วันสิ้นหลวงปู่มั่น (บทความคัดลอกจาก ชีวประวัติพระอาจารย์หล้า และหลวงตามหาบัวสำหรับคนที่ ยังไม่ได้อ่าน ขออนุญาตครับ)
"ย้อนมาปรารภองค์หลวงปู่มั่ นผู้ชราพาธเพิ่มหนักเข้า ออกพรรษาแล้วครูบาอาจารย์ผู ้เป็นหัวหน้าจำพรรษาอยู่ต่า งทิศต่างจังหวัด ต่างอำเภอ ต่างตำบลก็ทยอยกันเข้ามาเฝ้ าองค์หลวงปู่ที่วัดป่าบ้านห นองผือ ต่างก็ออกความเห็นมติตามเจต นาแต่ละองค์ ๒๔๙๒ เดือน พฤศจิกายนนั้นเอง เป็นข้างขึ้นของเดือนนั้น มีพระอ...าจารย์เทสก์ (หลวงปู่เทสก์ในปัจจุบัน) สมัยนั้นองค์ท่านจำพรรษาอยู ่เขาน้อย ท่าแฉลบ จ.จันทบุรี มีหลวงปู่อ่อน สมัยนั้นองค์ท่านจำพรรษาอยู ่วัดป่าบ้านหนองโดก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร มีหลวงปู่ฝั้น สมัยนั้นองค์ท่านจำพรรษาอยู ่วัดป่าธาตุนาเวง ที่เรียกว่าวัดภูธรพิทักษ์ อ.เมือง จ.สกลนคร มีพระอาจารย์กงมาหรือหลวงปู ่กงมา สมัยนั้นองค์ท่านจำพรรษาอยู ่วัดดอยธรรมเจดีย์ แต่กำลังเริ่มก่อสร้างอยู่ย ังไม่ทันกว้างขวาง ไปบิณฑบาตบ้านนาสีนวล แต่องค์ท่านไป ๆ มา ๆ อยู่วัดป่าบ้านโคก เพราะวัดเดิมอยู่นั้นก็ถูกข ึ้นอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร มีพระอาจารย์กู่ หรือหลวงปู่กู่ก็ว่า จำพรรษาอยู่วัดป่าบ้านโคกมะ นาว อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร มีพระอาจารย์มหาทองสุข วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร และสมัยนั้นวัดป่าบ้านหนองผ ือ องค์หลวงปู่มั่นก็ขึ้นบัญชี พระประจำปีกับวัดสุทธาวาสอย ู่ มีพระอาจารย์สีโห สมัยนั้นองค์ท่านจำพรรษาอยู ่นครราชสีมา เป็นวัดใดสงสัยจำไม่ชัด มีพระอาจารย์กว่า สมัยนั้นองค์ท่านจำพรรษาบ้า นนาหัวช้าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนครนั้นเอง ให้เข้าใจว่า พระอาจารย์กู่ก็ดี พระอาจารย์กว่าก็ดี หลวงปู่ฝั้นก็ดี เป็นเครือญาติใกล้ชิดกันในฝ ่ายตระกูลวงศ์ แต่พระอาจารย์กู่มีพรรษาเหน ือกว่าหลวงปู่ฝั้น ได้สิ้นลมปราณไปหลังหลวงปู่ มั่นพรรษาหนึ่งเท่านั้น มีพระอาจารย์วิริยังค์ สมัยนั้นองค์ท่านจำพรรษาอยู ่วัดป่า อ.ขลุง จ.จันทบุรี จึงเขียนไว้เป็นที่ระลึก
วัดแตกสาแหรกขาด
เมื่อองค์ท่านพระเถระเหล่าน ี้ ต่างก็มีศรัทธามารวมกัน ในยามออกพรรษาแล้วที่วัดป่า บ้านหนองผือดังกล่าวแล้วในเ รื่องหลวงปู่ องค์ท่านชราพาธเพิ่มทวีขึ้น ก็ประชุมปรึกษากัน ส่วนหลวงปู่กงมายืนยันทางเด ียวด้วยน้ำใสใจจริงว่าควรนิ มนต์หลวงปู่พักวิเวก วัดป่าบ้านม่วงไข่ก่อนซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่เป็นหลายครั้ง ส่วนองค์หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ฝั้น พระอาจารย์กู่ พระอาจารย์มหาทองสุข พระอาจารย์มหาบัว พระอาจารย์กว่าเหล่านี้ ตามพฤติการไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไ ชกราบเท้าเรียน แล้วแต่องค์หลวงปู่จะสะดวก แต่ก็ไม่ขัดขวางหลวงปู่กงมา แต่ประการใด ๆ อะไรนัก ตกลงองค์หลวงปู่มั่นก็รับไป แบบจำใจ
ตื่นขึ้นเป็นวันใหม่ไปบิณฑบ าตแต่เช้า ฉันเสร็จแล้วก็เตรียมตัวโกล าหล แล้วลูกศิษย์ที่ขอนิสัยด้วย ประจำวัดหลวงปู่มั่นก็แบ่งอ อกเป็นสองพวก พวกที่ไปก่อนให้ไปก่อนแต่เฉ พาะผู้มีข้อวัตรจำเป็นอันเว ้นไม่ได้ซึ่งเกี่ยว กับองค์หลวงปู่ ให้ไปสามองค์ก่อนคือ ๑.ครูบาวัน ๒.ข้าพเจ้า ๓.พระสีหา เท่านั้น ในข้อนี้พระอาจารย์มหาบัวเป ็นผู้แต่ง เพราะพระเถระนอกนั้นจำพรรษา อยู่ต่างถิ่น พระอาจารย์มหาบัวและหลวงตาท องอยู่ให้ควบคุมหมู่ผู้อยู่ ข้างหลังไปพลางก่อน เพราะการตัดเย็บจีวรก็ยังไม ่เสร็จสิ้นเท่าไรนัก เพราะจุก ๆ จิก ๆ กับงานฉุกเฉินหลายด้าน วัดแตกสาแหรกขาด ฝ่ายพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่มาต่างทิศก็ยกทัพไปพร้อม กองหน้าหมด เงียบเหงาเย็นเยียบ ออกเดินทางสามโมงเช้าเอาแคร ่มาหามหลวงปู่ ทั้งพระทั้งโยมประมาณสองร้อ ยคน หามไปตามทางเกวียนผ่านบ้านห นองผือไปทางทิศตะวันตกค่อยเ ดินไปเท้าต่อเท้า แล้วเลี้ยวขวาโค้งตรงไป อ.พรรณานิคม อนิจจาเอ๋ย บ้านหนองผือเศร้าโศกโศกาน้ำ ตาหลั่งไหล เพราะเอาองค์มิ่งขวัญเขาหนี ไกลไปจากถิ่นบ้านเขา สารพัดผู้จะคร่ำครวญรำพันพิ ไร เสมือนพากันตายไปเงียบไงทั้ งบ้าน
พอผ่านบ้านหนองผือไปประมาณส องกิโลเมตร องค์หลวงปู่พูดเย็น ๆ ขึ้นว่า “ พากันหามไปปิ้งไปเผาที่ไหนห นอ” ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ไม่หนีจากค านหามปลายเท้าขององค์หลวงปู ่ ปะปนแทรกโยมไปไม่วาง พอได้ยินเสียงองค์หลวงปู่พู ดเย็น ๆ และนอนหลับตาปรารภเช่นนั้น อ้ายกิเลสมันสังเวชและโศกขึ ้นมา น้ำตาไหลอาบแก้ม โยมตั้งร้อยสองร้อยทั้งพระไ ม่นึกละอายเลย มีปัญหาว่าครูบาอาจารย์ทั้ง หลายและอาจารย์วันและคุณสีห าไปไหนขณะนั้น
ตอบว่า ครูบาวันและคุณสีหาได้กระติ กน้ำองค์ละลูกสะพายออกก่อนท ี่หามแคร่ไปไกลกัน กว่า ๑๐ วา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็เดิน ออกหน้าที่หามแคร่ไปไกลกว่า นั้นเป็นลำดับ ส่วนตามหลังแคร่ไปก็เป็นระย ะ ๆ เป็นทิวแถว ส่วนพวกเกวียนที่ขนของก็ตาม หลังบาตรบริขารโยมสะพายเอาห มดแล้ว ข้าพเจ้าจึงแทรกแซงโยมเข้าใ กล้ที่หามได้ ข้าพเจ้าไม่ได้หามใส่บ่าหรอ ก เป็นเพียงเอามือขวาจับชูเอี ยงตัวซิกแซ็กเดินไป โยมเขาหามเขาเอาผ้าผูกเป็นง วงสะพายบ้างเอามือจับคนละมื อบ้างเพราะมากคน บางแห่งก็หย่อนลง บางแห่งก็ยกขึ้นเพราะดินสูง ต่ำ ที่ไหนหญ้ารกปกคลุมทางเพียง เข่าและแข้งขาก็เรียบราบไปห มดเพราะคนนั้นเหยียบ บ้าง คนนี้เหยียบบ้าง ผู้เขียนมันเจ้ากิเลสมันเป็ นเจ้าน้ำตาไปสุดทาง ข้าพเจ้าไม่ได้ใส่รองเท้าเล ย เพราะมีความเห็นว่าเข้าใกล้ องค์หลวงปู่ไม่สมควร โยมเขาจะใส่ก็ตาม มอบให้เป็นเรื่องของเขา แต่เขาก็ใส่บ้างไม่ใส่บ้างแ ละบางแห่งก็มีหนาม ตาใครตามันรักษาเอาเท้าของต ัวที่จะเหยียบไป ได้ทางพอควรก็พักดื่มน้ำ องค์หลวงปู่ดื่มสองสามจิ๊บ แล้วนอนตะแคงข้างขวาอยู่บนแ คร่ที่ปลงวางไว้ ประทับจิตประทับใจว้าเหว่เต ็มตื้นมาก
พักประมาณสิบหรือสิบห้านาที โดยคาดคะเนก็เดินทางต่อ พอถึงทุ่งนาแห่งหนึ่ง เป็นหนทางมีตมมีโคลนเลอะเทอ ะและจวนแจจะมืดค่ำ ไม่มีทางเว้นแต่ที่นาเขา ข้าวเขากำลังจะพอเกี่ยว เขามีศรัทธาไขรั้วรื้อรั้วอ อกให้ฝ่าเหยียบข้าวไป คนทั้งสองร้อยกว่าฝ่าตะลุยข ้าวไปจนสุดทุ่งนาเขาจึงได้ล ัดใส่หนทางอันพ้นโคลน ตมข้าวก็ล้มไปเรียบราบพร้อม ทั้งหล่นพร้อมทั้งขาด นับว่าศรัทธาเขาเกิดขึ้นสด ๆ แก้ปัญหาซึ่งหน้าได้โดยสุจร ิตใจ จะหาได้ยากในสมัยนี้และเป็น ข้าวที่กอโตและเป็นรวงโตเมล ็ดโตด้วย การเสียหายอย่างน้อยก็ไม่ต่ ำกว่าหกร้อยกิโลกรัม เรียกว่าบุญองค์หลวงปู่เป็น ปาฏิหาริย์อยู่ในตัวแล้วจะอ ัศจรรย์แต่การดำดิน บินบนได้จึงจะว่าเก่ง ถ้าอย่างนั้นนกมันก็มีปาฏิห าริย์อยู่ทุกวัน เก่งอยู่ทุกวัน ไส้เดือนก็ดี ปลาไหลก็ดีเป็นต้น มันก็ดำดินอยู่ทุกวันมีปาฏิ หาริย์อยู่ทุกวัน เก่งอยู่ทุกวัน แต่ไม่ถือเอาเป็นสรณัง คัจฉามิ เพราะไม่สำคัญในสิ่งเหล่านี ้ สำคัญอยู่แต่กิเลสน้อยเบาบา งและเหือดแห้งไปเท่านั้น พร้อมทั้งข้อวัตรปฏิบัติอัน ชอบที่ถูกต้องเท่านั้น คนโดยมากมักตื่นปาฏิหาริย์ท างดำดิน บินบน แต่ผู้เขียนลงเอยมากที่สุดก ็คืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนของพระองค์เป็นปาฏิหาร ิย์ที่ไม่จืดจางและมีอยู่ทุ กกาลของแต่ละตัวสัตว์ บุคคล เทวดา มาร พรหมด้วย ประจำกองรูปขันธ์ นามขันธ์อยู่ไม่ลบเลือนไปทา งใดคือกรรมและผลของกรรม เป็นปาฏิหาริย์อยู่ทุกอิริย าบทของจิตใจอยู่แล้ว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วอยู่ แล้วจะไปหาปาฏิหาริย์ที่ไหน อีก จับไฟก็ร้อน ไม่จับไฟก็ไม่ร้อนเป็นปาฏิห าริย์ทั้งนั้น และก็มีความหมายอันเดียวกัน กับกรรมและผลของกรรมคนเชื่อ กรรมและผลของกรรมก็ คือเชื่อปาฏิหาริย์ ก็คือเชื่อพุทธ ธรรม สงฆ์ด้วยนั้นละ
ปรารภเรื่องหลวงปู่ต่อไป ขณะที่กำลังจะแวะผ่านข้าวเข านั้นพระมหาเถระได้พูดกันว่ า “ไม่ควรเอาองค์หลวงปู่ไปพัก ม่วงไข่ เพราะเป็นวัดร้างมาหลายปี มีต้นไม้ทึบมาก อากาศไม่โปร่งและเดี๋ยวนี้ก ็ค่ำแล้วและองค์หลวงปู่เล่า อาการก็หนักเข้า เพราะจะอ่อนเพลียในการหามมา ข้ามป่าโคกดงก๊อกแก๊ก ๆ” จึงตกลงแวะบ้านกุดก้อม (ดงภู่ก็ว่า) เป็นวัดป่าพระอาจารย์กู่ พอถึงที่นั่นก็หนึ่งทุ่มกว่ าๆ โดยประมาณ อาการหลวงปู่ก็หนักขึ้นทวีม าก ต่อรุ่งเช้าจึงเบาลงบ้าง ในวันนั้นฉันจังหันแล้วมีพร ะองค์อื่นจะไปตัดช่องกระดาน ศาลาใกล้ที่พักป่วย ขององค์หลวงปู่ถ่ายอาจม องค์หลวงปู่ปรารภดัง ๆ ขึ้นว่า “ อย่ามาทำเลย ท่านหล้าเธอกำกับของเธอประจ ำอยู่ มาทำแล้ว ก็ไม่ถูกความประสงค์ของเธอด อก” ดังนี้ ข้าพเจ้าได้ยินแล้วอ้ายกิเล สน้ำตามาอีกละ ไหลลงเลยมันไม่ละอายใครเพรา ะสำเหนียกในใจว่า เราปฏิบัติองค์หลวงปู่มาด้ว ยประการใด ๆ ตามประสาเราเป็นเวลา ๔ ปีล่วงเข้า หลวงปู่คงไม่หนักธรรมหนักใจ ว่าเราปฏิบัติเพื่อเอาหน้าเ อาตาและไม่สงสัยว่า เราปฏิบัติไม่เคารพและก็ตรง กับเจตนาของเราด้วย องค์หลวงปู่ดักใจทายใจเราถู กได้ไม่ผิด คิดดังนี้ได้กระทันหันอ้ายน ้ำตาพลันไหลลงอีก
ห่างจากเรื่องนี้ไปประมาณหน ึ่งชั่วโมง จึงละโอกาสไปขอยืมเลื่อยปลา ตองและสิ่วมากราบเท้าเรียนอ งค์หลวงปู่ขอโอกาสทำ ถวายไม่ให้กระทบกระเทือน เอาไม้หนุนทางใต้ให้ตึง สิ่วเจาะลงพอหลวมปลายเลื่อย เอาเลื่อยเล่มที่คมประมาณห้ านาทีก็เสร็จ ส่วนทางใต้นั้นหาภาชนะรองใบ โต ๆ แล้วเอาขี้เถ้ารองหนาๆ เวลาไปเก็บสะอาดเอามือกอบใส ่อันอื่นไปเทในหลุม แล้วล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำ มันก๊าดและขี้เถ้าโดยเร็ว ไม่อดแต่ผู้จะแห่ถือกระบวยใ ห้ เพราะได้เคยเอาเป็นข้อวัตรม าหลายปีแล้ว คราวอยู่หนองผือมีผู้แย่งจะ ทำ แต่หลวงปู่มหาไม่ให้ทำ เพราะเกรงองค์หลวงปู่มั่นจะ ไม่พอใจไม่ไว้ใจเพราะเกรงว่ าหลวงปู่มั่นจะวิจัย ว่าปฏิบัติไม่ถึงพริกถึงขิง ระอาแล้วก็มอบให้องค์อื่น มันเป็นภาพพจน์เหลาะแหละ เว้นไว้แต่เจ็บป่วยนอนคาที่ ไปไม่ได้ เมื่อได้พูดก็พูดไปซ้ำซะ
คราวพักรักษาองค์หลวงปู่อยู ่วัดป่ากุดก้อม ข้าพเจ้าและครูบาวันไม่ได้ไ ปบิณฑบาตเลยเพราะคณะพระเถรา นุเถระไม่ให้ไปให้รีบ เอาบาตรไปตั้งไว้ศาลาฉันเท่ านั้น พระสงฆ์กลับมาจากบิณฑบาตจะใ ส่ให้ และก็ได้ฉันทีหลังหมู่อีกซ้ ำ ส่วนครูบาวันนั้นได้ลงไปฉัน พร้อมหมู่ เป็นเพียงไม่ได้ไปบิณฑบาต ครูบาวันฉันเสร็จแล้วจึงได้ เปลี่ยนข้าพเจ้าลงไปฉัน แต่ก็พอใจอยู่ไม่ห่วงเพราะพ ่อของเราปู่ของเรามีคุณค่าก ว่าอาหารในท้องเราแต่ ละวันแล้ว
ในระหว่างพักอยู่วัดป่ากุดก ้อมคือบ้านภู่ หรือว่าดงบ้านภู่ ก็เรียกกันหลายอย่าง มีพระเถระมาเพิ่มขึ้นอีกคือ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ จ.อุดรฯ พระอาจารย์สีลาวัดป่าบ้านวา อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร รวมพระเณรทั้งหมด ๔๐ รูป และมาพักได้ ๓ คืน พระอาจารย์มหาบัวก็ทิ้งบ้าน หนองผือมาและหมู่ทั้งหลายก็ ทยอยมาจากบ้านหนองผือ ได้ ๑๑ วัน ครูบาทองคำก็มากับหมู่อีก เหลือแต่หลวงตาทองอยู่องค์เ ดียว ส่วนองค์หลวงปู่มั่นก็ป่วยห นักเข้า ๆ พักอยู่ที่นั่นได้ ๑๑ คืน ตื่นเช้าชาวสกลนครตลอดถึงคุ ณหมอ แพทย์ใหญ่ในสกลนครก็มาถึงแต ่เช้าตรู่ ชาวสกลนครกราบเท้าเรียนถวาย วิงวอนว่า “ขอนิมนต์ให้ไปพักวัดป่าสุท ธาวาส” นิมนต์วิงวอนถึง ๓–๔ครั้งติด ๆ กัน
องค์หลวงปู่ปรารภว่า “ เออ หามศพตกป่าช้าหนอ ไม่มีวันได้หามคืน บัดนี้มาถูกเราแล้ว “ องค์หลวงปู่กล่าวต่อไปว่า “ถ้าไปก็ลำบากอีกล่ะ “ เพราะลูกศิษย์ก็มาต่างทิศมา กเข้าสี่สิบองค์รวมทั้งเก่า ใหม่เขากราบเรียนว่า “มากน้อยเท่าไรก็ตามขอรับ จะเอารถขนวันยังค่ำนั่นแหละ ” แท้จริงสมัยนั้นมีรถวิ่งไปม าจากสกลนคร อุดรธานี ๒-๓ คันกับรถกรมทางคันหนึ่งหนทา งก็เป็นหินลูกรังปูถี่ ๆ ห่าง ๆ ลัก ๆ ลั่น ๆ ยังไม่เรียบร้อยได้ แล้วก็กราบเท้าเรียนถวายให้ องค์หลวงปู่ฉันอาหาร องค์หลวงปู่ก็นั่งฉันได้อยู ่ไม่ได้พยุงชู ฉันประมาณห้าหกคำเล็กแห่งอา หารเหลว ๆ ที่ซดด้วยช้อน ครั้นเสร็จแล้วคุณหมอใหญ่ จ.สกลนครก็ฉีดยานอนหลับให้ด ้วยการขออนุญาต ๔-๕ ครั้ง องค์หลวงปู่ก็ยอมให้ฉีดแบบฝ ืน ๆ แล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางโ กลาหล อ้ายใจกิเลส อ้ายน้ำตากิเลส มันก็ไหลลงอีกละ แล้วเอาแคร่มาหามองค์หลวงปู ่ข้ามทุ่ง องค์หลวงปู่นอนตะแคงข้างขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมกันหามข้ามท ุ่งไปสู่ถนน ไกลประมาณเกือบกิโลเมตรจึงถ ึงถนน แล้วเอาองค์หลวงปู่ขึ้นรถกร มทาง เอานอนด้านหน้าครูบาวัน อาจารย์วิริยังค์ ข้าพเจ้า คุณสีหาก็ไปขบวนกองหน้าส่วน หลวงปู่ก็นอนนิ่งไม่กระดิกพ ลิกไหวตัวอะไรเลย ปรากฏแต่ลมเข้าออกแบบเบา ๆ
พอถึงวัดป่าสุทธาวาสแล้วก็ห ามองค์หลวงปู่ขึ้นกุฏิพิเศษ หลังหนึ่งอันมี ระเบียงรอบทั้งสี่ด้าน มุงกระดานกั้นฝา มีประตูเข้าห้องนอนสองทาง มีหน้าต่างบริบูรณ์ รอบระเบียงนอกมีลูกกรง ห้องนอนนั้นกว้างประมาณ ๓ เมตร ปริมณฑลระเบียงโดยรอบสามด้า นนั้นกว้างประมาณ ๒.๕๐ เมตร ส่วนด้านหน้านั้นกว้างประมา ณ ๔ เมตร หรือ ๕ เมตรนี่แหละ เพราะเป็นกุฏิ ๒ ห้อง แล้วก็มีระเบียงรอบสี่ด้าน แล้วกั้นห้องหนึ่งเป็นห้องน อน แล้วครูบาอาจารย์ต่างทิศก็แ ตกตื่นกันมาเป็นระยะ ๆ องค์หลวงปู่สิงห์โคราช หลวงปู่บุญหลาย หลวงปู่สาร พระอาจารย์เกิ่ง พระอาจารย์สิม ตลอดพระหนุ่มเณรน้อยฝ่ายปฏิ บัติหลั่งไหลเข้ามาเป็นลำดั บ ไม่สามารถจะบอกชื่อลือนามได ้
"ใจใดเห็นภัยในรสใจอันเดือด ร้อน ใจนั้นจะรู้จักการลดผ่อนในเ รื่องร้อนของใจ ใจใดไม่รู้จักรสของใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักรสของธรรม ใจใดไม่รู้จักทางใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักทางธรรม ใจใดไม่รู้จักพึ่งใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักพึ่งธรรม ใจใดไม่รู้จักเหตุแห่งใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักเหตุแห่งธ รรม ใจใดไม่รู้จักดับเหตุแห่งใจ ใจนั้นไม่รู้จักดับเหตุแห่ง ธรรม ใจใดไม่รู้จักหลุดพ้น ใจนั้นก็ไม่รู้จักธรรมอันหล ุดพ้น ใจใดไม่เคารพใจ ใจนั้นก็ไม่เคารพธรรม ใจใดไม่รู้จักใจที่ควรปฏิบั ติเคารพ ใจนั้นก็ไม่รู้จักธรรมที่คว รปฏิบัติเคารพ ใจใดที่ไม่รู้จักสรรพใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักสรรพธรรม ใจใดไม่รู้จักเอกใจในปัจจุบ ัน ใจนั้นก็ไม่รู้จักเอกธรรมใน ปัจจุบัน นิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย"
สิ้นแล้วร่มโพธิ์แก้ว
แล้วก็เอาองค์หลวงปู่เข้าห้ องนอนตะแคงขวา…พอตกเวลาหกโม งเย็น หลวงปู่กงมาบอกว่า “ท่านทองคำ ท่านหล้า ท่านสีหาพากันบอบโบยหิวนอนม านานแล้วจงพากันรีบนอนอยู่บ นระเบียงนี้แต่หัวค่ำ เสีย พระอาจารย์ฝั้นกับผมจะช่วยเ ฝ้าในห้ององค์หลวงปู่ ส่วนท่านวันเข้าพักกุฏิหนึ่ งกับวิริยังค์กับท่านเนตรแล ้ว ส่วนท่านมหาบัวพักรุกขมูลร่ มไม้ในวัด เธอเร่งความเพียร เกรงหลวงปู่จะสิ้นลมก่อน “ พอจบคำแล้วต่างก็ปูผ้าลงกระ ดานพื้นระเบียง กราบพระองค์ละ ๓ ที คว้าเอาห่อผ้าสังฆาฏิมาหนุน หัวกำหนดลมหายใจเข้าออกไป ตาใสแจ๋วไม่หลับเพราะมันเคย ชินในการไม่หลับมานานบ้างแล ้ว อาหารฉันหมดวันละเท่าไข่เป็ ดก็ทั้งยาก จืดชืดไปหมดอายุขั้นสามสิบก ว่า ๆ อนิจจาเอ๋ย
ประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ หลวงปู่กงมา มาดึงแขนกระซิบบอกว่า “พากันลุก พากันลุก พระอาจารย์ใหญ่ใกล้จะสิ้นลม แล้ว” กระซิบตอบองค์ท่านว่า “ขาน้อยยังไม่หลับดอก” แล้วองค์ท่านบอกให้รีบด่วนไ ปนิมนต์ท่านเจ้าคุณธรรมเจดี ย์ พระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์เทสก์ พระอาจารย์มหาและครูบาวัน ข้าพเจ้ารีบไปกุฏิท่านเจ้าค ุณธรรมเจดีย์ก่อน ไปถึงแล้วกล่าวว่า “ขอกราบเท้าเรียนถวายพระเดช พระคุณ องค์หลวงปู่หนักมาก เออ.. ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” แล้วไปปลุกพระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์เทสก์ “ ขอโอกาสพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ องค์พระอาจารย์ใหญ่หนักเต็ม ทน เออเราก็ไม่ค่อยหลับสนิทดอก ” แล้วไปปลุกพระอาจารย์มหาบัว พอเดินไปที่ใกล้ใต้ร่มไม้ องค์ท่านถามก่อนแล้วว่า “ใคร ๆ “ ตอบว่า “กระผม พระอาจารย์ใหญ่เป็นมาก” แล้วผ่านไปหาอาจารย์วัน พระสีหาไปบอกก่อนท่านไปแล้ว แล้วก็รีบขึ้นไปเกรงไม่ทันเ ห็นใจหลวงปู่ แล้วท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ป รารภว่า “พวกเราต้องอยู่ระเบียงนอกห ้อง ปล่อยให้ลูกศิษย์องค์ท่านผู ้โชกโชนปฏิบัติมีสิทธิ์ปลงธ รรมสังเวชอาจารย์ใหญ่ เพราะห้องก็แคบ ถ้าพวกเราชิงเข้าไปก็ไม่เป็ นธรรม “ ตกลงอยู่ในห้องคอยจ้องดูลมอ อกเข้าของหลวงปู่ ๖ องค์ ๗ กับหลวงปู่ฝั้น
หลวงปู่ฝั้นนั่งห่างองค์หลว งปู่มั่นประมาณวาหนึ่งต่างห ากผินหน้ามาทาง องค์หลวงปู่ใหญ่ อยู่ข้างหลังพระอาจารย์กงมา หลวงปู่ฝั้นนั้นท่านนั่งขัด สมาธิภาวนาอยู่นิ่ง ๆ พวกที่เข้าคิวนั่งรอบกายองค ์หลวงปู่มั่น ห่างจากกายขององค์หลวงปู่มั ่นก็ประมาณฝ่ามือ พระอาจารย์กงมานั่งอยู่ทางข วาขององค์หลวงปู่ที่นอนตะแค งขวานิดหน่อย เพียงไหล่ขององค์หลวงปู่ พระอาจารย์มหาบัวนั่งอยู่เพ ียงบั้นเอวขององค์หลวงปู่ ข้าพเจ้านั่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า ของท่านสีหา ครูบาทองคำนั่งอยู่เพียงหัว เข่าขององค์หลวงปู่ ครูบาวันนั่งอยู่เพียงบั้นเ อวขึ้นไปหาอกขององค์หลวงปู่ ต่างก็นิ่งจ้องดูลมขององค์ท ่านอยู่…..ประมาณสัก ๒๐ นาที องค์ท่านก็สิ้นลมปราณไปเงีย บ ๆ ทีนี้อ้ายใจผีบ้าน้ำตากิเลส มันก็ไหลออกมาตามอำเภอใจมัน อีก คงจะเป็นเวลาตี 2 กว่า ที่ทางในเมืองเขาได้รับข่าว เขาก็มาถึงประมาณตีสามกว่า ๆ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก็เลย บอกว่า “พวกพระเราออกจากห้องปล่อยใ ห้ญาติโยมเขาปลงธรรมสังเวชช มดูศพพระอาจารย์บ้าง “ ข้าพเจ้าลงล้าหลัง เห็นนาฬิกาอยู่ใกล้องค์หลวง ปู่เป็นนาฬิกาขององค์หลวงปู ่ คิดขึ้นได้รวดเร็ว ว่าถ้านาฬิกาอันนี้หายก็จะเ ป็นปัญหาอีกเพราะเราลงหนีที หลัง นึกแล้วก็เอาไว้ใส่ย่ามแต่ย กมือขึ้นใส่หัวเสียก่อน แล้วก็รีบเอาไปถวายพระอาจาร ย์สิงห์ หลวงปู่สิงห์ก็เรียก ว่าแล้วองค์ท่านก็เก็บไว้ อา…ปรารภผ่านไป พอองค์ท่านสิ้นลมปราณก็ขอโอ กาสพระอาจารย์มหาแล้วยกมือใ ส่หัวอีก เอามือสองมือชูคางขององค์หล วงปู่ไว้ให้สนิท ชูไว้ประมาณสองสามนาทีก็เลย จับสนิทเพราะเกรงว่าเมื่อเย ็นแล้วตัวแข็งแล้วจะ ไม่สนิทเข้า
มีปัญหาว่า ไฉนจึงเขียนเรื่องก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แท้ จะเอาไปพระนิพพานด้วยดอกหรื อ หลับตาตอบว่าเรื่องของเจ้าต ัวที่ได้ผ่านทุกข์มาในสงสาร ปัจจุบันชาติ พระบรมศาสดาและพระอริยสาวกท ี่ทรงปุพเพนิวาสยิ่งระลึกได ้ว่าเราหาประมาณมิได้ เราเพียงแค่นี้จะประสาอะไรก ัน เท่าน้ำลายขององค์ท่านบ้วนท ิ้งก็ไม่ได้ คราวบ้าเขียนก็ต้องยอมไปตาม บ้าก่อน เมื่อเห็นโทษในบ้าก็จะหายจา กบ้าดอกและก็ได้คำนึงว่าเป็ นยุคสำคัญของผู้เขียน ในชาตินี้ด้วย คงจะดีกว่าเขียนกลอนเพลงกลอ นลำทางโลกสงสารโต้ง ๆ ถ้าไม่เป็นคติแก่ท่านผู้อ่า นแก่ท่านผู้ฟังแล้ว เป็นคติแก่ตนเองก็เอา เห็นว่าไม่ขาดทุนสูญกำไรไปไ หน เพราะจิตใจยังหนักแน่นใน พุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ไม่สงสัยลังเล เมื่อปรารภมากก็รู้จักว่าปร ารภมาก เมื่อปรารภน้อยก็รู้จักว่าป รารภน้อย แล้วหัดมิให้ติดอยู่ในเงื่อ นทั้งสองก็ต้องเป็นภาวนาวิป ัสสนาอยู่ในตัวแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญาเป็ นเก็ณฑ์กันอยู่ดี ๆ นี้เอง รู้มากยากนานรู้น้อยพลอยรำค าญจะเอาเป็นประมาณไม่ได้เพร าะกลอนพาไป พระองค์เจ้ารู้มากมิได้เห็น ยาก นาน พระอริยสาวก พระอริยสาวิกาก็เหมือนกัน เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานไปก ่อนท่านผู้อ่านท่านผู้ฟังไป ก่อนแล้วแต่ปางไหน ๆ
ใจใดเห็นภัยในรสใจอันเดือดร ้อน ใจนั้นจะรู้จักการลดผ่อนในเ รื่องร้อนของใจ ใจใดไม่รู้จักรสของใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักรสของธรรม ใจใดไม่รู้จักทางใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักทางธรรม ใจใดไม่รู้จักพึ่งใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักพึ่งธรรม ใจใดไม่รู้จักเหตุแห่งใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักเหตุแห่งธ รรม ใจใดไม่รู้จักดับเหตุแห่งใจ ใจนั้นไม่รู้จักดับเหตุแห่ง ธรรม ใจใดไม่รู้จักหลุดพ้น ใจนั้นก็ไม่รู้จักธรรมอันหล ุดพ้น ใจใดไม่เคารพใจ ใจนั้นก็ไม่เคารพธรรม ใจใดไม่รู้จักใจที่ควรปฏิบั ติเคารพ ใจนั้นก็ไม่รู้จักธรรมที่คว รปฏิบัติเคารพ ใจใดที่ไม่รู้จักสรรพใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักสรรพธรรม ใจใดไม่รู้จักเอกใจในปัจจุบ ัน ใจนั้นก็ไม่รู้จักเอกธรรมใน ปัจจุบัน นิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย ต่อไปเรื่องศพขององค์หลวงปู ่ ครั้นถึงเวลาเย็นในวันนั้น ก็กราบศพเอาเข้าหีบไม้ที่เห ็นว่าเป็นหีบชั้นที่หนึ่งใน สมัยนั้น แล้วก็เอาไว้ที่ศาลาโรงฉัน แล้วสามทุ่มตอนกลางคืนมีการ สวดมนต์ ธรรมจักรบ้าง อนัตตลักขณสูตรบ้าง อาทิตตปริยายสูตรบ้าง ธรรมนิยามบ้าง อภิธรรมบ้าง วนไปวนมาและมีการฟังเทศน์ทั ้งโยมทั้งพระรวมกันตอนกลางค ืนด้วยทุกคืน ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นป ระธานแต่งพระเถระทั้งหลายเป ลี่ยนวาระกันเทศน์ เข้าคิว สมัยนั้นพระอาจารย์มหายังมิ ได้เข้าคิวเทศน์ดอก องค์ท่านกำลังเร่งความเพียร ออกไปวิเวกองค์เดียว ๗ วัน จึงเข้ามาเยือนหนหนึ่งเป็นร ะยะ ๆ พระมาต่างทิศบางวันถึง ๘๐๐ ก็มี บางวัน ๔๐๐ ขึ้นไป ๕๐๐ ๖๐๐ ๗๐๐ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ ตลอด ๓ เดือนการขบฉันก็เหลือแหล่ ไม่มีโจรผู้ร้ายพอที่จะว่าเ ดือดร้อน ๗ วันที่เรียกว่าสัตตมวารในสม ัยนั้นทำบุญครั้งหนึ่ง แต่ก็เท่ากับว่าทำทุกวันอยู ่ในตัวเพราะพระมาก ถ้าคิดเฉลี่ยแล้วเอา ๖๐๐ มาคูณ ๙๐ แล้วจะเป็นพระกี่องค์เล่า ก็เป็นพระ ๕๔,๐๐๐. องค์ทีเดียวล่ะ พระมหาเถระ พระราชาคณะทางกรุงเทพฯมหานค รก็มาหลายองค์อยู่ สมัยนั้นวัดป่าสุทธาวาสเป็น วัดกว้างขวางวังเวงเพราะยัง ไม่มีสวน ไม่มีบ้านท่านผู้ใด เป็นดงบ้าง เป็นป่าบ้าง กางกลดกางมุ้งอยู่ไหน ๆ ก็ได้ไม่คับแคบ ให้เข้าใจว่าองค์หลวงปู่มั่ นสิ้นลมปราณล่วงไป ๓๐ ปีกว่าเท่านั้น บ้านเมืองงอกมาหาวัดจนกลายเ ป็นวัดในเมืองไปแล้ว ครั้งพุทธกาลล่วงมา ๒๕๒๔ ปีแล้ว วัดเชตวัน วัดบุพพาราม วัดเวฬุวัน วัดนิโครธาราม กุฎาคารป่ามหาวัน เหล่านี้เป็นต้น ครั้งพุทธกาลเป็นวัดป่าเป็น ส่วนมากทั้งนั้น มิหนำซ้ำที่ประสูติ ตรัสรู้ ที่ทรงแสดงธรรมจักร ที่ปรินิพพานเหล่านี้เป็นต้ นย่อมเป็นป่าเต็มภูมิทั้งนั ้น เมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธศาสนาเกี่ยวกับป่า ๆ ดง ๆ ภู ๆ เขา ๆ ตลอดพระวินัยอนุศาสน์และพระ สูตรต่าง ๆ ในแทบทุกสูตรที่เกี่ยวกับป่ า ถ้าพวกเราจะรังเกียจวัดป่าว ัดภู ในพระไตรปิฎกเรื่องพระเมฆิย ะเขาก็สร้างวัดบนหลังภูเขา ถวายพระครั้งพุทธกาลก็หลาย ๆ แห่ง ถ้าหากว่าพวกเราตัดป่าตัดภู เขาออกแล้วพระไตรปิฎกก็ไม่ค รบ เราวิ่งไปหน้าเดียวไม่มองคื นหลังเสียเลยก็จะเลยเถิดแผน ที่ ถ้าเขียนผิดก็ขออภัยแก่ท่าน ผู้รู้ทุกถ้วนหน้าและขอรับฟ ังพิจารณาคำตักเตือน โดยเคารพด้วยอยู่See More
"ย้อนมาปรารภองค์หลวงปู่มั่
วัดแตกสาแหรกขาด
เมื่อองค์ท่านพระเถระเหล่าน
ตื่นขึ้นเป็นวันใหม่ไปบิณฑบ
พอผ่านบ้านหนองผือไปประมาณส
ตอบว่า ครูบาวันและคุณสีหาได้กระติ
พักประมาณสิบหรือสิบห้านาที
ปรารภเรื่องหลวงปู่ต่อไป ขณะที่กำลังจะแวะผ่านข้าวเข
ห่างจากเรื่องนี้ไปประมาณหน
คราวพักรักษาองค์หลวงปู่อยู
ในระหว่างพักอยู่วัดป่ากุดก
องค์หลวงปู่ปรารภว่า “ เออ หามศพตกป่าช้าหนอ ไม่มีวันได้หามคืน บัดนี้มาถูกเราแล้ว “ องค์หลวงปู่กล่าวต่อไปว่า “ถ้าไปก็ลำบากอีกล่ะ “ เพราะลูกศิษย์ก็มาต่างทิศมา
พอถึงวัดป่าสุทธาวาสแล้วก็ห
"ใจใดเห็นภัยในรสใจอันเดือด
สิ้นแล้วร่มโพธิ์แก้ว
แล้วก็เอาองค์หลวงปู่เข้าห้
ประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ หลวงปู่กงมา มาดึงแขนกระซิบบอกว่า “พากันลุก พากันลุก พระอาจารย์ใหญ่ใกล้จะสิ้นลม
หลวงปู่ฝั้นนั่งห่างองค์หลว
มีปัญหาว่า ไฉนจึงเขียนเรื่องก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แท้ จะเอาไปพระนิพพานด้วยดอกหรื
ใจใดเห็นภัยในรสใจอันเดือดร
คำพูดที่หลุดจากปากด้วยความ
อานิสงค์ของการสวดมนต์
การสาธยายพุทธมนต์ ใครสวดก็ตาม จะเป็นกิจวัตรพระสงฆ์ เช้า - เย็น หรือชาวพุทธทุกคนสวดพุทธคุณ
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
"ผลแห่งบุญ คือ สิ่งที่สนองให้ความสุขแก่ทุ
ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ทุกข์ยากลำบาก ประสบปัญหาชีวิต
ก็ด้วยหนี้กรรมแต่อดีตที่ทำ
ไม่มีสุขในเวลาปัจจุบันจงสร
มีแต่การสร้างบุญ จึงจะพบสุข บาปจะนำทางให้ตนต้องทุกข์ลำ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหา
พากันทำภาวนาไป วันหนึ่งๆ อย่าให้ขาด อย่าให้มันเสียเวลาไป ภาวนาไป ชั่วโมงหรือยี่สิบ สามสิบนาที อย่าให้มันขาด อาศัยอบรมจิตใจของตน ทำมันไป ขัดเกลาใจของตน ใจมันมีโลภะ โทสะ โมหะเข้าครอบคลุม ใจจึงเศร้าหมอง เพราะฉะนั้นเราต้องพากันภาว นา จึงจะหลุดพ้นจากความเศร้าหม องนี้ได้
หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงปู่ขาว อนาลโย
การภาวนาก็คือ การมีสติสัมปชัญญะ คอยตักเตือนตนเองอยู่เสมอ ไม่ให้เกิดความประมาท ความมัวเมา มีอินทรียสังวรละเว้นบาป อกุศลแม้เพียงน้อย จำต้องอาศัยความหมั่น ความพยายามทางกาย ทางวาจา ทางใจของตน จึงจะรักษาตนให้รอดปลอดภัย. .
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ..
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ..
การสวดมนต์นั้นมันไม่ได้ขลั งที่บทสวด แต่ขลังด้วยสติ เมื่อเราสวดมนต์มากๆ เข้าจิตใจก็จะสงบ เกิดสมาธิมีสติขึ้นมา มันจึงขลัง ขลังด้วยสติ พอสวดแล้วมีสติ ปัญญาก็เกิด ปัญญาเกิด แก้ปัญหาได้ ชีวิตก็จะดีขึ้นมาด้วยอานุภ าพของการสวดมนต์..
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม..
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม..
สงบแต่ปาก ใจไม่สงบ ก็ไม่ได้ ต้องให้ใจสงบ ใจสงบ ก็คือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อ ื่นก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว ่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี ้แหละ จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหน มันก็ทุกข์เท่าๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตน เอง
...หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร...
คนเราเกิดมาแล้วมาแย่งมาชิง กัน ว่ากิเลสเหล่านั้นเป็นของดิ บของดี วิเศษวิโส แย่ง แข่งดี แข่งเด่น แย่งชิงความเป็นใหญ่เป็นโตก ัน แย่งลาภ แย่งยศ ความสรรเสริญทั้งปวง กลัวแต่จะไม่ได้เป็นของเรา แท้จริงแล้วมันเป็นของทิ้งข องพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอร ิยเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทิ้งไปแล้ว เรายังหาว่าเป็นของดีอยู่หร ือ
พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่า ความสุขไม่มีในโลกนี้
มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นแล้วดับไ ป ทุกข์อันนี้เกิดขึ้นมาใหม่
แล้วทุกข์อันนั้นดับไป ทุกข์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก
เมื่อเห็นตามเป็นจริงอย่างน ี้แล้วก็หมดเรื่อง
ไม่ต้องไปขอความสุขจากใคร
...หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี...
...หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร...
ในชีวิตของเรามีทางเลือกอยู ่สองทาง คือคล้อยตามไปกับโลก หรือพยายามปฏิบัติให้อยู่เห นือโลก พระพุทธเจ้านั้นท่านทรงปฏิบ ัติจนพระองค์เองทรงพ้นโลก ด้วยการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิ ญาณ ในทำนองเดียวกัน ปัญญาก็มีสอง คือปัญญาโลกีย์ กับปัญญาโลกุตตระ หากเราไม่ภาวนาฝึกปฏิบัติอบ รมตนเอง ถึงจะมีปัญญาปานใด ก็เป็นเพียงปัญญาโลกีย์ เป็นโลกียวิสัย จะหลุดพ้นโลกไปไม่ได้ เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลก เมื่อเวียนคล้อยไปตามโลก... จิตก็เป็นโลกคิดอยู่แต่จะหา มาใส่ตัว อยู่ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ วิชาโลกีย์เลยกลายเป็นอวิชช า หาใช่วิชชาความรู้แจ้งไม่ มันจึงเรียนไม่จบสักที เพราะมัวไปตามลาภ ตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุข พาใจให้ติดข้องเป็นกิเลสกอง ใหญ่
เมื่อได้มาก็หึงก็หวง เห็นแก่ตัว สู้ด้วยกำปั้นไม่ได้ ก็คิดสร้างเครื่องจักรเครื่ องยนต์ เครื่องกลเครื่องไก สร้างศาสตราวุธสร้างลูกระเบ ิดขว้างใส่กัน นี่คือโลกีย์ มันไม่หยุดสักที เรียนไปก็เพื่อจะเอาโลก จะครองโลก ได้อะไรก็หวงอยู่นั่นแล้ว นี่คือโลกียวิสัย เรียนไปแล้วก็จบไม่ได้
มาฝึกทางโลกุตตระ โลกุตตระนี้อยู่ได้ยาก ผู้ใดหวังมรรค หวังผล หวังนิพพาน จึงจะทนอยู่ได้ จงทำตนให้เป็นคนมักน้อย สันโดษ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำให้มันหมดโลกีย์
สองหน้าของสัจธรรม
หลวงปู่ชา สุภัทโทSee More
เมื่อได้มาก็หึงก็หวง เห็นแก่ตัว สู้ด้วยกำปั้นไม่ได้ ก็คิดสร้างเครื่องจักรเครื่
มาฝึกทางโลกุตตระ โลกุตตระนี้อยู่ได้ยาก ผู้ใดหวังมรรค หวังผล หวังนิพพาน จึงจะทนอยู่ได้ จงทำตนให้เป็นคนมักน้อย สันโดษ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำให้มันหมดโลกีย์
สองหน้าของสัจธรรม
หลวงปู่ชา สุภัทโทSee More
คนเราเกิดมาแล้วมาแย่งมาชิง
พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่า ความสุขไม่มีในโลกนี้
มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นแล้วดับไ
แล้วทุกข์อันนั้นดับไป ทุกข์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก
เมื่อเห็นตามเป็นจริงอย่างน
ไม่ต้องไปขอความสุขจากใคร
...หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี...