โชว์หมดเช็ค 11 ใบ กว่าพันล้าน! “ศุภชัย” เซ็นจ่ายถึง “วัดธรรมกาย-เครือข่าย” พบส่วนใหญ่เป็นเงินสด ถึงมือ “ธมมชโย” 200 ล้าน “วัดธรรมกาย” 100 ล้าน หลัง ปปง. ยกกฎหมายห้ามยึดทรัพย์ธรณีสงฆ์
http://www.isranews.org/investigative/investigate-news-person/item/36709-tamkay_8888999.html
ไฟที่โหมกระหน่ำวงการสงฆ์เริ่มแรงขึ้นทุกขณะ !
ภายหลัง “มหาเถรสมาคม (มส.)” ลงมติว่าพระเทพญาณมหามุนี หรือ “หลวงพ่อธมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่ “ปาราชิก” เนื่องจากที่ประชุม มส. ได้ยกมติเมื่อปี 2549 มาพิจารณาแล้วพบว่า หลวงพ่อธมมชโย ยอมรับและปฏิบัติตามพระลิขิตของ “สมเด็จพระสังฆราช” พร้อมทั้งทยอยคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่วัดพระธรรมกาย
ขณะเดียวกันคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ได้ดำเนินการสอบสวนความผิดของหลวงพ่อธมมชโยแล้ว สรุปว่า ไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ผิดพระวินัย และไม่ถือเป็นความผิด จึงยึดตามมติเมื่อปี 2549 เท่ากับว่าสถานภาพปัจจุบันของหลวงพ่อธมมชโย จึงยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และดำรงสมณศักดิ์เช่นเดิม
ส่งผลให้ “ส.ศิวรักษ์” หรือสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขียนข้อความตอบโต้อย่างรุนแรง ระบุว่า มติดังกล่าวถือเป็นเรื่อง “ตะแบง” พระวินัยอย่างชัดเจน !
อย่างไรก็ดีหากยังจำกันได้ มีกรณีที่น่าสนใจคือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ติดตามเส้นทางการเงินของ “ศุภชัย ศรีศุภอักษร” นักธุรกิจชื่อดัง และนักการสหกรณ์ดีเด่นระดับประเทศ ที่ตกเป็นจำเลยในคดียักยอกทรัพย์ ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
และมีข้อมูลเชื่อมโยงว่า นายศุภชัย ได้เงินกว่า 1 พันล้านบาทที่ยักยอกมาสั่งจ่ายเป็นเช็คถึงวัดพระธรรมกาย และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายอีกด้วย
ซึ่งบางฉบับมีการเบิกจ่ายเป็นวงเงินสูงถึงกว่า 100 ล้านบาท !
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบเบื้องต้น พบข้อมูลเช็คของนายศุภชัยที่สั่งจ่ายไปยังวัดพระธรรมกาย-ผู้ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ จำนวน 11 ใบ (เท่าที่ตรวจสอบพบ) มีรายละเอียดดังนี้
เช็คที่จ่าย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ชื่อเดิมหลวงพ่อธมมชโย ปัจจุบันคือพระเทพญาณมหามุนี) และวัดพระธรรมกาย โดยตรง 4 ใบ รวม316,780,000 บาท
Paisal Puechmongkol
ด่วน !!!! บานเป็นกระด้งแล้วครับกรรมการศาสนา สปช. กำลังสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้แทน ปปง. ได้ข้อมูลเพิ่มว่าการโกงเงินสหกรณ์คลองจั่น 15,000 ล้านบาทนั้น นอกจากจ่ายเช็คแก่ธรรมกาย 436 ล้าน แก่ธัมมชโย 348 ล้านบาทแก่พระปลัดวิจารย์ที่เคยอยู่ธรรมกาย 119 ล้านบาทแล้ว ยังมีอีกรายหนึ่งรับเช็คไปสามพันล้านบาทแล้วเอาไปซื้อที่ดินที่กาญจนบุรี ซึ่ง ปปง. อายัดที่ดินแล้ว บนที่ดินนี้จะสร้างเจดีย์ชื่อเจดีย์ทัตตะชีโว!!!
เอ้า ก๊วนเดียวกันทั้งนั้นนะเนี่ย สปช. จะให้กรรมการศาสนา สปช. สอบเรื่องพวกนี้ต่อหรือจะยุบเลิกละครับ
ธัมชโย = ศังกราจารย์ กลับชาติมาเกิด
อัจฉริยบุคคล ที่แทรกซึมทำลายพุทธศานาในอินเดียจนสูญสิ้น
ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งหลายบนโลกนี้ อาจกล่าวได้ว่าท่านศังกราจารย์เป็นเจ้าลัทธิที่มีอัจฉริยภาพมากที่สุดคนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของโลกเลยทีเดียว เพราะลำพังการที่คนคนหนึ่งคิดจะก่อตั้งลัทธิอะไรขึ้นมาได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ท่านศังกราจารย์นั้นสามารถทำได้มากกว่านั้น ท่านสามารถที่จะดูดดึงศาสนิกชนชาวพุทธไปเป็นสาวกของตนเองได้อย่างแนบเนียน จนล้มพุทธศาสนาที่เป็นคู่แข่งลงได้ แล้วใช้เป็นฐานในการพัฒนาและปฏิรูปลัทธิใหม่ของตน จนสืบต่อมาได้อย่างยิ่งใหญ่และกลายเป็นศาสนาสำคัญของโลกในยุคปัจจุบันได้สำเร็จ
ท่านศังกราจารย์สามารถล้มพุทธศาสนาลงได้อย่างไร? เรามารู้จัก นักการศาสนาที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของโลกคนนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำลายพุทธศาสนาได้อย่างถึงรากและแนบเนียนที่สุด ด้วยยุทธศาสตร์ “ทำลายโดยไม่ให้รู้ว่าทำลาย”
ท่านศังกราจารย์สามารถล้มพุทธศาสนาลงได้อย่างไร? เรามารู้จัก นักการศาสนาที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของโลกคนนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำลายพุทธศาสนาได้อย่างถึงรากและแนบเนียนที่สุด ด้วยยุทธศาสตร์ “ทำลายโดยไม่ให้รู้ว่าทำลาย”
ประวัติย่อ
ท่านศังกราจารย์ นามจริงคือ ศังกระ หรือ อาทิ ศังกระ (อังกฤษ: Adi Shankara สันสกฤต: आदि शङ्करः) มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 788-820 (พ.ศ. 1331 - 1363) เป็นปราชญ์และนักการศาสนาชาวอินเดียใต้ เกิดที่เมืองเกราลา (Kerala) แต่ได้เดินทางโต้วาทะและเผยแผ่ลัทธิใหม่ของตนไปทั่วอินเดีย นับถือกันว่าเป็นองค์อวตารของพระศิวะ ศังกราจารย์เป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ปุราณะและคัมภีร์เวทานตะ อรรถกถาอธิบายลัทธิเวทานตะ และเป็นผู้ตั้งลัทธิอไทวตะเวทานตะ (อไทว อ่านว่า อะทะไว มาจาก non-dualism ที่ปฏิเสธของคู่แต่นิยมบูชาพระเจ้าองค์เดียวเป็นสิ่งสูงสุด) แต่คนส่วนใหญ่มักจำชื่อลัทธิของท่านว่า ลัทธิไศวะ หรือ ลัทธิศิวะอวตาร และยังเป็นผู้ก่อตั้งวัดและพระในรูปแบบสถาบันสงฆ์ที่เลียนแบบคณะสงฆ์ในพุทธศาสนา ส่งผลให้มีการครอบงำและกลืนกินพุทธศาสนาไปพร้อมๆ กับเกิดการพัฒนาและปฎิรูปลัทธิพราหมณ์ให้ยกระดับเป็นศาสนาฮินดูในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดในฐานะบุคคลในประวัติศาสตร์ นักปรัชญา นักปฏิรูปศาสนา และในฐานะปูชนียบุคคลอันสูงสุด คือองค์อวตารของพระศิวะ
ท่านศังกราจารย์ นามจริงคือ ศังกระ หรือ อาทิ ศังกระ (อังกฤษ: Adi Shankara สันสกฤต: आदि शङ्करः) มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 788-820 (พ.ศ. 1331 - 1363) เป็นปราชญ์และนักการศาสนาชาวอินเดียใต้ เกิดที่เมืองเกราลา (Kerala) แต่ได้เดินทางโต้วาทะและเผยแผ่ลัทธิใหม่ของตนไปทั่วอินเดีย นับถือกันว่าเป็นองค์อวตารของพระศิวะ ศังกราจารย์เป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ปุราณะและคัมภีร์เวทานตะ อรรถกถาอธิบายลัทธิเวทานตะ และเป็นผู้ตั้งลัทธิอไทวตะเวทานตะ (อไทว อ่านว่า อะทะไว มาจาก non-dualism ที่ปฏิเสธของคู่แต่นิยมบูชาพระเจ้าองค์เดียวเป็นสิ่งสูงสุด) แต่คนส่วนใหญ่มักจำชื่อลัทธิของท่านว่า ลัทธิไศวะ หรือ ลัทธิศิวะอวตาร และยังเป็นผู้ก่อตั้งวัดและพระในรูปแบบสถาบันสงฆ์ที่เลียนแบบคณะสงฆ์ในพุทธศาสนา ส่งผลให้มีการครอบงำและกลืนกินพุทธศาสนาไปพร้อมๆ กับเกิดการพัฒนาและปฎิรูปลัทธิพราหมณ์ให้ยกระดับเป็นศาสนาฮินดูในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดในฐานะบุคคลในประวัติศาสตร์ นักปรัชญา นักปฏิรูปศาสนา และในฐานะปูชนียบุคคลอันสูงสุด คือองค์อวตารของพระศิวะ
ทำเนียนว่าบูชาพระพุทธเจ้า แต่ให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด อุปโลกน์ตนเป็นองค์อวตาร
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลัทธิใหม่ค่อยๆ ได้รับความนิยมจนกลืนพุทธศาสนาไปได้อย่างแนบเนียน ก็คือการใช้หลักของความเชื่อเหนือจริงที่เกินกว่าคนทั่วไปจะคิดได้ โดยอุปโลกน์ว่าตนนั้นเป็นองค์อวตารของพระศิวะ ในรูปของเรื่องเล่าและแต่งเป็นคัมภีร์ จนก่อเกิดเป็นลัทธิไศวะหรือศิวะอวตาร และแต่งคำสอนในลัทธิของตนให้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเสีย คือให้พระพุทธเจ้าเป็นปางที่ ๙ ของพระนารายณ์ ดังปรากฎในคัมภีร์ปุราณะ โดยกลอุบายอันแยบยลนี้พุทธศาสนิกชนที่มีมาอยู่แต่เดิม ก็กลายเป็นศาสนิกชนในลัทธิของท่านศังกราจารย์ไปด้วย ในขณะเดียวท่านสังกราจารย์ก็มีความสามารถในการจัดตั้งและบริหารองค์กรเป็นอย่างมาก ก็ได้ก่อตั้งวัดและสังฆะของพระตามแบบในพุทธศาสนา โดยมุ่งเน้นการสั่งสมฝึกปรือกุลบุตรให้มาเป็นบุคลากรชั้นยอดของนักเผยแผ่ทั้งทางด้านบุคลิกภาพและความสามารถเป็นจำนวนมาก แล้วส่งกระจายไปแฝงตัวตามหัวเมืองต่างๆ เบื้องต้นได้ตั้งวัด(ที่เรียกว่า “มัฐ” หรือ “มะฐะ”) สาขาขนาดใหญ่ไว้ทั้งสี่ทิศเลียนแบบวัดในพระพุทธศาสนา เพื่อเรียกศรัทธาจากชาวบ้านและทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์ระดมทรัพยากรในระดับภูมิภาค
ในด้านคำสอนและพิธีกรรมก็ได้มีการนำคำสอนและพิธีกรรมทางพุทธศาสนาเข้ามาปรับใช้แต่แปลงเปลี่ยนให้ไปในแนวทางลัทธิของตน ทำให้แทรกซึมเข้าไปสู่ชาวบ้านที่เป็นชาวพุทธอยู่แต่เดิมได้โดยง่าย จนเกิดการยอมรับนับถือมากขึ้นๆ ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญทรัพย์สินเงินทองความร่ำรวย อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ละเลยวัดและชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล จึงทำให้ลัทธิศิวะอวตารนี้ค่อยๆ ยึดวัดในพุทธศาสนาของเดิมมาเป็นวัดในลัทธิของตนได้อย่างแนบเนียน แต่ในมุมของชาวบ้านนั้น ไม่รู้สึกว่าพุทธศาสนาจะหมดหรือเสื่อมสูญไปตรงไหน เพราะยังได้ทำพิธีกรรมและบูชาพระพุทธเจ้าอยู่เช่นเดิม วัดก็ยังมีพระของลัทธิไศวะมาอยู่ประจำคอยทำพิธีกรรมให้ เพียงแต่เพิ่มการบูชาพระศิวะและเทพเจ้าองค์อื่นๆ เพิ่มขึ้นมา และยกย่องให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด และนับถือท่านศังกราจารย์ในฐานะเป็นองค์อวตารของสิ่งสูงสุด ศาสนิกชนชาวพุทธที่มีมาแต่เดิมจึงกลายไปเป็นสาวกของนิกายศิวะอวตารได้ด้วยความเต็มใจ
วิเคราะห์เหตุปัจจัย
เหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้ศังกราจารย์ทำลายพุทธศาสนาลงและตั้งลัทธิใหม่ของตนขึ้นมาได้สำเร็จ จนนักปราชญ์ทางศาสนายกย่องว่าท่านคือผู้กอบกู้ลัทธิพราหมณ์และมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดการพัฒนาและปฏิรูปลัทธิพราหมณ์ขึ้นมาเป็นศาสนาฮินดูในที่สุด
- การแฝงตัวเข้ามาอยู่ในกลุ่มพระภิกษุในพุทธศาสนา ตามประวัติว่ากันว่าท่านศังกราจารย์ได้เข้ามาเรียนองค์ความรู้ทางพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยนาลันทาด้วย ระหว่างนั้นก็ได้คบค้าสมาคมกับพระภิกษุที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ทำให้ทั้งรู้องค์ความรู้ต่างๆในพุทธศาสนา อีกทั้งยังรู้เห็นถึงพฤติกรรมที่เป็นจุดอ่อนต่างๆของพระภิกษุในพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดีด้วย
- จากการที่ได้เข้ามาคลุกคลีและศึกษาคำสอนในพุทธศาสนา ทำให้ศังกราจารย์สามารถนำ Know how ที่เป็นจุดแข็งของพุทธศาสนามาปรับใช้ คือการก่อตั้งวัดและสังฆะเลียนแบบพุทธศาสนา และการปรับประยุกต์พิธีกรรมและคำสอนทางพุทธไปเป็นของตน จนทำให้ชาวบ้านยอมรับได้โดยง่าย
- การไม่ปฏิเสธพระพุทธเจ้า แต่เชื่อมความเชื่อให้พระพุทธเจ้ามาอยู่ในลัทธิของตน พร้อมๆ กับค่อยแทรกความเชื่อเรื่องพระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด จนกระทั่งเมื่อชาวบ้านเกิดการหลงเชื่อมากขึ้นแล้ว ก็สถาปนาตนเองให้อยู่ในสถานะที่สูงสุดคือองค์อวตารของพระศิวะ ที่อยู่เหนือกว่าพระพุทธเจ้า
- การให้ความสำคัญในการก่อตั้งและพัฒนาวัดให้ดี และกระจายสาขาออกสู่ชนบท
- การให้ความสำคัญกับการสั่งสมและพัฒนาบุคลากรให้เป็นพระที่มีความสามารถในการเผยแผ่ทั้งบุคลิกภาพและความสามารถ และมีความคล้ายคลึงกับพระในพุทธศาสนาทำให้ชาวบ้านยอมรับได้ง่าย จนมีสำนวนว่า “รูปร่างเป็นพระ แต่ความรู้ไม่เป็นพุทธ” (จากการที่ท่านเคยอยู่ร่วมกับพระภิกษุในพุทธศาสนาจึงรู้ว่าตรงไหนเป็นจุดอ่อน ก็มาปรับให้พระในลัทธิของตนดูดีกว่าเหนือกว่าพระของพุทธที่มีมาแต่เดิม)
- แนวทางการสอนและประกอบพิธีกรรมที่ปรับประยุกต์ไปจากพุทธนั้น ทำให้ชาวบ้านไม่รู้สึกว่าเป็นลัทธิใหม่ ก็ยังเป็นชาวพุทธที่บูชาพระพุทธเจ้าอยู่เพียงแต่เพิ่มเทพเจ้าที่บูชาขึ้นมาเท่านั้น
- พระในพุทธศาสนา มีความประพฤติย่อหย่อน หลงติดในลาภยศสรรเสริญ ความร่ำรวยในทรัพย์สินเงินทองชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อสุขสบายในเมืองใหญ่ ด้านหนึ่งก็ทำให้ละเลยการศึกษาและปฏิบัติตนตามพระธัมมวินัย อีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ละเลยการออกเผยแผ่ให้การศึกษากับชาวพุทธในชนบท ละเลยการดูแลวัดพุทธในชนบทจนกลายเป็นวัดร้างและถูกกลืนไปเป็นวัดของลัทธิศิวะอวตารไปในที่สุด
พระถูกมอมเมาให้หลงลาภยศเมื่อไรก็เป็นจุดอ่อนให้เขาทำลายได้สำเร็จ
ดังนั้น หากพระภิกษุในพุทธศาสนาเอง ประพฤติตนให้เป็นคนย่อหย่อน ไม่ศึกษาและปฏิบัติให้ถูกตรงตามพระธัมมวินัยด้วยดี มัวแต่หลงการมอมเมาอยู่ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สินเงินทอง โดยเฉพาะพระมหาเถระ และพระเถระทั้งหลาย ไม่เป็นแบบอย่างที่ดี และไม่สั่งสอนอบรมให้พระรุ่นใหม่ตลอดจนญาติโยมชาวพุทธให้ศึกษาและปฏิบัติในทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้องรู้จริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงแล้วไซร้ ก็จะเป็นการเปิดช่องให้ลัทธิความเชื่อนอกศาสนาแอบแฝงเข้ามาครอบงำกลืนกินพุทธศาสนาจากจุดอ่อนอันร้ายแรงนี้ ตามรอยอย่างท่านศังกราจารย์ จนทำให้พุทธศาสนาที่แท้จริงตามพระธัมมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเสื่อมสลายหมดไปจากผืนแผ่นดินไทยในที่สุด โดยที่ทั้งพระและชาวพุทธนั้นอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองได้มีส่วนทำให้พุทธศานาได้สูญสิ้นไปแล้วซ้ำรอยชาวพุทธในชมพูทวีปนั่นเอง
การทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมสลายไปจากประเทศไทยมิใช่เรื่องยาก หากรู้จุดอ่อน
การยึดครองพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ไม่ยากอย่างที่คิด ถ้าหากเรารู้จุดอ่อนในวงการคณะสงฆ์และการเมืองในคณะสงฆ์ ก็จะรู้ว่ามีมากมาย โดยเฉพาะเมื่อยามที่พระเถระมหาเถระทั้งหลายเป็นผู้ประพฤติมักมากเห็นแก่ลาภยศและเงินทองแล้วไซร้ ย่อมเป็นช่องโหว่หรือจุดอ่อนอันสำคัญให้ผู้ที่ฝักใฝ่ลัทธิอื่นแฝงตัวเข้ามาบวชได้โดยง่าย จากนั้นก็ใช้ผลประโยชน์ในการบำรุงบำเรอมอมเมาเอาอกเอาใจพระมหาเถระเหล่านั้น เพื่อการไต่เต้าเติบโตของตนและพรรคพวก และถ้าหากพวกเขาแทรกซึมเข้ามาในวงการปกครองคณะสงฆ์ได้สำเร็จเมื่อไร การครอบงำยึดครองพุทธศาสนาก็กระทำได้โดยง่ายดาย ในส่วนของชาวพุทธเองก็มีจุดอ่อนมากมายเนื่องด้วยถูกทำให้ออกห่างจากการศึกษาและปฏิบัติมานาน จึงขาดความรู้ความเข้าใจพื้นฐานที่ถูกต้อง มีลักษณะไปทางความเชื่องมงายได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องอภินิหาร การให้โชคลาภ การนำความร่ำรวยการเป็นเศรษฐีมาเป็นตัวล่อ ลักษณะเช่นนี้ย่อมง่ายที่จะชักจูง โน้มน้าวชาวพุทธส่วนใหญ่ในประเทศไทยให้เข้ามาเป็นสาวก และยอมรับซึมซับคำสอนตามความเชื่อในลัทธิใหม่ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เมื่อเหตุปัจจัยของพุทธบริษัทเป็นเช่นนี้ เหตุการณ์ซ้ำรอยประวัติศาสตร์อย่างในยุคของท่านศังกราจารย์จึงไม่ยากที่จะเกิดขึ้น เพราะมันก็กำลังดำเนินไปอยู่อย่างเข้มข้นมิใช่หรือ??
ฐิตวํโส ภิกขุ
ธรรมอาสาปกป้องพระธัมมวินัยจากปรัปวาท
เหตุผลทั้ง ๖ ที่ "สมเด็จช่วง" บอกว่า "ธมฺมชโย" ไม่ปาราชิก
๑. "ธมฺมชโย" มอบเงินให้กับ "สมเด็จช่วง" เป็นจำนวนเงิน ๑๐๐ ล้านบาทเพื่อสมทบทุนในการก่อสร้างมหาเจดีย์วัดปากนํ้า
( "สมเด็จช่วง" ได้ประกาศไว้ตอนขณะทำพิธีเปิดมหาเจดีย์ ที่วัดปากนํ้า )
๒. "สมเด็จช่วง" เป็นประธานมอบพัดยศให้กับ "ธมฺมชโย"
ลิงค์มอบภาพ http://www.alittlebuddha.com/…/April…/25%20April%202012.html
ลิงค์มอบภาพ http://www.alittlebuddha.com/…/April…/25%20April%202012.html
๓. "ธมฺมชโย" ซื้อเบ๊นซ์ รุ่น Mercedes-benz C-Class C ๑๘๐ Coupe มูลค่า สองล้านเก้าแสนกว่าบาท ให้ "สมเด็จช่วง" ต่อมาในปี ๒๕๕๖ เป็นคดีดังเรื่องรถสปอร์ตหรู ด้านดีเอสไอและกรมศุลกากร เตรียมเข้าตรวจสอบรถสปอร์ตสุดหรูของ"สมเด็จช่วง" แต่ต่อมาเรื่องก็เงียบหายไป คาดเงินอุดปาก
๔."สมเด็จช่วง" ได้กล่าวไว้ว่า "อาตมาเองตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ ๘๗ ปีแล้ว เพิ่งจะวันนี้เองที่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ จึงชื่นใจ กรณีเป็นประธานเดินธุดงค์เดินดอกไม้"
ลิงค์ที่สมเด็จช่วงได้กล่าว http://www.dhammakaya.net/…/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%…
๕. "สมเด็จช่วง" ได้กล่าวไว้ว่า "วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งว่าเป็นวัดเดียวกันมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วัดปากน้ำมีวัดพระธรรมกาย มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน"
ลิงค์ที่สมเด็จช่วงได้กล่าว https://www.youtube.com/watch?v=uTEfLZY0iIs
๖ "สมเด็จช่วง" เป็นอุปัชฌาย์ให้แก่ "ธมฺมชโย" เอง
ลิงค์ http://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9…
ลิงค์ http://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9…
๗. ทุกวันที่ ๒๒ เมษายนของทุกปี "ธมฺมชโย" จะเชิญ "สมเด็จช่วง" มาเป็นประธานทุกปี และจะมอบเงินปัจจัยให้ "สมเด็จช่วง" เป็นการส่วนตัว จำนวนเงิน ๕ ล้านบาท
("คณะกรรมการวัดพระธรรมกาย" จะเป็นฝ่ายประกาศจำนวนเงินที่ถวายให้สมเด็จช่วง ในวันที่ ๒๒ เมษายนของทุกปี ข้อนี้ถ้าใครอยากรู้อยากทราบ ก็ต้องลองไปดู ในวันนี้ ๒๒ เมษายนของปีนี้)
อีกแล้ว!ธรรมกายฉาวถึงแม่สาย หึ่งเรียกเงินหมื่น'จองที่ตักบาตร'
Cr:แนวหน้า
22 ก.พ.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ด่านพรมแดนไทย - พม่า อ.แม่สาย จ.เชียงราย วัดพระธรรมกาย จัดโครงการตักบาตรพระ 10,000 รูป เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และช่วยเหลือคณะสงฆ์ ทหาร ตำรวจ ครู และชาวบ้านในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพิธีตักบาตรดังกล่าวจัดขึ้นบริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย - พม่า ติดกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และในปีนี้ได้มีการอ้างอิงถึงการร่วมกับคณะสงฆ์ จ.เชียงราย ฝ่ายปกครอง จ.เชียงราย และมีพระสังฆราชจาก 3 ประเทศ คือ สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เข้าร่วมตักบาตรด้วย
Cr:แนวหน้า
22 ก.พ.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ด่านพรมแดนไทย - พม่า อ.แม่สาย จ.เชียงราย วัดพระธรรมกาย จัดโครงการตักบาตรพระ 10,000 รูป เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และช่วยเหลือคณะสงฆ์ ทหาร ตำรวจ ครู และชาวบ้านในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพิธีตักบาตรดังกล่าวจัดขึ้นบริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย - พม่า ติดกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และในปีนี้ได้มีการอ้างอิงถึงการร่วมกับคณะสงฆ์ จ.เชียงราย ฝ่ายปกครอง จ.เชียงราย และมีพระสังฆราชจาก 3 ประเทศ คือ สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เข้าร่วมตักบาตรด้วย
ทั้งนี้ ก่อนพิธีตักบาตรได้มีการแจกจ่ายเอกสารประชาสัมพันธ์ว่า การตักบาตรครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตักบาตรพระ 2 ล้านรูป ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ของพระธัมมชโย เจ้าอาสวัดพระธรรมกาย ที่เพิ่งรอดจากการตัดสินให้อาบัติปาราชิก โดยมหาเถระสมาคม ในเรื่องยักยอกทรัพย์ของวัดไปเป็นของส่วนตัว เมื่อไม่กี่วันก่อน โดยเอกสารระบุว่า "ที่ผ่านมาโครงการนี้สามารถนำข้าวสารอาหารแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภค ไปมอบให้พื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าว แล้วกว่า 4,500 ตัน"
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า บรรยากาศการตักบาตรในปีนี้ไม่คึกคักเหมือนปีที่ผ่านมา โดยจำนวนคนน้อยกว่าปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ถือว่าเนืองแน่นเต็มบริเวณหน้าด่านพรมแดน จนต้องมีการปิดช่องทางจราจรเป็นการชั่วคราว รวมทั้งมีบุคคลสำคัญระดับสูง หรือวีไอพี เข้าร่วมตักบาตรด้วยหลายคน ทั้งสายการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตุว่า หลายคนอยู่ในสายการเมืองเดียวกันทั้งหมด นอกจากนี้ ก่อนการตักบาตรดังกล่าวพบว่ามีการจัดระดับผู้ที่ไปร่วมทำบุญตักบาตร เช่น ระดับวีไอพี จะมีโต๊ะจัดวางอาหารสำหรับตักบาตร ส่วนระดับชาวบ้าน ให้ปูเสื่อ ฯลฯ
นอกจากนี้ มีแหล่งข่าวเปิดเผยว่า โต๊ะระดับวีไอพีที่ไม่ต้องต่อคิวตักบาตรเหมือนคนทั่วไป ต้องมีค่าใช้จ่าย "คน" หรือ "องค์กร" ละ 25,000 บาท สำหรับชาวบ้านระดับรองลงมา คือการเช่าพื้นที่วางโต๊ะๆ ละ 3,000 บาท ส่วนคนที่นั่งกับพื้น มีค่าปูเสื่อ 1,000 บาท และมีการจ่ายปัจจัยอย่างน้อยให้รูปละ 500 บาท ทำให้บางองค์กรที่ประจำอยู่ที่ชายแดนปฏิเสธจะร่วมพิธีดังกล่าว เพราะปีที่ผ่านมาเคยรวบรวมเงินกันคนละ 500 บาท หาซื้ออาหารไปตักบาตร แต่เมื่อถึงเวลา กับถูกเจ้าหน้าที่กันออกไป เพราะไม่มีตั๋วในระดับต่างๆ ดังกล่าว ขณะที่มีบางคนที่แจ้งชื่อไปแล้วขอถอนตัว หลังจากทราบว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าว