
สมมุติ วิมุตติ โดยหลวงพ่อชา "วัดหนองป่าพง"
สิ่งทั้งหลายในโลกล้วนแต่เป
พระพุทธองค์ของเราท่านสอนสม
สมมุตินี้ก็มีประโยชน์ คือ ประโยชน์ที่สมมุติขึ้นมาให้
อย่างสกนธ์ร่างกายของเรานี้
เรื่องสมมุติกับวิมุตติมันก
รวมแล้วส่วนสมมุติก็ดี ส่วนวิมุตติก็ดี ล้วนแต่เป็นธรรมะ แต่ว่ามันเป็นของยิ่งหย่อนก

“ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้
โลกที่มันตั้งอยู่มันก็ตั้ง



พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนว่
เหมือนกับขันตักน้ำนั่นนะ โอ่งน้ำและขันตักน้ำ มีโอ่งอย่างหนึ่ง มีขันตักน้ำอย่างหนึ่ง และก็มีน้ำอย่างหนึ่งอยู่รว

ปัจจัตตัง โดย หลวงพ่อชา
ที่พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนเป็นอนัตตธรรม ธรรมอันไม่ตาย มองโลกให้เป็นของว่าง ว่างจากการเป็นตัวตน เรา...เขา ว่างจากความโลภ ว่างจากความโกรธ ว่างจากความหลง ท่านจึงให้ทำให้ว่าง ว่างจากสิ่งที่มันมีอยู่ ไม่ใช่ละของที่มันไม่มี ปัญหาทั้งหลายมันจะรู้ว่าเรากำลังทำมันอยู่ จี้มันอยู่ รู้จักมัน ปัญหาทั้งหลายมันจะเกิดขึ้นเราก็รู้ทัน รู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บางทีเราเห็นว่ามันเป็นของว่างแล...้วก็ไม่สบายใจ ไม่ค่อยสบายใจ ความเป็นจริงนั้นอย่าไปยึดมั่น อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปยึดมั่นว่าเราว่าเขา ว่าของเราของเขา ทำไปด้วยปัญญาของเราอย่างนั้น อันนี้มันเป็นเรื่องพูดฟังยาก...พูดก็ยากฟังก็ยาก ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ที่พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนไว้ ไม่ใช่เป็นคำสอนที่พูดให้คนเข้าใจได้โดยง่าย ไม่ใช่จะตรัสรู้ได้เพราะการฟังธรรม เพราะความเข้าใจในคำพูดนี้ มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเอง พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญหรอก คนที่เชื่อคนอื่นจนเกินไป พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราตรัสรู้ก็เพราะตนเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เหมือนกับที่โยมมาวันนี้ ต่างคนต่างไม่เคยมาวัดหนองป่าพง แต่รู้เรื่องวัดหนองป่าพงอยู่ คนอื่นเขาเคยมาก็สักแต่ว่าถามเขา วัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร อะไรอย่างนี้ เขาก็ตั้งใจเล่าให้ฟัง วัดหนองป่าพงอยู่ตรงโน้น เป็นอย่างนั้นๆ ฟังก็พอเข้าใจแต่ไม่รู้ เข้าใจอยู่แต่ไม่รู้ หรือรู้อยู่แต่ไม่เข้าใจจริง คือรู้ไม่ถึง มีคนเคยมาวัดอีกก็ถามเขาอีกละ วัดหนองป่าพงอยู่ไกลเท่าไหร่ เป็นอย่างไร ปัญหาไม่จบลง เพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นเอง เราไม่เป็นปัจจัตตัง
โยมที่มาวันนี้ปัญหาที่จะถามคนอื่นว่าวัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร คงจะไม่มีอีกแล้ว ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรก็คงไม่เป็นปัญหา ที่มันจบลงนี่เพราะอะไร เพราะเรามาเห็นด้วยตนเอง ปัญหาก็คงไม่ต้องถาม ถ้าโยมไม่ได้มาคงจะถามตลอดเวลา วัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์เป็นอย่างไร ถามตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะไม่เห็นด้วยตนเอง การไปถามคนอื่นก็ไม่มีแล้ว ไม่สงสัย นี้ฉันใด.... อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ไม่แปลกอะไรกับธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน
เรื่องการปฏิบัตินี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องทำ เห็นแล้วไม่ปฏิบัติรู้แล้วไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว จะเปรียบง่ายๆ อาหารที่มีรสเอร็ดอร่อย เอามาวางไว้ข้างๆ รู้ไหมว่ามันอร่อย มันเกิดประโยชน์ไหม นี่ท่านเรียกว่ารู้เฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติ คนรู้ธรรมะไม่เท่าคนผู้เห็นธรรมะ คนเห็นธรรมใจมันเป็นธรรม ธรรมะเกิดขึ้นกับจิต อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ปฏิบัติจริงอย่าไปอาศัยสิ่งอื่นมากมาย ปฏิบัติให้รู้ด้วยตนเองนี้ เมื่อจิตมันสงบแล้วสบาย มันจะมาของมัน
ที่พระพุทธเจ้าของเราท่านสอ
โยมที่มาวันนี้ปัญหาที่จะถา
เรื่องการปฏิบัตินี้มันเป็น

ทุกวันนี้ปรากฏว่ามีชาวพุทธมากมายที่ถือว่าความร่ำรวย
การมีอำนาจ ชื่อเสียง ยศฐาบรรดาศักดิ์
ความพรั่งพร้อมด้วยวัตถุ คือยอดความสุขของฆราวาส
ความคิดอย่างนี้ท่านเรียกว่า "มิจฉาทิฐิ"
เพราะจะเป็นเหตุของการประพฤติที่เป็นพิษเป็นภัยแก่ตนเอง...
ต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อม มันไม่เป็นความจริง
ความสุขดังกล่าวเป็นแค่ความสุขระดับล่าง
ย่อมมีทุกข์ไม่มากก็น้อยเจือปนอยู่เสมอ
ลองถามตนเองซิว่าความสุขคืออะไร
อะไรคือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในชีวิต
เวลาเราสวดมนต์ว่า อะหัง สุขิโต โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขๆ เถิด
หรือ สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงถึงความสุขๆ เถิด
ความสุขที่เราหวังที่เราอยากได้นั้นคืออะไร
ความสุขที่เราอยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลายคืออะไร
มันน่าคิดนะ ถ้าคำตอบยังเป็นเรื่องกิน กาม เกียรติ
นับว่าเรายังไม่เป็นมิตรแท้ของตนเองและของเพื่อนร่วมโลก
เพราะความคิดยังต่ำไป
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ
การมีอำนาจ ชื่อเสียง ยศฐาบรรดาศักดิ์
ความพรั่งพร้อมด้วยวัตถุ คือยอดความสุขของฆราวาส
ความคิดอย่างนี้ท่านเรียกว่
เพราะจะเป็นเหตุของการประพฤ
ต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อม มันไม่เป็นความจริง
ความสุขดังกล่าวเป็นแค่ความ
ย่อมมีทุกข์ไม่มากก็น้อยเจื
ลองถามตนเองซิว่าความสุขคือ
อะไรคือสิ่งที่เราต้องการมา
เวลาเราสวดมนต์ว่า อะหัง สุขิโต โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขๆ เถิด
หรือ สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงถึ
ความสุขที่เราหวังที่เราอยา
ความสุขที่เราอยากให้สรรพสั
มันน่าคิดนะ ถ้าคำตอบยังเป็นเรื่องกิน กาม เกียรติ
นับว่าเรายังไม่เป็นมิตรแท้
เพราะความคิดยังต่ำไป
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็น "เอหิปัสสิโก"
คือชวนมาดู ทนต่อการพิสูจน์ ท่านไม่ต้องการให้เราเชื่ออ
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

เคยมีคนเรียนถามท่าน อ. ปสันโน ว่าทำไม วัดหนองป่าพงสายท่านอาจารย์ ชา ถึงเพิ่งไปเผยแพร่ที่สหรัฐ ท่านตอบว่าการเผยแพร่ในอเมริกานั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ทางคณะกรรมการวัดหนองป่าพง และพระฝรั่งผู้ใหญ่หลายท่านหนักใจกันมาก เพราะพวกท่านกลัวว่าคนอเมริกันจะยึดถือพุทธศาสนาในลักษณะ FAD ซึ่งเป็นกระแสที่ลามไปเร็วมากเหมือน HIPPY ในช่วงปี 50-70 หรือพวกเห่อ โยคี มหาริชชี และกูรู พวกฮเร-กฤษณะ ที่เกิดในช่วงปี 70 ต่อ 80 ซึงส่วนใหญ่เป็นพวกหลงผิด ไม่ได้ของแท้ ต้องการเพียงแค่สิ่งยึดเหนียว ถือเป็นแฟชั่น และที่สำคัญคือพวกนักตีความซึ่งในอเมริกามีมากเหลือเกิน ดังนั้นวัด อภัยคีรี จึงเพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นได้ไม่ถึง 10 ปี โดยมีท่าน( อ.ปสันโน) เป็นพระผู้ใหญ่ไปบุกเบิก จริง ๆ แล้วเมื่อท่านไปท่านไม่ยอมพูด ไม่ยอมบอก เพราะท่านได้อาจารย์ดี ๆ อย่าง หลวงปู่ชา ที่เน้นการปฎิบัติเรียนรู้ด้วยตัวเอง มากกว่าที่บอกเล่าให้ฟัง ให้เชื่อ แต่จะต้องทดสอบเรียนรู้ ด้วยตัวเอง
ซึ่งการที่ไปเผยแพร่พุทธศาสนาในต่างประเทศ ได้รับความสำเร็จอย่างดียิ่ง นับวันจะมีคนจากประเทศต่าง ๆ แทบทุกชาติมาบวชกันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ มาจาก อิสราเอล แอฟริกาใต้ อินเดีย ก็มี ล้วนแต่มีการศึกษาสูง ๆ ทั้งนั้นเลย และน้อยคนที่จะลาสิกขาบทออกไป ทั้งยังเป็นครูที่ดีอีกด้วย ซึ่งก็ตรงแนวทางศาสนาพุทธที่ว่า การเผยแพร่ศาสนาพุทธนั้น ให้มุ่งไปที่คุณภาพ มากกว่าการเน้นไปที่ปริมาณ
ซึ่งการที่ไปเผยแพร่พุทธศาส

คำสอน โดย หลวงพ่อชา
"ความทุกข์ทั้งหลายนั้นก็เรานั่นแหละสร้างขึ้นมา...แต่ให้อดทน เห็นอยู่ว่าตรงนี้มันหนัก แต่เราอยากได้มัน ไปยกมันก็หนักจริงๆ เมื่อหนักก็ต้องอดทน มันก็เป็นอยู่อย่างนี้
อย่างเราเมื่อศึกษามา เมื่อเราเป็นนักเรียน เห็นผู้ใหญ่ดูเหมือนจะสบายเห็นคนนี้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เห็นจ้าวนายครูบาอาจารย์ ก็นึกในใจว่าจะสบาย เราก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง...เลยพยายามจนเป็นขนาดนี้แล้วยังมีทุกข์อยู่ ยังมี...ความลำบากอยู่ คือมันยังไม่พ้น อยู่ข้างนี้ก็ยังไม่พ้นอีก ก้าวไปข้างหน้าอีกก็ดูมันจะพ้นแต่ไปอีกยิ่งหนักเข้าไปเรื่อยๆ
เหมือนกับคนแก่เราน่ะมันคิดไม่มากหรอก โตขึ้นมามันคิดกว้างคิดมาก มีความฉลาดมาก ไป ช่วยเขาหมด ทั้งนั้นแหละ คนทั้งบ้านน่ะเราฉลาดคนเดียว ก็เลยทุกข์คนเดียว ความคิดของคนก็ต้องเป็นอย่างนั้นคือหมายความว่ามีมากก็ต้องแบกมากยึดมาก
"ความทุกข์ทั้งหลายนั้นก็เร
อย่างเราเมื่อศึกษามา เมื่อเราเป็นนักเรียน เห็นผู้ใหญ่ดูเหมือนจะสบายเ
เหมือนกับคนแก่เราน่ะมันคิด

ความเป็นจริงนั้นการกระทำอะ
แต่อยู่ในคนส่วนมากมันก็ต้อ
อย่างวัดอาตมาแต่ก่อนไฟฟ้าไ
ที่มันสว่างแล้วน่ะมันก็ยัง
สมัยก่อนบ้านเมืองเราก็ยังไ

ในครั้งแรกของการไปเผยแผ่พุ
หลวงพ่อชาตอบแบบอุปมาว่า...
"ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอก มันเหมือนกับนกที่อยากรู้เร
พวกเขาเหล่านั้นพอใจในคำตอบ

มนุษย์อยากสุขแต่ไม่รู้จักสุข
อยากหนีทุกข์แต่ไม่รู้จักทุกข์
สุ่มสี่สุ่มห้าเดินคลำไปคลำมาในความมืด
เอาความหวังในความสุขข้างหน้าเป็นที่ปลอบใจ
บางคนอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์...
ให้ช่วยเนรมิตให้ความมืดกลายเป็นความสว่าง
แต่พระพุทธศาสนาสอนว่า
" โยม มันสว่างอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนหรอก
ลืมตาก็จะเห็นเอง "
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ
อยากหนีทุกข์แต่ไม่รู้จักทุ
สุ่มสี่สุ่มห้าเดินคลำไปคลำ
เอาความหวังในความสุขข้างหน
บางคนอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธ
ให้ช่วยเนรมิตให้ความมืดกลา
แต่พระพุทธศาสนาสอนว่า
" โยม มันสว่างอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวที่ไ
ลืมตาก็จะเห็นเอง "
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

ปฏิบัติเพื่อละ อย่าปฏิบัติเพื่อสะสม เมื่อเราปฏิบัติธรรมเราเข้าใจอันนี้ เราก็ปล่อยวางได้ ดังนั้นก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา ในจิตเรา ในร่างกายของเรา มีแต่ความแปรเปลี่ยนไปทั้งนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น พระองค์ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้ปฏิบัติเพื่อละ เพื่อถอน ไม่ให้ปฏิบัติเพื่อสะสม
ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์ เราก็ถูกเท่านั้นแหละ
เราอยู่ในทางที่ถูกแล้ว แต่บางทีก็ยังมีความวุ่นวายเหมือนกัน ไม่ใช่คำสอนของพระองค์ทำให้วุ่นวาย
กิเลสของเรานั้นแหละที่มันทำให้วุ่นวาย
มันมาบังคับความเข้าใจอันถูกต้องเสีย ก็เลยทำให้เราวุ่นวาย
ความจริงการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
ไม่มีอะไรลำบาก ไม่มีอะไรยุ่งยาก
การปฏิบัติตามทางของพระองค์ไม่มีทุกข์
เพราะทางของพระองค์คือ "ปล่อยวาง" ให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง..
หลวงปู่ชา สุภัทโท..
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา
ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์
เราอยู่ในทางที่ถูกแล้ว แต่บางทีก็ยังมีความวุ่นวาย
กิเลสของเรานั้นแหละที่มันท
มันมาบังคับความเข้าใจอันถู
ความจริงการปฏิบัติตามคำสอน
ไม่มีอะไรลำบาก ไม่มีอะไรยุ่งยาก
การปฏิบัติตามทางของพระองค์
เพราะทางของพระองค์คือ "ปล่อยวาง" ให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง..
หลวงปู่ชา สุภัทโท..

ถ้าไปตะครุบมันอยู่อย่างนี้ ความสงบตอนนั้นไม่รู้เรื่องเสียแล้ว เป็นความสงบที่ไม่แน่นอนเช่นว่า หูของเรามีอยู่ เครื่องรับมีอยู่เมื่อยังไม่มีใครมาพูด มาด่าให้เราได้ยิน เราก็ยังสบายยังสงบอยู่ อีกวันหนึ่งพอมีเรื่องเข้าไปทางหูเท่านั้นมันก็เกิดความไม่สงบขึ้นมาแล้วฉะนั้น ความสงบนั้นจึงเป็นความสงบเพราะมันปราศจากอารมณ์ต่าง ๆ มันก็สงบเฉย ๆ อยู่ในอารมณ์อันเดียว แต่เมื่อมีอารมณ์ต่าง ๆ ผ่านมาเป็นเหตุเป็นปัจจัยก..ก็มีความเกิดขึ้นมาเกิดดีใจเกิดเสียใจขึ้นมา เกิดชอบใจไม่ชอบใจขึ้นมาเลยวุ่น อันนี้เพราะความสงบนั้นเป็นเรื่องของสมถกรรมฐานไม่ใช่เรื่องของปัญญามันสงบเหมือนกันแต่ว่ามันไม่เด็ดขาดคือ มันไม่ได้สงบเพราะรู้ตามความเป็นจริงเหมือนใบไม้บนต้นไม้เมื่อไม่ลมมาพัด มันก็สงบนิ่ง แต่ถ้ามีลมมาพัดก็กวัดแกว่ง ความสงบอันนี้มันจึงมีอายุสั้นที่มันสงบอยู่ก็เพราะอาศัยอารมณ์ที่มันไม่เปลี่ยนแปลงท่านเรียกว่า สงบจิตไม่ใช่ว่าสงบกิเลส"

"สมาธินี้มีหน้าที่อย่างหนึ่ง ศีลนี้ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง ปัญญาก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง อาการที่เรากำหนดในที่นั้นมันจะเป็นวงกลมอย่างนี้ ตามที่ปรากฏอยู่ในใจเรามันจะมีศีลอยู่ตรงนี้มีสมาธิอยู่ตรงนี้มีปัญญาอยู่ตรงนี้ เมื่อจิตเราสงบแล้ว จะมีการสังวรสำรวมเข้าด้วยปัญญา ด้วยกำลังสมาธิเมื่อสำรวมเข้า ละเอียดเข้ามันจะเป็นกำลังช่วยศีลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาก เมื่อบริสุทธิ์ขึ้นมามากก็จะช่วยให้สมาธิเกิดขึ้นมามากให้ดีขึ้นมาก เมื่อสมาธิเต็มที่แล้วจะช่วยปัญญาจะช่วยกันเป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน อย่างนี้จนกว่ามรรคคือ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันเป็นก้อนเดียวกันอย่างนี้แล้วจะทำสม่ำเสมอเราจะต้องรักษากำลังอย่างนี้อันนี้เป็นกำลังที่จะทำให้เกิดวิปัสสนาคือปัญญา"
อาจารย์ชา สุภัทโท
อาจารย์ชา สุภัทโท

