GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขบวนการเสี้ยม ทำลาย ยึด ประเทศไทย / "แม้ว"... เดินเกมส์เงียบ

ภายใต้องค์กรพี่องค์กรน้อง ซึ่งเป็นรวมกำลังกลุ่มทุนยักษ์ ที่มีอำนาจเหนือรัฐ สหรัฐอเมริกา  ‘Council on Foreign Relations’ (CFR) และ ‘The Trilateral Commission’ (TC) โดยมีบุคคลอาทิเช่น David Rockefeller (Chevron, ExxonMobil, JPMorgan Chase) Edmund de Rothschild (Shell, BP, Rothschild banks) และ Henry Kissinger อยู่ในแกนทั้งสอง พฤติกรรม การเสี้ยม ทำลาย ยึด ล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยประเทศไทยเป็นเหยื่อ มีตัวอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน 

(1) พ.ศ. 2514 Walter J. Levy (สมาชิก CFR / TC) นักเศรษฐศาศตร์พลังงานมือขวาของ Rockefeller ได้มาเป็นผู้ร่าง พรบ.ปิโตรเลียม 2514 (พรบ.ทาส) ทำให้ประเทศไทยถูกต่างชาติมาขุดเอาทรัพยากรของเราไปขายในราคาที่ถูกมาตลอด พร้อมกับการยกกรรมสิทธ์ให้เขา

(2) พศ. 2540 George Soros (สมาชิก CFR) ได้นำยกขบวนทุบค่าเงินบาท ทำให้ประเทศเป็นหนิ้สินอย่างหนัก ต้องกู้ เงิน IMF (องค์กรของพวกเขา) ซึ่งบังคับเงื่อนใขให้ยกเลิก กดหมายป้องกันชาติในการค้าต่างๆ อำนวยให้พวกเขาสามรถมากว้านซื้อสมบัติของคนไทย ในราคาที่ถูก

(3) พศ. 2549  Kenneth Adelman (CFR)  ได้เข้ามาเป็น Lobbyist ให้แก่  อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร หลังที่ถูกรัฐประหาร โดย  Kenneth Adelman เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ขบวนการล้มเจ้า และ เสื้อแดง โดยหน่วยงานอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้อำนาจกลุ่มทุนนี้ เช่น NED HRW(Homan Rights Watch) และ รัฐบาลสหรัฐเอง ก็ได้ให้การสนับสนุนขบวนการเหล่านี้มาตลอด

(4) พ.ศ. 2558 Narongchai Akrasanee (TC) (เป็นคนไทยนะครับ ชื่อไทยชื่อ ณรงค์ชัย อัครเศรณี) เข้ามาเป็น รมว. พลังงาน ของ คสช. เร่งขายสัมปทานปิโตรเลียม ที่ 21 ซึ่งชาติเสียประโยชน์มหาศาล รวมถึงขั้นเสียดินแดน โดยไม่สนใจแม้จะมีการคัดค้าน ความขัดแย้งกับ ประชาชน สภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช) และ  คลังสมอง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) 

ตามรอยนี้ไปเรื่อยๆ อนาคตของชาติ ย่อมจะไม่มีสมบัติอะไรเหลือ แม้บรรพบุรุษจะได้ทิ้งไว้ให้มากมาย

ปัจจุบันกำลังมีการขายสมบัติของ ชาติ ประชาชนแหลกลาน ทั่ง ปิโตรเลียม 21 ทอง 300 แปลง และ โปแตชหลายแปลงพื้นที่ มหาศาลตามสัดส่วนของแหล่งโปแตช

นอกจากนี้ ในการใช้จ่าย รัฐมีโครงการ การใช้จ่ายที่สูงมาก ซึ่งโดยทั่วไป เป็นไปในลักษณที่ไม่ได้จะสร้างรายได้ให้แก่ชาติ โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจโลก ณ เวลานี้  มีความล่อแหลม มีโอกาสอย่างสูงมากต่อการที่ จะต้องตกกับดักหนื้สินเดิม คราวนี้หากต้องการเงินเขาอีก เขาก็จะบังคับเอาสิ่งอื่นๆที่เขายังไม่ได้ไปต่อ เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งหมดให้เป็นของเอกชนเป็นต้น พร้อมการให้เขาเข้ามาครงได้มากกว่าเดิมอีก ส่วนสมบัติในแผ่นดิน นั้นแทบจะไม่มีเหลื่อแล้ว

สุดท้ายแล้วประเทศไทย จะตกเป็นของกลุ่มทุนยักษ์ 100% ทั้งนี้ กลุ่มทุนยักษ์ไทย ก็ย่อมจับมือกับกลุ่มทุนยักษ์ข้ามชาติ (CFR/TC) ครองประเทศ โดยที่ผ่านมา บริษัทผูกขาดอาหารของไทย CP ก็มีรองประธานเป็นสมาชิก (หนึ่งใน 4 ของคนไทย) ใน Trilateral และ ในส่วนของยักษ์ใหญ่ ปตท. กลุ่ม Rockefeller ก็ถือหุ้นผ่าน Chase Nominee ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด อันคับที่ 5 รองจาก ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด อยู่แล้ว

เมื่อถึงวันนั้น ในเมื่อเขาควบคุม พลังงาน และ อาหารทั้งหมด เขาก็ย่อมควบคุมราคาสินค้าทั้งหมด และแน่นอน ควบคุมเงินของ ประชาชนทั้งหมด ประชาชนก็ถูกเลี้ยงไว้เพียงเพื่อ ทำงาน ดูแล ผลิดสิ่งของให้เขา โดยในที่สุดเมื่อเขายึดที่ดินไปเรื่อยๆ ที่ดินก็จะเป็นของเขาหมด ประชาชนจะไม่มีโอกาศที่จะเจริญเติปโต ไปมากไปกว่านั้น แบบนี้ ถ้าเรียกว่าแรงงาน อาจจะดีเกินไป เพราะแรงงานก็มีโอกาสไต่เต้า แต่เขาย่อมไม่ต้องการ และ ควบคุมย่อมไม่ให้หลุดออกมาจากระบบของเขาได้ ดังนั้น ถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง คงต้องเรียกว่าทาส  ทาสที่ไม่ได้ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ แต่ถูกล่ามไว้ด้วยการควบคุมปัจจัยสี่และพลังงาน ทั้งหมด นั่นเอง

ทุกคนจำเป็นต้องคิดให้ดี ว่าจะปล่อยให้ อนาคตลูกหลาน เป็นเช่นนี้ หรือไม่ และ ต้องปลุกคนอื่น ให้ตื่นรู้ ก่อนที่จะสายเกิน

10/02/2558

ภายใต้องค์กรพี่องค์กรน้อง ซึ่งเป็นรวมกำลังกลุ่มทุนยักษ์ ที่มีอำนาจเหนือรัฐ สหรัฐอเมริกา ‘Council on Foreign Relations’ (CFR) และ ‘The Trilateral Commission’ (TC) โดยมีบุคคลอาทิเช่น David Rockefeller (Chevron, ExxonMobil, JPMorgan Chase) Edmund de Rothschild (Shell, BP, Rothschild banks) และ Henry Kissinger อยู่ในแกนทั้งสอง พฤติกรรม การเสี้ยม ทำลาย ยึด ล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยประเทศไทยเป็นเหยื่อ มีตัวอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน
(1) พ.ศ. 2514 Walter J. Levy (สมาชิก CFR / TC) นักเศรษฐศาศตร์พลังงานมือขวาของ Rockefeller ได้มาเป็นผู้ร่าง พรบ.ปิโตรเลียม 2514 (พรบ.ทาส) ทำให้ประเทศไทยถูกต่างชาติมาขุดเอาทรัพยากรของเราไปขายในราคาที่ถูกมาตลอด พร้อมกับการยกกรรมสิทธ์ให้เขา
(2) พศ. 2540 George Soros (สมาชิก CFR) ได้นำยกขบวนทุบค่าเงินบาท ทำให้ประเทศเป็นหนิ้สินอย่างหนัก ต้องกู้ เงิน IMF (องค์กรของพวกเขา) ซึ่งบังคับเงื่อนใขให้ยกเลิก กดหมายป้องกันชาติในการค้าต่างๆ อำนวยให้พวกเขาสามรถมากว้านซื้อสมบัติของคนไทย ในราคาที่ถูก
(3) พศ. 2549 Kenneth Adelman (CFR) ได้เข้ามาเป็น Lobbyist ให้แก่ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร หลังที่ถูกรัฐประหาร โดย Kenneth Adelman เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ขบวนการล้มเจ้า และ เสื้อแดง โดยหน่วยงานอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้อำนาจกลุ่มทุนนี้ เช่น NED HRW(Homan Rights Watch) และ รัฐบาลสหรัฐเอง ก็ได้ให้การสนับสนุนขบวนการเหล่านี้มาตลอด
(4) พ.ศ. 2558 Narongchai Akrasanee (TC) (เป็นคนไทยนะครับ ชื่อไทยชื่อ ณรงค์ชัย อัครเศรณี) เข้ามาเป็น รมว. พลังงาน ของ คสช. เร่งขายสัมปทานปิโตรเลียม ที่ 21 ซึ่งชาติเสียประโยชน์มหาศาล รวมถึงขั้นเสียดินแดน โดยไม่สนใจแม้จะมีการคัดค้าน ความขัดแย้งกับ ประชาชน สภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช) และ คลังสมอง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)
ตามรอยนี้ไปเรื่อยๆ อนาคตของชาติ ย่อมจะไม่มีสมบัติอะไรเหลือ แม้บรรพบุรุษจะได้ทิ้งไว้ให้มากมาย
ปัจจุบันกำลังมีการขายสมบัติของ ชาติ ประชาชนแหลกลาน ทั่ง ปิโตรเลียม 21 ทอง 300 แปลง และ โปแตชหลายแปลงพื้นที่ มหาศาลตามสัดส่วนของแหล่งโปแตช
นอกจากนี้ ในการใช้จ่าย รัฐมีโครงการ การใช้จ่ายที่สูงมาก ซึ่งโดยทั่วไป เป็นไปในลักษณที่ไม่ได้จะสร้างรายได้ให้แก่ชาติ โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจโลก ณ เวลานี้ มีความล่อแหลม มีโอกาสอย่างสูงมากต่อการที่ จะต้องตกกับดักหนื้สินเดิม คราวนี้หากต้องการเงินเขาอีก เขาก็จะบังคับเอาสิ่งอื่นๆที่เขายังไม่ได้ไปต่อ เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งหมดให้เป็นของเอกชนเป็นต้น พร้อมการให้เขาเข้ามาครงได้มากกว่าเดิมอีก ส่วนสมบัติในแผ่นดิน นั้นแทบจะไม่มีเหลื่อแล้ว
สุดท้ายแล้วประเทศไทย จะตกเป็นของกลุ่มทุนยักษ์ 100% ทั้งนี้ กลุ่มทุนยักษ์ไทย ก็ย่อมจับมือกับกลุ่มทุนยักษ์ข้ามชาติ (CFR/TC) ครองประเทศ โดยที่ผ่านมา บริษัทผูกขาดอาหารของไทย CP ก็มีรองประธานเป็นสมาชิก (หนึ่งใน 4 ของคนไทย) ใน Trilateral และ ในส่วนของยักษ์ใหญ่ ปตท. กลุ่ม Rockefeller ก็ถือหุ้นผ่าน Chase Nominee ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด อันคับที่ 5 รองจาก ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด อยู่แล้ว
เมื่อถึงวันนั้น ในเมื่อเขาควบคุม พลังงาน และ อาหารทั้งหมด เขาก็ย่อมควบคุมราคาสินค้าทั้งหมด และแน่นอน ควบคุมเงินของ ประชาชนทั้งหมด ประชาชนก็ถูกเลี้ยงไว้เพียงเพื่อ ทำงาน ดูแล ผลิดสิ่งของให้เขา โดยในที่สุดเมื่อเขายึดที่ดินไปเรื่อยๆ ที่ดินก็จะเป็นของเขาหมด ประชาชนจะไม่มีโอกาศที่จะเจริญเติปโต ไปมากไปกว่านั้น แบบนี้ ถ้าเรียกว่าแรงงาน อาจจะดีเกินไป เพราะแรงงานก็มีโอกาสไต่เต้า แต่เขาย่อมไม่ต้องการ และ ควบคุมย่อมไม่ให้หลุดออกมาจากระบบของเขาได้ ดังนั้น ถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง คงต้องเรียกว่าทาส ทาสที่ไม่ได้ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ แต่ถูกล่ามไว้ด้วยการควบคุมปัจจัยสี่และพลังงาน ทั้งหมด นั่นเอง
ทุกคนจำเป็นต้องคิดให้ดี ว่าจะปล่อยให้ อนาคตลูกหลาน เป็นเช่นนี้ หรือไม่ และ ต้องปลุกคนอื่น ให้ตื่นรู้ ก่อนที่จะสายเกิน
10/02/2558


         สุดยอดการวิเคราะห์ท่าทีของสหรัฐกับการเเทรกเเซงกิจการในประเทศของไทย 
ศาสตราจารย์ ดร. เขียน ธีระวิทย์ วิเคราะห์ลึกนายแดเนียล ผช. รมต. ต่างประเทศสหรัฐฯ Daniel Russel ทูตถนัดตัดไมตรี  สหรัฐอเมริกา อดีตมหามิตรของไทยได้ส่งนายแดเนียล รัสเซล (Daniel Russel) ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้านเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกมาเยือนประเทศไทย เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม ศกนี้ เขามาทำอะไร-พูดอะไรที่สะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของสหรัฐฯ และสะเทือนจิตใจของคนไทยจำนวนมาก เขาประสบความสำเร็จในการสร้างข่าวอื้อฉาวในสื่อมวลชนและสื่อสังคม ผมได้ใช้เวลา 2 วันติดตามความเคลื่อนไหวของเขาที่ไปพบกับใคร พูดอะไร สื่อต่างๆ รายงานอะไรและปฏิกิริยาของคนไทยเป็นอย่างไร เมื่อประมวลข่าวสารข้อมูลทั้งหมดแล้วเกิดความกังวลว่า ต่อไปนี้เราจะอยู่ร่วมโลกกับมหามิตรอเมริกาอย่างไร ผมมีข้อสังเกตและความเข้าใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพแห่งชาติและนโยบายของสหรัฐฯบางอย่างที่เหมือน และต่างกับคนอื่นๆ แต่ไม่แน่ใจว่ามุมมองของผมจะถูกต้องหรือไม่ จึงขอนำมาเสนออย่างย่อๆ เพื่อคนที่สนใจเรื่องนี้จะได้ช่วยกันคิด
         1.  ไทยกับสหรัฐฯ มีผลประโยชน์ต่างกัน ฝ่ายไทยมีผลประโยชน์เฉพาะหน้าคือ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และการบูรณะฟื้นฟูประเทศจากความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนการรัฐประหาร (22 พฤษภาคม 2557) ในระยะยาว ไทยต้องการเป็นมิตรกับทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาอำนาจสหรัฐฯ และจีน เลือกเท่าเทียมกันได้ก็จะดี แต่ถ้าถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบีบคั้นมาก ก็ต้องให้อนาคตเป็นตัวตัดสิน  ส่วนฝ่ายสหรัฐฯนั้น ในเอเชีย สหรัฐฯ กลัวอิทธิพลของจีนจะขยายบดบังฐานะของตน จึงสนับสนุน-ชักชวนให้ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินเดียเป็นปฏิปักษ์ต่อจีน สร้างความตึงเครียดขึ้นในเอเชีย เพื่อขายอาวุธและใช้อำนาจปกป้องประเทศที่กลัวการรุกรานของจีน เขาอยากได้ไทยเป็นหุ้นส่วนในนโยบายครองความเป็นเจ้าโลกของเขาด้วย นาย Daniel Russel มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเช่นนั้นของสหรัฐฯ ด้วย
         2.  สหรัฐฯ ถือไพ่ทักษิณ เป็นประเพณีทางปฏิบัติของสหรัฐฯ เมื่อผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย เช่น Daniel Russel จะเดินทางมาไทย เขาจะกำหนดแผนงานและกลยุทธ์ในการทำงาน โดยอาศัยข้อมูลจากหน่วยสืบความลับของตน จากอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย จากกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มการเมืองต่างๆ รวมทั้งที่ปรึกษาของทักษิณด้วย สื่อมวลชนในสหรัฐฯ นั้น ไม่ค่อยกล้าเสนอข่าวด้านบวกของรัฐบาลทหารของไทย ฉะนั้น Daniel Russel คงสรุปเอาว่าถ้ามีการเลือกตั้งเมื่อไร ฝ่ายทักษิณก็จะกลับมามีอำนาจอีก ถ้าพวกเขามาช่วยฝายทักษิณอีกแรงหนึ่ง เมื่อพวกทักษิณได้เป็นรัฐบาล สหรัฐฯก็จะได้ ผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงมากขึ้น ถ้าจะดึงไทยไปต้านจีนดังที่ทำสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศก็คงไม่ยาก และถ้าจะล้มเหลว ก็ยังหลอกชาวโลกได้ว่า สหรัฐฯ ได้สละผลประโยชน์เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย
         3.  ชูประเด็นประชาธิปไตย วิธีปฏิบัติทางการทูตเชิงประชาสัมพันธ์นั้น Daniel Russel ต้องการสร้างภาพให้ชาวโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกันเห็นว่า เขากลั่นกรองมาจากการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มการเมืองทุกฝาย ฉะนั้นจึงมีการพบกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และผู้นำภาคเอกชนกลุ่มหนึ่ง เสร็จแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์การเมืองของไทยโดยผ่านเวทีชุมชนวิชาการ สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโทรทัศน์ สิ่งที่เขามาพูดในไทยนั้นได้รับการถ่ายทอดทั่วโลกโดยผ่านทีวีดาวเทียมที่เป็นปากกระบอกเสียงของสหรัฐฯ สรุปสาระที่สำคัญคือ เขาบอกให้รัฐบาลไทยจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ให้ไทยยกเลิกกฎอัยการศึก ให้เปิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุม ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการเมือง ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นข้อเรียกร้องของคนพันธุ์ทักษิณ หรือรัฐบาลที่สูญเสียอำนาจทั้งสิ้น
         4.  ประชาธิปไตยหน้าไหว้หลังหลอก สหรัฐฯ พยายามสร้างภาพให้ชาวโลกเห็นว่าตนเป็นแชมเปี้ยนของประชาธิปไตยเสรี ต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านเผด็จการ แต่ในทางปฏิบัติ สหรัฐฯ ชอบรัฐประหารที่ตนสนับสนุน ต่อต้านรัฐประหารและรัฐบาลเผด็จการเฉพาะที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตนเท่านั้น สหรัฐฯ มีประวัติส่งเสริมฝ่ายทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วนับไม่ถ้วน ล่าสุดคืออียิปต์ ซึ่งสหรัฐฯ สนับสนุนฝ่ายทหารให้ยึดอำนาจจากรัฐบาล Mohamed Morsi ที่ได้อำนาจจากการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับประเทศยูเครน ซึ่งสหรัฐฯ ร่วมมือกับกลุ่มประเทศ NATO สนับสนุนพวกต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่นิยมรัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งไม่เคยมีการเลือกตั้งเลย ไม่เคยมีสภาผู้แทนราษฎรเลย สหรัฐฯ ก็ไม่รังเกียจ อย่างนี้ไม่เรียกว่า hypocrite (หน้าไหว้หลังหรอก) แล้วจะเรียกว่าอะไร
         5.  คดีถอดถอนอดีตนายกรัฐนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร Daniel Russel กล่าวหารัฐบาลไทยว่า คดีถอดถอนยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนั้นมีเหตุจูงใจทางการเมือง เขาคงไม่โง่ถึงขนาดที่ไม่รู้หรอกว่า การถอดถอน (Impeachment) ยิ่งลักษณ์นั้นเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก กลไกของรัฐ (ป.ป.ช. และสนช.) ต้องทำตามอำนาจหน้าที่ ถ้าไม่ทำมีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 ยิ่งลักษณ์ถูกกล่าวหามีความผิดฐานละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่จนทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นทุกระดับของโครงการรับจำนำข้าว และทำให้ประเทศเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท เป็นความผิดที่ร้ายแรงกว่าคดี Watergate ที่ประธานาธิบดีนิกสันถูกดำเนินคดีถอดถอนเสียอีก สหรัฐฯ ก็มีตัวอย่างการถอดถอนผู้นำสูงสุดมาแล้ว ไม่มีใครกล่าวหาวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง ในประเทศไทย ยิ่งลักษณ์กล่าวหาผู้ดำเนินคดีถอดถอนตนว่าไม่ยุติธรรม มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง พรรคพวกพูดตาม Daniel Russel ก็มาพูดตาม กลไกโฆษณาชวนเชื่อของระบอบทักษิณนั้นมีประสิทธิภาพจริงๆ จริงอยู่ ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังอยู่ในอำนาจ เธอและพรรคพวกอาจจะใช้อำนาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรมจนกลไกการบังคับใช้กฎหมายทำงานไม่ได้ นั่นแหละจึงเรียกได้ว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง และจริงอยู่ ถ้าเรื่องเข้าวุฒิสภา ยิ่งลักษณ์อาจจะรอดจากการถอดถอน เพราะอิทธิพลของทักษิณและพรรคการเมืองที่อยู่ใต้อำนาจของคนคนเดียวสั่งการได้ นั่นแหละจึงเรียกได้ว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง แต่ในกรณีนี้ ใครยืนยันได้ว่า หัวหน้า คสช. หรือผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงคะแนนอย่างไร
         6.  การทูตตัดไมตรี Daniel Russel มาประเทศไทยในฐานะเป็นตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน คนไทยคาดหวังว่าเขาจะมาในฐานะทูตสันถวไมตรี แต่เขาเลือกที่จะเป็นทูตตัดไมตรี ถ้าเขาเลือกที่จะทำงานเชิงสร้างสรรค์ ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หรือแม้แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว เขาก็ควรจะค้นหาความจริงให้ได้ว่าเหตุใดทหารไทยจึงกล้าทำรัฐประหารทั้งๆ ที่มีผลร้ายต่อตัวมากกว่าผลดี เหตุใดคนจำนวนมากที่ไม่ชอบรัฐประหารจึงสนับสนุนการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลระบอบทักษิณมาแล้วถึงสองครั้ง ระบอบทักษิณสร้างเงื่อนไขเลวร้ายขนาดไหนจนทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้น นอกจากนั้น ทหารปกครองประเทศนานครบ   8 เดือนแล้ว ทำไมประชาชนส่วนใหญ่ยังสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย ฝ่ายไทยควรอธิบายให้เขาทราบว่าเหตุไดทหารจึงเลือกทำรัฐประหาร ทำไมประชาชนส่วนใหญ่จึงสนับสนุนและให้ความร่วมมือ รัฐบาลทหารยึดหลักกฎหมาย บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด อาศัยกฎอัยการศึกช่วย สิ่งที่ควรเน้นคือ คนไทยรู้ปัญหาของตนเอง รู้อาการป่วยของเราว่า โรคขนาดนี้ต้องการยาแรงขนาดไหน คนต่างชาติไม่รู้ปัญหาดีเท่ากับคนไทย ชี้ให้เขาเห็นว่าการที่สหรัฐฯ เข้าไปแทรกแซงใน ยูเครน อียิปต์ อิรัก อัฟกานิสถานและลิเบียนั้นผลเป็นอย่างไร
         7.   เสียงประท้วงจากรัฐบาลไทย ภายหลัง Daniel Russel จากกรุงเทพฯ ไปเพียงวันเดียว นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้เชิญ Patrick Murphy อุปทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยเข้าพบเพื่อประท้วงว่า Daniel Russel ทำการแทรกแซงกิจการภายในของไทย เป็นการตอบสนองเสียงสะท้อนอึงมี่ของคนไทยที่แสดงออกผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคม และเป็นการเตือนให้สหรัฐฯ ตระหนักว่าคนไทยรักศักดิ์ศรีของความเป็นเอกราช คนไทยมีภูมิปัญญาพอในการแก้ไขปัญหาของตนเอง และการที่ เขามาพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันก่อน โดยเตือน (หรือขู่) รัฐบาลไทยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะไม่กลับคืนเข้าสู่ระดับปกติ จนกว่าไทยจะกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยนั้นก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นไม่นิยมพูดอะไรที่อาจจะกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ก็ยังเผยความรู้สึกออกมาว่ารู้สึกผิดหวังที่สหรัฐฯ ไม่เข้าใจเหตุผลของทหาร ที่ต้องลุกขึ้นมาแทรกแซงการเมือง แม้ว่าสหรัฐฯ จะเป็นพันธมิตรกันเป็นเวลายาวนานแล้วก็ตาม
         8.  “อเมริกันอันตราย” ในช่วง 2 วันหลังจากการเยือนไทยของ Daniel Russel นั้น สื่อมวลชนและสื่อสังคมแพร่เสียงวิจารณ์และด่าทอ “Ugly American” กันอย่างแพร่หลาย บางแหล่งก็ใช้คำหยาบหรือสำนวนโวหารทำให้เป็นเรื่องขบขัน ส่วนมากโจมตีสหรัฐฯ ดุเดือดด้วยอารมณ์เร่าร้อน แต่ที่ชอบด้วยเหตุผลก็มี เช่นบอกว่าคนอเมริกันโง่ๆ ไม่รู้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นประชาธิปไตยหรือไม่, รู้ไหมว่ายิ่งลักษณ์ทำประชาธิปไตยไทยเหลวแหลกขนาดไหน, อเมริกันตัวแสบมายุ่งเรื่องภายในของไทย, แดเนียล รัสเซล บอกไม่เข้าข้างใคร แต่เป็นปากกระบอกเสียงให้ทักษิณ, ตัวแสบคิดร้าย อยากเห็นคนไทยฆ่ากันเองเหมือนก่อนรัฐประหารหรือไร เป็นต้น ถ้ากลไกสืบความลับของสหรัฐฯ จะแปลคำก่นด่าว่า “อเมริกันอันตราย” ในสื่อออนไลน์ให้คนอเมริกันอ่าน พวกเขาคงไม่มีอารมณ์ขันเหมือนคนไทยเป็นแน่
         9.  การบ้านของคนไทย การใช้สื่อต่างๆ ระบายอารมณ์ด่าทออเมริกันนั้นทำได้ตามมาตรฐานของอเมริกา แต่ไม่ควรล่วงเกินสิทธิส่วนบุคคลของพวกเขาหรือรังเกียจพวกเขา เพราะชาวอเมริกันส่วนมากน่ารักกว่ารัฐบาลของพวกเขามาก  น่ายินดีที่ผู้นำรัฐบาลไทยสงบสติอารมณ์ได้ดี ไม่ออกมาทะเลาะกับ Daniel Russel กระทรวงการต่างประเทศได้ทำหน้าที่อย่างสุภาพในการเตือนผู้นำสหรัฐฯ ผ่าน อุปทูต Patrick Murphy ไปแล้วตามควรแก่กรณี ในขณะเดียวกัน ก็ต้องขอบคุณ Daniel Russel เหมือนกันว่า เขาได้เตือนกระทรวงการต่างประเทศของไทยทางอ้อมว่าจะต้องทำการบ้านให้มากขึ้น ที่จะให้ชาวโลกทราบเหตุผลต้นตอที่ทำให้ไทยมีรัฐบาลทหารอยู่ในปัจจุบัน เป็นงานยากที่จะบอกว่าบ้านเราถูกโจรผู้ร้ายปล้นทำลายยับเยิน โดยไม่ชี้ตัวผู้ร้ายและพฤติกรรมของผู้ร้ายให้เขาเห็น (เพราะขัดกับนโยบายสร้างความปรองดองแห่งชาติ) แต่จะต้องหาช่องทางให้คนต่างชาติเห็นว่า เราจำเป็นต้องปิดประตู (เสรีภาพ) เพื่อซ่อมแซมบ้านเมืองชั่วคราว กฎอัยการศึกของไทยช่วยให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานสากลเท่านั้นฯลฯ  เมื่ออธิบายทำนองนี้แล้วพวกเขายังไม่เข้าใจ หรือทำเป็นไม่เข้าใจ เพราะมีเหตุผลอื่นซ่อนเร้นก็ช่วยไม่ได้ อาจจะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เป็นอิสระมากขึ้นในความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ยังมีมหาอำนาจอื่นที่เข้าใจเรา ให้เกียรติ์เรา และไม่เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของเรา
         10.  อย่าตกหลุมพราง ไม่ว่าผู้นำสหรัฐฯ จะมีเจตนาดีหรือร้ายต่อไทย เราจะต้องตอบโต้อย่างมีสติ ปล่อยให้ภาคเอกชนระบายอารมณ์กันไป แต่ภาครัฐไม่ควรขยายประเด็นความขัดแย้ง เพราะจะป็นผลร้ายต่อนโยบายการปรองดองแห่งชาติ และถ้าเราตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ ไป “ถือไพ่จีน” ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศแล้ว ถึงเวลามีการเลือกตั้ง ระบอบทักษิณก็อาจจะฟื้นคืนชีพกลับมาอีก ถึงตอนนั้น สหรัฐฯ ต้องการอะไร ทักษิณหรือทายาททางการเมืองของทักษิณก็จะใช้อำนาจตัดสินคนเดียว ผ่านพรรคการเมืองของเขา เอาสมบัติของชาติยกให้ หรือขายให้ถูกๆ ดังที่เคยทำกันมาแล้ว เราไม่รู้ว่านี้เป็นกลยุทธ์ทางการทูตของ Daniel Russel หรือเปล่าศาสตราจารย์ ดร. เขียน ธีระวิทย์.........หมายเหตุ  : ดูบทความวิชาการได้ฟรีที่ www.thaiworld.org............


"แม้ว"... เดินเกมส์เงียบ เตรียมกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง ...

::: วันนี้... เอาสิ่งที่แม้วกำลังทำมาให้อ่าน เพราะอีกไม่นานก็คงมีการเลือกตั้งตามมา "เพื่อแม้ว" จะกลับมาครองอำนาจเมืองไทยได้อีกหรือไม่ ลองพิจารณาดูครับว่าจริงเท็จประการใด เราจะช่วยกันสกัดอย่างไร ไม่ให้กลับมาเรืองอำนาจอีก.

::: เปิดยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย “ทักษิณ” ซุ่มเงียบเตรียมแผนกลับมากุมอำนาจประเทศอีกครั้ง หลังพ้น คสช. ปรับโฉมพรรคใหม่ สกัดยี้ - หาคนใหม่ภาพดีเสียบแทน ขั้นต่อไปฟื้นเครือข่ายวิทยุชุมชนกล่อมพื้นที่ภาคเหนือ - อีสาน ส่วนคนกรุงเป็นภาระของแท็กซี่ที่ล็อกช่องบังคับฟัง ส่วนทีวีดาวเทียมในสังกัดเตรียม แถมงวดนี้ได้ทีวีดิจิตอลเข้ามาเสริม ยอมยกพื้นที่ภาคใต้ให้ประชาธิปัตย์ เชื่อได้เห็นเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ...

::: นับตั้งแต่การเข้ายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เพื่อยุติการชุมนุมของผู้สนับสนุนทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เชียร์นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และฝ่ายที่ไม่เอายิ่งลักษณ์ ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำในนามของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ...

::: ท่าทีของนายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทยอย่างพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร พี่ชายของนางสาวยิ่งลักษณ์ ยังเงียบสงบมาตลอด ...

::: แม้กระทั่งการลงมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว โดยมติของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อ 23 มกราคม 2558 ถอดถอนด้วยคะแนนเสียง 190:18 เสียง เป็นอันว่าสถานะของนางสาวยิ่งลักษณ์ต้องเว้นวรรคบทบาททางการเมืองไป 5 ปี ทำให้ตัวเลือกของทักษิณ ที่จะชูตัวบุคคลสำหรับการเลือกตั้งในครั้งต่อไป อาจต้องเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นแทน ...

::: หลังจาก สนช. มีมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ แม้จะมีแรงกระเพื่อมจากฟากฝั่งของคนในตระกูลชินวัตร อย่างพานทองแท้ และ แพทองธาร ชินวัตร บ้าง แต่ยังถือว่าไม่ใช่การส่งสัญญาณรบจากคนในตระกูลชินวัตร หรือคนในพรรคเพื่อไทยเองแม้จะออกมาแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน จนถูก คสช. เชิญตัวบุคคลดังกล่าวมาปรับทัศนคติกันอีกครั้ง แต่ยังไม่พบการเตรียมการเพื่อระดมพลต่อต้านรัฐบาลใหม่ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ...

::: เริ่มปรับโฉมพรรคใหม่ "หาน้ำดี มาแทนน้ำเน่า" ...
::: ผู้สันทัดกรณีทางการเมืองประเมินถึงการวางหมากของทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยว่า ตอนนี้เท่าที่ติดตามดูยังไม่พบการเคลื่อนไหวโดยตรงจากนายใหญ่อย่างทักษิณ ชินวัตร นับตั้งแต่การเข้ายึดอำนาจของ คสช. เชื่อว่าคงรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าทางพรรคเพื่อไทยจะโดนอะไรบ้าง เพื่อวางแผนที่จะปรับทิศทางของพรรคเพื่อไทยใหม่สำหรับการเลือกตั้งในครั้งต่อไป เท่าที่เห็นเป็นเพียงการออกมาแสดงปฏิกิริยาทั่วๆ ไป ไม่ได้รุนแรงหรือส่อนัยที่จะระดมพลเพื่อการต่อต้าน คสช.แต่อย่างใด ...

::: โจทย์ที่ทักษิณรู้ดีว่า ถึงอย่างไร คสช. ก็อยู่ในอำนาจได้อีกไม่นาน สุดท้ายก็ต้องเปิดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่แน่ๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปหาเรื่องชนกับ คสช. ปล่อยให้รัฐบาลชุดปัจจุบันบริหารไป ช่วงนี้จึงเหมาะกับการปรับเปลี่ยน หรือเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ของพรรคเพื่อไทย ...

::: หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ในการเดินเกมจากพรรคเพื่อไทยนั้นไม่มีอะไรมากนัก ส่วนหนึ่งเนื่องจากกฎอัยการศึกที่ยังมีอยู่ การเคลื่อนไหวใดๆ จึงทำได้ลำบาก แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าทางเพื่อไทยยังเดินหน้ายึดฐานเสียงของคนรากหญ้าอย่างต่อเนื่อง ...

::: เขาเชื่อว่าถึงอย่างไรคนรากหญ้าก็ยังนิยมชมชอบพรรคเพื่อไทยตลอด ไม่ว่าที่ผ่านมาจะถูกตัดสินอย่างไร เพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ออกมาแต่ละครั้งนั้น ถูกใจคนรากหญ้าและได้รับประโยชน์โดยตรง ไม่ว่าผลโดยรวมจะออกมาอย่างไร

::: ขณะเดียวกัน ได้มีการตระเตรียมในการปรับภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อซื้อใจคนเมืองให้มากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากที่ผ่านมานั้นมีภาระจำยอมในเรื่องของคนเสื้อแดงที่เคยทวงคืนอำนาจให้พรรคเพื่อไทยในปี 2553 ทำให้มีความจำเป็นต้องตอบแทน ด้วยการนำมาร่วมคณะรัฐมนตรีในช่วงที่ผ่านมา แม้จะต้องแลกกับภาพลักษณ์ที่ติดลบไปบ้าง แต่ต้องยอมเพราะเป็นสิ่งที่ทักษิณใช้หลักการลักษณะนี้มาตลอด ...

::: แต่ในครั้งต่อไปนี้แม้จะมีกลุ่มคนเสื้อแดงหรือกลุ่ม นปช. เดิมเข้ามาร่วมในรัฐบาลอีก แต่ในระดับการเป็นรัฐมนตรีนั้นอาจจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในครั้งนี้กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้มีบทบาทมากเหมือนเมื่อครั้งปี 2553 เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานะที่เป็นรัฐบาล จึงไม่สามารถสร้างผลงานได้เหมือนก่อน ...

::: "เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะให้ความสำคัญเรื่องการหาตัวบุคคลที่ภาพลักษณ์ดี มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมในพรรคมากขึ้น เพื่อล้างบุคคลที่มีภาพด้านลบออกไป และนโยบายที่จะสร้างคะแนนนิยมย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของการเอาใจรากหญ้าเป็นหลักเช่นเดิม เพราะฐานเสียงในส่วนนี้ถือเป็นตัวชี้ขาดที่ทำให้พรรคเพื่อไทยจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง" ...

::: เตรียมเครือข่ายเพื่อล้างสมอง วางสื่อให้ครอบคลุม "เพื่อกล่อม" ...
::: นอกเหนือจากเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับภายในพรรคเพื่อไทยแล้ว ตอนนี้เราได้เห็นถึงการเตรียมการที่ทักษิณเตรียมจะใช้ในครั้งต่อไป นั่นคือการเตรียมการด้านสื่อ เพื่อให้สื่อในสังกัดนั้นป้อนข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับพรรคเพื่อไทยสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ...

::: ในขั้นตอนนี้ทักษิณได้วางไว้ 3 แนวทางเพื่อให้ครอบคลุมทั้งหมด เลือกให้ความสำคัญในพื้นที่เดิมคือภาคเหนือและอีสาน จนถึงภาคกลางและกรุงเทพมหานคร โดยปล่อยพื้นที่ภาคใต้ให้เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ไป เพราะเชื่อว่าถึงอย่างไรการเจาะฐานเสียงในพื้นที่ภาคใต้ของพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จได้ยาก ...

::: แนวทางแรกคือ การเลือกใช้สื่อในระดับวิทยุชุมชน ในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสาน ที่เคยเป็นฐานเสียงของเพื่อไทยมาโดยตลอด แม้ในระยะนี้จะถูกจับตาจากหน่วยงานทหารที่มีอำนาจตามกฎอัยการศึก แต่ผู้จัดรายการตามวิทยุชุมชนเหล่านั้นรับทราบภารกิจของพรรคเพื่อไทย ...

::: อย่างในระยะนี้ดำเนินรายการตามปกติ แต่จะเริ่มสอดแทรกเนื้อหาทางการเมืองบางเรื่องลงไปบ้าง แต่ทำแบบแนบเนียน เพื่อค่อยๆ ฟื้นแนวร่วมเดิมๆ ให้กลับคืนมา และหาก คสช.พ้นจากอำนาจไปหรือยกเลิกประกาศกฎอัยการศึก จะเป็นช่วงเวลาที่นักจัดรายการเหล่านั้นกลับมาทำหน้าที่กล่อมคนทั้ง 2 ภาคอย่างเต็มตัว แม้จะไม่กล่าวถึงใครโดยตรง แต่เนื้อหาที่สื่อออกไปให้กับผู้ฟังนั้น คนฟังจะตีความได้เองว่าเรื่องที่พูดนั้นหมายถึงใคร ...

::: แนวทางที่ 2 คือ พื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ เครือข่ายแท็กซี่ ที่เคยมีอยู่เดิมจะถูกฟื้นกลับมาใช้อีกครั้ง โดยมีข้อตกลงเรื่องการเปิดวิทยุบนรถแท็กซี่เพื่อกรอกข้อมูลจากสถานีวิทยุในสังกัดให้กับผู้โดยสารฟัง ในพื้นที่กรุงเทพฯ นี้มีทั้งคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และคนกรุงเทพฯ เอง ข้อมูลจากวิทยุที่แท็กซี่เปิดหาเป็นผู้โดยสารต่างจังหวัดที่ชอบพรรคเพื่อไทยก็จะตอกย้ำให้เชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น ส่วนคนที่ไม่ชอบ หากไม่กล้าบอกคนขับก็ต้องทนฟังไป และก็หวังว่าจะมีคนส่วนหนึ่งคล้อยตามไปกับข้อมูลดังกล่าว :::

::: แนวทางที่ 3 นั้นเป็นสื่อทีวี เมื่อ คสช. พ้นไป นอกจากจะเป็นการฟื้นวิทยุชุมชนในเครือข่ายแล้ว ยังเป็นการฟื้นทีวีดาวเทียมไปในตัว เครือข่ายเหล่านี้จะกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิมอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านี้เครือข่ายของชินวัตร ยังมีฟรีทีวีในนามของ Voice TV ที่เป็นทีวีดิจิตอล แม้จะไม่เชียร์โดยตรง แต่จะเป็นการให้ข้อมูลด้านบวกทางอ้อมกับพรรคเพื่อไทย และยังมีแนวร่วมทีวีดิจิตอลอื่นๆ อีกที่รู้กันว่าเชียร์ใคร ซึ่งกำลังขยายการถือหุ้นไปยังสื่ออื่นๆ โดยยังไม่มีความชัดเจนว่าเป้าหมายหลักนั้นต้องการอะไร ...

นี่คือสิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร เตรียมการไว้เพื่อจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่ คสช.พ้นจากอำนาจไป และแนวทางดังกล่าวนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ที่พรรคคู่แข่งอย่างประชาธิปัตย์จะเข้ามายืนในสถานะของผู้ท้าชิงจากพรรคเพื่อไทย และเราจะได้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้พรรคเพื่อไทยจะกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้งหรือไม่ ต้องตามดู ...

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY