขีบวชชีหมื ่นคน
พิธีกรรมการบวชชีนั้น เริ่มต้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ สถานที่ธุดงค์วิปัสสนากรรมฐ าน วัดดำรงธรรมาราม อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งตอนนั้น พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล) เกิดความตระหนักว่า ในเส้นทางปฏิบัติธรรม ผู้หญิงไม่ค่อยมีสิทธิเทียม เท่าผู้ชาย
จึงได้คิดแนวปฏิบัติ ที่จะให้โอกาสสตรี ด้วยการบวชชีให้สตรี ได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรม แห่งประณีตศีล ถือเพศบรรพชิต กินนอนในวัดอย่างน้อย ๓ วัน โดยวันแรกนั้น ถือเป็นวันรับศีล วันที่สอง เป็นวันทรงศีล จะมีโอกาสปฏิบัติธรรมได้เต็ มที่ ส่วนวันสุดท้าย จะเป็นวันส่งผลบุญ
พิธีกรรมครั้งแรก ในการบวชชี มีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ เป็นผู้ให้วิสัยแก่ผู้เข้าม าบวชชี ในสมัยนั้น ถือว่าเป็นของใหม่ แต่ก็มีผู้สนใจเข้ามาบวชชีถ ึง ๖๒๕ คน ด้วย
อานิสงส์ผลบุญแห่งการบวช ทำให้หลายคนที่ผ่านการบวชแล ้ว กลับไปด้วยจิตอิ่มเอิบเบิกบ านแจ่มใส มีความสุขใจ โดยทั่วกัน
ในครั้งนั้น หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ได้พิมพ์ภาพของท่าน แจกให้กับผู้ที่มาบวชชีเป็น ที่ระลึก และ ในจำนวนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่ ง บ้านอยู่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มีอาชีพต้มเหล้าพื้นบ้าน (เหล้าเถื่อน) ขาย
วันหนึ่งเธอประสบอุบัติเหตุ ถึงชีวิต ขณะที่เธอมีสติเลื่อนลอยไปเ รื่อยๆ แล้วมาอยู่ตรงที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนหน้าตาดุร้ายหลายคน จับเธอโยนลงไปในกระทะใบใหญ่ ที่มีน้ำเดือดพล่านๆ แต่พอเธอจะตกลงไป ก็มีอันกระดอนกลับขึ้นมา เป็นอยู่อย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง
ในช่วงนั้นเธอเห็นรูป หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร มารองรับเธอไว้ มิให้ตกลงไปในกระทะ แม้ชายหน้าตาดุดันก็เห็นเช่ นเดียวกัน
จากนั้นก็ได้หยิบรูปนั้นขึ้ นมาแล้วถามว่ารู้จักคนนี้หร ือไม่เธอตอบว่ารู้จักเพราะเ คยไปบวชชีที่วัดของท่าน ๓ วัน เขาจึงบอกให้เธอกลับไปได้
เธอมารู้สึกตัวอีกครั้งขณะท ี่ญาติกำลังจะเอาร่างของเธอ ใส่ลงในหีบศพพอรู้ว่าเธอฟื้ นต่างก็ดีอกดีใจ จากวันนั้นเธอประกาศเลิกต้ม เหล้าขายอย่างเด็ดขาด ข่าวนี้ฮือฮากันมากในช่วงเว ลานั้น
ต่อมาเมื่อมีการบวชชีที่วัด ดำรงธรรมารามเมื่อไรคนจะแห่ เข้าไปจนแน่นวัดแล้ววัดอื่น ก็เอาแบบอย่างนี้ไปปฏิบัติต ามจนแพร่หลายไปทั่ว
เมื่อหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ไปสร้างวัดที่ใดก็จะนำเอาปร ะเพณีสวดลักขีไปจัดขึ้นที่ว ัดนั้นๆ ดังเช่นที่วัดธรรมมงคล ถนนสุขุมวิท ซอย ๑๐๑ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
การสวดลักขี ที่วัดธรรมมงคลจะจัดในช่วงว ันเกิด พระอาจารย์หลวงพ่อ วิริยังค์
ประมาณวันที่ 4-7 มกราคม ของทุกปี (พระอาจารย์หลวงพ่อ ท่านเกิด
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2463 ปีวอก แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย ณ สถานีรถไฟปากเพรียว จังหวัดสระบุรี ต่อมาย้ายมาตั้งหลักฐานที่บ ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา มีพี่น้อง 7 คน)
จะมีอุบาสก อุบาสิกา มาร่วมงานร่วมสามหมื่นคน ใช้เวลาสามวันสามคืนในการสว ดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรม หลับตื่น ถือศีล8 กินนอน นุ่งขาวห่มขาว อยู่ที่วัดธรรมมงคล ถือเป็นงานสำคัญครั้งใหญ่ขอ งพุทธศาสนา ที่มีจัดเป็นประจำทุกปีSee More
Walking on the mountain is not easy even if you are young. Luangphor Viriyang at age of 93 is still walking, and leading us on a hiking trail. World peace is the goal to this journey. So walk carefully and keep your mind very clear as you walk on the mountain. As in life if you will have the right mind you will need will power.
Luangphor Viriyang was about to begin a walking meditation session. Next to Luangphor Viriyang is Mr.Meechai Ruchuphan. Mr. Woody is a young man on the right side of the picture.
Mr. Meechai Ruchuphan is a former deputy Prime Minister.
Mr. Woody has his own Talk show on The Modern 9 Television Thailand. The program is called "Woody kued ma kui".
Go back in time!!
Jan 9th,2011
Luangphor Viriyang was granted a new title from His Majesty the King Bhumibol Adulyadej.
Changing the royal title from "Phra Thepjetiyajarn" to "Phra Dhammongkolayarn" which is a higher rank for Bhudist monk in Thailand.
Recieving a Fan of Rank from His Royal Holiness "Phra Somdet Wanaruth" at Wat Dhammamongkol Bangkok Thailand.
This is a picture of a place where the Lord Buddha sat under the Bodhi tree in Bodh Gaya. The stone that Lord Buddha sat on is called Vajraasana or Vajrasila. The meaning of Vajraasana is a seat of a man who has a heart of a diamond.
วิธีการรักษาโรคทางใจ
ตอนนี้หลวงพ่อมีโปรแกรมสร้างวัดใหม่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมชื่อสุขภิญญา สำหรับใครที่ต้องการชุบตัวเอง เหมือนพระรามชุบศร หลวงพ่อก็จะชุบเหมือนกัน 50 ปีที่อยู่ที่นี่นี้ทั้งเทศน์ ทั้งอะไรทุกอย่าง ก็มานึกได้ว่าเราเป็นพระวัดป่าจึงได้มีโปรแกรมนี้ขึ้น สำหรับรักษาโรคทางจิตใจ ของอะไรที่ชำรุดก็ต้องซ่อมจะทำให้ใช้ได้ ไม่ซ่อมก็จะมีรู มีรั่ว อย่างรถก็ต้องมีเข้าโรงซ่อม ทีนี้ทางจิตใจก็เช่นกัน หลวงพ่ออยู่ที่นี่ทั้งเทศน์ ทั้งบริหาร ทุกอย่าง ก็ต้องมีการรักษาจิตใจ ทางร่างกายมีหมอรักษา แต่โรคด้านจิตใจมองไม่เห็น แต่มันก็เกิด โรคทางใจเกิดตอนไหน เช่น ลูกดื้อ เราโมโห ฉุนเฉียว เมื่อเราโมโห ก็เกิดโรคแล้ว โรคโมโห เศร้าใจ หงุดหงิด ประสาท เป็นตัวบั่นทอนอายุ ถ้าโรคเศร้า โรคทางใจมีมาก จะบั่นทอนอายุไปอีก 5 ปี
วิธีรักษาโรคทางใจคือใช้ความอดทน ความเพียร มานะ บากบั่น การอดทนนี้คืออดทนแบบมีสมาธิ โรคทางใจนั้นเกิดจากอารมณ์ ไม่เลือกคนจะคนรวย คนจน คนมียศฐาบรรดาศักดิ์ก็เป็นโรคทางใจ ทั้งนี้ในธรรมะ มีอุเบกขา ความวางเฉย เอาเข้าจริงมันก็วางไม่ได้ พอวางไม่ได้ก็แบกเป็นภาระหนัก ดังนั้นในวันหนึ่งๆ เราควรรักษาตัวเรา 5 นาที 10นาที พอรักษาทุกๆวันโรคทางใจจะหายไปเอง พอไม่รักษาก็เป็นอย่างคนนี้ว่าเรา เราโกรธ โกรธเท่านี้ไม่พอต้องโกรธอีก เหมือนเอาน้ำมันไปราดไฟ เพราะใจเอาไปรับอารมณ์ จำได้ว่าใครว่าเราบ้าง เกิดเป็นอุปทานที่เกิดจากอารมณ์ ทำให้เกิดความเศร้าใจ
หากเรามีวิชาความรู้สมาธิก็กักตุนเอาไว้ ทำสมาธิไว้ 5 นาที 10 นาที ก็จะเป็นยารักษาทางใจ ยารักษาทางใจเราไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องให้หมอดูแล นึกพุทโธ 5 นาทีเป็นของยากที่ไหน เราอยู่ที่ไหนก็ทำสมาธิได้ ก็จะคุ้มตลอดวัน อาทิตย์หนึ่งต้องทำสมาธิไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน แค่นี้ก็เกิดประโยชน์มหาศาล หลวงพ่อเองสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาบิณฑบาตร ก็ท่องพุทโธไป ก็มีสติขึ้น เมื่อมีสติ เวลาใครโมโห ว่าเรา เรามีสติ ไม่โกรธ
การทำสมาธิเป็นการแก้โรคและป้องกันไม่ให้โรคทางใจเกิดขึ้น เป็นการทำแบบง่ายๆ วันนี้5 นาที พรุ่งนี้ 5 นาที ก็สะสมได้มาก เกิดประโยชน์ มากมาย รู้ว่าจะจัดการชีวิตอย่างไร ชีวิตมีค่ามากมายมหาศาล เราต้องรู้จักดูแลรักษาไม่ให้เกิดโรคทางใจ เมื่อเกิดจุดดำในใจแล้วก็เกิดความอาฆาต พยาบาท จองเวร สะสมไปเรื่อยๆ พอทำสมาธิก็จะลดจุดดำไป
ที่วัดใหม่หลวงพ่อจะฉันในบาตร เดินจงกรม นั่งสมาธิ ใครไปพบไปได้นิดหน่อยตอนหกโมง ถึงแปดโมง หลังจากนั้นเข้าไปไม่ได้แล้ว หลวงพ่อก็จะชุบตัว ตอนบ่ายใครจะเข้าไปถวายน้ำปานะได้ โรคทางใจไม่เหมือนโรคทางกาย ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามีไว้แก้ไขโรคที่ทำให้เกิดอาการไม่ดี อาการไม่ดีคือความเศร้าหมอง
โปรแกรมที่วัดใหม่นี้เบาะๆ 49 วัน มีการปฏิบัติเคร่งครัดขึ้น ใครอยากมาชุบตัวให้ผ่องใสก็มา ปรากฎว่ามีพระมาสมัคร 160 องค์ 160 องค์นี้ ต้องนอนดินบ้าง นอนกุฏิบ้าง 49 วันนี้มาจากการที่พระพุทธองค์เสวยวิมุติสุข 49 วันไม่ฉันเลย หลวงพ่อเลยถือนิมิตว่า 49 วันจะเป็นการชุบ ชำระ โดยให้หลักสูตรนี้ชื่อว่าคุรุสาสมาธิ โดยตอนเช้าเก้าโมงเริ่ม เลิกบ่ายสาม จากนั้นกวาดลานวัด การกวาดลานวัดเป็นนี้พิธี แต่ขณะเดียวกันก็กวาดกิเลสในใจ กวาดสิ่งค้างคาในจิตใจให้บริสุทธิ์ เมื่อหลวงพ่อสอนแล้วทำด้วยก็จะขลัง
50 ปีของการอยู่ที่นี่มีแต่การแต่งานไม่เคยพัก ตอนนี้ก็จะได้พักแล้ว เมื่อเราทำอย่างนี้ สร้างความดีอย่างนี้ทั้งโยมทั้งพระ ก็จะกลายเป็นคนดี ญาติโยมก็ต้องสนับสนุนการทำความดีนี้ เพียงแค่ใส่บาตรก็ใช้ได้แล้ว ตอนเช้ามีข้าวยาคู จากนั้นพระไปบิณฑบาตร เข้างาน 9 โมง บ่ายสามเลิก กวาดลานวัด 4 โมงสรงน้ำ เมื่อทำตามหลักสูตรก็เกิดผล เมื่อปฏิบัติเสร็จก็มีการแผ่เมตตา เป็นงานที่ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงต่อไป
หนังสือ Time Magazine บอกว่า ที่อเมริกา มีงานวิจัยพบว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก คือพระในพุทธศาสนา
โดยทดสอบด้วยการสแกนสมองพระที่ทำสมาธิ และได้ผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นจริง
+ หลักความเชื่อของศาสนาพุทธคือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุขนั้น ก็คืออยู่กับปัจจุบัน ขณะปล่อยวางได้
ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยากที่ไม่มีสิ้นสุด
+ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และใช้หลักเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น มีจิตใจเมตตา กรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น
+ อริยสัจ4 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและบอกไว้ด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แท้จริงแล้วก็คือทางเดินไปหาคำว่า
"ความสุข" เพราะถ้าเมื่อไรเรากำจัด "ความทุกข์" ได้แล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้น
+ อุปสรรคของความสุขก็คือแรงปรารถนาและตัณหา คนเราจะมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับว่า"มีเท่าไร"
แต่ขึ้นอยู่ที่ว่า เรา "พอเมื่อไร" ความสุขไม่ได้ขึ้นกับจำนวนสิ่งของที่เรามี หรือเราได้...
+ ดังนั้นวิธีจะมีความสุข อันดับแรกต้อง "หยุดให้เป็น และ พอใจให้ได้" ถ้าเราไม่หยุดความอยากของเราแล้วละก็
เราก็จะต้องวิ่งไล่ตามหลายสิ่งที่เรา "อยากได้" แล้วนั่นมันเหนื่อย และความทุกข์ก็จะตามมา...
+ ข้อต่อมาที่ทำให้เราเป็นสุขคือ การมองทุกอย่างในแง่บวก ชีวิตแต่ละวัน แน่นอนเราต้องเจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี
ถ้าเราอยากจะมีความสุข เราต้องเริ่มด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อใจเราจะได้เป็นบวก
คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่เราได้ทำ
+ ข้อต่อมาคือการให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบสิ่งของหรือเงิน เรียกว่าบริจาค และการให้ความเมตตากรุณาต่อกัน
ให้อภัยทั้งตัวเองและคนอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัย ทำให้เรามีความสุข....
+ การปล่อยวางให้ได้ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงและเศร้าโศกเพียงใด
จำไว้ว่ามันจะโดนเวลาพัดพามันไปจากเรา ไม่ช้าก็เร็ว เราจะผ่านพ้นไปได้....และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเพียงใด ไม่ว่าผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วย ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
ทุกคนต้องได้ผ่านบททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...
+ ทำตนเองให้สดใส ด้วยการยิ้มให้ตนเอง ทำคนอื่นให้สดใสได้ ด้วยการยิ้มให้เขา การยิ้มไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่สร้างความสดใสได้มาก ทำให้เราเป็นสุขอยู่เสมอ เพราะความสุขมันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ใจของเรานี่เอง
ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส เห็นใครทักก่อน
นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก
การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่การแก้แค้นลงทุนมาก
เขาด่าว่าเราไม่ถึงนาที เขาอาจลืมไปแล้วด้วย แต่เรายังจดจำ ยังเจ็บใจอยู่... นี่เราฉลาดหรือโง่กันแน่
บ่นแล้วหมดปัญหาก็น่าบ่น บ่นแล้วมีปัญหา ไม่รู้จะบ่นหาอะไร
เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ทำไมต้องเศร้าหมอง
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ
อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก จะเสียสุขภาพกายและสุขภาพจิต
แม้จะฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธไม่ได้ แต่ฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธบ่อยได้ ฝึกให้เป็นผู้รู้จักให้อภัยได้
การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา
การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา
โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้ โทษตนเองแก้ไขได้
แก้ตัวไม่ได้ช่วยอะไร แต่แก้ไขช่วยให้ดีขึ้น
การนอนหลับเป็นการพักกาย การทำสมาธิเป็นการพักใจ คนส่วนใหญ่พักแต่กาย ไม่ค่อยพักใจ
รู้จักทำใจให้รักผู้บังคับบัญชา
รู้จักทำใจให้รักลูกน้อง
รู้จักทำใจให้รักเพื่อนร่วมงาน
สวรรค์ก็อยู่ที่ทำงาน
เกลียดผู้บังคับบัญชา
เกลียดลูกน้อง
เกลียดผู้ร่วมงาน
นรก ก็อยู่ที่ทำงาน
การที่เรายังต้องแสวงหาความสุข แสดงว่าเรายังขาดความสุข
แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้เป็นสุขได้เอง ก็ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหน
อ่อนน้อม อ่อนโยน อ่อนหวาน นั้นดี.... อ่อนข้อให้เขาบ้างก็ยังดี แต่...อ่อนแอนั้น ไม่ดี
ในการคบคน ศิลปะใดๆ ก็สู้ความจริงใจไม่ได้ จงประหยัด คำติ แต่อย่าตระหนี่ คำชม
อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันตอนตาย
ถ้าคิดทำความดี ให้ทำได้ทันที
ถ้าคิดทำความชั่ว ให้เลิกคิดทันที
ถ้าเลิกคิดไม่ได้ ก็อย่าทำวันนี้
ให้ผลัดวันไปเรื่อยๆ
ถึงจะรู้ร้อยเรื่องพันเรื่อง ก็ไม่สู้รู้เรื่องดับทุกข์
โลกสว่างด้วยแสงไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม
แสงธรรมส่องใจ แสงไฟส่องทาง
ผู้สนใจธรรม สู้ผู้รู้ธรรมไม่ได้
ผู้รู้ธรรม สู้ผู้ปฎิบัติธรรมไม่ได้
ผู้ปฎิบัติธรรม สู้ผู้ที่เข้าถึงธรรมไม้ได้
มีทรัพย์มาก ย่อมมีความสะดวกมาก
มีธรรมะมาก ย่อมมีความสุขมาก
เมื่อก่อนยังไม่มีเรา
เราเพิ่งมีมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
และอีกไม่นานก็จะไม่มีเราอีก
จึงควรรีบทำดี ในขณะที่ยังมี...เรา
พิธีกรรมการบวชชีนั้น เริ่มต้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ สถานที่ธุดงค์วิปัสสนากรรมฐ
จึงได้คิดแนวปฏิบัติ ที่จะให้โอกาสสตรี ด้วยการบวชชีให้สตรี ได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรม แห่งประณีตศีล ถือเพศบรรพชิต กินนอนในวัดอย่างน้อย ๓ วัน โดยวันแรกนั้น ถือเป็นวันรับศีล วันที่สอง เป็นวันทรงศีล จะมีโอกาสปฏิบัติธรรมได้เต็
พิธีกรรมครั้งแรก ในการบวชชี มีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ เป็นผู้ให้วิสัยแก่ผู้เข้าม
อานิสงส์ผลบุญแห่งการบวช ทำให้หลายคนที่ผ่านการบวชแล
ในครั้งนั้น หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ได้พิมพ์ภาพของท่าน แจกให้กับผู้ที่มาบวชชีเป็น
วันหนึ่งเธอประสบอุบัติเหตุ
ในช่วงนั้นเธอเห็นรูป หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร มารองรับเธอไว้ มิให้ตกลงไปในกระทะ แม้ชายหน้าตาดุดันก็เห็นเช่
จากนั้นก็ได้หยิบรูปนั้นขึ้
เธอมารู้สึกตัวอีกครั้งขณะท
ต่อมาเมื่อมีการบวชชีที่วัด
เมื่อหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ไปสร้างวัดที่ใดก็จะนำเอาปร
การสวดลักขี ที่วัดธรรมมงคลจะจัดในช่วงว
ประมาณวันที่ 4-7 มกราคม ของทุกปี (พระอาจารย์หลวงพ่อ ท่านเกิด
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2463 ปีวอก แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย ณ สถานีรถไฟปากเพรียว จังหวัดสระบุรี ต่อมาย้ายมาตั้งหลักฐานที่บ
จะมีอุบาสก อุบาสิกา มาร่วมงานร่วมสามหมื่นคน ใช้เวลาสามวันสามคืนในการสว
หลวงพ่อกับการศึกษา
การศึกษาสามารถพัฒนาบุคคลแล ะประเทศได้ การที่หลวงพ่อสร้างสถาบันออ กแบบ CIDI หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านต้องไปเดินทางไปเมืองนอ ก ไปดูกระเป๋าแซมโซไนต์ อู้หู ทำไมแพงจัง ผลิตที่ไหนรู้ไหม ที่ปทุมธานี ท่านไปที่ Italy แว่นตาArmani ทำไมแพงจัง เพราะมันมียี่ห้อ มีการออกแบบ เลยสามารถขายแพงได้
ท่านบอกว่า หากเมืองไทยมีการสอนออกแบบ ก็ให้คนที่ชำนาญมาสอน ให้ชาวอิตาลีมาสอน ตรงนี้จะมีประโยชน์มาก หล...วงพ่อจะลงทุนตรงนี้ กี่สิบล้านก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อมีคนมาเรียนไปพัฒ นาสินค้า จนมียี่ห้อ ก็สามารถนำเงินเข้าประเทศไท ยได้หลายร้อยล้าน มากกว่าที่หลวงพ่อลงทุนไป ประเทศก็พัฒนา คนอยู่ดีกินดี ก็จะได้มีเวลามาฝึกสมาธิ ถ้าจะมาฝึกสมาธิแต่มีปัญหาเ รื่องเงินทอง จะหาเวลามาเรียนก็ลำบาก ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนาให้ค นให้มีความสามารถเลี้ยงดูตน เองได้ก่อน นี่คือที่หลวงพ่อท่านกล่าวไ ว้ครับ
Luangphor Viriyang said that education is important.
Many years ago, Luangphor needed a luggage for traveling. He saw the price tag on Samsonite bag and wondering...why it is so expensive. When Ven. father LP Viriyang was in Italy, he was looking at Armani glasses and see the price tag. Wow...very expensive. Luangphor was thinking about if Thai people know how to design and make products like Armani or Samsonite then they will have better economic. But to do that, they need to have knowledge, they will need an education. So Luangphor decide to start a school of design in Thailand.
Chanapatana International Design Institute or CIDI was originally founded as then Chanapatana Institute on Monday 13 November 2000 in cooperation with Accademia Italiana, a leading design school of Florence, Italy, by venerable Luangphor Viriyang Sirintharo, the Lord Abbot of Dhammamongkol Temple.
Luang Phor Viriyang said that, when people have a good living status, they will have time to meditation with ease for not worrying about how to make a living.
การศึกษาสามารถพัฒนาบุคคลแล
ท่านบอกว่า หากเมืองไทยมีการสอนออกแบบ ก็ให้คนที่ชำนาญมาสอน ให้ชาวอิตาลีมาสอน ตรงนี้จะมีประโยชน์มาก หล...วงพ่อจะลงทุนตรงนี้ กี่สิบล้านก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อมีคนมาเรียนไปพัฒ
Luangphor Viriyang said that education is important.
Many years ago, Luangphor needed a luggage for traveling. He saw the price tag on Samsonite bag and wondering...why it is so expensive. When Ven. father LP Viriyang was in Italy, he was looking at Armani glasses and see the price tag. Wow...very expensive. Luangphor was thinking about if Thai people know how to design and make products like Armani or Samsonite then they will have better economic. But to do that, they need to have knowledge, they will need an education. So Luangphor decide to start a school of design in Thailand.
Chanapatana International Design Institute or CIDI was originally founded as then Chanapatana Institute on Monday 13 November 2000 in cooperation with Accademia Italiana, a leading design school of Florence, Italy, by venerable Luangphor Viriyang Sirintharo, the Lord Abbot of Dhammamongkol Temple.
Luang Phor Viriyang said that, when people have a good living status, they will have time to meditation with ease for not worrying about how to make a living.
Graduation is a joy.
Every year, Luangphor Viriyang will give certificate to the students who graduate the meditation instructor's course. Morethan 6,000 students will be graduated this year. This is a new record for Will Power Institute. Students from Thailand, Canada, and United States will join this event together, hand in hand they will sing the song Arun Thor Saeng and Shining Sun.
It is a moment of joy.
Every year, Luangphor Viriyang will give certificate to the students who graduate the meditation instructor's course. Morethan 6,000 students will be graduated this year. This is a new record for Will Power Institute. Students from Thailand, Canada, and United States will join this event together, hand in hand they will sing the song Arun Thor Saeng and Shining Sun.
It is a moment of joy.
Walking on the mountain is not easy even if you are young. Luangphor Viriyang at age of 93 is still walking, and leading us on a hiking trail. World peace is the goal to this journey. So walk carefully and keep your mind very clear as you walk on the mountain. As in life if you will have the right mind you will need will power.
Luangphor Viriyang was about to begin a walking meditation session. Next to Luangphor Viriyang is Mr.Meechai Ruchuphan. Mr. Woody is a young man on the right side of the picture.
Mr. Meechai Ruchuphan is a former deputy Prime Minister.
Mr. Woody has his own Talk show on The Modern 9 Television Thailand. The program is called "Woody kued ma kui".
Jan 9th,2011
Luangphor Viriyang was granted a new title from His Majesty the King Bhumibol Adulyadej.
Changing the royal title from "Phra Thepjetiyajarn" to "Phra Dhammongkolayarn" which is a higher rank for Bhudist monk in Thailand.
Recieving a Fan of Rank from His Royal Holiness "Phra Somdet Wanaruth" at Wat Dhammamongkol Bangkok Thailand.
No matter what the Mara did to Lord Buddha. With the heart of a daimond, Lord Buddha mind remains calm and true. Finally, Lord Buddha won over the Mara and become the... Enlightened One.
แท่นวัชรอาสน์ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ถ่ายเมื่อตอนที่ไปมินิธุดงค ์นิรสาสมาธิที่อินเดียปีที่ แล้วครับ พระครูปลัดมงคลวัตรบอกว่าเป ็นที่นั่งของบุรุษใจเพชร ที่ใจแกร่งดั่งเพชร ไม่ว่าจะเจออุปสรรค เจอมารร้าย เจอสิ่งต่างๆที่เข้ามาทำให้ จิตใจอ่อนไหว อ่อนแอ เปลี่ยนใจ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความมุ่ง มั่นของ พระพุทธเจ้าได้ ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็สามารถตรัสรู้ ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ แห่งนี้
การสร้างบุญบารมี แม้จะยากจะเจออุปสรรคต่างๆม ากมาย เจอคนรอบข้างมารบกวนใจ ก็ต้องพยายามต่อไป เพราะการสร้างบารมีสร้างบุญ นั้น มารย่อมพยายามที่จะหาทางขัด ขวางเป็นธรรมดา
ก็ขอให้พี่น้องชาวสถาบันพลั งจิตตานุภาพ ลูกศิษย์หลวงพ่อวิริยังค์ เมื่อเจออุปสรรคก็ขอให้นึกถ ึงที่แห่งนี้ไว้นะครับ
แท่น วัชรอาสน์ ที่ๆพระพุทธเจ้าชนะมาร และตรัสรู้
แท่นวัชรอาสน์ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ถ่ายเมื่อตอนที่ไปมินิธุดงค
การสร้างบุญบารมี แม้จะยากจะเจออุปสรรคต่างๆม
ก็ขอให้พี่น้องชาวสถาบันพลั
แท่น วัชรอาสน์ ที่ๆพระพุทธเจ้าชนะมาร และตรัสรู้
วิธีการรักษาโรคทางใจ
ตอนนี้หลวงพ่อมีโปรแกรมสร้างวัดใหม่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมชื่อสุขภิญญา สำหรับใครที่ต้องการชุบตัวเอง เหมือนพระรามชุบศร หลวงพ่อก็จะชุบเหมือนกัน 50 ปีที่อยู่ที่นี่นี้ทั้งเทศน์ ทั้งอะไรทุกอย่าง ก็มานึกได้ว่าเราเป็นพระวัดป่าจึงได้มีโปรแกรมนี้ขึ้น สำหรับรักษาโรคทางจิตใจ ของอะไรที่ชำรุดก็ต้องซ่อมจะทำให้ใช้ได้ ไม่ซ่อมก็จะมีรู มีรั่ว อย่างรถก็ต้องมีเข้าโรงซ่อม ทีนี้ทางจิตใจก็เช่นกัน หลวงพ่ออยู่ที่นี่ทั้งเทศน์ ทั้งบริหาร ทุกอย่าง ก็ต้องมีการรักษาจิตใจ ทางร่างกายมีหมอรักษา แต่โรคด้านจิตใจมองไม่เห็น แต่มันก็เกิด โรคทางใจเกิดตอนไหน เช่น ลูกดื้อ เราโมโห ฉุนเฉียว เมื่อเราโมโห ก็เกิดโรคแล้ว โรคโมโห เศร้าใจ หงุดหงิด ประสาท เป็นตัวบั่นทอนอายุ ถ้าโรคเศร้า โรคทางใจมีมาก จะบั่นทอนอายุไปอีก 5 ปี
วิธีรักษาโรคทางใจคือใช้ความอดทน ความเพียร มานะ บากบั่น การอดทนนี้คืออดทนแบบมีสมาธิ โรคทางใจนั้นเกิดจากอารมณ์ ไม่เลือกคนจะคนรวย คนจน คนมียศฐาบรรดาศักดิ์ก็เป็นโรคทางใจ ทั้งนี้ในธรรมะ มีอุเบกขา ความวางเฉย เอาเข้าจริงมันก็วางไม่ได้ พอวางไม่ได้ก็แบกเป็นภาระหนัก ดังนั้นในวันหนึ่งๆ เราควรรักษาตัวเรา 5 นาที 10นาที พอรักษาทุกๆวันโรคทางใจจะหายไปเอง พอไม่รักษาก็เป็นอย่างคนนี้ว่าเรา เราโกรธ โกรธเท่านี้ไม่พอต้องโกรธอีก เหมือนเอาน้ำมันไปราดไฟ เพราะใจเอาไปรับอารมณ์ จำได้ว่าใครว่าเราบ้าง เกิดเป็นอุปทานที่เกิดจากอารมณ์ ทำให้เกิดความเศร้าใจ
หากเรามีวิชาความรู้สมาธิก็กักตุนเอาไว้ ทำสมาธิไว้ 5 นาที 10 นาที ก็จะเป็นยารักษาทางใจ ยารักษาทางใจเราไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องให้หมอดูแล นึกพุทโธ 5 นาทีเป็นของยากที่ไหน เราอยู่ที่ไหนก็ทำสมาธิได้ ก็จะคุ้มตลอดวัน อาทิตย์หนึ่งต้องทำสมาธิไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน แค่นี้ก็เกิดประโยชน์มหาศาล หลวงพ่อเองสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาบิณฑบาตร ก็ท่องพุทโธไป ก็มีสติขึ้น เมื่อมีสติ เวลาใครโมโห ว่าเรา เรามีสติ ไม่โกรธ
การทำสมาธิเป็นการแก้โรคและป้องกันไม่ให้โรคทางใจเกิดขึ้น เป็นการทำแบบง่ายๆ วันนี้5 นาที พรุ่งนี้ 5 นาที ก็สะสมได้มาก เกิดประโยชน์ มากมาย รู้ว่าจะจัดการชีวิตอย่างไร ชีวิตมีค่ามากมายมหาศาล เราต้องรู้จักดูแลรักษาไม่ให้เกิดโรคทางใจ เมื่อเกิดจุดดำในใจแล้วก็เกิดความอาฆาต พยาบาท จองเวร สะสมไปเรื่อยๆ พอทำสมาธิก็จะลดจุดดำไป
ที่วัดใหม่หลวงพ่อจะฉันในบาตร เดินจงกรม นั่งสมาธิ ใครไปพบไปได้นิดหน่อยตอนหกโมง ถึงแปดโมง หลังจากนั้นเข้าไปไม่ได้แล้ว หลวงพ่อก็จะชุบตัว ตอนบ่ายใครจะเข้าไปถวายน้ำปานะได้ โรคทางใจไม่เหมือนโรคทางกาย ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามีไว้แก้ไขโรคที่ทำให้เกิดอาการไม่ดี อาการไม่ดีคือความเศร้าหมอง
โปรแกรมที่วัดใหม่นี้เบาะๆ 49 วัน มีการปฏิบัติเคร่งครัดขึ้น ใครอยากมาชุบตัวให้ผ่องใสก็มา ปรากฎว่ามีพระมาสมัคร 160 องค์ 160 องค์นี้ ต้องนอนดินบ้าง นอนกุฏิบ้าง 49 วันนี้มาจากการที่พระพุทธองค์เสวยวิมุติสุข 49 วันไม่ฉันเลย หลวงพ่อเลยถือนิมิตว่า 49 วันจะเป็นการชุบ ชำระ โดยให้หลักสูตรนี้ชื่อว่าคุรุสาสมาธิ โดยตอนเช้าเก้าโมงเริ่ม เลิกบ่ายสาม จากนั้นกวาดลานวัด การกวาดลานวัดเป็นนี้พิธี แต่ขณะเดียวกันก็กวาดกิเลสในใจ กวาดสิ่งค้างคาในจิตใจให้บริสุทธิ์ เมื่อหลวงพ่อสอนแล้วทำด้วยก็จะขลัง
50 ปีของการอยู่ที่นี่มีแต่การแต่งานไม่เคยพัก ตอนนี้ก็จะได้พักแล้ว เมื่อเราทำอย่างนี้ สร้างความดีอย่างนี้ทั้งโยมทั้งพระ ก็จะกลายเป็นคนดี ญาติโยมก็ต้องสนับสนุนการทำความดีนี้ เพียงแค่ใส่บาตรก็ใช้ได้แล้ว ตอนเช้ามีข้าวยาคู จากนั้นพระไปบิณฑบาตร เข้างาน 9 โมง บ่ายสามเลิก กวาดลานวัด 4 โมงสรงน้ำ เมื่อทำตามหลักสูตรก็เกิดผล เมื่อปฏิบัติเสร็จก็มีการแผ่เมตตา เป็นงานที่ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงต่อไป
หนังสือ Time Magazine บอกว่า ที่อเมริกา มีงานวิจัยพบว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก คือพระในพุทธศาสนา
โดยทดสอบด้วยการสแกนสมองพระที่ทำสมาธิ และได้ผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นจริง
+ หลักความเชื่อของศาสนาพุทธคือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุขนั้น ก็คืออยู่กับปัจจุบัน ขณะปล่อยวางได้
ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยากที่ไม่มีสิ้นสุด
+ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และใช้หลักเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น มีจิตใจเมตตา กรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น
+ อริยสัจ4 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและบอกไว้ด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แท้จริงแล้วก็คือทางเดินไปหาคำว่า
"ความสุข" เพราะถ้าเมื่อไรเรากำจัด "ความทุกข์" ได้แล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้น
+ อุปสรรคของความสุขก็คือแรงปรารถนาและตัณหา คนเราจะมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับว่า"มีเท่าไร"
แต่ขึ้นอยู่ที่ว่า เรา "พอเมื่อไร" ความสุขไม่ได้ขึ้นกับจำนวนสิ่งของที่เรามี หรือเราได้...
+ ดังนั้นวิธีจะมีความสุข อันดับแรกต้อง "หยุดให้เป็น และ พอใจให้ได้" ถ้าเราไม่หยุดความอยากของเราแล้วละก็
เราก็จะต้องวิ่งไล่ตามหลายสิ่งที่เรา "อยากได้" แล้วนั่นมันเหนื่อย และความทุกข์ก็จะตามมา...
+ ข้อต่อมาที่ทำให้เราเป็นสุขคือ การมองทุกอย่างในแง่บวก ชีวิตแต่ละวัน แน่นอนเราต้องเจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี
ถ้าเราอยากจะมีความสุข เราต้องเริ่มด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อใจเราจะได้เป็นบวก
คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่เราได้ทำ
+ ข้อต่อมาคือการให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบสิ่งของหรือเงิน เรียกว่าบริจาค และการให้ความเมตตากรุณาต่อกัน
ให้อภัยทั้งตัวเองและคนอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัย ทำให้เรามีความสุข....
+ การปล่อยวางให้ได้ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงและเศร้าโศกเพียงใด
จำไว้ว่ามันจะโดนเวลาพัดพามันไปจากเรา ไม่ช้าก็เร็ว เราจะผ่านพ้นไปได้....และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเพียงใด ไม่ว่าผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วย ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
ทุกคนต้องได้ผ่านบททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...
+ ทำตนเองให้สดใส ด้วยการยิ้มให้ตนเอง ทำคนอื่นให้สดใสได้ ด้วยการยิ้มให้เขา การยิ้มไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่สร้างความสดใสได้มาก ทำให้เราเป็นสุขอยู่เสมอ เพราะความสุขมันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ใจของเรานี่เอง
ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส เห็นใครทักก่อน
นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก
การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่การแก้แค้นลงทุนมาก
เขาด่าว่าเราไม่ถึงนาที เขาอาจลืมไปแล้วด้วย แต่เรายังจดจำ ยังเจ็บใจอยู่... นี่เราฉลาดหรือโง่กันแน่
บ่นแล้วหมดปัญหาก็น่าบ่น บ่นแล้วมีปัญหา ไม่รู้จะบ่นหาอะไร
เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ทำไมต้องเศร้าหมอง
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ
อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก จะเสียสุขภาพกายและสุขภาพจิต
แม้จะฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธไม่ได้ แต่ฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธบ่อยได้ ฝึกให้เป็นผู้รู้จักให้อภัยได้
การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา
การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา
โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้ โทษตนเองแก้ไขได้
แก้ตัวไม่ได้ช่วยอะไร แต่แก้ไขช่วยให้ดีขึ้น
การนอนหลับเป็นการพักกาย การทำสมาธิเป็นการพักใจ คนส่วนใหญ่พักแต่กาย ไม่ค่อยพักใจ
รู้จักทำใจให้รักผู้บังคับบัญชา
รู้จักทำใจให้รักลูกน้อง
รู้จักทำใจให้รักเพื่อนร่วมงาน
สวรรค์ก็อยู่ที่ทำงาน
เกลียดผู้บังคับบัญชา
เกลียดลูกน้อง
เกลียดผู้ร่วมงาน
นรก ก็อยู่ที่ทำงาน
การที่เรายังต้องแสวงหาความสุข แสดงว่าเรายังขาดความสุข
แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้เป็นสุขได้เอง ก็ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหน
อ่อนน้อม อ่อนโยน อ่อนหวาน นั้นดี.... อ่อนข้อให้เขาบ้างก็ยังดี แต่...อ่อนแอนั้น ไม่ดี
ในการคบคน ศิลปะใดๆ ก็สู้ความจริงใจไม่ได้ จงประหยัด คำติ แต่อย่าตระหนี่ คำชม
อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันตอนตาย
ถ้าคิดทำความดี ให้ทำได้ทันที
ถ้าคิดทำความชั่ว ให้เลิกคิดทันที
ถ้าเลิกคิดไม่ได้ ก็อย่าทำวันนี้
ให้ผลัดวันไปเรื่อยๆ
ถึงจะรู้ร้อยเรื่องพันเรื่อง ก็ไม่สู้รู้เรื่องดับทุกข์
โลกสว่างด้วยแสงไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม
แสงธรรมส่องใจ แสงไฟส่องทาง
ผู้สนใจธรรม สู้ผู้รู้ธรรมไม่ได้
ผู้รู้ธรรม สู้ผู้ปฎิบัติธรรมไม่ได้
ผู้ปฎิบัติธรรม สู้ผู้ที่เข้าถึงธรรมไม้ได้
มีทรัพย์มาก ย่อมมีความสะดวกมาก
มีธรรมะมาก ย่อมมีความสุขมาก
เมื่อก่อนยังไม่มีเรา
เราเพิ่งมีมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
และอีกไม่นานก็จะไม่มีเราอีก
จึงควรรีบทำดี ในขณะที่ยังมี...เรา