GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"หลวงปู่พุทธะอิสระ" เดินหน้าปฏิรูปศาสนจักร พร้อมเสนอให้จัดตั้ง "องค์คณะพิทักษ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา"




แฉมหาเถรฯ ชี้พระลิขิตไม่ใช่ ก.ม. 'หลวงปู่' จี้ สอบทรัพย์สิน!!!!!
เดลินิวส์ออนไลน์

"หลวงปู่พุทธะอิสระ" เดินหน้าปฏิรูปศาสนจักร จันทร์นี้ยื่นหนังสือถึง "รัฐบาล-สปช." ให้ตรวจสอบทรัพย์สิน "มหาเถรสมาคม" เผยรู้ไส้ทุกขด พร้อมแฉมีโทร.เสนอ "ตำแหน่ง" แลกให้หยุดเคลื่อนไหว เผย "มติมหาเถรฯ" อ้างพระลิขิตของพระสังฆราช มิใช่คำสั่ง-มิใช่กฎหมาย แค่เป็นหนังสือบันทึกข้อความเท่านั้น

เมื่อวันที่ 22 ก.พ. หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เปิดเผยถึงเบื้องหลังการเจรจากับพระพรหมโมลี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับประเด็นของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ "มหาเถรสมาคม" มีมติ  'ไม่ต้องปาราชิก' ว่า

ได้สอบถามไปว่า มหาเถรสมาคมใช้หลักฐานอะไรมาพิจารณาและลงมติว่าไม่ผิด เค้าตอบว่าใช้หลักฐานเก่าเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา จึงถามต่อว่า เคยเรียก "ธัมมชโย" มาสอบถามหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า "ไม่เคยเรียกเลย" พร้อมกับบอกว่า เรื่องนี้เกิดมา 15 ปีแล้ว ให้จบๆ ไป อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ อย่าทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเลย เสียบรรยากาศความปรองดอง

หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวด้วยว่า พระพรหมโมลี ยังระบุด้วยว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชไม่ได้เป็นกฎหมาย เป็นแค่หนังสือบันทึกข้อความ จึงค้านไปว่า หนังสือลงนามว่า 'สกลมหาสังฆปรินายก' ถือเป็นคำสั่ง เป็นกฎหมาย เค้าบอกว่า "ไม่ใช่" เพราะในหนังสือมีคำว่า "ถ้า" จึงทำให้มหาเถรสมาคมพิจารณาว่า ไม่มีความสำคัญ เป็นแค่การเสนอความเห็น

"จึงบอกไปวา จะเอามาตรฐานนี้ของคณะปกครองสงฆ์ ไปทำแบบนี้บ้าง เค้าก็บอกไม่ใช่ มันคนละกรณี เพราะเหตุผลชุดนี้ใช้ได้กับ 'ธัมมชโย' อย่างเดียว"หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวและว่า ไส้ทุกขดในมหาเถรสมาคม ฉันรู้หมด โดยเมื่อคืนนี้ มีการส่งสัญญาณมาจากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ให้คนโทรมา บอกว่าจะให้ฉันมีงานทำ เสนอตำแหน่งให้

โดยในวันจันทร์ที่ 23 ก.พ.นี้ จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ตรวจสอบทรัพย์สินของมหาเถรสมาคมทั้งหมด พร้อมกับเสนอให้จัดตั้ง "องค์คณะพิทักษ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา" ที่มีกรรมการจากประชาชนและพระสงฆ์ ที่มีความเข้าใจ เรื่องนี้มิใช่ไปยุบมหาเถรสมาคม แต่ไปช่วยมหาเถรสมาคมทำงาน เพราะขณะนี้แต่ละองค์อายุมาก อาจไม่ทันสมัย ก็อาศัยลิ่วล้อบริวารทำงาน ทำให้พวกนี้ไปเรียกรับประโยชน์แทน

เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้สงฆ์แตกแยก แต่จะทำให้สงฆ์ลำบากเพราะถูกตรวจสอบทรัพย์สินที่มีอยู่ รวมถึงมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่งด้วย ก็จะต้องถูกตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะเท่าที่ทราบมา ในปีๆ หนึ่ง ใช้งบไปดูงานต่างประเทศหลายสิบล้านบาท มันจำเป็นแค่ไหน ไปดูงานที่ลาสเวกัส อิตาลี ฝรั่งเศส มีงานของคณะสงฆ์อะไรแถวนั้นให้ดู

งานนี้ต้องปฏิรูปศาสนจักร เพราะ 'อาณาจักร' เมื่อปฏิรูปแล้ว ศาสนจักรก็ต้องถูกปฏิรูปด้วย มิใช่ถ่วงสังคม รักษาพวกพ้องที่มีความเน่าใน ถ้าคณะสงฆ์จะประท้วงก็ไม่เป็นไร ชาวบ้านลองประท้วงไม่ใส่ข้าวให้กิน พระคุณเจ้าลองไปหากินเองบ้า

รูปนี้คือสำเนาคำประกาศของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2542 (แน่นอนเหล่าสาวกฝ่ายนั้นย่อมเชื่อว่าเป็นของปลอม) เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากประกาศนี้ ก็ไม่ได้มีผู้ใดหรือแม้แต่มหาเถรสมาคม หรือรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่า รับไปดำเนินการอย่างจริงจังตามที่ระบุไว้ในประกาศนี้ (มีการฟ้องร้องกันในปี 2549 แต่ในที่สุด อัยการซึ่งเป็นโจทย์ เป็นฝ่าย "ถอนฟ้อง" ไป) จนเมื่อเวลาล่วงผ่านไป มาถึงยุคนี้ เมื่อถูกสังคมกดดันหนักขึ้นเหตุการณ์กลับกลายเป็นว่า มีการบิดเบือนคำตัดสินโดยผู้ที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้คุ้มกฎแห่งศาสนาพุทธของประเทศนี้ ...
หากนี่คือบรรทัดฐานของผู้คุ้มกฎ ต่อจากนี้ ... หากบุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา ย่อมถือว่าปราชิก เมื่อถูกจับได้...จะขาดจากความเป็นพระทันที ... แต่หากเขายอมรับผิด และรับปากจะไม่ล่วงละเมิดอีกต่อไป ... อลัชชีผู้นั้นก็ยังคงเป็นพระต่อไปได้ ..ไม่ปราชิก เพราะไม่ได้ทำความผิดอีกต่อไปแล้ว ... ใช่หรือไม่... หากไม่ใช่ ทำไม...คนที่ถูกสั่งให้ปราชิก ยังคงเป็นพระต่อไปได้ ด้วยเหตุว่าเค้าคืนทรัพย์สินไปแล้ว ไม่ผิดอีกต่อไป (ปราชิก...เกิดขึ้นจากความผิดที่ได้ทำลงไปแล้วมิใช่หรือ...เหตุใดจึงมีการย้อนศร กลายเป็นไม่ปราชิกได้ด้วย)

-คำว่า "อำนาจ" เมื่ออยู่ในมือของผู้ทรงธรรม มันคือ "ความยุติธรรม" แต่เมื่อตกอยู่ในเมื่อผู้ลุแก่อำนาจ มันก็คือ "ความอยุติธรรม"
-สังคมวุ่นวายก็เพราะตรงนี้... ไม่เว้นแม้แต่สังคมสงฆ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน .... ผู้ลุแก่อำนาจกลับกลายเป็น ผู้แสร้งไม่รู้ ผู้หลับไหล ผู้มัวเมาในอำนาจที่ตนนั่งทับอยู่



ทั้งนี้ อาบัติชั้นปาราชิก ถือว่าเป็นอาบัติชั้นสูงสุด ตามพระวินัย สำหรับสงฆ์ที่กระทำความผิดรุนแรง เช่น เสพเมถุน ฆ่าคนตาย ฯลฯ และจะต้องสึกจากพระในทันที
chaoprayanews ระบุว่า อีกว่า เมื่อ 29 เม..ย. 2542 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระลิขิต เกี่ยวกับปัญหาวัดพระธรรมกาย ปทุมธานี โดยทรงมอบผ่านทาง พระเลขาประจำสำนักงานเลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช คือ พระวิปัสสี

ในพระลิขิต ทรงให้กรมการศาสนารับสนอง พระลิขิตมีใจความระบุว่า “ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือ พระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที




เหตุผลทั้ง ๖ ที่ "สมเด็จช่วง" บอกว่า "ธมฺมชโย" ไม่ปาราชิก

๑. "ธมฺมชโย" มอบเงินให้กับ "สมเด็จช่วง" เป็นจำนวนเงิน ๑๐๐ ล้านบาทเพื่อสมทบทุนในการก่อสร้างมหาเจดีย์วัดปากนํ้า

๒. "สมเด็จช่วง" เป็นประธานมอบพัดยศให้กับ "ธมฺมชโย"

๓. "ธมฺมชโย" ซื้อเบนซ์ รุ่น Mercedes-benz C-Class C180 Coupe มูลค่า สองล้านเก้าแสนกว่าบาท ให้ "สมเด็จช่วง" ต่อมาในปี 2556 เป็นคดีดังเรื่องรถสปอร์ตหรู ด้านดีเอสไอและกรมศุลกากร เตรียมเข้าตรวจสอบรถสปอร์ตสุดหรูของ"สมเด็จช่วง" แต่ต่อมาเรื่องก็เงียบหายไป คาดเงินอุดปาก

๓."สมเด็จช่วง" ได้กล่าวไว้ว่า "อาตมาเองตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ ๘๗ ปีแล้ว เพิ่งจะวันนี้เองที่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ จึงชื่นใจ กรณีเป็นประธานเดินธุดงค์เดินดอกไม้"

๔. "สมเด็จช่วง" ได้กล่าวไว้ว่า "วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้อง หรือเสมือนหนึ่งว่าเป็นวัดเดียวกันมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วัดปากน้ำมีวัดพระธรรมกาย มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน"

๕ "สมเด็จช่วง" เป็นอุปัชฌาย์ให้แก่ "ธมฺมชโย" เอง


๖. ทุกวันที่ ๒๒ เมษายนของทุกปี "ธมฺมชโย" จะเชิญ "สมเด็จช่วง" มาเป็นประธานทุกปี และจะมอบเงินปัจจัยให้ "สมเด็จช่วง" เป็นการส่วนตัว จำนวนเงิน ๕ ล้านบาท




วัดพระธรรมกายในทัศนะของนักข่าวผู้ไปเจาะลึก! (และไม่ประสงค์ออกนาม)

http://arsramsiyaraya.blogspot.com/2015/02/blog-post_4.html

คงถึงวลาที่ต้องปฏิรูปพุทธศาสนากันขนานใหญ่ได้เเล้วกระมัง
โดย..ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ถือว่าเป็นสามสถาบันที่เป็นพื้นฐานความมั่นคงของชาติ เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวคนไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์เข้าไว้ด้วยกัน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับสถาบันหนึ่งใด หรือกับทั้งสามสถาบัน จนเกิดความเสื่อมเสีย ย่อมกระทบต่อความมั่นคงของชาติโดยตรง  คนไทยส่วนใหญ่ 85% นับถือศาสนาพุทธ ก่อนเสด็จปรินิพพาน พระอานนท์เข้าไปถามว่าจะมอบให้ใครเป็นตัวแทนสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป ทำนองว่าจะให้ใครมาแทนพระองค์ พระพุทธเจ้าตอบโดยมีสาระว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับคน 4 กลุ่ม คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
เมื่อเราเป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องมีหน้าที่ดูแลสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป รวมทั้งหากเห็นว่ามีใครทำให้พระพุทธศาสนามีมลทิน แม้คนนั้นจะเป็นภิกษุก็ตาม เราก็ต้องวิจารณ์ได้โดยสุจริตใจ เพราะภิกษุเป็นคนของประชาชน หากประชาชนไม่ใส่บาตร ภิกษุก็ไม่มีอาหารฉัน เพราะฉะนั้นคนใส่บาตรก็ย่อมมีสิทธิวิจารณ์พระที่ไม่อยู่ในร่องในรอย พระที่ไม่มีศีล เรื่องนี้นอกจากไม่บาปแล้ว ยังเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำด้วย เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้สถิตย์สถาพรสืบไป
พระต้องมีศีล ถ้าพระไม่มีศีลก็ไม่ใช่พระ พระที่ใช้ผ้าเหลืองคลุมกายไปหลอกลวงชาวบ้าน ใช้ความศรัทธาต่อพุทธศาสนาของประชาชนเป็นเครื่องมือหากิน คนพวกนี้ไม่ใช่พระ สมควรที่จะถูกขับออกจากวงการศาสนา
ชาวพุทธ คือ ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้มีสติปัญญาไตร่ตรอง ไม่หลงงมงาย อย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ ตามหลักกาลามสูตรที่พระพุทธองค์ได้บัญญัติไว้ เพราะฉะนั้นพระรูปไหน วัดไหนที่มี “นายหน้าค้าบุญ” หากินบนความศรัทธาของคน เที่ยวไปพูดจาให้คนหลงเชื่อบริจาคเงินมากจะได้บุญมาก บุญเปรียบเสมือนสินค้าชนิดหนึ่งที่มีราคาในตัวของมันเอง ถ้าจ่ายน้อยก็ได้น้อยชิ้น ได้จ่ายมากก็ได้มากชิ้น ถ้าไม่มีวัดก็ออกให้ก่อนแต่ต้องทำบุญเป็นล้าน แล้วผ่อนใช้คืน หากบริจาคเป็นแสนเป็นล้านก็ยิ่งได้บุญมาก ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ ได้เป็นเทพบุตรเทพธิดา มีวิมานสวยงามใหญ่เล็กตามเงินที่บริจาค ฯลฯ เราอย่าไปหลงเชื่อ เวลานี้คนไทยเริ่มรู้แล้ว เลยมีแผนการที่จะดูดเงินจากคนจีนในเอเชียให้เข้ามาเยี่ยมชม โดยอ้างว่านี่คือศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลกอีกด้วย ถึงตอนนั้นวัดจะรวยเละไปเลย ทั้งที่เวลานี้ก็เละอยู่แล้ว
พระและปู่ย่าตายายสอนเราว่า การทำบุญนั้นจะบริจาคแค่ไหนก็ได้บุญเหมือนกัน มีน้อยบริจาคน้อย มีมากบริจาคมากแต่ศรัทธา ได้บุญเท่ากัน และไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน ขออย่างเดียว ของที่บริจาคนั้นต้องได้มาอย่างบริสุทธิ์ ผู้รับต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะบริจาคมีจิตใจบริสุทธิ์
พระที่ไปรุกป่าสงวนแห่งชาติ หรือเอาเงินบริจาคไปกว้านซื้อที่สวยๆ ในจังหวัดต่างๆ ตั้งสาขานายหน้าค้าบุญเพื่อระดมเงิน ที่ไหนมีแหล่งแร่ที่จะทำเงินได้มหาศาล โดยเฉพาะแหล่งแร่ทองคำก็ไปกว้านซื้อที่ไว้ ตรงไหนซื้อไม่ได้เพราะอยู่บนเขา ลูกศิษย์ที่เป็นใหญ่เป็นโตในกรมป่าหาทางออกให้โดยใช้วิธีเช่า เอาเงินไปลงทุนแชร์แม่ชม้อยบ้าง เอาเงินบริจาคไปลงทุนในกิจการน้ำมันในต่างประเทศลงทุนซื้อขาย
อาวุธในช่วงที่หุ้นกำลังบูมก็เอาเงินไปเล่นหุ้น ต่อมาเอาเงินไปลงทุนซื้อขายเพชรพลอย มีบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ที่หากินกับวัดโดยเสนอโครงการก่อสร้างมากมายให้กับวัด พระที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ไม่ใช่พระแน่นอน  พระต้องเป็นอยู่อย่างสมถะไม่ฟุ้งเฟ้อ หากพระรูปไหนสั่งสบู่พิเศษจากปารีส เพื่อขัดถูกผิวให้ขาวผ่องเป็นยองใย ซื้อผ้าจาก สวิส ญี่ปุ่นมาตัดเย็บเป็นจีวรเพราะเป็นผ้าเนื้อพิเศษ นุ่งห่มแล้วจะขับผิวให้ผุดผ่อง เวลาขึ้นนั่งทำพิธีต้องจัดไฟส่องหน้า หลัง ข้าง ให้ดูสง่างามเหมือนลอยมาดั่งเทพบุตรจุติลงมา ฯลฯ หากมีพระแบบนี้ เราคิดว่ายังเป็นพระอีกหรือ
พระต้องไม่ยินดีกับลาภ ยศ สรรเสริญ ถ้าพระรูปไหนวางแผนแบบนักการเมือง วิเคราะห์ว่าพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปไหนจะขึ้นลงอย่างไร รูปไหนอายุเท่าไร จะตายเมื่อไร จะเหลือใครบ้าง รูปไหนที่มีโอกาสขึ้นเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ต่อไป ก็ไป “ซื้อ” ไว้โดยถวายรถ เงิน เพื่อให้แต่งตั้งตนกระโดดข้ามขั้นเป็นเจ้าคุณ วางแผนถึงว่าตนเองมีอายุยังน้อย เถระแก่ๆ วันหนึ่งจะตายหมดและตัวเองจะขึ้นเป็นพระสังฆราช พระที่หวังลาภยศสรรเสริญแบบนี้ เราจะเรียกว่าเป็นพระได้หรือ
พระที่ไปอยู่กับสีกาสองต่อสอง ปิดประตูบ้านเงียบ รูดม่านปิดหมด มีคนรถขับไปส่งให้ พอถึงบ้านก็ผลุบเข้าไปอยู่ในบ้าน คนขับรถถูกใช้ให้ไปซื้อหูฉลามและอาหารรสเลิศจากโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่งที่ใช้เวลาไปกลับประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงนั้นก็ให้คนใช้ออกไปเที่ยวนอกบ้านได้เป็นกรณีพิเศษ การไปอยู่ในที่รโหฐานสองต่อสองเช่นนี้ย่อมเป็นการไม่เหมาะสม พระประเภทนี้ควรที่ชาวพุทธจะเคารพกราบไหว้ต่อไปหรือไม่
ชาวพุทธต้องเป็นผู้ตื่น ผู้รู้ มีสติปัญญาไตร่ตรอง อย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ หากมีใครมาบอกว่า พระเกจิอาจารย์จะมาปรากฏตัวบนท้องฟ้าทางทิศตะวันออกนั้นก็อย่าไปเชื่อ พระระดับเกจิอาจารย์ไม่มีทำอะไรแผลงๆ แบบนั้นแน่ หากมีพระรูปไหนบอกว่าสามารถไปเฝ้าพระพุทธเจ้าบนสวรรค์ได้ก็อย่าไปเชื่อ ยิ่งมาบอกว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด ซ้ำยังเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายซะอีก ก็อย่าไปฟัง พระรูปใดที่อ้างว่ารู้ดีกว่าพระพุทธองค์ อนัตตานั้นไม่ถูก ต้องเป็นอัตตา พระไตรปิฎกฉบับเถรวาทก็ไม่ถูกต้อง โดยจะเอาฉบับของตนขึ้นมาแทน ต่อไปเขาคงคิดอะไรเพี้ยนๆ ได้อีกหากมีคนหลงเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ พระแบบนี้น่าจะไล่ให้ขึ้นจานบินไปตั้งลัทธิใหม่บนโลกอื่นเสียเลย
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้พูดถึงพระรูปใดรูปหนึ่งหรือวัดใดวัดหนึ่งเป็นการเฉพาะเป็นการยกตัวอย่างให้ชาวพุทธผู้ตื่น ผู้รู้ ใช้สติปัญญาไตร่ตรอง อย่าหลงงมงาย เพราะนี่เป็นการทดสอบชาวพุทธครั้งสำคัญ เงินทองหามายาก เมื่อได้มาก็เก็บไว้ทำให้พ่อแม่ลูกเมียมีความสุข หากบริจาคก็อย่าให้ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อน






การที่ศาสนาพุทธในประเทศไทยเสื่อมลงทุกวัน ประชาชนอย่าเอาแต่ด่าพระภิกษุนะคะ สำรวจตัวเองและคนที่อยู่รายรอบตัวคุณด้วยว่า ได้ทำอะไรที่เป็นการ spoil พระเกินไปหรือไม่ (เอาใจจนเสียนิสัย)
รถยนต์หรูหราที่พระมี ... ไม่น้อยหรือเกือบทั้งหมดมาจากการที่ญาติโยมเอาไปบริจาค ถ้ามีเพื่อเป็นพาหนะเดินทางก็พอเข้าใจ ... แต่ที่มีเป็นสิบๆ คัน เป็นรถสปอร์ต รถเปิดประทุนก็มี รถแปลกๆ ที่ชาวบ้านทั่วไปเค้าไม่ขับกัน แล้วเป็นพระจะมีไว้ทำไม.. แต่พระก็อ้างว่า มีโยมนำมาถวาย ... ก็สงสัยต่อไปว่า เมื่อมันเกินความจำเป็น ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ทำไมต้องไปรับด้วย เป็นพระแต่ทำไมละกิเลสไม่ได้ ... พระพุทธเจ้าทรงสอนเหรอคะว่า ใครเอาอะไรมาถวายพระ ก็ให้รับหมด... ถ้าไม่รับมันจะบาป... แล้วคนที่ชอบเอาของแพงไปถวายพระเนี่ย เค้าคิดอะไรคะ คิดว่า ถวายของราคาแพง จะได้บุญมากเหรอ ... หรือบาปมากกันแน่ ที่เอากิเลสไปโยนใส่พระ คราวนี้ มาคิดกันจากจุดที่เล็กที่สุดก็ได้ ... บางคน จะใส่บาตร หาของไม่ได้ ... ก็เอาเงินใส่บาตรพระ ... มันถูกมั้ย ... หรือเวลาที่ทำบุญ ก็แห่กันเอาเงินใส่ซองให้พระ ... แล้วไง .. .อยากทราบมั้ยคะว่า จากการที่ชอบให้เงินพระ ..ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร

... พระเกิดการแย่งชิงเส้นทางบิณฑบาตกัน เพราะรู้ว่า ตรงไหน จุดไหน เส้นทางไหน ใครให้เงินมากน้อยอย่างไร... กิเลสมาก่อน... บางวัดพระถึงกับชกต่อยกัน เพราะเดินบิณฑบาตทับเส้นทางรวยกัน ... (พระเพื่อนเห็นมากับตา)
... เวลาสวดตามงาน.. ก็อยากจะรับงานหรือไปงาน หรือศาลาที่คิดว่าจะได้เงินในซองเป็นจำนวนมาก ... เวลาคุณไปนิมนต์พระดังๆ นะคะ ... ถ้าคุณไม่ดังพอ ไม่มีชื่อเสียงพอ ..คุณรอไปอย่างไม่มีกำหนดค่ะ แต่ถ้าคุณนามสกุลโด่งดังหรือแบบรวยมาก คุณจะได้รับคำยืนยันแทบจะทันที (อันนี้เจอมากับตัวเอง)
... นั่นคือ ทั้งที่เจอกับตัวเองและได้ยินมาจากคนที่เคยบวชเป็นพระ เล่าถึงความเน่าเฟะในวัดให้ฟัง .. ยิ่งวัดดังคนก็จะแห่กันไปทำบุญมากมายแทบจะเหยียบกันตาย ... ผลประโยชน์เหลือคณานับ

.. ดังนั้น หากคุณหรือคนข้างๆ คุณเป็นอีกคนที่ชอบทำบุญโดยการใช้เงินเป็นหลัก เอะอะอะไรก็ใส่เงินไปก่อน ... ไปสร้างกิเลส ยั่วยวนพระ ทำให้ตบะแตก ไปบวชแทนที่จะได้ชะล้างกิเลสตัณหา กลับกลายเป็นว่า ญาติโยมส่งเสริมให้มีกิเลสหนาขึ้น จนแทบไม่อยากสึก เพราะได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเกียรติ มีคนมากราบไหว้ เอาเงินมาให้ ถ้าขยันนิด ฉลาดหน่อย ก็คิด gimmick หาจุดขายให้ตัวเองดังขึ้นมา ... ขี้คร้านรับนิมนต์แทบไม่ทัน มีกิจนิมนต์ตลอดปี แทบจะไม่มีเวลาศึกษาพระธรรมออกงานรับทรัพย์ที่ใส่มาในซองมาอย่างเดียว เอาเงินไปทำอะไรก็ไม่รู้ ... ได้กันไปเป็นร้อยล้านอย่างที่รู้ๆ กัน ...

ปล. เมื่อพระได้เงินมามาก... ในความเห็นส่วนตัว...ทำไมไม่เอาเงินไปสร้างโรงพยาบาล หรืออุดหนุนออกค่ารักษาพยายาลให้คนจน ให้ทุนกับชาวไร่ชาวนาผู้ยากไร้ ..หรือช่วยอุปการะหมาแมวจรจัดทั้งประเทศ ... ช่วยต่อชีวิตให้ทั้งคนและสัตว์ .... แต่กลับเอาไปซื้อของแพงๆ หรือสร้างวัตถุขนาดใหญ่เป็นร้อยล้านพันล้าน... ได้อะไร...นอกจากได้ชื่อว่า ไอ้นั่น ไอ้นี่ ใหญ่ที่สุดในโลก...









เปิดเบื้องหลังมติ มส. 'ธัมมชโย' อาบัติปาราชิก !!!!!
คมชัดลึกออนไลน์
เปิดเบื้องหลังมติ มส. 'ธัมมชโย' อาบัติปาราชิก ? : โดย...โต๊ะการศึกษา
ถือเป็นปรากฏการณ์เก่าเอามาเล่าใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ขณะนี้ สำหรับกรณีปัญหาวัดพระธรรมกาย แต่มาคราวนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเมืองข้นคลั่ก เพราะมีที่มาจากที่ นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เปิดเผยถึงการประชุม ณ รัฐสภา ของคณะกรรมาธิการการศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยมีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ว่า ผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้เข้าชี้แจงในที่ประชุมว่า ตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งมีพระลิขิตลงวันที่ 26 เมษายน 2542 นั้น ชี้ชัดว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ
เมื่อขว้างระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวงการพระพุทธศาสนา ทำให้ถนนทุกสายพุ่งเป้าไปที่ฝ่ายปกครองคณะสงฆ์สูงสุด คือ มหาเถรสมาคม (มส.) ว่าจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร ดังนั้น ในที่ประชุม มส.เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 มี สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธาน จึงมีการหารือวาระดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ความกระจ่างแก่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ
โดย พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการและโฆษก มส. เปิดเผยภายหลังการประชุม มส.ว่า ประเด็นที่ 1 ที่ประชุม มส.ได้มีมติรับทราบกรณีนายสมเกียรติ ธงศรี ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) ผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ไปชี้แจงกรณี พระเทพญาณมหามุนี หรือหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต่อที่ประชุมคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. ว่า ได้มีการละเมิดพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในปี 2542 หรือไม่
ประเด็นที่ 2 มส.ได้พิจารณาถึงเจตนาของหลวงพ่อธัมมชโย ใน 2 กรณี ดังนี้ 1.ฝ่าฝืนพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่ ซึ่งที่ประชุม มส.ได้ยกมติ มส.ในปี 2549 ขึ้นมาพิจารณาแล้ว พบว่า หลวงพ่อธัมมชโยยอมรับและปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชในการคืนที่ดินทุกประการ 2.มีเจตนาฉ้อโกงหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว หลวงพ่อธัมมชโยได้ทยอยคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่วัดพระธรรมกาย ในขณะเดียวกันคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าคณะปกครอง ได้ดำเนินการสอบสวนความผิดของหลวงพ่อธัมมชโย โดยมีการผลสรุปออกมาว่า ไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ผิดพระวินัย ไม่ถือเป็นความผิด ถือเป็นอันยุติ ประเด็นที่ 3 เมื่อไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ได้ฝ่าฝืนพระลิขิต ไม่ถือว่ามีความผิด และพ้นมลทิน รวมทั้งยึดตามมติ มส.ปี 2549 โดยได้คืนตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้ขอพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ดังนั้น สถานภาพปัจจุบันของหลวงพ่อธัมมชโย ยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดและดำรงสมณศักดิ์เช่นเดิม
โฆษก มส. เล่าถึงที่มาที่ไปของมติ มส.ครั้งประวัติศาสตร์นี้ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีที่แล้ว หลวงพ่อธัมมชโยยอมรับและปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชในการคืนที่ดินทุกประการ ทาง มส.ขณะนั้นดำเนินการให้องค์กรปกครองขั้นต้น คือ คณะสงฆ์จังหวัดปทุมธานี ใช้กฎนิคหกรรมสอบสวนเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2542 ขณะกำลังสอบสวนก็มีโจทย์อีก 2 ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาว่า หลวงพ่อธัมมชโยยักยอกทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย ต่อมาหนึ่งในโจทก์ร่วมฟ้องได้ถอนฟ้องหลวงพ่อธัมมชโย ทางการสอบสวนของคณะสงฆ์จึงยุติไว้ก่อน รอคำตัดสินจากฝ่ายบ้านเมือง ต่อมาทางอัยการได้พิจารณาแล้ว จึงได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าว ถือว่าหลวงพ่อธัมมชโยได้พ้นมลทินแล้ว ทางคณะสงฆ์จึงนำมาพิจารณาต่อเห็นว่า หลวงพ่อธัมมชโยเป็นผู้ประพฤติฝ่าฝืนพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจริงหรือไม่ ทางคณะสงฆ์ถือตามพระวินัย โดยถือเอาเจตนาเป็นเกณฑ์หลัก
พระพรหมเมธี เล่าอีกว่า เมื่อผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน คือ ที่ดินของวัดพระธรรมกายนั้น มีฝ่ายฆราวาสเป็นเจ้าที่ดินบ้าง ส่วนที่ดินของหลวงพ่อธัมมชโยที่จดทะเบียนไว้ ท่านก็ยินดีรับปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชก็คืน หมายความว่า แสดงเจตนาว่าจะโอนคืนให้แล้วดำเนินการคืนเฉพาะในส่วนที่หลวงพ่อธัมมชโยสามารถที่จะคืนได้ ส่วนที่เป็นของชาวบ้านที่นำไปถวายวัดนั้น ได้ติดต่อคืนภายหลังจนครบถ้วนตามที่ฝ่ายโจทก์ยื่นฟ้องไว้ ทางคณะสงฆ์จึงได้พิจารณาว่า ท่านยอมรับทำตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชแล้ว มาถึงปี 2549 คณะสงฆ์สมัยนั้นจึงได้พิจารณาว่า หลวงพ่อธัมมชโยไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกง ได้โอนเป็นกรรมสิทธิ์วัดหมดแล้วตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช คณะสงฆ์จึงคืนตำแหน่งให้ เจ้าคณะปกครองจังหวัด และภาค พิจารณาว่าท่านไม่มีเจตนาฉ้อโกงทรัพย์สินของวัด ก็เป็นอันว่ายุติ คืนตำแหน่งให้ เมื่อท่านไม่ผิดทางคณะสงฆ์จึงได้พิจารณาให้ท่านมีสมณฐานันดรศักดิ์เลื่อนเป็น พระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพญาณมหามุนี
"เรื่องมันนานมาก กว่า 16-17 ปี แล้วมาดำเนินเมื่อปี 2547 ครั้งหนึ่งที่ มส.ได้หยิบยกขึ้นมา แล้วมาคืนตำแหน่งให้ปี 2549 มาถึงปัจจุบัน อยากจะเรียนว่า เจตนาที่พระเทพญาณมหามุนี จะขัดขืนมตินั้น ก็ไม่มี ไม่มีการฉ้อโกง ปฏิบัติตามกฎของ มส. ปฏิบัติตามคณะองค์กรปกครองสงฆ์ ไม่มีข้อตำหนิว่าท่านได้ฝ่าฝืนพระลิขิต ไม่ผิดพระวินัย ไม่มีเจตนาฉ้อโกง มส.ในยุคนั้น ซึ่งไม่ใช่ มส.ในยุคนี้นะ ขอย้ำ แม้แต่อาตมาเองตอนนั้นก็ยังไม่ได้เป็นกรรมการ มส. ได้พิจารณาแล้วว่า เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีในยุคนั้น ได้เสนอแนะกับ มส.สมัยนั้นว่า พระเทพญาณมหามุนีไม่มีเจตนาฉ้อโกงของวัดพระธรรมกาย ศาลได้ยกฟ้องแล้ว"
"ส่วนที่เรื่องนี้มาเป็นเรื่องอีกในวันนี้ อยากจะให้สังคมชาวพุทธเราทั่วไปได้ทราบว่า ยุคนี้เป็นยุคล่อแหลมต่อสื่อ พอออกไปทั่วประเทศ ทั่วโลก ประเทศไทยเป็นที่สนใจของทั่วโลก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงปกครองของบ้านเมือง คสช.เข้ามาทำความสงบสุขให้แก่แผ่นดิน อยากจะให้สื่อ ผู้สื่อข่าวทุกคน มองเห็นความสงบสุขของบ้านเมือง ก็คือว่า เรื่องที่แล้วไปเมื่อไม่มีมลทินโทษก็กลับเอามาพูดอีก ทาง มส.จึงได้ฝากให้อาตมาในฐานะโฆษก มส.มาพูดว่า เรากำลังจะทำการปรองดองความสามัคคีของคนในชาติ ถ้าเราคิดตั้งเจตนาเอาเรื่องที่ทำไปแล้ว มีมติไปแล้ว มาพูดซ้ำอีก มส.ก็ไม่รู้จะพิจารณาต่อไปอย่างไร เมื่อทุกอย่างมีข้อยุติทั้งฝ่ายบ้านเมืองและคณะสงฆ์แล้ว” กรรมการและโฆษก มส. กล่าว
เมื่อได้มีประกาศออกมาดังๆ จาก มส.ว่า กระบวนการฝ่ายคณะสงฆ์ได้สิ้นสุดแล้ว จากนี้ไปต้องจับตาว่า สังคมไทย ทั้งคณะสงฆ์ที่เห็นด้วย หรืออีกส่วนหนึ่งที่ยังเคลื่อนไหวคัดค้านมติ มส.ครั้งนี้อยู่ จนหลายฝ่ายเกรงว่าจะเกิดการแตกแยกในหมู่มวลสงฆ์หรือไม่ แล้วฝ่ายบ้านเมืองอย่าง สปช. ซึ่งเป็นผู้พิจารณาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้งจะดำเนินการเรื่องนี้ต่ออย่างไร
รวมไปถึงกลุ่มธรรมาธิปไตย ที่เคยยื่น มส.ให้มีการตรวจสอบเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อวดอุตริมนุสธรรม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2542 แต่เรื่องกลับเงียบหาย ซึ่งจากสถานการณ์ร้อนแรง ณ วันนี้ ถือว่าเรื่องนี้ยังไม่สิ้นสุด แต่กำลังเป็นวันเริ่มต้นการปฏิรูปและตรวจสอบครั้งใหญ่ของคณะสงฆ์


มองโลก มองเรา "ธัมมชโย" ปราชิก หรือไม่? และ สัมปทานรอบที่ 21

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY