พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ (บวก ๑ )
๑.พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ ้า ๒.พระโกฑัญญสัมมาสัมพุทธเจ้ า
๓.พระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ ้า ๔.พระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้า
๕.พระเรวตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖.พระโสภิตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๗.พระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธ เจ้า ๘.พระปทุมสัมมาสัมพุทธเจ้า...
๙.พระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐.พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธ เจ้า
๑๑.พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้ า ๑๒.พระสุชาตสัมมาสัมพุทธเจ้ า
๑๓.พระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธ เจ้า ๑๔.พระเจ้าอัตถทัสสีสัมมาสั มพุทธเจ้า
๑๕.พระธัมมทัสสีสัมมาสัมพุท ธเจ้า ๑๖.พระสิทธัตถสัมมาสัมพุทธเ จ้า
๑๗.พระติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๘.พระมหาปุสสสัมมาสัมพุทธเ จ้า
๑๙.พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเ จ้า ๒๐.พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒๑.พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ ้า ๒๒.พระกกุสันธสัมมาสัมพุทธเ จ้า
๒๓.พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธเ จ้า ๒๔.พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ า
๒๕.สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคด มสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
(พระพุทธเจ้า องค์ในอนาคตกาล)
๒๖.พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมา สัมพุทธเจ้าSee More
๑.พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ
๓.พระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ
๕.พระเรวตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖.พระโสภิตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๗.พระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธ
๙.พระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐.พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธ
๑๑.พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้
๑๓.พระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธ
๑๕.พระธัมมทัสสีสัมมาสัมพุท
๑๗.พระติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า
๑๙.พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเ
๒๑.พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ
๒๓.พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธเ
๒๕.สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคด
(พระพุทธเจ้า องค์ในอนาคตกาล)
๒๖.พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปาฏิหาริย์มี 3 อย่าง คือ
1.อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ เช่น แปลงกาย หายตัว ดำดิน เหาะ...
2.อาเทสนาปาฏิหาริย์ ทายใจ รู้วาระจิต รู้ความคิดของคนอื่น
3.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนให้ประพฤติปฏิบัติธรรม
อิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาป
> การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพร
พระพุทธเจ้าทรงใช้ปาฏิหาริย
- เมื่อตอนไปโปรดชฎิล 3 พี่น้องพร้อมบริวาร 1,000 คน หลังตรัสรู้ธรรมได้ 5 เดือน ทรงแสดงปาฏิหาริย์ถึง 3,500 อย่าง จึงปราบมานะทิฐิของชฎิลลงได
- เมื่อตอนไปโปรดองคุลีมาล ก็ทรงแสดงฤทธิ์ย่นพสุธา จนองคุลีมาลวิ่งไล่ตามอยู่ 48 กิโลเมตรก็ตามไม่ทัน ทิฐิคลาย ใจเปิด ทิ้งดาบฟังธรรม ได้ออกบวชและเป็นพระอรหันต์
- แม้ในพระพุทธประวัติเองก็มี
- แม้คนธรรมดาเมื่อมีจิตศรัทธ
*** หัวใจสำคัญคือ อิทธิปาฏิหาริย์นั้นจะต้องเ
>> ปาฏิหาริย์ของพระเถระในประเ
พระในสายปฏิบัติมักมีเรื่อง
1. หลวงปู่ทวด สามารถเหยียบน้ำทะเลทำให้เป
2. พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สามารถรู้วาระจิตผู้อื่น ปราบภูติผีปีศาจ ปราบสัตว์ร้ายให้เชื่องได้
3. หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ รู้วาระจิตผู้อื่น พระของขวัญวัดปากน้ำมีอานุภ
4. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เหาะได้ มีนักบินพบกลางอากาศ
5. วัดพระธรรมกาย สาธุชนมาปฏิบัติธรรมรวมกัน พลังบุญทุกคนเหนี่ยวนำให้เก
6. ครูบาศรีวิชัย สามารถรู้วาระจิตผู้อื่น ฝนตกไม่เปียก
__ เรื่องปาฏิหาริย์นี้คนที่เช
หลักปฏิบัติตนของชาวพุทธต่อ
1. พึงรู้ว่าปาฏิหาริย์เหนือธร
2. พึงเข้าใจว่าปาฏิหาริย์จะมี
3. อย่าลุ่มหลงในปาฏิหาริย์แบบ
>>> ข้อเตือนใจ
1. อย่าหลงในความรู้วิชาการสมั
2. อย่าให้อิทธิปาฏิหาริย์มาบด
“ อย่าเอาตัวเองไปวัดหัวใจพระ โพธิสัตว์ ท่านทุ่มสร้างบารมีด้วยชีวิ ต ”
การทำความดี สั่งสมบุญบารมีนั้น มีความเข้มข้นหลายระดับ ดังนี้
1. ทำบุญ คือ การทำความดีของบุคคลโดยทั่ว ไป...
2. สร้างบารมี คือ การทำบุญแบบเข้มข้น
3. อุปบารมี คือ การสร้างบารมีที่เข้มข้นมาก ขึ้น ระดับยอมสละอวัยวะได้
4. ปรมัตถบารมี คือ การสร้างบารมีที่เข้มข้นสูง สุด ระดับยอมสละชีวิตได้
นักสร้างบารมีผู้มุ่งหวังผล ที่สูง เช่น พระโพธิสัตว์ ท่านจะมีใจที่ใหญ่มาก กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ในสิ่งดีๆอย่างอุทิศชีวิต และทำอย่างต่อเนื่องไม่ใช่น านๆทำที ทำชนิดคนธรรมดาคาดฝันไม่ถึง เลย
ตัวอย่างการสร้างบารมีของพร ะพุทธเจ้า
@ ชาติหนึ่ง พระพุทธเจ้าของเราขณะสร้างบ ารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ บวชเป็นดาบส ยืนอยู่บนหน้าผามองลงไปเห็น แม่เสือหิวโซกำลังจะกินลูกต ัวเอง พระองค์ยอมกระโดดลงไปให้เสื อกิน เพื่อช่วยชีวิตลูกเสือ โดยอธิษฐานจิตว่า ขอบุญนี้ส่งผลให้ข้าพเจ้าตร ัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาค ต
@ สมัยพระองค์เกิดเป็นพระเวสส ันดร ยอมยกพระโอรสพระธิดา คือ กัณหา กับ ชาลี ให้กับพราหมณ์ชูชก แต่ก็วางแผนการไว้จนชูชกนำก ัณหากับชาลี ไปถวายพระเจ้าตา เพื่อรับเงินแทน
@ แม้พระชาติสุดท้าย เจ้าชายสิทธัตถะก็เสด็จออกบ วชในวันที่พระโอรส คือ เจ้าชายราหุลประสูตินั่นเอง เมื่อบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้ธ รรมแล้วก็กลับมาโปรดพระญาติ พระเจ้าสุทโธทนะ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พระนางพิมพาสุดท้ายก็ได้บวช บรรลุธรรมเป็นพระอรหันตเถรี เจ้าชายราหุลก็บวชเป็นสามเณ รรูปแรกในพระพุทธศาสนา และเป็นสามเณรอรหันต์ แม้พระราชมารดาจะสวรรคตแล้ว พระองค์ยังเสด็จตามไปโปรดถึ งบนสวรรค์จนบรรลุธรรมเป็นพร ะโสดาบัน
> หากใครไม่เข้าใจ ใช้ความรู้สึกของตัวเองไปวั ดการสร้างบุญบารมีของพระโพธ ิสัตว์ แล้วหลงไปตำหนิท่านว่าทำมาก เกินไป โง่ หลงบุญ บ้าบุญ ทิ้งลูกทิ้งเมียออกบวช เราลองคิดดูว่า คนๆนั้นจะมีวจีกรรมแบกบาปหน ักขนาดไหน มีนรกเป็นที่ไป ไม่คุ้มเลย >
ใจของเราหากยังอยู่ที่ระดับ การทำบุญขั้นแรก ทำแบบเล็กๆน้อยๆทั่วไป เมื่อเห็นคนอื่นเขาทำความดี อย่างอุกฤษฏ์ ไม่ใช่ไปตำหนิเขา แต่ควรอนุโมทนา เราจะได้บุญด้วย
*** การทำความดีจริงๆแล้วไม่มีค ำว่าทำมากเกินไป อยู่ที่หัวใจของคนๆนั้นมีเป ้าหมายชีวิตที่สูงส่งเพียงใ ด ***
จะวัดว่าดีหรือไม่ดี ไม่ได้ดูที่ว่าทำมากไปไหม แต่ดูที่สาระของการกระทำ ถ้าเป็นเรื่องดี ก็คือดี ยิ่งทำมากยิ่งดี
___ การให้ทาน อย่างอุทิศได้แม้ชีวิต เป็นสิ่งควรอนุโมทนา
___ การรักษาศีล โดยยอมตายไม่ยอมละเมิดศีล เป็นสิ่งควรอนุโมทนา
___ การเจริญภาวนา โดยทำสมาธิอย่างเอาชีวิตเป็ นเดิมพัน เป็นสิ่งควรอนุโมทนา
ตัวอย่างนักสร้างบารมียุคปั จจุบัน
>> แม้ในยุคใกล้ๆของเรานี้ ก็มีพระเถระผู้บวชอุทิศตนสร ้างบารมีอย่างชนิดเอาชีวิตเ ป็นเดิมพันหลายรูป ซึ่งในช่วงแรกทุกท่านจะมีลั กษณะคล้ายกัน คือ ถูกเข้าใจผิด ถูกโจมตีด่าว่านานาชนิด
เพราะการสร้างบารมีอย่างเอา จริงเอาจัง ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันที่ ทำนั้น เป็นสิ่งที่สังคมไม่คุ้นเคย จึงถูกระแวงสงสัย จับผิด โจมตี แต่ด้วยความหนักแน่น อดทน ไม่หวั่นไหวทำความดีอย่างต่ อเนื่อง สุดท้ายสังคมก็ยอมรับ สิ่งที่ท่านเหล่านี้ได้ทำ สร้างคุณูปการแก่พระพุทธศาส นามากมาย อาทิ
1. พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
2. หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ
3. ครูบาศรีวิชัย
4. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ)
5. ท่านพุทธทาส
6. พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
7. พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว)
ฯลฯ
>>> ผู้มีปัญญาเพียงพินิจดู ก็จะรู้ว่า สิ่งที่ท่านเหล่านั้นทำ ต้องทำด้วยชีวิต ผู้มีเจตนาทุจริต ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ศาสนสถานและศาสนบุคคลที่ท่า นสร้าง ก็จะเป็นสมบัติของแผ่นดินแล ะพระพุทธศาสนาสืบไป
ผู้มีเจตนาไม่สุจริต มักจะอยู่ไม่ได้นาน ก็จะมีเหตุให้ต้องออกไป ยากที่จะยืนหยัดทำความดี โดยไม่หวั่นไหวต่อคำติฉิน นินทาใดๆ
คนในโลกนี้ส่วนมากคิดถึงตนเ องก่อน ถ้าเป็นเรื่องส่วนรวมก็ทำเล ็กๆน้อยๆ เหยาะแหยะ ผู้ที่มีใจใหญ่เอาชีวิตเป็น เดิมพันในการทำความดี ใหม่ๆจึงมักถูกมองว่าทำอะไร ใหญ่โต เว่อร์! เพี้ยน มีวัตถุประสงค์แอบแฝง
เราชาวพุทธเมื่อเห็นพระภิกษ ุรูปใดตั้งใจทำงานเผยแผ่พระ พุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง แม้เริ่มต้นเราอาจจะไม่เห็น ด้วยในวิธีการ เพราะความไม่คุ้นเคย เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกใหม่ เราอย่าเพิ่งไปตำหนิด่าว่าท ่าน จะกลายเป็นวิบากกรรม คนที่ไปด่าพระภิกษุที่ทำควา มดีอย่างอุทิศชีวิตเหมือนพร ะโพธิสัตว์ ว่าบ้า ผลกรรมนั้นน่ากลัวมาก <<<
" ใครชอบการเผยแผ่พระพุทธศาสน าแบบไหน ก็ไปชวนคนให้มาปฏิบัติแบบที ่ตัวเองชอบ อย่าเอาเวลา สติปัญญา ความสามารถของเราไปใช้ในทาง ทำลาย ก่อบาป แต่ให้เอามาใช้ในทางสร้างสร รค์กันดีกว่า จะส่งผลให้พระพุทธศาสนาเจริ ญก้าวหน้า ตัวเราก็จะได้ไม่มีกรรมหนัก ติดตัวด้วย "See More
การทำความดี สั่งสมบุญบารมีนั้น มีความเข้มข้นหลายระดับ ดังนี้
1. ทำบุญ คือ การทำความดีของบุคคลโดยทั่ว
2. สร้างบารมี คือ การทำบุญแบบเข้มข้น
3. อุปบารมี คือ การสร้างบารมีที่เข้มข้นมาก
4. ปรมัตถบารมี คือ การสร้างบารมีที่เข้มข้นสูง
นักสร้างบารมีผู้มุ่งหวังผล
ตัวอย่างการสร้างบารมีของพร
@ ชาติหนึ่ง พระพุทธเจ้าของเราขณะสร้างบ
@ สมัยพระองค์เกิดเป็นพระเวสส
@ แม้พระชาติสุดท้าย เจ้าชายสิทธัตถะก็เสด็จออกบ
> หากใครไม่เข้าใจ ใช้ความรู้สึกของตัวเองไปวั
ใจของเราหากยังอยู่ที่ระดับ
*** การทำความดีจริงๆแล้วไม่มีค
จะวัดว่าดีหรือไม่ดี ไม่ได้ดูที่ว่าทำมากไปไหม แต่ดูที่สาระของการกระทำ ถ้าเป็นเรื่องดี ก็คือดี ยิ่งทำมากยิ่งดี
___ การให้ทาน อย่างอุทิศได้แม้ชีวิต เป็นสิ่งควรอนุโมทนา
___ การรักษาศีล โดยยอมตายไม่ยอมละเมิดศีล เป็นสิ่งควรอนุโมทนา
___ การเจริญภาวนา โดยทำสมาธิอย่างเอาชีวิตเป็
ตัวอย่างนักสร้างบารมียุคปั
>> แม้ในยุคใกล้ๆของเรานี้ ก็มีพระเถระผู้บวชอุทิศตนสร
เพราะการสร้างบารมีอย่างเอา
1. พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
2. หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ
3. ครูบาศรีวิชัย
4. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ)
5. ท่านพุทธทาส
6. พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
7. พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว)
ฯลฯ
>>> ผู้มีปัญญาเพียงพินิจดู ก็จะรู้ว่า สิ่งที่ท่านเหล่านั้นทำ ต้องทำด้วยชีวิต ผู้มีเจตนาทุจริต ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ศาสนสถานและศาสนบุคคลที่ท่า
ผู้มีเจตนาไม่สุจริต มักจะอยู่ไม่ได้นาน ก็จะมีเหตุให้ต้องออกไป ยากที่จะยืนหยัดทำความดี โดยไม่หวั่นไหวต่อคำติฉิน นินทาใดๆ
คนในโลกนี้ส่วนมากคิดถึงตนเ
เราชาวพุทธเมื่อเห็นพระภิกษ
" ใครชอบการเผยแผ่พระพุทธศาสน
"การบริภาษพระภิกษุผู้ทรงศี ลเป็นกรรมอันหนัก"
ผู้บุกเบิกให้เกิดพัฒนาการใ หม่ๆ ในช่วงแรกมักจะมีกระแสวิพาก ษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วย เพราะขัดกับความคุ้นเคยเดิม แม้ในวงการพระพุทธศาสนาก็เช ่นกัน พระมหาเถระผู้มีคุณูปการต่อ พระพุทธศาสนาจำนวนมาก ต่างก็ประสบกับการวิพากษ์โจ มตีอย่างหนักมาแล้ว เพราะคนเรา พอไม่เข้าใจก็ไม่ชอบ จึงหาเรื่องจับผิด ด่าว่า ใส่ร้ายป้ายสี อาทิ
- พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผู้เดินธุดงค์...ตั้งใจปฏิบัติธรรม บุกเบิกสร้างพระป่าสายอีสาน ก็เคยถูกครหาว่าอวดอุตริมนุ สสธรรม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนวิจารณ์ว่าสอนผิดจา กพระไตรปิฎก ที่บอกว่าไปสนทนาธรรมกับพระ อรหันต์ที่นิพพานแล้วได้
- ครูบาศรีวิชัย ผู้นำศิษยานุศิษย์สร้างทางข ึ้นพระธาตุดอยสุเทพสำเร็จใน เวลาเพียง 3 เดือน และบุกเบิกเผยแผ่ธรรมะอย่าง กว้างขวางในแดนล้านนา ก็เคยถูกใส่ร้ายป้ายสี จนถูกจับขังถึง 3 ครั้ง ปลดจากเจ้าอาวาส ถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ
- สมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ผู้วางรากฐานให้ มจร. เติบใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ ์หลักในปัจจุบัน ส่งพระไทยไปเรียนกรรมฐานกับ พระพม่า กลับมาบุกเบิกสร้างสายธรรมป ฏิบัติยุบหนอพองหนอในไทย ก็เคยถูกข้อกล่าวหาจากสังฆน ายกในยุคนั้นว่าปาราชิก และสมเด็จพระสังฆราชมีพระบั ญชาให้สึก ถึงขนาดถูกจับสึกเปลื้องผ้า เหลืองออก ต้องนุ่งขาวห่มขาวอยู่ที่สั นติบาล 4 ปี แต่สุดท้ายศาลก็พิพากษาว่าท ่านไม่ผิดจึงกลับมาครองผ้าเ หลืองใหม่ ก่อนมรณภาพได้เป็นถึงผู้รัก ษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช
- หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ผู้บุกเบิกการปฏิบัติแบบมโน มยิทธิ ก็เคยถูกกล่าวหาว่าปาราชิกเ พราะอวดอุตริมนุสสธรรม อวดอ้างว่าไปสวรรค์ ไปนิพพานได้
- หลวงพ่อพุทธทาส ก็เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพระบ ้า เพราะเทศน์ปากเปล่าโดยไม่ถื อใบลาน ซึ่งคนยุคนั้นไม่คุ้น ถูกกล่าวหาว่าเป็นพระมหายาน พระนอกรีต เพราะชอบสอนเรื่องสุญญตา อิงคำสอนของท่านนาคารชุน ชอบแนวคิดแบบเซ็น แต่ท่านก็สามารถดึงปัญญาชนจ ำนวนมากให้หันมาสนใจศึกษาพร ะพุทธศาสนา
- หลวงพ่อธัมมชโย ก็ถูกกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุ สสธรรม และยักยอกที่ดินวัด แต่ท่านก็สามารถชักชวนประชา ชนเข้าวัดปฏิบัติธรรมทำความ ดีมากมาย และเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่ วโลก ข้อกล่าวหาเรื่องปาราชิกก็ถ ูกลบล้างไป โดยมหาเถรสมาคมได้กลั่นกรอง นำเสนอ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวได้ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป ็นพระราชาคณะชั้นเทพ จากคุณูปการที่ท่านมีต่อพระ พุทธศาสนาและสังคมไทย
- หลวงตามหาบัว ก็เคยถูกกล่าวหาอวดอุตริมนุ สสธรรม อวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์ แล้ว แต่พูดจาหยาบคาย จับเงินจับทองผิดพระวินัย ระดมผ้าป่าช่วยชาติซึ่งไม่ใ ช่กิจของสงฆ์ หวังจะขึ้นเป็นใหญ่ในวงการส งฆ์ทางลัด แต่ท่านก็สามารถสร้างศรัทธา ในหมู่ชาวพุทธได้มากมาย
> > น่าคิดว่า ผู้ที่เคยบริภาษด่าว่าพระมห าเถระเหล่านี้ จะต้องแบกบาปมากเพียงใด ตอนกำลังด่าว่าท่าน ทุกกรณีจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ แต่ละคนก็คิดว่าท่านไม่ดีไม ่ใช่พระแล้ว ด่าแล้วไม่บาป ได้บุญด้วย ปลุกระดมกันและกันด้วยโทสวา ท (hate speech) ให้เกิดความเกลียดชังอย่างม ากๆเหมือนท่านไม่ใช่คน
แต่พระมหาเถระเหล่านี้ แต่ละรูปก็ได้พิสูจน์ด้วยกา รอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาจ นตลอดชีวิตของท่าน สิ่งที่แต่ละรูปได้สร้างไว้ นั้นต้องทำด้วยชีวิต ผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ใจจะทำอย ่างนั้นไม่ได้
น่าคิดว่าผู้ที่ด่าว่าท่านพ ระอาจารย์มั่น ครูบาศรีวิชัย สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ) ฯลฯ คนเหล่านี้ต้องรับกรรมหนักเ พียงใด
ส่วนพระที่มีเจตนาไม่สุจริต นั้น มักอยู่ได้ไม่นานก็มีเหตุให ้ต้องออกไปเอง สมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระธรรมวินัยนี้เหมือนทะเลท ี่จะซัดซากศพขึ้นฝั่งในที่ส ุด ดังมีตัวอย่างให้เราเห็นอยู ่มากราย โดยเราไม่ต้องไปผสมโรงด่า ให้เสี่ยงต่อบาปกรรมเลย < <
ตัวอย่างวิบากกรรมของผู้บริ ภาษพระภิกษุผู้ทรงศีล
@ ในครั้งพุทธกาลที่เมืองสาวั ตถีมีชาวประมงจับได้ปลาใหญ่ ตัวหนึ่ง มีสีเหมือนทองคำแต่ปากเหม็น มาก จึงเอาไปถวายพระราชา พระราชารับสั่งให้นำไปเฝ้าพ ระพุทธเจ้า พอปลาอ้าปากเท่านั้น กลิ่นเหม็นก็คลุ้งตลบทั้งเช ตวันมหาวิหาร
พระราชาถามพระศาสดาว่า ทำไมปลามีสีเหมือนทองคำ แต่ปากเหม็น
พระศาสดาตรัสตอบว่า ปลานี้ภพในอดีตเป็นภิกษุชื่ อกปิละ มีความรู้มาก ทะนงในความรู้ของตน เที่ยวด่าบริภาษพระภิกษุที่ ไม่เชื่อคำของตน น้องสาวกับแม่ก็ด่าว่าพระภิ กษุตามพระกปิละเพราะคิดว่าท ่านรู้มาก พระกปิละตายแล้วจึงไปเกิดใน อเวจีมหานรก ไหม้ในมหานรกสิ้นพุทธันดรหน ึ่ง แล้วมาเกิดเป็นปลาด้วยเศษแห ่งวิบาก
เนื่องจากเคยท่องบ่นคัมภีร์ สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า จึงได้อัตตภาพมีสีเหมือนทอง คำ แต่เพราะเป็นผู้ด่าบริภาษพร ะภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปาก ของเธอ
จากนั้นพระพุทธเจ้าทำให้ปลา พูดได้ด้วยพุทธานุภาพ
พระศาสดาตรัสถามปลาว่า__ เจ้าชื่อกปิละหรือ?
ปลาตอบ__ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ
พระศาสดาถาม__ เจ้ามาจากไหน?
ปลาตอบ__ มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า
พระศาสดา __ แม่ของเจ้าไปไหน?
ปลาตอบ __เกิดในนรก พระเจ้าข้า
พระศาสดา __น้องสาวของเจ้า ไปไหน?
ปลาตอบ __เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า
พระศาสดา__ บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน?
ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า__ “จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิ ม พระเจ้าข้า”
ดังนี้แล้ว คิดถึงบาปกรรมที่ตนเคยทำ เศร้าเสียใจมากจึงเอาศีรษะฟ าดเรือตายในทันทีนั่นเอง กลับไปเกิดในนรกแล้ว มหาชนเห็นเรื่องราวทั้งหมด ได้สลดใจมีขนลุกชูชันแล้ว
> การบริภาษด่าว่าพระภิกษุผู้ ทรงศีลเป็นกรรมหนักมาก พวกเราอย่าไปทำเด็ดขาด บางคนแค่ฟังเขาว่าต่อๆ กันมาก็หลงเชื่อ ผสมโรงด่าว่าท่านด้วยความคึ กคะนอง กรรมนี้น่ากลัวนัก ยิ่งในโลกปัจจุบันที่การสื่ อสารออนไลน์ เป็นไปอย่างรวดเร็วกว้างขวา ง ยิ่งต้องระมัดระวัง มีสติ ไม่ไปตามแห่ทำบาปกับใคร
การตัดต่อภาพใส่ร้ายป้ายสีพ ระภิกษุ ยิ่งผิดทั้งศีล ผิดทั้งธรรม จะหาเหตุผลมาอ้างว่าทำด้วยค วามบริสุทธิ์ใจ เพราะคิดว่าท่านไม่ดี เหตุผลนี้เมื่อตายแล้วตกนรก จะเอาไปใช้อ้างกับยมบาลเขาก ็ไม่รับฟังเลย
แนวปฏิบัติที่ถูกต้องคือ เราอย่าไปบริภาษด่าว่าพระภิ กษุสงฆ์ เพราะเรายังรู้จักท่านไม่จร ิง แต่เอาเวลาไปประพฤติปฏิบัติ ธรรม กับพระภิกษุรูปใดก็ได้ที่เร าถูกอัธยาศัย มีความศรัทธาเลื่อมใสในตัวท ่านดีกว่า ทำอย่างนี้เราจะไม่มีวิบากก รรม จะมีแต่ความสุขความเจริญตลอ ดไป ทั้งภพนี้และภพหน้า <
ผู้บุกเบิกให้เกิดพัฒนาการใ
- พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผู้เดินธุดงค์...ตั้งใจปฏิบัติธรรม บุกเบิกสร้างพระป่าสายอีสาน
- ครูบาศรีวิชัย ผู้นำศิษยานุศิษย์สร้างทางข
- สมเด็จพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ผู้วางรากฐานให้ มจร. เติบใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ
- หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ผู้บุกเบิกการปฏิบัติแบบมโน
- หลวงพ่อพุทธทาส ก็เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นพระบ
- หลวงพ่อธัมมชโย ก็ถูกกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุ
- หลวงตามหาบัว ก็เคยถูกกล่าวหาอวดอุตริมนุ
> > น่าคิดว่า ผู้ที่เคยบริภาษด่าว่าพระมห
แต่พระมหาเถระเหล่านี้ แต่ละรูปก็ได้พิสูจน์ด้วยกา
น่าคิดว่าผู้ที่ด่าว่าท่านพ
ส่วนพระที่มีเจตนาไม่สุจริต
ตัวอย่างวิบากกรรมของผู้บริ
@ ในครั้งพุทธกาลที่เมืองสาวั
พระราชาถามพระศาสดาว่า ทำไมปลามีสีเหมือนทองคำ แต่ปากเหม็น
พระศาสดาตรัสตอบว่า ปลานี้ภพในอดีตเป็นภิกษุชื่
เนื่องจากเคยท่องบ่นคัมภีร์
จากนั้นพระพุทธเจ้าทำให้ปลา
พระศาสดาตรัสถามปลาว่า__ เจ้าชื่อกปิละหรือ?
ปลาตอบ__ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ
พระศาสดาถาม__ เจ้ามาจากไหน?
ปลาตอบ__ มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า
พระศาสดา __ แม่ของเจ้าไปไหน?
ปลาตอบ __เกิดในนรก พระเจ้าข้า
พระศาสดา __น้องสาวของเจ้า ไปไหน?
ปลาตอบ __เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า
พระศาสดา__ บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน?
ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า__ “จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิ
ดังนี้แล้ว คิดถึงบาปกรรมที่ตนเคยทำ เศร้าเสียใจมากจึงเอาศีรษะฟ
> การบริภาษด่าว่าพระภิกษุผู้
การตัดต่อภาพใส่ร้ายป้ายสีพ
แนวปฏิบัติที่ถูกต้องคือ เราอย่าไปบริภาษด่าว่าพระภิ
" แนวทางการสอนของพระพุทธเจ้า "
มีบางคนเข้าใจผิดว่า การสอนว่า “ ทำดี ตายแล้วไปสวรรค์ ทำบาป ตายแล้วตกนรก ” เป็นการสอนที่ผิด เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แนวการสอนที่พระพุทธเจ้าทรง ใช้มากที่สุด คือ ...
อนุปุพพิกถา การสอนไปตามขั้นตอนเพื่อปรั บจิตผู้ฟังให้ละเอียดผ่องใส ขึ้นตามลำดับ ดังนี้
1. ทานกถา สอนเรื่องการให้ทาน
2. ศีลกถา สอนเรื่องการรักษาศีล
3. สัคคกถา พรรณนาเรื่องสวรรค์ ความงดงามน่ารื่นรมย์ยินดีข องทิพยสมบัติ
เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการ ให้ทาน และรักษาศีล ว่าจะทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค ์
4. กามาทีนพ สอนเรื่องโทษของกาม
5. เนกขัมมานิสงส์ สอนเรื่องอานิสงส์ของการออก บวช
เมื่อใจของผู้ฟังยกสูงขึ้นล ะเอียดดีแล้ว จึงสอนต่อด้วยอริยสัจ 4
>> เรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์มี กล่าวไว้มากมายในพระไตรปิฎก ที่รวมไว้เฉพาะเป็นเล่มเลยก ็มี เรียกว่า วิมานวัตถุ เรื่องของวิมาน และเรื่องของนรกก็มีกล่าวไว ้มากมาย เรื่องเปรต ก็กล่าวไว้เป็นคัมภีร์เฉพาะ เรียกว่า เปตวัตถุ
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาล : ลาชเทพธิดา
มีหญิงชาวนาคนหนึ่ง ได้ทำข้าวตอกใส่ไว้ในขันแล้ วมีโอกาสได้ใส่บาตร ถวายพระมหากัสสปะ ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัต ิ ระหว่างเดินกลับบ้าน วิบากกรรมตามมาทัน ถูกงูกัดตาย
ผลบุญทำให้ไปเกิดบนสวรรค์ชั ้นดาวดึงส์ มีวิมานทองโตใหญ่มาก ที่ประตูวิมานประดับเรียงรา ยด้วยขันทองคำ มีข้าวตอกทองคำห้อยระย้าอยู ่อย่างงดงาม
จะเห็นว่าทำบุญอย่างไรก็ได้ อย่างนั้น ทำบุญด้วยข้าวตอก ก็ได้วิมานประดับด้วยข้าวตอ กทองคำ ใช้ขันเป็นภาชนะ ก็มีขันทองคำประดับเรียงราย มีเรื่องราวทำนองนี้อยู่มาก มายในพระไตรปิฎกและอรรถกถา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมถึงค วามจริงของโลกและชีวิต กฎแห่งกรรม บุญบาป นรก สวรรค์ แล้วทรงนำมาสอนเรา
บรรพบุรุษไทยแต่โบราณก็ได้ป ลูกฝังศีลธรรมในหมู่ประชาชน ให้รักบุญกลัวบาป ตามแนวทางของพระพุทธเจ้านี้ เอง อาทิ
- ไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ของพญาลิไท กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งพรรณาถึง นรก สวรรค์ ภพภูมิต่างๆ ก็เป็นหนังสือที่เผยแพร่ไปอ ย่างกว้างขวาง ช่วยปลูกฝังศีลธรรมแก่ชาวไท ยมายาวนาน ทำให้สังคมไทยสงบร่มเย็น อยู่เย็นเป็นสุข จนได้ชื่อว่า “ สยามเมืองยิ้ม ”
คนปัจจุบันใจหยาบ บ้างก็ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่ง กรรม จนพาลจะปฏิเสธการสอนเรื่องน รก สวรรค์ ซึ่งเป็นแนวการสอนของพระพุท ธเจ้า ทำให้สังคมวุ่นวาย คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น “ ยิ้มสยาม แทบจะกลายเป็นยิ้มสยอง ” ไปแล้ว
- ภาพวาดฝาผนังโบสถ์ วิหารต่างๆ ก็มีภาพของสวรรค์ เทวดา นางฟ้า มากมาย บ้างก็ทำเป็นรูปปั้น เช่น รูปปั้นเปรตที่วัดไผ่โรงวัว
ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าข ึ้น เราก็ควรจะได้ใช้เทคโนโลยีใ ห้เป็นประโยชน์ในการเผยแผ่ธ รรมะ เช่น ทำภาพของนรก สวรรค์ ทิพยสมบัติทั้งหลาย ออกเผยแผ่ตามสื่อต่างๆ เป็นภาพนิ่ง หรือถ้าทำเป็นแอนิเมชั่นได้ ยิ่งดี เพื่อปลุกกระแสศีลธรรม ความรักบุญ กลัวบาป ให้กลับมาสู่สังคมไทย เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของ บ้านเมืองเรา
>> การสื่อสารในปัจจุบันเป็นไป อย่างรวดเร็ว หากมีพระภิกษุนำเรื่องนรก สวรรค์ มาสอน แล้วมีคนพาลติเตียนด่าว่าพร ะ หาว่าเอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่ หากเราไม่รู้ไปตามแห่ผสมโรง ด่าพระด้วย กดไลท์ กดแชร์ ข้อความที่เป็นวจีทุจริต
เราก็พลอยบาปไปด้วย แชร์ไปถึงคน 100 คน ก็บาป 100 เท่า น่ากลัวจริงๆ อย่าไปทำ แต่ถ้าแชร์ข้อความธรรมะ ยิ่งไปถึงคนกว้างเท่าใด เราก็ได้บุญมากไปตามส่วน
*** เรามาช่วยกันเผยแพร่ภาพและข ้อความธรรมะให้มากๆกันเถิด ให้คนรักบุญ กลัวบาป สังคมจะได้สงบร่มเย็น ***
มีบางคนเข้าใจผิดว่า การสอนว่า “ ทำดี ตายแล้วไปสวรรค์ ทำบาป ตายแล้วตกนรก ” เป็นการสอนที่ผิด เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แนวการสอนที่พระพุทธเจ้าทรง
อนุปุพพิกถา การสอนไปตามขั้นตอนเพื่อปรั
1. ทานกถา สอนเรื่องการให้ทาน
2. ศีลกถา สอนเรื่องการรักษาศีล
3. สัคคกถา พรรณนาเรื่องสวรรค์ ความงดงามน่ารื่นรมย์ยินดีข
เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการ
4. กามาทีนพ สอนเรื่องโทษของกาม
5. เนกขัมมานิสงส์ สอนเรื่องอานิสงส์ของการออก
เมื่อใจของผู้ฟังยกสูงขึ้นล
>> เรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์มี
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาล : ลาชเทพธิดา
มีหญิงชาวนาคนหนึ่ง ได้ทำข้าวตอกใส่ไว้ในขันแล้
ผลบุญทำให้ไปเกิดบนสวรรค์ชั
จะเห็นว่าทำบุญอย่างไรก็ได้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมถึงค
บรรพบุรุษไทยแต่โบราณก็ได้ป
- ไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ของพญาลิไท กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งพรรณาถึง นรก สวรรค์ ภพภูมิต่างๆ ก็เป็นหนังสือที่เผยแพร่ไปอ
คนปัจจุบันใจหยาบ บ้างก็ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่ง
- ภาพวาดฝาผนังโบสถ์ วิหารต่างๆ ก็มีภาพของสวรรค์ เทวดา นางฟ้า มากมาย บ้างก็ทำเป็นรูปปั้น เช่น รูปปั้นเปรตที่วัดไผ่โรงวัว
ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าข
>> การสื่อสารในปัจจุบันเป็นไป
เราก็พลอยบาปไปด้วย แชร์ไปถึงคน 100 คน ก็บาป 100 เท่า น่ากลัวจริงๆ อย่าไปทำ แต่ถ้าแชร์ข้อความธรรมะ ยิ่งไปถึงคนกว้างเท่าใด เราก็ได้บุญมากไปตามส่วน
*** เรามาช่วยกันเผยแพร่ภาพและข
_ทำบุญแล้วควรหวังผลหรือไม่ _
ปัจจุบันมีชาวพุทธบางส่วนเข ้าใจกันว่า การทำบุญต้องไม่หวังอะไรเลย ถ้าทำบุญแล้วหวังผลแสดงว่าโ ลภ เรื่องนี้ยังเป็นความเข้าใจ ที่ผิดกันอยู่
จริงๆแล้ว การให้ทานจะโดยหวังผลหรือไม ่หวังผล ก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น ดีกว่าไม่ให้ทาน จะหวังผลหรือไม่หวังผล แต่ละคนสามารถเลือกปฏิบัติไ ด้ตามจริตอัธยาศัยของตน เช่น...
คนส่วนใหญ่ซึ่งปรารถนาอายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ให้ทานแล้วอธิษฐานหวังในผ ลเหล่านี้ ทำให้ได้ดังใจปรารถนา ละโลกแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์
ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการกลับมา เกิดอีก ปรารถนาเป็นพระอนาคามีหรือพ ระอรหันต์ ก็ให้ทานเพียงเพื่อเป็นเครื ่องปรุงแต่งจิต ทำให้จิตใจสบาย เหมาะแก่การเจริญสมถวิปัสสน าจนหมดกิเลสในที่สุด ท่านเหล่านี้จะให้ทานโดยไม่ หวังผลเรื่องลาภ ยศ เพราะไม่มีประโยชน์ เนื่องจากไม่ต้องการกลับมาเ กิดอีกแล้ว
เมื่อพระพุทธองค์ทรงสร้างบา รมีเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ละชาติล้วนทำบุญแล้วอธิษ ฐานจิตว่า ด้วยบุญนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้ บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าพร ะองค์หนึ่งในอนาคต
พระอรหันตสาวกองค์สำคัญก็เป ็นเช่นเดียวกัน
... นี้แสดงว่าการทำบุญแล้วตั้ง จิตปรารถนาเป็นเรื่องดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ประโยชน์ มี 3 ระดับ คือ
1. ประโยชน์ชาตินี้ เช่น รวย สวย แข็งแรง อายุยืน มีชื่อเสียง เป็นที่รัก
2. ประโยชน์ชาติหน้า คือ ตายแล้วได้ไปเกิดบนสุคติโลก สวรรค์ มีทิพยสมบัติมาก
3. ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ได้บรรลุธรรม
>> ดังนั้น เมื่อทำบุญแล้วตั้งจิตปรารถ นาให้ผลดีเกิดขึ้น เราก็ต้องตั้งจิตให้เป็น มุ่งให้เกิดผลดี ทั้ง 3 ระดับ เช่น อธิษฐานขอให้มีสุขภาพแข็งแร ง อายุยืนยาว มีโภคทรัพย์สมบัติมาก ฉลาด คบแต่คนดี ได้ทำความดีตลอดชีวิต ตายแล้วได้บังเกิดบนสวรรค์ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นต้น
ไม่ตั้งจิตปรารถนาในสิ่งไม่ ดี เช่น ให้สาวเห็นสาวหลง อันเป็นเหตุให้ผิดศีลกาเม ให้ฉลาดสามารถโกงโดยไม่มีใค รจับได้ อย่างนี้ไม่ดี <<
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาล...
พระเจ้าจัณฑปัชโชต พระราชาแห่งกรุงอุชเชนี ภพในอดีตเกิดเป็นคนรับใช้เข า ได้นำภัตตาหารวิ่งฝ่าเปลวแด ดอันร้อนแรงไปถวายแด่พระปัจ เจกพุทธเจ้า แล้วตั้งจิตปรารถนาว่า ด้วยบุญนี้ภพต่อไปขอให้ข้าพ เจ้ามีอำนาจแผ่ไพศาลดุจแสงต ะวัน และมีพาหนะฝีเท้าเร็วด้วยเถ ิด
เพราะทำบุญถูกเนื้อนาบุญ และทำด้วยจิตเลื่อมใสมาก ตายแล้วจึงได้ไปเกิดบนสวรรค ์ยาวนาน เมื่อลงมาเกิดในครั้งพุทธกา ล ก็ได้เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ ่แห่งกรุงอุชเชนีตามคำอธิษฐ าน
การทำบุญแล้วหวังผล ก็เปรียบเหมือนเด็กเรียนหนั งสือ การเรียนอย่างมีเป้าหมายโดย หวังความรู้ ย่อมทำให้มีกำลังใจในการเรี ยน ดีกว่าเรียนโดยไม่หวังผลอะไ ร
การทำบุญอย่างมีเป้าหมายโดย หวังผลที่ดีในอนาคต ย่อมทำให้มีกำลังใจในการทำค วามดี
พระโพธิสัตว์สามารถสละได้ทั ้งทรัพย์สินเงินทอง เลือด เนื้อ ชีวิตอุทิศแก่มหาชนนับชาติไ ม่ถ้วน ก็เพราะตั้งจิตปรารถนาเป็นพ ระพุทธเจ้า ผู้ที่หวังผลใหญ่ก็ทำให้กล้ าที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แบบทุ่มชีวิต
เหตุที่บางคนคิดว่าการทำบุญ แล้วหวังผลเป็นความโลภ เพราะไม่เข้าใจความแตกต่างข อง
“ความโลภ” กับ “กุศลธรรมฉันทะ”
- ความโลภ คือ ความอยากได้ในทางทุจริต เช่น อยากไปปล้นเขา ยักยอก คดโกงทรัพย์ของคนอื่นมาเป็น ของตัว เป็นสิ่งไม่ดี เป็นกิเลส ควรละ
- กุศลธรรมฉันทะ หรือที่เรียกสั้นๆว่า ฉันทะ คือ ความพอใจ ความชอบ ความอยากในสิ่งที่สุจริต ดีงาม เช่น อยากช่วยคนที่ลำบากยากจน อยากรักษาศีล อยากสวดมนต์นั่งสมาธิ อยากไปเกิดบนสุคติโลกสวรรค์ อยากบรรลุธรรม เป็นต้น
ฉันทะ เป็นสิ่งที่ดี พระพุทธเจ้าตรัส อิทธิบาท4 ธรรมะที่ทำให้งานสำเร็จ ก็เริ่มด้วยฉันทะ เพราะเมื่อเราเห็นประโยชน์จ ากการทำสิ่งนั้น ย่อมเกิดความพอใจ เต็มใจที่จะทำ ทำให้เกิดวิริยะความเพียรใน การทำกิจต่างๆ
ฉันทะจึงเป็นแรงจูงใจใฝ่สัม ฤทธิ์ เช่น เห็นประโยชน์ว่าเรียนหนังสื อแล้วจะได้ความรู้ไปประกอบอ าชีพได้ ทำให้ขยันเรียน เห็นคุณและโทษว่า ถ้าทำบาปจะตกนรก ถ้าไม่ทำบาปแต่ทำบุญก็จะไปเ กิดบนสวรรค์ จึงตั้งใจละความชั่วทำแต่คว ามดี
เราชาวพุทธทุกคน จึงควรตั้งใจทำความดีทุกรูป แบบ แล้วอธิษฐานจิต ให้อานิสงส์ผลบุญนั้นนำสิ่ง ดีๆมาสู่ชีวิตของเราทั้งภพน ี้ ภพหน้า
เมื่อผลบุญส่ง เรามีทรัพย์ มียศ มีตำแหน่ง มีสุขภาพรูปร่างหน้าตาดี ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกร ณ์หนุนส่งให้เราทำความดีได้ มากยิ่งๆขึ้นไปอีก เหมือนเอาบุญต่อบุญ ทำให้ชีวิตเรามีแต่ความสุขค วามเจริญทุกภพทุกชาติ ไม่มีเสื่อมเลย และเมื่อให้ทานแล้วก็ควรรัก ษาศีลและเจริญภาวนาด้วย เพื่อให้เราสามารถบรรลุธรรม ในที่สุด
เราเห็นใครทำบุญแล้วตั้งจิต ปรารถนาในสิ่งที่ดี อย่าเผลอไปตำหนิว่าเขา ให้เป็นวิบากกรรมติดตัว ต่อไปเราจะถูกคนเข้าใจผิด ถูกด่าว่านินทา ควรอนุโมทนาบุญกับเขา เราจะได้บุญไปด้วย
* หมายเหตุ *
- รายละเอียดดูในอังคุตตรนิกา ย สัตตกนิบาต มหายัญญวรรคที่ 5 ทานสูตรที่ 9 (เนื้อหาในพระไตรปิฎกฉบับมจ ร. กับของมหามกุฏ แปลแตกต่างกันบ้าง ควรดูประกอบกัน)
- และในอัฏฐกนิบาต ทานวรรคที่ 4 สูตรที่ 5 ว่าด้วยผลที่เกิดจากการให้ท าน กล่าวว่า ผู้ให้ทานและมีศีลสามารถไปเ กิดบนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น หากปราศจากราคะด้วย จะได้ไปเกิดบนชั้นพรหมSee More
ปัจจุบันมีชาวพุทธบางส่วนเข
จริงๆแล้ว การให้ทานจะโดยหวังผลหรือไม
คนส่วนใหญ่ซึ่งปรารถนาอายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ให้ทานแล้วอธิษฐานหวังในผ
ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการกลับมา
เมื่อพระพุทธองค์ทรงสร้างบา
พระอรหันตสาวกองค์สำคัญก็เป
... นี้แสดงว่าการทำบุญแล้วตั้ง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ประโยชน์ มี 3 ระดับ คือ
1. ประโยชน์ชาตินี้ เช่น รวย สวย แข็งแรง อายุยืน มีชื่อเสียง เป็นที่รัก
2. ประโยชน์ชาติหน้า คือ ตายแล้วได้ไปเกิดบนสุคติโลก
3. ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ได้บรรลุธรรม
>> ดังนั้น เมื่อทำบุญแล้วตั้งจิตปรารถ
ไม่ตั้งจิตปรารถนาในสิ่งไม่
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาล...
พระเจ้าจัณฑปัชโชต พระราชาแห่งกรุงอุชเชนี ภพในอดีตเกิดเป็นคนรับใช้เข
เพราะทำบุญถูกเนื้อนาบุญ และทำด้วยจิตเลื่อมใสมาก ตายแล้วจึงได้ไปเกิดบนสวรรค
การทำบุญแล้วหวังผล ก็เปรียบเหมือนเด็กเรียนหนั
การทำบุญอย่างมีเป้าหมายโดย
พระโพธิสัตว์สามารถสละได้ทั
เหตุที่บางคนคิดว่าการทำบุญ
“ความโลภ” กับ “กุศลธรรมฉันทะ”
- ความโลภ คือ ความอยากได้ในทางทุจริต เช่น อยากไปปล้นเขา ยักยอก คดโกงทรัพย์ของคนอื่นมาเป็น
- กุศลธรรมฉันทะ หรือที่เรียกสั้นๆว่า ฉันทะ คือ ความพอใจ ความชอบ ความอยากในสิ่งที่สุจริต ดีงาม เช่น อยากช่วยคนที่ลำบากยากจน อยากรักษาศีล อยากสวดมนต์นั่งสมาธิ อยากไปเกิดบนสุคติโลกสวรรค์
ฉันทะ เป็นสิ่งที่ดี พระพุทธเจ้าตรัส อิทธิบาท4 ธรรมะที่ทำให้งานสำเร็จ ก็เริ่มด้วยฉันทะ เพราะเมื่อเราเห็นประโยชน์จ
ฉันทะจึงเป็นแรงจูงใจใฝ่สัม
เราชาวพุทธทุกคน จึงควรตั้งใจทำความดีทุกรูป
เมื่อผลบุญส่ง เรามีทรัพย์ มียศ มีตำแหน่ง มีสุขภาพรูปร่างหน้าตาดี ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกร
เราเห็นใครทำบุญแล้วตั้งจิต
* หมายเหตุ *
- รายละเอียดดูในอังคุตตรนิกา
- และในอัฏฐกนิบาต ทานวรรคที่ 4 สูตรที่ 5 ว่าด้วยผลที่เกิดจากการให้ท
“ ให้ทานด้วยจิตเลื่อมใสมาก ได้บุญมาก ”
ปัจจุบันมีความเข้าใจผิดกัน ในหมู่ชาวพุทธ
บางพวกก็ว่า
“ ให้ทานมากได้บุญมาก ถูกต้อง เพราะเศรษฐี 100 ล้าน ทำบุญ 10 บาท กับ...
ทำบุญหมื่นบาท จะได้บุญเท่ากันได้อย่างไร ”
บางพวกก็ว่า
“ ไม่ถูก ถ้าให้ทานมากได้บุญมาก อย่างนี้คนจนก็หมดสิทธิได้บ ุญมากสิ ”
ความจริงชาวพุทธทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่ได้ขัดกันเลย เพียงแต่ไปจับประเด็นที่ปลา ยเหตุเท่านั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนห ลักการให้ทานให้ได้บุญมาก ว่าต้องประกอบด้วยองค์ 3 ดังนี้
1. วัตถุบริสุทธิ์ สิ่งของที่ให้ทานได้มาด้วยค วามบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปคดโกง ลักขโมยมา
2. เจตนาบริสุทธิ์ มีจิตเลื่อมใสทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้
3. บุคคลบริสุทธิ์ ผู้รับยิ่งเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมสูงเพียงใด เราก็ได้บุญมากไปตามส่วน
ในกรณีถกเถียงกันนี้ ประเด็นอยู่ที่ข้อ 1 และ 2
คำกล่าวที่ครบก็คือ “ ให้ทานด้วยจิตเลื่อมใสมาก ได้บุญมาก ”
ผู้ที่บอกว่า “ ให้ทานมากได้บุญมากนั้น” พูดไม่ครบ เพราะคนที่จะให้ทานมากได้นั ้น ต้องมีจิตเลื่อมใสมากก่อน ไม่อย่างนั้นใครจะไปให้ทานม ากๆ จิตที่เลื่อมใส คือ ต้นเหตุแห่งการให้ทาน
ในกรณีเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย ์มากเท่ากัน ผู้ที่ให้ทานด้วยเงินหมื่นบ าท ย่อมได้บุญมากกว่าเศรษฐีที่ ให้ทาน 10 บาท เพราะแสดงว่ามีจิตเลื่อมใสม ากกว่า
ส่วนคนที่ยากจนแสนเข็ญ เขาอาจให้ทานด้วยเงินเพียงบ าทเดียว แต่เมื่อทำด้วยจิตเลื่อมใสม าก เขาก็ได้บุญมากมหาศาล เพราะทรัพย์เพียงบาทเดียวนั ้น อาจเป็นเงินทั้งหมดที่เขามี อยู่ในขณะนั้น
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาล
มีมหาทุคตะ ที่ยากจนสุดๆ ขนาดผ้าที่จะห่มออกนอกบ้านม ีผืนเดียว ต้องผลัดกันใช้กับภรรยา คืนหนึ่งเขาตามมหาชนไปฟังธร รมกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ทั้งคืน เพื่อตั้งใจโปรดมหาทุคตะนี้ โดยเฉพาะ จนมหาทุคตะเอาชนะความตระหนี ่ได้ ตัดใจเอาผ้าห่มกายเก่าๆ ผืนนั้นถวายพระพุทธเจ้า ร้องประกาศเสียงดังว่า “ ชิตังเม ๆ ๆ ” แปลว่า “ เราชนะแล้ว ๆ ๆ ” คือ ชนะความตระหนี่นั่นเอง ผลบุญเกิดทันตาเห็น พระราชาชื่นชมในความเลื่อมใ สของมหาทุคตะ พระราชทานสมบัติเป็นอันมากแ ก่มหาทุคตะ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ยอดแห่งอุบาสกผู้ถวายทาน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเศรษฐีใหญ่เมืองสาวัตถี เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเ จ้า บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เกิดศรัทธาจึงสร้างวัดถวาย ไปพบที่ดินที่เหมาะสมเป็นสว นป่าร่มรื่น ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมือง ไปขอซื้อ เจ้าของคือเชตราชกุมาร บอกราคาแบบไม่อยากขายว่า ให้เอาเงินปูเรียงเต็มพื้นท ี่จึงจะขาย
เศรษฐีไม่ต่อเลยสักคำ ไปขนเงินเป็นแท่งๆ มาปูเรียงเต็มพื้นที่เพื่อข อซื้อจริงๆ จนเจ้าเชตทึ่งในความศรัทธาข องเศรษฐี จึงให้คนเว้นที่ตรงทางเข้าห น่อยหนึ่งว่า ตรงนี้ไม่ต้องเอาเงินปู ตนขอร่วมบุญสร้างซุ้มประตูด ้วย โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องใช้ชื่อตนเป็นชื่อวัด
อนาถบิณฑิกเศรษฐีทำบุญเพื่อ เอาบุญจริงๆ ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหน้า ตาอะไรเลย รับคำทันที เพราะเห็นว่าเจ้าเชตเป็นผู้ มีชื่อเสียง มีอำนาจ ใช้เป็นชื่อวัดก็จะยิ่งช่วย ในการเผยแผ่ธรรมะ วัดนั้นจึงได้ชื่อว่า เชตวันมหาวิหาร สิ้นทรัพย์ในการสร้างวัดคิด เป็นเงินปัจจุบันหลายหมื่นล ้านบาท กลายเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาล มีพระภิกษุอยู่จำพรรษาหลายพ ันรูป
สร้างวัดเสร็จ เศรษฐีก็ให้ทานถวายภัตตาหาร หยูกยาตลอด ต่อมาวิบากกรรมในอดีตชาติตา มมาทัน ธุรกิจสะดุด ถูกคนโกง ทรัพย์ที่ฝังไว้ก็ถูกน้ำพัด ไป ยากจนลง กระทั่งจะเลี้ยงพระก็มีแค่ป ลายข้าวกับน้ำผักดอง แต่ก็ยังไม่เลิกให้ทาน
เทวดาที่เฝ้าซุ้มประตูบ้านเ ศรษฐี เหาะลงมาห้ามเศรษฐีให้เลิกใ ห้ทานเสียเถิด จะหมดตัวอยู่แล้ว เศรษฐีนอกจากไม่เชื่อแล้ว ยังไล่เทวดาไปด้วยว่า ถ้าเป็นเทวดามิจฉาทิฐิอย่าง นี้ ไม่อนุญาตให้อยู่ที่ซุ้มประ ตูบ้านของตน จนสุดท้ายเทวดาต้องไปตามสมบ ัติกลับมาให้เศรษฐีเป็นการข อขมา เศรษฐีก็กลับมีทรัพย์มากยิ่ งกว่าเดิม
ถ้าเราเกิดในยุคเดียวกับเศร ษฐี แล้วใครไปตำหนิเศรษฐีว่าหลง บุญ บ้าบุญ ก็จะกลายเป็นวิบากกรรมติดตั ว ชาติต่อไปจะเกิดเป็นยาจก ถูกคนด่าว่านินทา เศรษฐีซึ่งเป็นอริยบุคคลย่อ มมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตร ัย ไม่หวั่นไหวด้วยสิ่งใดๆ เลย
นี้เป็นแบบอย่างของชาวพุทธผ ู้เปี่ยมด้วยศรัทธา สมตามคำกล่าว ที่ว่า
“ บัณฑิตแม้ตกทุกข์ ยังไม่เลิกประพฤติธรรม ”
พวกเราเห็นใครลำบากแล้วยังไ ม่เลิกให้ทาน ไม่เลิกทำความดี เขาก็ทำตามแบบอย่างอนาถบิณฑ ิกเศรษฐี ผู้ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยกย่อ งว่า เป็นยอดแห่งอุบาสกผู้ถวายทา นนั่นเอง อย่าไปตำหนิเขาให้เป็นวิบาก กรรมติดตัวเรา ควรชื่นชมในความเลื่อมใสศรั ทธาของเขา
ส่วนตัวของเราแม้ยังศรัทธาไ ม่เท่าเขา ก็ให้ทานตามกำลังศรัทธา “อย่าให้เดือดร้อนตนเอง อย่าให้เดือดร้อนครอบครัว” จะให้ทานมากน้อยเพียงใด ก็ให้ทำด้วยใจที่เลื่อมใสศร ัทธาอย่างเต็มเปี่ยม
“ ให้ทานด้วยจิตเลื่อมใสมาก ย่อมได้บุญมาก ”
และเมื่อให้ทานแล้ว ก็ควรรักษาศีลและเจริญสมาธิ ภาวนาด้วย บุญจะได้ครบ
ให้ทาน ทำให้รวย เป็นที่รัก
รักษาศีล ทำให้สวย แข็งแรง อายุยืน
เจริญภาวนา ทำให้ฉลาด บรรลุธรรมSee More
ปัจจุบันมีความเข้าใจผิดกัน
บางพวกก็ว่า
“ ให้ทานมากได้บุญมาก ถูกต้อง เพราะเศรษฐี 100 ล้าน ทำบุญ 10 บาท กับ...
ทำบุญหมื่นบาท จะได้บุญเท่ากันได้อย่างไร ”
บางพวกก็ว่า
“ ไม่ถูก ถ้าให้ทานมากได้บุญมาก อย่างนี้คนจนก็หมดสิทธิได้บ
ความจริงชาวพุทธทั้ง 2 กลุ่มนี้ไม่ได้ขัดกันเลย เพียงแต่ไปจับประเด็นที่ปลา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนห
1. วัตถุบริสุทธิ์ สิ่งของที่ให้ทานได้มาด้วยค
2. เจตนาบริสุทธิ์ มีจิตเลื่อมใสทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้
3. บุคคลบริสุทธิ์ ผู้รับยิ่งเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมสูงเพียงใด เราก็ได้บุญมากไปตามส่วน
ในกรณีถกเถียงกันนี้ ประเด็นอยู่ที่ข้อ 1 และ 2
คำกล่าวที่ครบก็คือ “ ให้ทานด้วยจิตเลื่อมใสมาก ได้บุญมาก ”
ผู้ที่บอกว่า “ ให้ทานมากได้บุญมากนั้น” พูดไม่ครบ เพราะคนที่จะให้ทานมากได้นั
ในกรณีเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย
ส่วนคนที่ยากจนแสนเข็ญ เขาอาจให้ทานด้วยเงินเพียงบ
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาล
มีมหาทุคตะ ที่ยากจนสุดๆ ขนาดผ้าที่จะห่มออกนอกบ้านม
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ยอดแห่งอุบาสกผู้ถวายทาน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเศรษฐีใหญ่เมืองสาวัตถี
เศรษฐีไม่ต่อเลยสักคำ ไปขนเงินเป็นแท่งๆ มาปูเรียงเต็มพื้นที่เพื่อข
อนาถบิณฑิกเศรษฐีทำบุญเพื่อ
สร้างวัดเสร็จ เศรษฐีก็ให้ทานถวายภัตตาหาร
เทวดาที่เฝ้าซุ้มประตูบ้านเ
ถ้าเราเกิดในยุคเดียวกับเศร
นี้เป็นแบบอย่างของชาวพุทธผ
“ บัณฑิตแม้ตกทุกข์ ยังไม่เลิกประพฤติธรรม ”
พวกเราเห็นใครลำบากแล้วยังไ
ส่วนตัวของเราแม้ยังศรัทธาไ
“ ให้ทานด้วยจิตเลื่อมใสมาก ย่อมได้บุญมาก ”
และเมื่อให้ทานแล้ว ก็ควรรักษาศีลและเจริญสมาธิ
ให้ทาน ทำให้รวย เป็นที่รัก
รักษาศีล ทำให้สวย แข็งแรง อายุยืน
เจริญภาวนา ทำให้ฉลาด บรรลุธรรมSee More
“ คนพาลเท่านั้น ที่ไม่สรรเสริญการให้ทาน ”
(พุทธพจน์)
ปัจจุบันมีบางคนโจมตีคนที่ท ำบุญว่าโง่ ทำบุญมากไป เดี๋ยวจะหมดตัว บ้างก็พยายามรณรงค์ให้คนทำบ ุญน้อยๆ ซึ่งการกระทำเหล่านี้เกิดขึ ้นจากความตระหนี่ในใจเป็นมู ลเหตุ ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
...
ปัญหาของสังคมไทยปัจจุบันไม ่ใช่อยู่ที่คนทำบุญมากเกินไ ป แต่อยู่ที่คนใช้จ่ายเงินไปก ับอบายมุขมากเกินไป ค่าใช้จ่ายเรื่องเหล้า เบียร์ บุหรี่ ของคนไทย ตกปีละ 400,000 ล้านบาท ถ้ารวมยาเสพติดและการพนันด้ วย เกินกว่า 1 ล้านล้านบาท / ปี มากกว่าเงินทำบุญ 10 เท่า
ซึ่งอบายมุขนอกจากจะทำให้เส ียทรัพย์แล้ว ยังเสียสุขภาพ เสียการงาน เกิดปัญหาครอบครัว เป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม ปัญหาสังคมนานัปการ
ถ้าเราสามารถชวนคนเข้าวัดปฏ ิบัติธรรมได้มากๆ คนที่เข้าวัด จะลด ละ เลิกอบายมุข และนำส่วนหนึ่งของเงินที่เค ยใช้ไปกับอบายมุขมาทำบุญทำน ุบำรุงพระพุทธศาสนา และบริจาคช่วยเหลือสังคมในเ รื่องต่างๆ แทน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัว ผู้ทำบุญ ครอบครัว สังคม และเป็นบุญกุศลติดตัวไปในภพ เบื้องหน้าด้วย
ไม่ต้องกลัวว่าคนจะทำบุญสร้ างวัดมากไป เพราะวัดใหญ่ๆยังใช้งบก่อสร ้างน้อยกว่าโรงงานเหล้า เบียร์ ยาสูบเสียอีก ยิ่งสร้างแล้วมีคนเข้าวัดปฏ ิบัติธรรมมากๆ ยิ่งคุ้มค่ามาก
ถ้าเห็นวัดไหนมีเสนาสนะ แต่คนเข้าวัดน้อย ไม่ใช่เป็นเหตุอ้างให้ชวนคน เลิกสร้างวัด แต่ควรช่วยกันรณรงค์ชวนคนเข ้าวัดให้มากๆ ให้เต็มโบสถ์ เต็มวิหาร เต็มศาลา
ผู้ที่คิดจะติเตียนคนทำบุญน ั้น เอาเวลาและสติปัญญาไปกระตุ้ นเตือนให้คนเลิกอบายมุขดีกว ่า
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาล...
พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาแคว้นโกศล ได้ถวายอสทิสทาน ด้วยการถวายภัตตาหารแด่พระภ ิกษุ 500 รูป โดยนิมนต์ท่านนั่งบนมณฑป
มีช้าง 500 เชือก ถือเศวตฉัตรกั้นร่มให้ ช้าง 1 เชือกต่อพระภิกษุ 1 รูป
มีเจ้าหญิง 250 พระองค์ถือพัดๆให้พระภิกษุ
มีเจ้าหญิง 250 พระองค์ คอยบดของหอมบูชาพระภิกษุ
เศวตฉัตร บัลลังก์สำหรับนั่ง เชิงบาตร และตั่งเช็ดเท้าที่พระราชาท ำถวายพระศาสดา เป็นของสูงค่าประมาณไม่ได้
" ในทานนี้ พระราชาสละทรัพย์ไป 140 ล้านในวันเดียว "
บางคนอาจนึกสงสัยว่าทำไมต้อ งให้ทานมากขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้ที่รู้ค่าของบุญแ ล้ว จะไม่มีคำว่าทำบุญมากเกินไป เลย พระพุทธเจ้าเมื่อสร้างบารมี อยู่ บางพระชาติถึงขนาดสละเลือดเ นื้อของตนไปให้แม่เสือกิน เพื่อป้องกันไม่ให้แม่เสือท ี่หิวโซกินลูกตัวเอง
> อำมาตย์ของพระราชาคนหนึ่ง ชื่อ กาฬะ คิดติเตียนพระราชาว่า
“ นี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห ่งราชตระกูล ทรัพย์ถึง 140 ล้าน หมดในวันเดียว
ภิกษุทั้งหลายบริโภคอาหารแล ้วก็นอนหลับ มิได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ ราชตระกูลฉิบหายเสียแล้ว ”
> อำมาตย์อีกคน ชื่อว่า ชุณหะ คิดสรรเสริญพระราชาว่า
“ ทานของพระราชายิ่งใหญ่ น่าเลื่อมใสจริง คนอื่นทำไม่ได้ เราขออนุโมทนาบุญนั้น ”
พระราชาทรงกริ้วกาฬอำมาตย์ต รัสว่า
“ เราให้ทานมากจริง แต่เราให้ของของเรา มิได้เบียดเบียนอะไรท่านเลย ไฉนท่านจึงเดือดร้อนปานนั้น ”
ดังนี้แล้วทรงเนรเทศกาฬอำมา ตย์ออกจากแคว้น และมอบราชสมบัติให้ชุณหอำมา ตย์ครอง 7 วัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
“ คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้
คนพาลเท่านั้น ที่ไม่สรรเสริญการให้ทาน
ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาการให ้ทาน
จึงเป็นผู้มีความสุขในโลกหน ้า
เพราะการอนุโมทนานั้น ”
เราอย่าประพฤติตนเยี่ยงกาฬอ ำมาตย์ ติเตียนคนที่เขาตั้งใจทำบุญ ให้ทานเลย เพราะการกระทำอย่างนั้นจะนำ มาซึ่งบาปอกุศล ตายแล้วไปสู่อบายภูมิ
แต่ให้ปฏิบัติตามโอวาทของพร ะพุทธเจ้า อนุโมทนาชื่นชมผู้ที่ให้ทาน กันเถิด เพราะนั่นเป็นทางมาแห่งบุญก ุศล นำความสุขความเจริญมาสู่ตัว เองทั้งโลกนี้และโลกหน้า
(พุทธพจน์)
ปัจจุบันมีบางคนโจมตีคนที่ท
...
ปัญหาของสังคมไทยปัจจุบันไม
ซึ่งอบายมุขนอกจากจะทำให้เส
ถ้าเราสามารถชวนคนเข้าวัดปฏ
ไม่ต้องกลัวว่าคนจะทำบุญสร้
ถ้าเห็นวัดไหนมีเสนาสนะ แต่คนเข้าวัดน้อย ไม่ใช่เป็นเหตุอ้างให้ชวนคน
ผู้ที่คิดจะติเตียนคนทำบุญน
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาล...
พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาแคว้นโกศล ได้ถวายอสทิสทาน ด้วยการถวายภัตตาหารแด่พระภ
มีช้าง 500 เชือก ถือเศวตฉัตรกั้นร่มให้ ช้าง 1 เชือกต่อพระภิกษุ 1 รูป
มีเจ้าหญิง 250 พระองค์ถือพัดๆให้พระภิกษุ
มีเจ้าหญิง 250 พระองค์ คอยบดของหอมบูชาพระภิกษุ
เศวตฉัตร บัลลังก์สำหรับนั่ง เชิงบาตร และตั่งเช็ดเท้าที่พระราชาท
" ในทานนี้ พระราชาสละทรัพย์ไป 140 ล้านในวันเดียว "
บางคนอาจนึกสงสัยว่าทำไมต้อ
> อำมาตย์ของพระราชาคนหนึ่ง ชื่อ กาฬะ คิดติเตียนพระราชาว่า
“ นี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห
ภิกษุทั้งหลายบริโภคอาหารแล
> อำมาตย์อีกคน ชื่อว่า ชุณหะ คิดสรรเสริญพระราชาว่า
“ ทานของพระราชายิ่งใหญ่ น่าเลื่อมใสจริง คนอื่นทำไม่ได้ เราขออนุโมทนาบุญนั้น ”
พระราชาทรงกริ้วกาฬอำมาตย์ต
“ เราให้ทานมากจริง แต่เราให้ของของเรา มิได้เบียดเบียนอะไรท่านเลย
ดังนี้แล้วทรงเนรเทศกาฬอำมา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
“ คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้
คนพาลเท่านั้น ที่ไม่สรรเสริญการให้ทาน
ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาการให
จึงเป็นผู้มีความสุขในโลกหน
เพราะการอนุโมทนานั้น ”
เราอย่าประพฤติตนเยี่ยงกาฬอ
แต่ให้ปฏิบัติตามโอวาทของพร