GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

สมมุติ วิมุตติ โดยหลวงพ่อชา "วัดหนองป่าพง"

หลวงพ่อชา ฝึกหัดเปลียนนิสัย
สมมุติ วิมุตติ โดยหลวงพ่อชา "วัดหนองป่าพง"


สิ่งทั้งหลายในโลกล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ที่เราสมมุติกันขึ้นมาเองทั้งสิ้น สมมุติแล้วก็หลงสมมุติของตัวเอง เลยไม่มีใครวาง มันเป็นทิฐิ มันเป็นมานะ ความยึดมั่นถือมั่น อันความยึดมั่นถือมั่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะจบได้ มันจบลงไม่ได้เสียที เป็นเรื่องวัฏสงสารที่ไหลไปไม่ขาด ไม่มีทางสิ้นสุด ทีนี้เมื่อเรารู้จักสมมุติแล้ว ก็รู้จักวิมุตติ ครั้นรู้จักวิมุตติก็รู้จักสมมุติ ก็จะรู้จักธรรมะอันหมดสิ้นได้

พระพุทธองค์ของเราท่านสอนสมมุติ แล้วทรงสอนให้รู้จักแก้สมมุติ อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปหลงสมมุติ ท่านว่ามันเป็นทุกข์ เรื่องสมมุติ เรื่องบัญญัตินี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าคนไหนปล่อย คนไหนวางได้ มันก็หมดทุกข์ มันก็เป็นวิมุตติ ที่ชื่อว่าวิมุตติ ก็สมมุตินี้แหละเรียกขึ้นมา

สมมุตินี้ก็มีประโยชน์ คือ ประโยชน์ที่สมมุติขึ้นมาให้เราใช้กัน เช่นชื่อคน ภาษา จะได้พูดกันรู้เรื่อง จะได้ปฏิบัติ หรือนำไปใช้ให้ถูกต้อง เมื่อสมมุติขึ้นมาแล้ว มันก็เป็น แต่ว่าจะเปลี่ยนให้เป็นวิมุตติ

อย่างสกนธ์ร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของเราหรอก มันเป็นของสมมุติ จริงๆ แล้วจะหาตัวตนเราเขาแท้มันไม่มี มีแต่ธรรมธาตุอันหนึ่งเท่านั้นแหละ มันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ทุกอย่างมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีเรื่องอะไรเป็นจริงเป็นจังของมัน แต่ว่าสมควรที่เราจะใช้มัน

เรื่องสมมุติกับวิมุตติมันก็เกี่ยวข้องกันอย่างนี้เรื่อยไป ฉะนั้นถ้าหากว่าจะใช้สมมุติอันนี้อยู่ อย่าไปวางอกวางใจว่ามันเป็นของจริง จริงโดยสมมุติเท่านั้น ถ้าไปยึดมั่นถือมั่น มันก็เกิดทุกข์ขึ้นมา เพราะเราไม่รู้เรื่องอันนี้ตามความเป็นจริง เรื่องมันจะถูกจะผิดก็เหมือนกัน บางคนเห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เรื่องผิด เรื่องถูกไม่รู้ว่าเป็นของใคร ต่างคนต่างสมมุติขึ้นมาว่าถูก ว่าผิดอย่างนี้แหละ เรื่องทุกเรื่องก็ควรให้รู้

รวมแล้วส่วนสมมุติก็ดี ส่วนวิมุตติก็ดี ล้วนแต่เป็นธรรมะ แต่ว่ามันเป็นของยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่มันเป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน เราจะรับรองแน่นอนว่า อันนี้ เป็นอันนี้ จริงๆ อย่างนั้นไม่ได้






“ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด โลกอันนี้ไม่ต้องแก้ปัญหาอะไรให้มันมากมาย มาแก้ความเห็นของเรา มาแก้ความคิดของเรา มาแก้ทิฏฐิของเรา ให้มีความเห็นอันถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น

โลกที่มันตั้งอยู่มันก็ตั้งอยู่ตามสภาพของมัน เพราะเราไปหลงโลก มันจึงทุกข์ โลกนั้นมันไม่ทุกข์ โลกนั้นมันไม่ยาก เราเป็นคนยาก โลกไม่ได้ทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เอง ฉะนั้น จึงมาแก้ที่เรา ใจเรานี้มันหลงโลก ไม่ใช่โลกหลงเรา เรามันหลงโลก”











 พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนว่าให้มันว่าง ความว่างนี้อย่าไปฟังผิดนะ ถ้าฟังผิดละก็อะไรก็ว่างไปหมด จะได้อะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจะเอา คือปฏิบัติเพื่อละเพื่อวาง ถ้าเราเอาอะไรทุกอัน เรามีอะไรไหม เรามีอะไรมันก็ข้องอยู่อันนั้นแหละ มีลูกมันก็ข้องอยู่กับลูก มีหลานมันก็ข้องอยู่กับหลาน มีเรือกสวนไร่นามันก็ข้องอยู่ตรงนั้นแหละ ทำไม...จะไม่ให้มันมีหรือ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเราทำที่ไม่มีให้มันมี เราก็ต้องทำที่มัน...มีให้เหมือนกับไม่มี มันเป็นคนละเรื่องกัน ที่เราร่ำที่เรารวยหรือชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้ เราอยู่กับการปล่อยวาง อยู่ด้วยปัญญา เราไม่ได้อยู่ด้วยความโง่ อยู่กับใครก็ได้ มีเงินเยอะก็ได้ มีทองเยอะก็ได้ มีผัวก็ได้ มีเมียก็ได้ ขอให้เรามีปัญญา อยู่อย่างปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน

เหมือนกับขันตักน้ำนั่นนะ โอ่งน้ำและขันตักน้ำ มีโอ่งอย่างหนึ่ง มีขันตักน้ำอย่างหนึ่ง และก็มีน้ำอย่างหนึ่งอยู่รวมกันนั่น เมื่อเราจะดื่มน้ำเราก็เดินไปที่โอ่ง ไปที่โอ่งเราก็จะไปพบน้ำกับขันน้ำที่ลอยอยู่ เราจะดื่มน้ำจะทำอย่างไร ก็เอาขันตักเอาน้ำมาดื่มเท่านั้น เราก็เอาขันวางไว้เอาโอ่งวางไว้ แล้วก็จากไป ไม่ใช่ว่าเราจะดื่มขัน ไม่ใช่ว่าเราจะดื่มโอ่ง โอ่งนั้นสำหรับบรรจุน้ำไว้ให้เราดื่ม เมื่อเราดื่มเสร็จแล้วเราก็ปล่อยโอ่งไว้ ปล่อยขันไว้ เราก็จากไป ไม่ใช่ว่าเราจะหอบเอาขันไปด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะแบกเอาโอ่งไปด้วย ไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้บ้านเรา อันนี้เรือนเรา อันนี้ลูกเราเมียเราหลานเรา ทุกอย่างเป็นของเรา สักแต่ว่าสมมติ ไม่ใช่ของจริง ความจริงนั้นเราไปดื่มน้ำ ถ้าเราไปดื่มโอ่งน้ำจะสบายไหม ไปดื่มเอาขันมันจะสบายไหม คงจะไม่มีผู้ใดไปดื่มโอ่งดื่มขัน คงไม่มีนะ เอาโอ่งวางไว้อย่างเก่า เอาขันวางไว้อย่างเก่า เราก็จากไป เรามีของอะไรต่างๆ ของที่เรามีมันก็มีอยู่แล้วในโลก เราเห็นว่าตัวเรานี้ก็ไม่ใช่เรา ของนั้นก็ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นเครื่องสัมพันธ์กันอยู่ มีก็ใช้ไปเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่กาย แต่ความเป็นจริงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ





ปัจจัตตัง โดย หลวงพ่อชา

ที่พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนเป็นอนัตตธรรม ธรรมอันไม่ตาย มองโลกให้เป็นของว่าง ว่างจากการเป็นตัวตน เรา...เขา ว่างจากความโลภ ว่างจากความโกรธ ว่างจากความหลง ท่านจึงให้ทำให้ว่าง ว่างจากสิ่งที่มันมีอยู่ ไม่ใช่ละของที่มันไม่มี ปัญหาทั้งหลายมันจะรู้ว่าเรากำลังทำมันอยู่ จี้มันอยู่ รู้จักมัน ปัญหาทั้งหลายมันจะเกิดขึ้นเราก็รู้ทัน รู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บางทีเราเห็นว่ามันเป็นของว่างแล...้วก็ไม่สบายใจ ไม่ค่อยสบายใจ ความเป็นจริงนั้นอย่าไปยึดมั่น อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปยึดมั่นว่าเราว่าเขา ว่าของเราของเขา ทำไปด้วยปัญญาของเราอย่างนั้น อันนี้มันเป็นเรื่องพูดฟังยาก...พูดก็ยากฟังก็ยาก ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ที่พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนไว้ ไม่ใช่เป็นคำสอนที่พูดให้คนเข้าใจได้โดยง่าย ไม่ใช่จะตรัสรู้ได้เพราะการฟังธรรม เพราะความเข้าใจในคำพูดนี้ มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเอง พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญหรอก คนที่เชื่อคนอื่นจนเกินไป พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราตรัสรู้ก็เพราะตนเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง เหมือนกับที่โยมมาวันนี้ ต่างคนต่างไม่เคยมาวัดหนองป่าพง แต่รู้เรื่องวัดหนองป่าพงอยู่ คนอื่นเขาเคยมาก็สักแต่ว่าถามเขา วัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร อะไรอย่างนี้ เขาก็ตั้งใจเล่าให้ฟัง วัดหนองป่าพงอยู่ตรงโน้น เป็นอย่างนั้นๆ ฟังก็พอเข้าใจแต่ไม่รู้ เข้าใจอยู่แต่ไม่รู้ หรือรู้อยู่แต่ไม่เข้าใจจริง คือรู้ไม่ถึง มีคนเคยมาวัดอีกก็ถามเขาอีกละ วัดหนองป่าพงอยู่ไกลเท่าไหร่ เป็นอย่างไร ปัญหาไม่จบลง เพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นเอง เราไม่เป็นปัจจัตตัง

โยมที่มาวันนี้ปัญหาที่จะถามคนอื่นว่าวัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร คงจะไม่มีอีกแล้ว ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรก็คงไม่เป็นปัญหา ที่มันจบลงนี่เพราะอะไร เพราะเรามาเห็นด้วยตนเอง ปัญหาก็คงไม่ต้องถาม ถ้าโยมไม่ได้มาคงจะถามตลอดเวลา วัดหนองป่าพงเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์เป็นอย่างไร ถามตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะไม่เห็นด้วยตนเอง การไปถามคนอื่นก็ไม่มีแล้ว ไม่สงสัย นี้ฉันใด.... อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ไม่แปลกอะไรกับธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน

เรื่องการปฏิบัตินี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องทำ เห็นแล้วไม่ปฏิบัติรู้แล้วไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว จะเปรียบง่ายๆ อาหารที่มีรสเอร็ดอร่อย เอามาวางไว้ข้างๆ รู้ไหมว่ามันอร่อย มันเกิดประโยชน์ไหม นี่ท่านเรียกว่ารู้เฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติ คนรู้ธรรมะไม่เท่าคนผู้เห็นธรรมะ คนเห็นธรรมใจมันเป็นธรรม ธรรมะเกิดขึ้นกับจิต อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ปฏิบัติจริงอย่าไปอาศัยสิ่งอื่นมากมาย ปฏิบัติให้รู้ด้วยตนเองนี้ เมื่อจิตมันสงบแล้วสบาย มันจะมาของมัน





ทุกวันนี้ปรากฏว่ามีชาวพุทธมากมายที่ถือว่าความร่ำรวย
การมีอำนาจ ชื่อเสียง ยศฐาบรรดาศักดิ์
ความพรั่งพร้อมด้วยวัตถุ คือยอดความสุขของฆราวาส
ความคิดอย่างนี้ท่านเรียกว่า "มิจฉาทิฐิ"
เพราะจะเป็นเหตุของการประพฤติที่เป็นพิษเป็นภัยแก่ตนเอ...
ต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อม มันไม่เป็นความจริง
ความสุขดังกล่าวเป็นแค่ความสุขระดับล่าง
ย่อมมีทุกข์ไม่มากก็น้อยเจือปนอยู่เสมอ

ลองถามตนเองซิว่าความสุขคืออะไร
อะไรคือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในชีวิต
เวลาเราสวดมนต์ว่า อะหัง สุขิโต โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขๆ เถิด
หรือ สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงถึงความสุขๆ เถิด
ความสุขที่เราหวังที่เราอยากได้นั้นคืออะไร
ความสุขที่เราอยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลายคืออะไร
มันน่าคิดนะ ถ้าคำตอบยังเป็นเรื่องกิน กาม เกียรติ
นับว่าเรายังไม่เป็นมิตรแท้ของตนเองและของเพื่อนร่วมโล
เพราะความคิดยังต่ำไป

พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ





ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็น "เอหิปัสสิโก"
คือชวนมาดู ทนต่อการพิสูจน์ ท่านไม่ต้องการให้เราเชื่ออะไรง่ายๆ ท่านต้องการให้เราเอาคำสอนไปดู เทียบเคียงกับชีวิตของเราว่าจริงไหม อย่างเช่น ท่านสอนว่าทุกวันนี้เราเป็นทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น ความผูกพัน การหวังความสุขแต่จากสิ่งนอกตัว ยึดมั่นถือมั่นมากก็ทุกข์มาก ยึดมั่นถือมั่นน้อยก็ทุกข์น้อย ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นเลยก็ไม่ทุกข์เลย คำสอนลักษณะอย่างนี้ไม่ใช่ทฤษฎีที่ผู้มีศรัทธาต้องเชื่อ หากเป็นเรื่องประสบการณ์ของมนุษย์แท้ๆ

พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ


เคยมีคนเรียนถามท่าน อ. ปสันโน ว่าทำไม วัดหนองป่าพงสายท่านอาจารย์ ชา ถึงเพิ่งไปเผยแพร่ที่สหรัฐ ท่านตอบว่าการเผยแพร่ในอเมริกานั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ทางคณะกรรมการวัดหนองป่าพง และพระฝรั่งผู้ใหญ่หลายท่านหนักใจกันมาก เพราะพวกท่านกลัวว่าคนอเมริกันจะยึดถือพุทธศาสนาในลักษณะ FAD ซึ่งเป็นกระแสที่ลามไปเร็วมากเหมือน HIPPY ในช่วงปี 50-70 หรือพวกเห่อ โยคี มหาริชชี และกูรู พวกฮเร-กฤษณะ ที่เกิดในช่วงปี 70 ต่อ 80 ซึงส่วนใหญ่เป็นพวกหลงผิด ไม่ได้ของแท้ ต้องการเพียงแค่สิ่งยึดเหนียว ถือเป็นแฟชั่น และที่สำคัญคือพวกนักตีความซึ่งในอเมริกามีมากเหลือเกิน ดังนั้นวัด อภัยคีรี จึงเพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นได้ไม่ถึง 10 ปี โดยมีท่าน( อ.ปสันโน) เป็นพระผู้ใหญ่ไปบุกเบิก จริง ๆ แล้วเมื่อท่านไปท่านไม่ยอมพูด ไม่ยอมบอก เพราะท่านได้อาจารย์ดี ๆ อย่าง หลวงปู่ชา ที่เน้นการปฎิบัติเรียนรู้ด้วยตัวเอง มากกว่าที่บอกเล่าให้ฟัง ให้เชื่อ แต่จะต้องทดสอบเรียนรู้ ด้วยตัวเอง

ซึ่งการที่ไปเผยแพร่พุทธศาสนาในต่างประเทศ ได้รับความสำเร็จอย่างดียิ่ง นับวันจะมีคนจากประเทศต่าง ๆ แทบทุกชาติมาบวชกันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ มาจาก อิสราเอล แอฟริกาใต้ อินเดีย ก็มี ล้วนแต่มีการศึกษาสูง ๆ ทั้งนั้นเลย และน้อยคนที่จะลาสิกขาบทออกไป ทั้งยังเป็นครูที่ดีอีกด้วย ซึ่งก็ตรงแนวทางศาสนาพุทธที่ว่า การเผยแพร่ศาสนาพุทธนั้น ให้มุ่งไปที่คุณภาพ มากกว่าการเน้นไปที่ปริมาณ



คำสอน โดย หลวงพ่อชา

"ความทุกข์ทั้งหลายนั้นก็เรานั่นแหละสร้างขึ้นมา...แต่ให้อดทน เห็นอยู่ว่าตรงนี้มันหนัก แต่เราอยากได้มัน ไปยกมันก็หนักจริงๆ เมื่อหนักก็ต้องอดทน มันก็เป็นอยู่อย่างนี้

อย่างเราเมื่อศึกษามา เมื่อเราเป็นนักเรียน เห็นผู้ใหญ่ดูเหมือนจะสบายเห็นคนนี้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เห็นจ้าวนายครูบาอาจารย์ ก็นึกในใจว่าจะสบาย เราก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง...เลยพยายามจนเป็นขนาดนี้แล้วยังมีทุกข์อยู่ ยังมี...ความลำบากอยู่ คือมันยังไม่พ้น อยู่ข้างนี้ก็ยังไม่พ้นอีก ก้าวไปข้างหน้าอีกก็ดูมันจะพ้นแต่ไปอีกยิ่งหนักเข้าไปเรื่อยๆ

เหมือนกับคนแก่เราน่ะมันคิดไม่มากหรอก โตขึ้นมามันคิดกว้างคิดมาก มีความฉลาดมาก ไป ช่วยเขาหมด ทั้งนั้นแหละ คนทั้งบ้านน่ะเราฉลาดคนเดียว ก็เลยทุกข์คนเดียว ความคิดของคนก็ต้องเป็นอย่างนั้นคือหมายความว่ามีมากก็ต้องแบกมากยึดมาก 


 ความเป็นจริงนั้นการกระทำอะไรทุกอย่าง ถ้าให้รู้จักหน้าที่กันทุกคน แล้วมันก็ไม่มีเรื่องอะไรนะ สบาย ความสบายมันมีอยู่

แต่อยู่ในคนส่วนมากมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ สถานที่นี้ท่านเรียกว่าโลก โลกท่านแปลว่า ความมืด โลกเจริญก็คือมืดเจริญนั่นเอง แหม...โลกมันเจริญ เจริญมันก็มืดเจริญขึ้น

อย่างวัดอาตมาแต่ก่อนไฟฟ้าไม่มี ก็ไม่เห็นว่ามันสว่างหรือมันมืดนะ ถ้ามีไฟฟ้ามาแล้วเห็นจะสบาย มีน้ำก็สบาย โอ้...ไฟฟ้ามันก็ไม่เกิดมาเองหรอกนะ ก่อนจะมีไฟฟ้ามันต้องเสียอะไรมากๆ ก่อนจะมีน้ำมันก็ต้องเสียอะไรไปมากๆ จะต้องลงทุนทั้งหมด มันก็เกิดจากความลำบาก

ที่มันสว่างแล้วน่ะมันก็ยังไปปิดใจของเราให้มืดอีก ที่มันสะดวกแล้วมันก็ไปปิดใจให้เรามันมืดอีก คนเราถ้ามันสะดวกสบายแล้วยิ่งมักง่าย

สมัยก่อนบ้านเมืองเราก็ยังไม่เจริญ ทำส้วมอยู่โน้นในป่า...อุตส่าห์ไป เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ที่นอนอยู่นั่น ต้องทำส้วมอยู่ที่นั้น ขนาดนั้นก็ยังไม่สบายอยู่อีก จะให้มันสบาย สะดวก มันก็ไม่สะดวกนะ มันสบายมากเกินไป ก็เลยประมาทกันเสีย อยากจะให้มันยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก มันก็ไม่พอสักที แล้วก็บ่นว่ามันทุกข์ ทุกข์ใครสร้างขึ้นมามองไม่เห็น ว่ามันเป็นเพราะอันนั้นๆ มันเป็นเพราะอันนี้ (หลวงพ่อท่านเอามือชี้ที่ตัวของท่านประกอบ) ไม่เคยชี้เข้ามาเลย ต้นตออยู่ตรงนี้ไม่เคยชี้เข้ามา มันก็ไม่กระจ่างเท่านั้นแหละ ว่าแต่คนโน้นๆ ชี้ออกไปทางโน้น ก็ไปเห็นของข้างนอกโน้น ไปแต่งของข้างนอกเรื่อยๆไป อันนี้ไม่ค่อยแต่ง จิตใจไม่ค่อยแต่งกัน"
ดูเพิ่มเติม







ในครั้งแรกของการไปเผยแผ่พุทธธรรมยังต่างประเทศ ชาวอังกฤษบางคนเรียนถาม หลวงพ่อชาว่า "ชีวิตของพระเป็นอย่างไร?... ทำไมชาวบ้านถึงได้เลี้ยงดู โดยที่พระไม่ได้ทำอะไร?"

หลวงพ่อชาตอบแบบอุปมาว่า...

"ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอก มันเหมือนกับนกที่อยากรู้เรื่องของปลาในน้ำ ถึงปลาบอก ความจริงว่า อยู่ในน้ำเป็นอย่างไร นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้ ตราบใดที่นกยังไม่เป็นปลา"

พวกเขาเหล่านั้นพอใจในคำตอบของหลวงพ่อชามาก หลังจากกลับสู่เมืองไทยแล้ว ในปี พ.ศ. 2520 หลวงพ่อชาจึงได้รับหนังสือจาก บี.บี.ซี. แห่งประเทศอังกฤษ ติดต่อขอเข้าถ่ายทำภาพยนต์เกี่ยวกับพุทธศาสนาที่วัดหนองป่าพง ตอนท้ายของหนังสือติดต่อฉบับนั้น มีข้อความอยู่ประโยคหนึ่ง ซึ่งเขาเน้นว่า "หวังว่าท่านอาจารย์ คงจะเป็นปลาที่เห็นประโยชน์ (เกื้อกูล) แก่นก"





มนุษย์อยากสุขแต่ไม่รู้จักสุข
อยากหนีทุกข์แต่ไม่รู้จักทุกข์
สุ่มสี่สุ่มห้าเดินคลำไปคลำมาในความมืด
เอาความหวังในความสุขข้างหน้าเป็นที่ปลอบใจ
บางคนอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์...
ให้ช่วยเนรมิตให้ความมืดกลายเป็นความสว่าง
แต่พระพุทธศาสนาสอนว่า
" โยม มันสว่างอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนหรอก
ลืมตาก็จะเห็นเอง "

พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ



ปฏิบัติเพื่อละ อย่าปฏิบัติเพื่อสะสม เมื่อเราปฏิบัติธรรมเราเข้าใจอันนี้ เราก็ปล่อยวางได้ ดังนั้นก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา ในจิตเรา ในร่างกายของเรา มีแต่ความแปรเปลี่ยนไปทั้งนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น พระองค์ทรงสอนพระสาวกของพระองค์ให้ปฏิบัติเพื่อละ เพื่อถอน ไม่ให้ปฏิบัติเพื่อสะสม

ถ้าเราทำตามคำสอนของพระองค์ เราก็ถูกเท่านั้นแหละ
เราอยู่ในทางที่ถูกแล้ว แต่บางทีก็ยังมีความวุ่นวายเหมือนกัน ไม่ใช่คำสอนของพระองค์ทำให้วุ่นวาย
กิเลสของเรานั้นแหละที่มันทำให้วุ่นวาย
มันมาบังคับความเข้าใจอันถูกต้องเสีย ก็เลยทำให้เราวุ่นวาย

ความจริงการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
ไม่มีอะไรลำบาก ไม่มีอะไรยุ่งยาก
การปฏิบัติตามทางของพระองค์ไม่มีทุกข์
เพราะทางของพระองค์คือ "ปล่อยวาง" ให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง..

หลวงปู่ชา สุภัทโท..

ถ้าไปตะครุบมันอยู่อย่างนี้ ความสงบตอนนั้นไม่รู้เรื่องเสียแล้ว เป็นความสงบที่ไม่แน่นอนเช่นว่า หูของเรามีอยู่ เครื่องรับมีอยู่เมื่อยังไม่มีใครมาพูด มาด่าให้เราได้ยิน เราก็ยังสบายยังสงบอยู่ อีกวันหนึ่งพอมีเรื่องเข้าไปทางหูเท่านั้นมันก็เกิดความไม่สงบขึ้นมาแล้วฉะนั้น ความสงบนั้นจึงเป็นความสงบเพราะมันปราศจากอารมณ์ต่าง ๆ มันก็สงบเฉย ๆ อยู่ในอารมณ์อันเดียว แต่เมื่อมีอารมณ์ต่าง ๆ ผ่านมาเป็นเหตุเป็นปัจจัยก..ก็มีความเกิดขึ้นมาเกิดดีใจเกิดเสียใจขึ้นมา เกิดชอบใจไม่ชอบใจขึ้นมาเลยวุ่น อันนี้เพราะความสงบนั้นเป็นเรื่องของสมถกรรมฐานไม่ใช่เรื่องของปัญญามันสงบเหมือนกันแต่ว่ามันไม่เด็ดขาดคือ มันไม่ได้สงบเพราะรู้ตามความเป็นจริงเหมือนใบไม้บนต้นไม้เมื่อไม่ลมมาพัด มันก็สงบนิ่ง แต่ถ้ามีลมมาพัดก็กวัดแกว่ง ความสงบอันนี้มันจึงมีอายุสั้นที่มันสงบอยู่ก็เพราะอาศัยอารมณ์ที่มันไม่เปลี่ยนแปลงท่านเรียกว่า สงบจิตไม่ใช่ว่าสงบกิเลส"


"สมาธินี้มีหน้าที่อย่างหนึ่ง ศีลนี้ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง ปัญญาก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง อาการที่เรากำหนดในที่นั้นมันจะเป็นวงกลมอย่างนี้ ตามที่ปรากฏอยู่ในใจเรามันจะมีศีลอยู่ตรงนี้มีสมาธิอยู่ตรงนี้มีปัญญาอยู่ตรงนี้ เมื่อจิตเราสงบแล้ว จะมีการสังวรสำรวมเข้าด้วยปัญญา ด้วยกำลังสมาธิเมื่อสำรวมเข้า ละเอียดเข้ามันจะเป็นกำลังช่วยศีลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาก เมื่อบริสุทธิ์ขึ้นมามากก็จะช่วยให้สมาธิเกิดขึ้นมามากให้ดีขึ้นมาก เมื่อสมาธิเต็มที่แล้วจะช่วยปัญญาจะช่วยกันเป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน อย่างนี้จนกว่ามรรคคือ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันเป็นก้อนเดียวกันอย่างนี้แล้วจะทำสม่ำเสมอเราจะต้องรักษากำลังอย่างนี้อันนี้เป็นกำลังที่จะทำให้เกิดวิปัสสนาคือปัญญา"

อาจารย์ชา สุภัทโท









วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

แฉ...ความลับ เสธ. น้ำเงิน




แฉ..ความลับ
29 มี.ค.57 แฉ..เสื้อแดงหมิ่นพระบรม และแตกกันเละกับชายชุดดำแล้ว

ตามที่มีผู้เตือนเคยเตือนแก๊งค์อั้งยี่แดงว่า ที่ตั้งของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในปัจจุบันนี้ ประวัติความเป็นมาเดิมเป็นพระตำหนักของสมเด็จพระบรม ประชาชนในเขตนนทบุรีเรียกกันว่าวังพระบรม ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง และความเจริญของจังหวัดนนทบุรี ที่ส่วนหนื่งเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณ

ก่อนหน้านี้แก๊งค์อั้งยี่แดงเคยกล้า ถึงขนาดปลอมหนังสือราชการของราชเลขาธิการในพระองค์พระบรม ที่อ้างว่าส่งกำลังพลคุ้มครองปูเน่า 3,000 คน สุดท้ายราชเลขาธิการก็ออกมาบอกว่า “ เป็นของปลอม” , ต่อมาก็อ้างกันอีกในหมู่เสื้อแดงว่า พระบรมเรียกบิ๊กชายชุดเขียวเข้าไป และบอกให้วางตัวเป็นกลาง..อันนี้ก็โกหกหลอกพวกเดียวกันเองในเข้าคอกอีก , ต่อมาแก๊งค์อั้งยี่แดงยังแอบติดป้ายไวนิลภาพพระบรม และข้อความที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดอีกหลายจุดที่เชียงใหม่ และในภาคเหนือ อีกจนหัวหน้าชายชุดดำเชียงใหม่ ต้องสั่งให้เก็บออกให้หมด

เท่านั้นยังไม่พบบริษัทเผาไทย ยังสั่งการแก๊งค์อั้งยี่แดง ให้ยิงระเบิดเข้าใส่วังเดิมพระบรมอีก (ป.ป.ช.) ชาวบ้านทั่วไปจืงพูดว่าวังถูกยิงระเบิดใส่..ไม่ว่าคนเสื้อแดงจะแสร้งทำป้ายเวที หรือ เสื้อข้อความรักพระบรม แต่มันไม่ได้เป็นตามความหมายนั้นจริงๆ เพราะชายดูไบ แกนนำบริษัทเผาไทย แก๊งค์อั้งยี่แดง และคนเสื้อแดงส่วนหนึ่ง กำลังหมิ่นพ่อหลวง ที่เป็นพระราชบิดาของพระบรมนั่นเอง..นั่นหมายความว่าตอนนี้ คนเสื้อแดงทั้งหมด กำลังหมิ่นพระบรมด้วย ว่างั้นเถอะ !!

ในบริเวณใกล้เคียงวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) เป็นที่พักของชายชุดดำปราบยาเสพติด และภูธรภาค 1 นับพันคน อยู่ที่ด้านหลังวังเดิม การที่แก๊งค์อั้งยี่แดงสั่งอันธพาลแดงแก๊งค์กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ในสังกัด ยิง M79 ไปมั่วเหมือนหมู่บ้านกระสุนตก อาจทำให้ตกใส่ชายชุดดำจำนวนมาก รวมทั้งครอบครัวบาดเจ็บล้มตายด้วย ขอให้ปูเน่าสั่งการสมุนแดงให้ใช้ความระมัดระวังในการยิงมากๆ ด้วย ก่อนที่ ปปช.จะชี้มูลความผิดปูเน่า และสมุนคดีชักดาบเงินจำนำข้าวของชาวนาผู้ยากจน

เมื่อ ป.ป.ช.มติ ไม่อนุญาตให้ปูเน่าขยายเวลาชี้แจงข้อกล่าวหาด้วยตัวเองคดีชักดาบเงินจำนำข้าวของชาวนา ออกไปอีก 45 วัน.. ตามที่ปูเน่ายื่นขอมา แต่ ปปช.ยืนยันว่าถ้าภายในวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 57 ไม่มา ภายในวันที่ 4 เม.ย. นี้ ก็จะชีมูลความผิดปูเน่าไปเลย เพราะที่ผ่านมาก็ขอขยายเวลามาแล้ว แต่ก็ไม่สนใจที่จะชี้แจงใดๆ มีแต่ไปเที่ยวเตร่ ตามเรื่องตามราว กินก๋วยเตี๋ยวล้มก้นจ้ำเบ้าที่เหนือบ้าง ไปให้พระสาดน้ำมนต์จนหน้าเหวอที่อีสานบ้าง

นี่ถ้าไม่มีพลังสีเขียวบางอย่างบังคับ ว่าห้ามหนีออกนอกประเทศ ป่านนี้คงหนีตะเหลิดไปหลวงพระบาง สปป.ลาว เพื่อไปหาชายดูไบ ที่มาป้วนเปี้ยนเรียกสมุนไปพบ และสังการแกนนำเสื้อแดง มอบหมายภารกิจป่วนเมืองให้ก่อการร้ายสากล ในช่วงที่ ป.ป.ช. จะชี้มูลความผิดปูเน่า

แก๊งค์เสื้อแดงฮาร์ดคอร์หนึ่งที่บริษัทเผาไทย เรียกจ้างมาใช้ก่อการร้ายสากลในเขตนนทบุรี คือ กลุ่ม กวป.นั่นเอง กลุ่มนี้มีกำลังไม่มากนัก น้อยกว่าเสื้อแดงแบ่งแยกดินแดน นปช.มาก แต่พยายามบอกว่าเป็นคนละกลุ่มกับแดง นปช. นั้นเพราะแก๊งค์นี้ต้องการรับเงินน้ำเลี้ยงตรง โดยไม่ผ่าน นปช. ว่างั้นเหอะ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าแดง นปช.แดกหัวคิวหนักมาก ทุกเม็ด ทุกช๊อต

กลุ่ม กวป. เป็นการรวมของสถานีวิทยุชุมชนเสื้อแดง 13 แห่ง ในพื้นที่ปทุมธานี วังหิน เทพารักษ์ สมุทรปราการ มีได้รับเวลาจากออกอากาศจากทีวีช่องแดงเอเชียอาบแดด ของบริษัทเผาไทย กลุ่มนี้เคลื่อนไหวก่อความรุนแรงแถว จ.ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ประธานกลุ่มคือเล็ก บ้านดอน โดยมีศรรักษ์ เป็นโฆษกกลุ่ม ช่วงหลังมีความขัดแย้ง แตกคอกับแก๊งค์ โกเต็ก เพราะขัดผลประโยชน์เรื่องเงินทองสนับสนุน ที่แบ่งกันไม่ลงตัว และบางครั้งก็มีการลอบยิงกันเองกับโกตี๋บ้าง ยิ้ม บ้างประปราย

ขุมกำลังหลักของกลุ่ม กวป. ประกอบไปด้วย สถานีวิทยุชุมชน “คนไทยหัวใจเดียวกัน” FM 103.90 MHz แยกวังหิน ของเล็ก บ้านดอน หรือ นายธนชัย หรือดีเจหนุ่ม วีคลอง คนใกล้ชิดของชินวัฒน์ แห่งคลื่นวิทยุชุมชนคนแท็กซี่ (ที่ถูกหลานชายยิงจนใส้แตกเจ็บหนัก และเพิ่งถูกศาลไคฟงอุธรณ์ พิพากษาจำคุกในคดีที่ไปปิดเนชั่น และแกล้งผู้หญิงท้องไม่ให้ออกไปหาหมอตอนปี 2549) และเคยได้ดิบได้ดีกลายเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อบริษัทเผาไทยสมัยที่แล้ว

ส่วนศรรัก ประธานกลุ่มสถานีวิทยุชุมชน “คลื่นมหาประชาชน” FM 104.10 MHz อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เคยร่วมทำวิทยุชุมชน ปทุมธานี กับ โกเต็ก เรดการ์ด มาก่อน แต่มีปัญหาเรื่องการพนัน และเรื่องเงินๆ ทองๆ วันนี้ทั้งสองคนแยกทางกัน ชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ อีกคนคือ ชาญ หรือ หนุ่ม รองประธานกลุ่มสถานีวิทยุชุมชน “ผู้กล้าประชาธิปไตย” FM 90.25 MHz ตลาดหนามแดง สมุทรปราการ เคยขายยาผีบอก อยู่กับดาชัย ประธานกลุ่มเสื้อแดงพลังลำปาง

กลุ่ม กวป. พยายามแสดงผลงานให้เห็นว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ ของเสื้อแดง ที่กำลังไต่ขึ้นมาเทียบชั้นกับ เสื้อแดงแบ่งแยกดินแดน นปช. ผลงานชั่วช้าที่ผ่านมา เช่น
- ร่วมชุมนุม กับแนวร่วม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง
- มาดังตอนรับจ็อบชนกับศาลไคฟงรัฐธรรมนูญ จนขณะนี้แกนนำแดงหลายคน โดนฟ้องข้อหา ดูหมิ่นศาลฯ
- จ้างกฤษดา ไชยแค ปาระเบิด RGD5 ใส่กำนันที่ ถ.บรรทัดทอง
- ปาระเบิด RGD5 ใส่ถาวร ที่อนุสาวรีย์ชัย และเอาระเบิดนี้ไปให้กลุ่มดีเจที่เชียงใหม่ปา 2 จุด
- ทีมมือปืน 1 ใน 6 คน ที่ยิงสุทินตาย ที่วัดศรีเอี่ยม สมุทรปราการ
- ยิง M79 ใส่ศูนย์รวมสัตว์ (ศรส.) ของเป็ดเหลิมหลายครั้ง และใก้เคียง เช่น ThaiPBS , ปั้มบางจาก
- ยิงป่วนปะทะจุดหลวงปู่ ที่แจ้งวัฒนะ ช่วงการชุมนุมแรกๆ
- แกนนำประกาศไล่ล่าจับเปาบุ้นจิ้นศาลไคฟงรัฐธรรมนูญ พฤติกรรมไม่เกรงกฎหมาย
- แกนนำขู่ว่าจะต่อสู้ขั้นแตกหักกับ ป.ป.ช.โดยไม่มีการถอย จะไล่จับกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 6 คน , จะพลีชีพสมาชิกคนเสื้อแดงแก่ๆ ที่ถูกจ้างมา (แต่แกนนำขอรอดไปเอาค่าจ้าง) , จะตัดน้ำตัดไฟ และเทปูน นำแท่งแบริเออร์ปิดประตู ทุกทางเข้าออก ไม่หวั่นถูกขอถอนประกันตัว
- ระเบิดแสวงเครื่องชนิดถังดับเพลิงตั้งเวลา หน้าการประปานนทบุรี เพื่อหวังสังหารหมู่เสื้อแดงด้วยกันเองจุดกระแสทุยแดง แต่ระเบิดไม่ทำงาน
- ระเบิดแสวงเครื่องชนิดถังดับเพลิง หน้า ปปช.แต่ระเบิดไม่ทำงาน
- ยิง M79 ใส่วังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) บางครั้งพลาดไปโดนบ้านใกล้เคียง ชายชุดเขียวนอกราชการ เพื่อนอดีต ผบ.ทบ.บิ๊ก ป.
- ทำระเบิดแสวงเครื่องชนิดถังดับเพลิงตั้งเวลา ระเบิดทำงานเป็นคาร์บอม ในซอยแจ้งวัฒนะ จุดใกล้หลวงปู่ ราว 500 เมตร
- ยิง M79 ใส่จุดหลวงปู่ แต่โชคไม่เข้าข้าง ระเบิดพลาดไปลงในค่ายชายชุดเขียว พล.ปตอ. พัน 6
- รุมกระทืบพระภิกษุ ที่หน้าวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.)
- รื้อบังเกอร์และเต็นท์ชายชุดเขียว หน้าวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) เพื่อยั่วยุปะทุอารมณ์ชายชุดเขียวให้ปฏิวัติ โชคดีจุดไม่ติด เพราะบิ๊กชายชุดเขียวรู้ทัน ไม่เต้นตามเกมส์ชายดูไบ ที่ต้องการจะล้มกระดาน หวังให้ทุกคดีของตัวเอง ปูเน่า สมุน ยกเลิกไปทั้งหมด
- เอาสารพิษยาล้างห้องน้ำ ใส่ขวดผสมน้ำ ใส่ให้น้องชายชุดเขียวมือใหม่ ที่ไปรักษาความปลอดภัย หน้าวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) จนต้องรีบพาไปให้หมอล้างท้องทัน
- ยกพวกไปราวีหมอ ที่กระทรวงสาธารณสุข และ รพ.บำราศ ข่มขู่ปลดป้ายที่บาดหัวใจนายเหนือหัว ที่มีข้อความ “ไม่เอารัฐบาลโกงประชาชน” และ “ขอประณามการใช้ความรุนแรง รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ”

แก๊งค์ กวป.นี้ มีคุณสมบัติเล็กดีรสโต จ้างได้ราคาประหยัดกว่าแก๊งค์แบ่งแยกดินแดนแดง นปช. ที่ขอเงินเติมเพื่อเคลื่อนไหวจัดอีเว้นระดมทุยแดงแต่ละครั้ง หลัก 300 ล้านบาท ขึ้นไป แก๊งค์ กวป. จึงก่อความรุนแรงต่อวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) เข้าตาชายดูไบ ช่วงหลังนี้จึงเคลื่อนไหวถี่เป็นพิเศษ

แกนนำแก๊งค์ได้รับการปกป้องดูแลจากอำนาจรัฐอั้งยี่แดงอย่างดี เช่น ใส้เดือนเต้น , ริดสีดวง , ชายชุดดำฝ่ายชั่ว ฯลฯ แกนนำกลุ่ม กวป. มีความหวังว่า ถ้าไม่เจ็บ ไม่ป่วย ตายไปเสียก่อน บุญมาวาสนา คงจะมั่งคั่ง และได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิส หรือที่ปรึกษารัฐมนตรี เข้าไปโกง กอบโกย เหมือนรุ่นพี่ๆ แกนนำเลวแล้วรวย บ้าง

การข่าวมาว่าหลังวันที่ 5 เม.ย.57 ชายดูไบสั่งให้ทุกกลุ่มนำมวลชนแดงรับจ้างที่ถูกหลอกมาตาย และจะแฝงไปด้วยแก๊งค์ก่อการร้ายติดอาวุธปะปน เข้าจุดประจำฐานในพื้นที่รอบๆ กรุงเทพฯ จำนวนประมาณ 20 จุด โดยเขาสั่งการให้เสียสละแกนนำ โดยสั่งสายตรงกองกำลังของเขาให้สังหารคากคกตู่ ไส้เดือนเต้น โกเต็ก และแกนนำฮาร์ดคอร์อีกหลายคน จากนั้นให้เสื้อแดงเตรียมแห่ศพ เพื่อปลุกกระแสเสื้อแดงที่ตอนนี้แทบไม่มีเหลือหรอแล้ว เพราะไปสร้างโจทย์ไว้รอบตัวไปหมด ตอนนี้เสื้อแดงกับชายชุดดำก็เริ่มแตกคอกันอย่างหนัก มีรอยร้าวเกิดขึ้นแล้ว

ส่งผลให้ชายดูไบ บริษัทเผาไทย แก๊งค์อั้งยี่แดง ตอนนี้ถูกโดดเดี่ยวอย่างหนัก จึงสั่งให้อันธพาลในสังกัด เร่งก่อความรุนแรงก่อการร้ายสากล โจมตีวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) อย่างหนัก แต่จะโจมศาลไคฟงรัฐธรรมนูญบ้าง ก็ทำแทบไม่ได้เลย เพราะหลวงปู่พุทธอิสระคุมพื้นที่ตรงนั้นไว้ อันธพาลแดงรับจ้างจึงหงุดหงิด ฟาดหัวฟาดหาง อย่างหนัก

เรื่องมาถึงจุดผิดปกติจนผิดสังเกต ก็คือแก๊งค์นี้พลาดเอง ที่ตั้งใจยิง M79 ใส่จุดหลวงปู่พุทธอิสระ แต่พลาดไปลงในค่ายชายชุดเขียวพล ปตอ.พัน 6 จนมีพลังลึกลับสีเขียวลึกลับ กดดันไปที่บิ๊กชายชุดดำ ให้เอาตัวคนยิงมาให้ได้ไม่งั้นอาจจะ..(บอกไม่ได้) ต่อมาแก๊งค์นี้ย่ามใจ ใช้ผู้หญิงในแก๊งค์ไปกดดันรื้อบังเกอร์ และเต็นท์ชายชุดเขียว ในซอยหลังวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) ที่ตั้งไว้เฝ้าระวังการยิง M79

ทำให้ฝ่ายยุทธการที่แกล้งอัดลมเข้ารูแย้มานาน รู้พิรุธทันทีว่าแก๊งค์นี้เอง ที่ใช้อาวุธก่อเหตุตลอด จึงวางแผนจัดการเงียบๆ กับ ชุดดำฝ่ายดี ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี เตรียมชุดปราบไพรี อริศัตรูพ่าย ชุดกองร้อยควบคุมฝูงชน จ.นนทบุรี กองกำกับการภูธรภาค 1 , กองร้อยอาสารักษาดินแดน พร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจ และฝ่ายสืบสวน สนธิกำลังกับชายชุดเขียว โดยปิดแผนการเป็นความลับเฉพาะระดับสูงเท่านั้น ป้องกันหนอนบ่อนใส้ความลับรั่วไหลไปถึงคนเสื้อแดง

ด้วยความโง่แบบสุดๆ ต่อมากลางคืน แก๊งค์นี้ก็ชะล่าใจ โผล่หัวออกจากรูแย้ วันที่ 27 มี.ค.57
- เวลา 22.30 น. ลอบซุ่มยิงล้อยางรถมอเตอร์ไซต์ชายชุดเขียว ชุดลาดตะเวนเคลื่อนที่เร็ว 3 คัน บริเวณจุดตรวจวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) ทำให้รถล้ม 2 คัน บาดเจ็บที่หัวไหล่เล็กน้อย 4 นาย รถเสียหาย เพื่อยิงตัดกำลังทหารชุดนี้ก่อน..หวังแบบโง่ๆ ว่าจะทำให้ชายชุดเขียวนี้ไม่สามารถเคลื่อนที่เร็วตามล่าหามือยิงได้สะดวก..
- เวลา 23.00 น. อีกทีมใช้ M79 ยิงใส่วังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) อีกหลายลูกด้วยกัน

วันที่ 28 มี.ค. 57 เวลา 02.00 – 05.00 น. หลังเกิดเหตุ จึงเกิดการสนธิกำลังของชายชุดเขียว ชายชุดดำฝ่ายดี สมพล ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี และ อส.ฝ่ายปกครอง ทันที โดยสั่งการให้กำลังที่เตรียมไว้ สนธิกำลังทั้ง 3 ฝ่าย พร้อมอาวุธครบมือ สั่งวิสามัญทุกคนที่ต่อสู้ทันที แบ่งกำลังบุกจู่โจมเข้าตรวจค้นหลายจุด เช่น บริเวณที่ชุมนุมของแดงฮาร์ดคอร์ กวป.แสนโง่ รถที่เข้าร่วมชุมนุม สะพานลอย และปูพรมตรวจพื้นที่ใกล้เคียงเกิดเหตุ ภายในซอยนนทบุรี 46 – 48

ผลคือ สามารถจับกุมแก๊งค์ กวป.ได้ 3 ราย ที่พิรุธ กำลังเดินออกจากพื้นที่รกร้างใกล้ป่าละเมาะ ส่วนแก๊งค์ กวป.ก็พากันแตกฮือ เมื่อเจ้าหน้าที่กระจายกำลังกันตรวจค้นสะพานลอยคนข้าม ซึ่งใช้เป็นที่หลับนอน จึงถูกจับ พร้อมตรวจยึดถุงกระสอบขาว ที่มันโยนทิ้งในป่าหญ้า จึงพบคลังแสงอาวุธจำนวนมากมาย ดังนี้

1.นายชูชาติ ชูศิริ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 240/24 ม.9 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี พร้อมด้วยของกลาง คือ
- อาวุธปืนยาวลูกซอง ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก
- ลูกกระสุนปืน ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 39 นัด
- รถยนต์โตโยต้า รุ่นวีออส หมายเลขทะเบียน ขต 9735 ชลบุรี

2.นายรัตนพงศ์ อินทะรังษี อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 ม.9 ต.งอบ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน พร้อมด้วยของกลาง คือ
- อาวุธเล็กยาวอาก้า AK-47 (อาก้า) ขนาด 7.62 มม.จำนวน 1 กระบอก
- ลูกกระสุนปืน ขนาด 7.62 จำนวน 120 นัด
- ซองกระสุน จำนวน 4 อัน
- ลูกระเบิด ชนิดสังหาร RGD-5 จำนวน 2 ลูก
- ถุงทะเลสีเขียว จำนวน 1 ใบ ของกลางทั้งหมดบรรจุอยู่ในถุงนี

3.นายสมัย บุญนาน อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลชที่ 48/330 ม.1 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พร้อมด้วยของกลาง คือ
- อาวุธปืน (ไทยประดิษฐ์) จำนวน 1 กระบอก
- ลูกกระสุน ขนาด 9 มม.จำนวน 11 นัด
- รถยนต์ฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีแดง หมายเลขทะเบียน กค 5715 ปทุมธานี

4. นายคมปกรณ์ เกาะแก้ว อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 363/30 หมู่บ้านเอื้ออาทาสายไหม แขวงสายไหม เขตสายไหม กทม.เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดราชบุรี จ.531/2553 ลงวันที่ 22 พ.ย.2553 ข้อหาลักทรัพย์ (รถยนต์) และได้ตรวจยึดอาวุธจากป่ากระถิน ซึ่งเป็นที่รกร้างปาก ซ.นนทบุรี 46 ดังนี้
- เครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด 40 มม.(M79) จำนวน 1 กระบอก
- ลูกกระสุนปืน ขนาด 40 มม.(M79) จำนวน 6 นัด (ชนิดหัวเจาะเกาะ 4 และหัวธรรมดาอีก 2)
- ปลอกเครื่องกระสุนปืน ขนาด 40 มม.(M79) จำนวน 2 ปลอก
- ลูกระเบิด ชนิดสังหาร RGD-5 จำนวน 6 ลูก ( กระเดื่องถูกถอดสลักพร้อมใช้งาน)
- อาวุธปืนสั้น ออโตเมติก ยี่ห้อโคลท์ ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก
- ลูกกระสุน ขนาด .45 จำนวน 44 นัด
- ลูกกระสุนปืน ขนาด 7.62 จำนวน 39 นัด

นอกจากนั้นยังค้นพบอาวุธนานาชนิดอีก คือ
- อาวุธปืน สั้น .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุน และเครื่องกระสุ
- กระสุนขนาด 5.56 มม. จำนวน 48 นัด
- มีดหัวตัด จำนวน 1 เล่ม
- หนังสติ๊กพร้อมลูกเหล็กสำหรับยิงจำนวนมาก
- ประทัดยักษ์ จำนวน 1 ลูก และระเบิดปิงปอง 5 ลูก
- แผนที่และตัวเลขการยิงพิกัด สามารถเป็นหลักฐานชั้นดี
- ส่วนการ์ดคนอื่น ได้ทำประวัติพิมพ์ลายนิ้วมือ และปล่อยตัวไป (หากมีเหตุอีก ก็เสร็จก่อนใครเพื่อน )

หน่วย EOD ระบุว่าเท่าที่ตรวจตอนนี้ อาวุธและกระสุนต่างๆ กลุ่ม กวป. ใช้ก่อเหตุหลายที่ด้วยกัน คือ
- M79 เลขผลิต (Lot. No) ตรงกับปลอกกระสุน 40 มม. ที่ระเบิดที่ ศรส. , Thai Pbs , ยิงใส่เวทีชลบุร
- ระเบิด RGD-5 เลขผลิต (Lot. No) ตรงกับวางขู่หน้าบ้านประธาน กปปส.นนท์ฯ , ปาระเบิดเวทีอนุสาวรีย์ชัยฯ และถนนบรรทัดทอง , บ้านหล่อใหญ่ หัวหน้า ปชป.
- ปืนและลูกกระสุน ตรงกับที่ใช้ก่อเหตุยิงสุทิน ที่วัดศรีเอี่ยม บางนา เป็นต้น

ต่อมา วันที่ 28 มี.ค.57 เวลา 13.30 น. แกนนำ กลุ่ม กวป. แถลงข่าวว่า ตำรวจและนักข่าวใส่ร้าย จริงๆ แล้วเป็นเสื้อแดงเทียม ที่ต้องการดิสเครดิตของคนเสื้อแดง คนเสื้อแดงมีคุณธรรมเสมอ ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร รักสันติวิธี (มันกล้าพูด)

ถัดมา เวลา 13.00 น. กลุ่ม กวป.นำโดย สมศักดิ์ สถานีวิทยุ กวป. ศรรัก โฆษก กวป. นำทุยแดงรับจ้างกองร้อย "นารีพิฆาต" ราว 100 คน บุกมาปราศรัยกดดันชายชุดดำที่ สภ.นนทบุรี ขอให้ปล่อยตัวกองกำลังติดอาวุธของตนเอง โดยขอเจรจากับ สมพล ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี (คนนี้น้ำดี) ขอให้อนุญาตประกันตัวผู้ต้องหา หรือปล่อยตัวทันที เพื่อความสงบให้แก่บ้านเมือง (อ้าว..ไหนว่าเป็นเสื้อแดงเทียมมาขอให้ปล่อยทำไม? )

แต่ สมพล ก็ประกาศอย่างชัดเจน สั่งห้ามไม่ให้มีการปล่อย หรือประกันตัว เพราะถือว่าพวกนี้เป็นผู้ก่อการร้าย รวมทั้งจะคัดค้านการประกันตัวในชั้นศาล แต่ให้เป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย ผิดหรือถูก ก็ให้ไปสู้คดีที่ศาลไคฟงตัดสินชี้ขาด ส่งผลให้แก๊งค์ กวป. จึงหน้าเสียกินแห้วหงายเงิบ พากันเข้าเยี่ยมมือปืนที่ถูกขังคุกไว้ และเดินทางกลับอย่างผิดหวัง

คนเสื้อแดงที่มาโกรธ และด่าทอตำรวจกันใหญ่ ตะคอกถามตำรวจว่าไม่กลัวกลัวชายดูไบใช่เหรอ (ฮา..ไม่กลัวว่ะ) แล้วเอาเสื้อที่มีคำว่า “ เรารักตำรวจ” ที่ใส่มา ทิ้งใส่ถังขยะที่ข้างโรงพักนนท์..(ฮา)

กองกำลังติดอาวุธเสื้อแดงเกือบทุกคนถูกสอบสวน จนมีการสารภาพ ซัดทอดชื่อเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่ถูกจับได้ แกนนำเสื้อแดง และนักการเมืองแก๊งค์อั้งแดงอีกหลายคน ที่บงการตนเองแล้ว หากตำรวจมีการลุยสอบขยายผล อีกหลายคดีที่เกิดความรุนแรงขึ้น ทำให้บิ๊กระดับสูง และถวิล กอ.รมน. คลี่คลายคดีปมปริศนาความเชื่อมโยงของที่มาอาวุธสงคราม ในหลายๆเหตุการณ์ได้ผลงานอีกจำนวนมาก และประชาชนจะตาสว่างชัดเจนขึ้นอีกมากมาย

งานนี้น่าติดตามผลซึนามิทางคดี ที่ต่อเนื่องต่อไป ให้ทุยแดงใจระทึกอีกมาก..และต้องชื่นชม ปรบมือให้ สมพล ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ,ชายชุดเขียว ,กองร้อยอาสารักษาดินแดน และผู้เกี่ยวข้อ

ส่วนที่แม่สอด จ.ตาก นายมีนา แกนนำ นปช.เสื้อแดงแม่สอด ผอ.สถานีเรดเรดิโอ แม่สอด ลูกน้องโกเต็ก ที่เคยยิงถูกมือมืด ระดมยิงด้วยอาวุธปืนอาก้า 28 นัด จนหลังคา ใต้เพดาน ลำโพง เสาอากาศวิทยุ และรถยนต์ อาคารพรุนไปหมด ยืนยันว่าจะเดินหน้าเปิดสถานีวิทยุต่อไป และไม่เกรงกลัว โดยในวันที่ 5 เม.ย. นี้ จะดื้อออกอากาศ...

แต่ตำรวจ ผกก.สภ.แม่สอด ได้สั่งปิดสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง สาขาโกเต็ก นี้ เพราะตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีใบอนุญาตประกอบการ ถ้ายังยังดื้อไม่ฟัง จะนำกำลังเข้ายึดอุปกรณ์ทันที..มาดูว่าวันที่ 5 เม.ย. เป็นต้นไปโกเต็ก กับลูกน้อง และตำรวจแม่สอด..ใครจะพรุน และเข้าห้องขังก่อนกัน..ฮา

ส่วนตำรวจภาคใต้ ก็แปลกไป คนไต้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตำรวจไม่ตั้งด่านดักจับ หรือสกัดมวลมหาประชาชนภาคใต้ ที่กำลังเดินทางสู่กรุงเทพเพื่อชุมนุมกับกำนัน เหมือนครั้งก่อนแล้ว แถมบริการให้จอดพัก กินนํ้ากินท่า เข้าห้องนํ้า ที่ทำการตำรวจทางหลวงอีกด้วย และยังอำนวยความสะดวกอย่างดี อวยพรให้เดินทางปลอดภัยอีกต่างหาก จนคนไต้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อยทุกคน

เมื่อเช้าวันที่ 29 มี.ค.57 แกนนำเสื้อแดง เรียกร้องอย่างหนัก ให้ออกมาช่วยกันชุมนุมที่หน้าวังเดิมพระบรม (ป.ป.ช.) แต่ทุยแดงไม่ออกมาเพราะเงินไม่ดี จนทะเลาะด่าทอกันออกอากาศทางคลื่นวิทยุของคนเสื้อแดง ต่อมาหลวงปู่พุทธอิสระ พามวลชนไปตลบหลัง รื้อเวที กลุ่ม กวป. และช่วยเก็บของให้เรียบร้อย แล้วกลับไป พวกเสื้อแดงงง รับประทาน ต่อมาช่วงบ่าย แกนนำระดมทุยแดงมาแหรมแหรม ตำรวจจึงเสริมกำลังเพิ่มขึ้นอีกเพียบที่ ป.ป.ช.

พวกทุยแดงก็ดิ้น ๆ โมโห ด่าตำรวจกันใหญ่..ปลุกระดมมวลชนทุยแดงทุกเพจ ทุกคลื่นวิทยุ ว่าตำรวจจะสลายการชุมนุมแดง กวป.แล้ว...(ฮา ) ตอนนี้สถานการณ์พลิก คนเสื้อแดง กลายเป็นลัญลักษณ์ของทั้งหมิ่นพระบรม และเปิดศึกเป็นศรัตรูกับตำรวจทั้งประเทศไปแล้ว..ลือบอกต่อๆ กันไปเลยพี่น้อง !!

ส่วนที่ทำเนียบ มวลชน คปท.ของนิติธร ก็เจรจากับทหาร และตำรวจ อย่างมิตรไม่ตรี ช่วยไปจัดการเปลี่ยนธงชาติที่หลังคาทำเนียบให้ใหม่ เนื่องจากรัฐอั้งยี่แดงแดกกันมาก จึงไม่มีงบเปลี่ยนธง

ตอนนี้ขอประกาศคนหาย ช่วยตามตัวสิ่งเทียมคน 2 ตัว คือ เป็ดเหลิม กับ ริดสีดวง มาร่วมแถลงข่าว จับคลังแสงอาวุธสงครามเสื้อแดง ด่วน เพราะไม่รู้หายหัวไปไหนเงียบเลย..มาเร๊วๆๆ มาร่วมนั่งแถลงข่าวโผล่หน้าหน่อยนะ อาวุธร้ายแรงเพียบเลย !!

ทีไปยืนแถลงข่าว ที่ทำเนียบตอนเดือน ก.พ.57 ยึดง่ามหนังสติ๊กจาก คปท.ได้ 3 อัน และแถลงข่าวจับมือปืนป๊อบคอร์นตัวปลอม ที่เขาแฉว่าถูกซ้อม และชายชุดดำฝ่ายชั่วหลานหญิงกระบังลม เขียนข้อความให้เขาอ่านขณะนั่งแถลงข่าว..เขารู้กันทั้งโลกไปจนถึงอวกาศแล้ว..

เป็ดเหลิมมาแถลงข่าวงานนี้ดีกว่า โป๊ะเชะกว่าเยอะ..ปืนยิง M79 และลูก 40 มม.นี้แหละ ที่เคยยิงใส่ห้องทำงาน เฉียดใส่หัวเป็ดเหลิมเลยนะนั่น..ฮา

“ หมายเหตุ ตรวจพบหลายเพจ ที่นำข้อความของเพจ แฉ ความลับไปโพสต่อ หรือแก้ไขดัดแปลงให้เป็นชื่อตัวเอง โดยไม่ยอมอ้างอิงแหล่งที่มา ขอแจ้งว่าเพจนี้จะอนุญาตให้แชร์เพจต่อไปได้ไม่จำกัดทันที แต่หากจะคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของเนื้อหาไป จะต้องอ้างอิงลิขสิทธิ์ เพจ แฉ..ความลับ @เสธ น้ำเงิน และต้องใส่ลิ้งด้านล่างติดไปด้วยทุกครั้ง เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในเนื้อหาที่นำไปดัดแปลง และเกิดความสับสน ต่อสาธารณะชน ในแหล่งที่มาของต้นฉบับเนื้อหา “

@เสธ น้ำเงิน









"งานเข้าแล้วสิ..เริ่มปิดปากกันแล้ว"
นายทองสุก และนางสงวน แปน้อย ชาว จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นบิดามารดาของ นายยืนยง แปน้อย อายุ 33 ปี ที่หายตัวไปอย่างลึกลับท่ามกลางเวทีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ย่านราชประสงค์ เมื่อครั้งการชุมนุมปี 2553 โดยขณะนั้นมีผู้พบศพบุตรชายถูกอุ้มมายิงทิ้งในเขตท้องที่ สภ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี และมาทราบมูลเหตุในภายหลังจากเพื่อนๆ ที่เป็นการ์ด นปช.ในเวทีราชประสงค์ด้วยกันว่า บุตรช...ายของตน ได้ถูกพวกเดียวกันอุ้มนำมาฆ่าทิ้งที่ จ.ปราจีนบุรี เนื่องจากได้ไปล่วงรู้ถึงความลับเกี่ยวกับด้านผลประโยชน์ในเวทีการชุมนุมในครั้งนั้น มากจนเกินไป จึงถูกสั่งเก็บ
พร้อมได้นำพยานหลักฐานและข้อมูลเอกสารการเสียชีวิต ของนายยืนยง และพยานบุคคลเข้ามาแสดงตนร้องทุกข์ต่อ พ.ต.อ.พิษณุ กิ่งแก้ว ผกก.ประจันตคาม โดยทางตำรวจได้รับเรื่องไว้ และบอกว่าพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรม และจะรื้อคดีนำกลับมาทำใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาทาง ผกก.คนปัจจุบันบอกว่า ยังไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาเป็นผู้กำกับที่นี่ โดยที่พนักงานสอบสวนเจ้าของของคดี พร้อมด้วยผู้กำกับคนเก่านั้นได้ย้ายไปจาก สภ.ประจันตคาม หมดแล้ว

ด้าน นายกิติศักดิ์ ศรีสุนทร หนึ่งในอดีตการ์ด นปช. ที่ได้เคยเดินทางไปร่วมชุมนุม และเป็นการ์ด นปช.ในเวทีราชประสงค์ และได้เดินทางมาเป็นพยานบุคคล เพื่อยืนยันว่าผู้ตายเป็นการ์ดของกลุ่ม นปช .ที่ถูกส่งตัวเข้ามาช่วยคนเสื้อแดง ที่เวทีราชประสงค์ในกรุงเทพฯ เมื่อครั้งการชุมนุมเมื่อ ปี 2553 ก่อนที่จะถูกพวกเดียวกันอุ้มตัวหายไป เมื่อวันที่ 4 ต.ค.53 ในตอนเช้าและมาพบว่ากลายเป็นศพอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุร

ส่วนสาเหตุในการอุ้มมาฆ่าทิ้งในครั้งนั้น เป็นเพราะเรื่องของการขัดแย้งผลประโยชน์ ภายในกลุ่มนปช. ที่ผู้ตายได้ไปล่วงรู้ถึงความลับขององค์กรมากจนเกินไป โดยที่คนร้ายที่ร่วมกันอุ้มในครั้งนั้น มีทั้งหมด 6 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นการ์ด นปช.ด้วยกันทั้งสิ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากแฟ้มประวัติข่าวของการพบศพชายนิรนามที่ถูกอุ้มมายิงทิ้ง ที่บริเวณริมสระน้ำขนาดใหญ่ กลางสวนของบริษัท เอฟพีที ในเส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านดงไชยมัน ห่างจากถนนสาย ประจันตคาม-บ้านโคกขวาง ประมาณ 500 เมตร ในเขตพื้นที่รอยต่อระหว่างหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 10 บ้านโคกไข่เต่า ต.ประจันตคาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2553 เวลา 13.00 น.โดยมี ร.ต.ท.ธีระศักดิ์ ต๊ะเป็ง เป็นพนักงานสวบสวน สภ.ประจันตคาม และ พ.ต.อ.อิทธิพรโพธิ์ทอง เป็น ผกก.ในขณะนั้น

เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบศพของผู้เสียชีวิต พบว่าเป็นชาย อายุประมาณ30 ปีเศษ สูงประมาณ 165 ซ.ม. ผิวดำแดง นอนคว่ำหน้าโดยไม่พบหลักฐานว่าผู้เสียชีวิตเป็นใครมาจากไหน ใกล้กันพบปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. ตกอยู่จำนวน 4ปลอก หัวกระสุน 1 หัว

ส่วนศพของผู้ตายถูกยิงเข้าที่ศีรษะ จำนวน 5 นัด ทางด้านหลัง 2 นัด ค้นภายในตัวผู้ตายพบโทรศัพท์มือถือโนเกียและไฟแช็ค 1 อัน และมีเครื่องรางของขลังติดตัว เป็นตะกรุด 1 เส้น โดยในครั้งแรกขณะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าปมการสังหารโหด น่าจะเป็นเรื่องของการหักหลังในเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย หรืออาจเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรืออาจเป็นประเด็นชู้สาว ก่อนที่จะถูกลวงมาจากที่อื่นและพามายิงทิ้งในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นพื้นที่เปลี่ยวและอยู่ห่างจากบ้านคน โดยในวันเกิดเหตุมีชาวบ้านได้ยินเสียงปืนดังจำนวน 7 นัด ก่อนที่จะมีรถยนต์กระบะแบบแค็ป ขับออกไปจากที่เกิดเหตุ

ต่อมาหลังจากการเสียชีวิตของ นายยืนยง ได้มี นางทองมุข โซ่เงิน อายุ 42ปี ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ตาย เดินทางมาขอรับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลยังที่ จ.ขอนแก่น ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตเจ้าหน้าที่บอกกับทางญาติว่า อยู่ในระหว่างการสอบสวนหาพยานหลักฐาน เพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี และไม่เคยได้รับการติดต่อใดๆ จากทางเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายของบ้านเมืองอีกเลย จนเวลาผ่านมาเกือบ 3 ปีเต็มแล้ว จนกระทั่งพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี และผู้กำกับคนเก่า ได้ย้ายไปอยู่ยังที่อื่นหมดแล้วในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาทางญาติระบุว่าได้ พยายามทวงถามถึงความคืบหน้าของคดีมาโดยตลอด



ฆ่าความโกรธแล้วเป็นสุข/คำคม "หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร" วัดธรรมมงคล

"โกธัง ฆัตวา สุขัง เสติ" เมื่อเราฆ่าความโกรธได้แล้ว...เป็นสุข Elimination of Anger is Happiness " หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร"




 

มีนิทานเรื่องหนึ่งพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ท่านเล่าให้ฟัง
จะขอย่อคร่าวๆดังนี้

ท่านว่ามีพี่น้องคู่หนึ่งมาถวายน้ำอ้อยให้พระ
คนพี่อธิษฐานให้มีดวงตาเห็นธรรม...
คนน้องอธิษฐานขอให้ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ

ท่านก็บอกว่าโยมทำบุญก็ได้น้ำอ้อย ส่วนพระนั้นก็ได้กากอ้อย
ถ้าพระอยากได้บุญก็ต้องทำตัวให้ดี เพื่อเป็นบุญจึงจะได้น้ำอ้อ

ที่เปรียบแบบนี้ เพราะพระได้แค่กากอ้อยคือยังไม่ได้บุญเพราะกินของเขา
พระจะได้บุญต่อเมื่อกินของที่เขามาทำบุญแล้วก็ต้องทำหน้าที่พระให้ดีปฏิบัติตัวให้ถูกต้องถึงจะได้น้ำอ้อย
การเป็นพระใช่ว่าจะได้บุญถ้าทำตัวไม่ดีก็เป็นบาปได้กากอ้อยเท่าน้น

เรื่องการอธิษฐานนั้นโยมเข้าใจว่าเป็นการขอ แต่ที่จริงนั้นการอธิษฐานก็เป็น 1 ในบารมี 10ทัศ
แต่การอธิษฐานก็ต้องมีความตั้งใจที่แน่วแน่ มีการบำเพ็ญบารมี มีความเพียร การกระทำที่ดี ไม่ใช่ว่าขอไปเรื่อย ขอให้รวยแต่ไม่บำเพ็ญบารมีใดๆก็ไม่สำเร็จ
คำว่าอธิษฐาน หมายถึงการตั้งมั่นที่จะทำให้ได้ ถ้าขอให้รวยแต่ไม่ทำก็ไม่รว


https://www.facebook.com/VRYMeditationCenter

























วันสำคัญเดือน กรกฏาคม
ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 5 กรกฏาคม พ.ศ. 2529
พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ ได้ออกเดินทางตามที่ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ ว่าหากสร้างพระมหาเจดีย์สำเร็จเมื่อใด จะทำสมาธิปฏิบัติบูชา ที่พระศรีมหาโพธฺ์พุทธคยา ประเทศอินเดีย
โดยจะนั่งสมาธิให้ครบเก้าสิบครั้ง แม้ในช่วงนั้นจะเป็นหน้าร้อน ที่อินเดียถึงขนาดมีคนตายเพราะทนความร้อนไม่ไหว ถึงจะมีผู้ขอให้ท่านรอจนถึงหน้าหนาวก่อนจึงค่อยเดินทาง
แต่ท่า...นพระอาจารย์หลวงพ่อ ก็ตัดสินใจเดินทาง โดยท่านกล่าวว่า "เมื่อตัดสินใจแล้ว ขอให้เป็นไปตามนั้นเถิด ท่านยอมสละทุกอย่าง และไม่สามารถยอมให้ใครมาขวางหน้าทัดทานได้"
ก่อนออกเดินทางท่านได้สละข้าวของทุกสิ่งให้เป็นสมบัติของวัด และได้ออกเดินทางเมื่อ วันที่5 กรกฏาคม พ.ศ. 2529 โดยเครื่องการบินไทย
มีพระติดตามรูปเดียวคือ พระธรรมศักดิ์ คุตธรรมโม
โดยท่านได้เดินทางธุดงค์ไปแถบแคชเมียร์ก่อน แล้วต่อมาจึงเดินทางไปพำนักที่ ศูนย์ปฏิบัติสมาธิของบังกลาเทศ พุทธคยา
ครั้งนี้เป็นการธุดงค์ครั้งสาหัส
กำลังของพญามารครั้งนี้เหลือที่จะประมาณได้ เพราะอากาศร้อนยังไม่พอ หนำซ้ำยังท้องเสียจากอาหารอินเดียและนมสด ฉันยาก็ไม่หยุดถ่าย
ต้องท้องเสียถึงสิบสี่วัน ขาดน้ำอาหารเกลือแร่ ทั้งการรักษาพยาบาลก็ไม่มี
แต่ท่านก็อุตส่าห์พยุงร่างกายไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม
เมื่ออากาศร้อนจัดจนหายใจแทบไม่ออก ก็ยกถังน้ำเทใส่ศรีษะดับความร้อน พอยกครั้งที่สามกระดูกสันหลังก็เคลื่อนเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ท่านก็นั่งสมาธิเพื่อดับทุกข์ที่เกิดขึ้น
เมื่อจะพ้นจากการทำสมาธิแล้วท่านจึงได้เห็นแสงตอนรุ่งสางมุ่งไปที่วัดไทยพุธคยา เห็นท่านเจ้าอาวาสนั่งอยู่ มีเสียงว่า "ไปที่วัดไทยจะมีผู้ช่วยเหลือความทุกข์ครั้งนี้ได้" พอพ้นจากสมาธิท่านจึงไปที่วัดไทย จนได้หมอรักษาจนหายที่วัดไทยพุทธคยา
นี้คือตัวอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้ การบำเพ็ญบารมีนั้นไม่ง่าย ก็จะมีอุปสรรคคอยขัดขวางเสมอ การสร้างบารมีจึงต้องอาศัย ความเพียร ต้องอาศัยความวิริยะอย่างมาก ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อได้บำเพ็ญสัจจะบารมีครั้งใหญ่ พญามารก็แรงเหลือประมาณ แต่เพราะท่านมีพลังจิตมาก ความตั้งใจก็มากจึงบำเพ็ญสัจจะบารมีได้สำเร็จ
ย้อนกลับมาที่ นศ. ครูสมาธิ หากไปเดินธุดงค์แล้วคิดว่าลำบากก็ให้นึกถึง พระอาจารย์หลวงพ่อเราไว้ นศ.เราเดินธุดงค์ ได้ทานอาหารวันละสามมื้อ น้ำท่าไม่ขาดแคลน ส้วมก็มีให้ใช้ ถ้าคิดว่าลำบากให้นึกถึงหลวงพ่อตอนไปอินเดีย น้ำก้ขาด ร้อนก็ร้อน อาหารก็ไม่สะอาดและไม่พอ ส้วมก้ไม่สะดวกแล้วท้องเสียถึงสิบสี่วัน กว่าท่านจะชนะพญามารได้
การธุดงค์กินอยู่ลำบากถึงเป็นการทดสอบพลังจิตโดยแท้


ก่อนเดินทางกลับหลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า
หลวงพ่อนี้เดินทางมามาก เอาแค่ที่เดินทางกับสายการบินเกาหลี เขาบอกว่า 191เที่ยวในไม่กี่ปีมานี้ ไม่ใช่น้อยเลย
เดินก็ไม่ใช่น้อยๆเลย จากจันทบุรี ไปสกลนคร ไปธุดงค์ถึงไหนๆต่อไหน สมัยก่อนก็ต้องเดินกันเป็นร้อยๆกิโล
เปรียบให้ฟังว่าการเดินทางสมัยนี้กับสมัยก่อนก็ต่างกัน สมัยนี้มันสะดวกสบายกว่าเดิมมาก
หากย้อนกลับไปสมัยก่อนร้อยปีสองร้อยปี ไปบอกว่าคนไปขึ้นเครื่องยานพาหนะไป...นอนกินถ่ายกันได้บนท้องฟ้า ใครจะไปเชื่อ มันเป็นเรื่องที่ลำบากไม่มีคนคิดว่าจะทำได้ การไปบอกสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยาก
คนในประเทศไทยเรา เป็นชาวพุทธกันได้อย่างไร รู้ไหม
ก็เกิดมา อุแว้ๆ พ่อแม่เป็นพุทธเกิดมาก็เป็นชาวพุทธแล้ว
แต่แค่เกิดมาก็เป็นชาวพุทธไม่ได้รู้เรื่องไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอน ตามศีล มันก็เหมือนเป็นนายพัน แต่มีแค่ยศ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีอำนาจบารมี ไปทำอะไรก็ไม่ได้ ได้ชื่อแค่ว่าเป็น
ดังนั้น อย่าได้ชื่อแค่ว่าเป็นชาวพุทธ เพราะเกิดมาเป็นชาวพุทธก็ไม่มีประโยชน์
สมัยก่อนพระโสนะ พระอุตระ นำพุทธศาสนามาเผยแพร่ในเมืองไทย กว่าท่านจะสร้างศรัทธานั้นไม่ง่าย
ไหนจะต้องเดินทางมาจากอินเดีย จะอยู่ดีๆไปสอนคนเขา ใครจะไปเชื่อใครจะไปศรัทธา
แต่ท่านทั้งสองก็มีปัญญา ท่านมีวิชาการเป็นหมอ
มาถึงเจออหิวาระบาด ชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายไม่รู้สาเหตุ ก็คิดว่าเป็นผีเป็นสางมาทำร้าย ก็อาสาจะปราบผีให้ ก็ทำยามาให้ชาวบ่านมากินกัน มันก็หายไม่ตายกันก็สร้างศรัทธาขึ้นมา ก็ใช้วิธีนี้จนมีคนศรัทธามากมาย ก็สามารถนำพุทธศาสนามาเผยแพร่ในไทยได้ กว่าที่จะเผยแพร่พุทธศาสนาในไทยได้ก็ต้องใช้ความอดทนความสามารถนานัปการ พวกเราจึงควรรักษาไว้ให้ดี
เมื่อเป็นครูสมาธิแล้ว ตอนมาเรียนก็มาเรียน จบไปก็เลิกกันแบบนี้ก็น่าเสียดาย หากไม่ทำสมาธิเพิ่มเติมเพื่อรักษาสมาธินั้นไว้
See More






สิ่งที่หลวงพ่อท่านเมตตาสอนพวกเราเกี่ยวกับการปฏิบัติ
ที่วังน้ำเขียวท่านได้กล่าวถึง
ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา การปฏิบัติแบบลำบากแต่ได้ผลเร็ว
สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา การปฏิบัติที่สุขและได้ผลเร็ว
นอกจากนี้ที่ผมได้ไปศึกษาอ่านเอาเพิ่มเติมก็จะมี...
ปฏิปทา สี่แบบคือ
ปฏิปทา 4 (แนวปฏิบัติ, ทางดำเนิน, การปฏิบัติแบบที่เป็นทางดำเนินให้ถึงจุดหมาย คือความหลุดพ้นหรือความสิ้นอาสวะ - modes of practice; modes of progress to deliverance)
1. ทุกขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะ แรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะนั้นอยู่เนืองๆ หรือเจริญกรรมฐานที่มีอารมณ์ที่มีอารมณ์ไม่น่าชื่นใจ เช่น อสุภะ เป็นต้น อีกทั้งอินทรีย์ก็อ่อนจึงบรรลุโลกุตตรมรรคล่าช้า พระจักขุบาลอาจเป็นตัวอย่างในข้อนี้ได้ - painful progress with slow insight)
2. ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะแรงกล้า ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะนั้นอยู่เนืองๆ หรือเจริญกรรมฐานที่มีอารมณ์ไม่น่าชื่นใจ เช่น อสุภะ เป็นต้น แต่มีอินทรีย์แก่กล้า จึงบรรลุโลกุตตรมรรคเร็วไว บาลียกพระมหาโมคคัลลานะเป็นตัวอย่าง - painful progress with quick insight)
3. สุขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติสบาย แต่รู้ได้ช้า เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะ นั้น เนืองนิตย์ หรือเจริญสมาธิได้ฌาน 4 อันเป็นสุขประณีต แต่มีอินทรีย์อ่อนจึงบรรลุโลกุตตรมรรคล่าช้า - pleasant progress with slow insight)
4. สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา (ปฏิบัติสบาย ทั้งรู้ได้ไว เช่น ผู้ปฏิบัติที่มีราคะ โทสะ โมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสเนื่องจากราคะ โทสะ โมหะนั้นเนืองนิตย์ หรือเจริญสมาธิได้ฌาน 4 อันเป็นสุขประณีต อีกทั้งมีอินทรีย์แก่กล้าจึงบรรลุโลกุตตรมรรคเร็วไว บาลียกพระสารีบุตรเป็นตัวอย่าง - pleasant progress with quick insight)

ที่วังน้ำเขียวท่านก็เล่าให้ฟังด้วยความเมตตา
พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ท่านกล่าวว่า ไปปฏิบัติลำบากมันก็ได้เร็วอยู่
หลวงปู่มั่นท่านก็สอนไว้ เอ้าอยากได้เร็วก็ไปนั่งสมาธิเอาบนรังมดแดง ท่านก็ลองไปนั่งเป็นชั่วโมง มันได้พุทโธ ประเดี๋ยวเดียว อุ๊ยๆ อ้าว โดนกัดอีกแล้วแหม นั่งตั้งนานสมาธิรวมได้ไม่เท่าไร
ท่านก็บอกว่านั่งสามชั่วโมงน่ะได้นิดเดียวตอนนั้น เพราะมันเจ็บมันคัน จะไปเอาสมาธิได้ที่ไหน มันก็ประเดี๋ยวเดียว
ท่านก็ถามว่า เอ้า แล้วพวกเธอจะเอาแบบไหน
แบบทุกข์ก็อาจจะสักห้าหมื่นชาติ
แบบสุขก็อาจจะห้าแสนชาตินะ
ผมไม่ทราบแต่ละคนเลือกแบบไหน แต่ทั้งนี้เท่าที่ผมตามอ่าน
สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือ สบายรู้ได้ไว ถือว่เป็นการปฏิบัติที่ปราณีต
ผมคงเลือกทางนี้ดีกว่าครับ 555



จะกล่าวถึงศัพท์ภาษาอังกฤษที่หลวงพ่อท่านใช้สอนฝรั่ง ท่านพูดถึง
Divine's eye คำที่หลวงพ่อท่านพูดถึงในสมาธิชั้นสูง
คำว่า Divine ในภาษาอังกฤษนั้นแปลว่า เทพ ทิพย์ เทวดา ผู้ที่เหนือมนุษย์
ถ้าตามที่ฝรั่งเขาใช้กับพวกเทวดากรีก เช่น เทพโอลิมปัส Olympus เทพเอเทนน่าAthena เทพอพอลโลApollo หรือ เทพเจ้านิเก Nike หรือ ไนกี้ ที่เราเคยได้ยินกัน
Devine's eye ที่เราได้ยินหลวงพ่อพูดก็คือ ทิพย์จักษุ หรือตาทิพย์ เมื่อฝึกการปฏิบัติสมถะมามากจนมีพลังจิตระดับหนึ่ง คือถึงจุดพลังอำนาจ ก็จะเกิด Devine's eye นี้ขึ้นมา






ประวัติงานสวดลักขีบวชชีหมื่นคน
พิธีกรรมการบวชชีนั้น เริ่มต้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ สถานที่ธุดงค์วิปัสสนากรรมฐาน วัดดำรงธรรมาราม อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งตอนนั้น พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล) เกิดความตระหนักว่า ในเส้นทางปฏิบัติธรรม ผู้หญิงไม่ค่อยมีสิทธิเทียมเท่าผู้ชาย
จึงได้คิดแนวปฏิบัติ ที่จะให้โอกาสสตรี ด้วยการบวชชีให้สตรี ได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรม แห่งประณีตศีล ถือเพศบรรพชิต กินนอนในวัดอย่างน้อย ๓ วัน โดยวันแรกนั้น ถือเป็นวันรับศีล วันที่สอง เป็นวันทรงศีล จะมีโอกาสปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ ส่วนวันสุดท้าย จะเป็นวันส่งผลบุญ
พิธีกรรมครั้งแรก ในการบวชชี มีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ เป็นผู้ให้วิสัยแก่ผู้เข้ามาบวชชี ในสมัยนั้น ถือว่าเป็นของใหม่ แต่ก็มีผู้สนใจเข้ามาบวชชีถึง ๖๒๕ คน ด้วย
อานิสงส์ผลบุญแห่งการบวช ทำให้หลายคนที่ผ่านการบวชแล้ว กลับไปด้วยจิตอิ่มเอิบเบิกบานแจ่มใส มีความสุขใจ โดยทั่วกัน
ในครั้งนั้น หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ได้พิมพ์ภาพของท่าน แจกให้กับผู้ที่มาบวชชีเป็นที่ระลึก และ ในจำนวนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่ง บ้านอยู่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มีอาชีพต้มเหล้าพื้นบ้าน (เหล้าเถื่อน) ขาย
วันหนึ่งเธอประสบอุบัติเหตุถึงชีวิต ขณะที่เธอมีสติเลื่อนลอยไปเรื่อยๆ แล้วมาอยู่ตรงที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนหน้าตาดุร้ายหลายคน จับเธอโยนลงไปในกระทะใบใหญ่ ที่มีน้ำเดือดพล่านๆ แต่พอเธอจะตกลงไป ก็มีอันกระดอนกลับขึ้นมา เป็นอยู่อย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง
ในช่วงนั้นเธอเห็นรูป หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร มารองรับเธอไว้ มิให้ตกลงไปในกระทะ แม้ชายหน้าตาดุดันก็เห็นเช่นเดียวกัน
จากนั้นก็ได้หยิบรูปนั้นขึ้นมาแล้วถามว่ารู้จักคนนี้หรือไม่เธอตอบว่ารู้จักเพราะเคยไปบวชชีที่วัดของท่าน ๓ วัน เขาจึงบอกให้เธอกลับไปได้
เธอมารู้สึกตัวอีกครั้งขณะที่ญาติกำลังจะเอาร่างของเธอใส่ลงในหีบศพพอรู้ว่าเธอฟื้นต่างก็ดีอกดีใจ จากวันนั้นเธอประกาศเลิกต้มเหล้าขายอย่างเด็ดขาด ข่าวนี้ฮือฮากันมากในช่วงเวลานั้น
ต่อมาเมื่อมีการบวชชีที่วัดดำรงธรรมารามเมื่อไรคนจะแห่เข้าไปจนแน่นวัดแล้ววัดอื่นก็เอาแบบอย่างนี้ไปปฏิบัติตามจนแพร่หลายไปทั่ว
เมื่อหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ไปสร้างวัดที่ใดก็จะนำเอาประเพณีสวดลักขีไปจัดขึ้นที่วัดนั้นๆ ดังเช่นที่วัดธรรมมงคล ถนนสุขุมวิท ซอย ๑๐๑ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
การสวดลักขี ที่วัดธรรมมงคลจะจัดในช่วงวันเกิด พระอาจารย์หลวงพ่อ วิริยังค์
ประมาณวันที่ 4-7 มกราคม ของทุกปี (พระอาจารย์หลวงพ่อ ท่านเกิด
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2463 ปีวอก แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย ณ สถานีรถไฟปากเพรียว จังหวัดสระบุรี ต่อมาย้ายมาตั้งหลักฐานที่บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา มีพี่น้อง 7 คน)
จะมีอุบาสก อุบาสิกา มาร่วมงานร่วมสามหมื่นคน ใช้เวลาสามวันสามคืนในการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรม หลับตื่น ถือศีล8 กินนอน นุ่งขาวห่มขาว อยู่ที่วัดธรรมมงคล ถือเป็นงานสำคัญครั้งใหญ่ของพุทธศาสนา ที่มีจัดเป็นประจำทุกปี
See More






หลวงพ่อกับการศึกษา
การศึกษาสามารถพัฒนาบุคคลและประเทศได้ การที่หลวงพ่อสร้างสถาบันออกแบบ CIDI หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านต้องไปเดินทางไปเมืองนอก ไปดูกระเป๋าแซมโซไนต์ อู้หู ทำไมแพงจัง ผลิตที่ไหนรู้ไหม ที่ปทุมธานี ท่านไปที่ Italy แว่นตาArmani ทำไมแพงจัง เพราะมันมียี่ห้อ มีการออกแบบ เลยสามารถขายแพงได้
ท่านบอกว่า หากเมืองไทยมีการสอนออกแบบ ก็ให้คนที่ชำนาญมาสอน ให้ชาวอิตาลีมาสอน ตรงนี้จะมีประโยชน์มาก หล...วงพ่อจะลงทุนตรงนี้ กี่สิบล้านก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อมีคนมาเรียนไปพัฒนาสินค้า จนมียี่ห้อ ก็สามารถนำเงินเข้าประเทศไทยได้หลายร้อยล้าน มากกว่าที่หลวงพ่อลงทุนไป ประเทศก็พัฒนา คนอยู่ดีกินดี ก็จะได้มีเวลามาฝึกสมาธิ ถ้าจะมาฝึกสมาธิแต่มีปัญหาเรื่องเงินทอง จะหาเวลามาเรียนก็ลำบาก ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนาให้คนให้มีความสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ก่อน นี่คือที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ครับ
Luangphor Viriyang said that education is important.
Many years ago, Luangphor needed a luggage for traveling. He saw the price tag on Samsonite bag and wondering...why it is so expensive. When Ven. father LP Viriyang was in Italy, he was looking at Armani glasses and see the price tag. Wow...very expensive. Luangphor was thinking about if Thai people know how to design and make products like Armani or Samsonite then they will have better economic. But to do that, they need to have knowledge, they will need an education. So Luangphor decide to start a school of design in Thailand.
Chanapatana International Design Institute or CIDI was originally founded as then Chanapatana Institute on Monday 13 November 2000 in cooperation with Accademia Italiana, a leading design school of Florence, Italy, by venerable Luangphor Viriyang Sirintharo, the Lord Abbot of Dhammamongkol Temple.
Luang Phor Viriyang said that, when people have a good living status, they will have time to meditation with ease for not worrying about how to make a living.

Graduation is a joy.
Every year, Luangphor Viriyang will give certificate to the students who graduate the meditation instructor's course. Morethan 6,000 students will be graduated this year. This is a new record for Will Power Institute. Students from Thailand, Canada, and United States will join this event together, hand in hand they will sing the song Arun Thor Saeng and Shining Sun.
It is a moment of joy.



Walking on the mountain is not easy even if you are young. Luangphor Viriyang at age of 93 is still walking, and leading us on a hiking trail. World peace is the goal to this journey. So walk carefully and keep your mind very clear as you walk on the mountain. As in life if you will have the right mind you will need will power.



Luangphor Viriyang was about to begin a walking meditation session. Next to Luangphor Viriyang is Mr.Meechai Ruchuphan. Mr. Woody is a young man on the right side of the picture.
Mr. Meechai Ruchuphan is a former deputy Prime Minister.
Mr. Woody has his own Talk show on The Modern 9 Television Thailand. The program is called "Woody kued ma kui".



Go back in time!!
Jan 9th,2011
Luangphor Viriyang was granted a new title from His Majesty the King Bhumibol Adulyadej.
Changing the royal title from "Phra Thepjetiyajarn" to "Phra Dhammongkolayarn" which is a higher rank for Bhudist monk in Thailand.
Recieving a Fan of Rank from His Royal Holiness "Phra Somdet Wanaruth" at Wat Dhammamongkol Bangkok Thailand.



This is a picture of a place where the Lord Buddha sat under the Bodhi tree in Bodh Gaya. The stone that Lord Buddha sat on is called Vajraasana or Vajrasila. The meaning of Vajraasana is a seat of a man who has a heart of a diamond.
No matter what the Mara did to Lord Buddha. With the heart of a daimond, Lord Buddha mind remains calm and true. Finally, Lord Buddha won over the Mara and become the... Enlightened One.

แท่นวัชรอาสน์ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ถ่ายเมื่อตอนที่ไปมินิธุดงค์นิรสาสมาธิที่อินเดียปีที่แล้วครับ พระครูปลัดมงคลวัตรบอกว่าเป็นที่นั่งของบุรุษใจเพชร ที่ใจแกร่งดั่งเพชร ไม่ว่าจะเจออุปสรรค เจอมารร้าย เจอสิ่งต่างๆที่เข้ามาทำให้จิตใจอ่อนไหว อ่อนแอ เปลี่ยนใจ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความมุ่งมั่นของ พระพุทธเจ้าได้ ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็สามารถตรัสรู้ ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ แห่งนี้
การสร้างบุญบารมี แม้จะยากจะเจออุปสรรคต่างๆมากมาย เจอคนรอบข้างมารบกวนใจ ก็ต้องพยายามต่อไป เพราะการสร้างบารมีสร้างบุญนั้น มารย่อมพยายามที่จะหาทางขัดขวางเป็นธรรมดา
ก็ขอให้พี่น้องชาวสถาบันพลังจิตตานุภาพ ลูกศิษย์หลวงพ่อวิริยังค์ เมื่อเจออุปสรรคก็ขอให้นึกถึงที่แห่งนี้ไว้นะครับ
แท่น วัชรอาสน์ ที่ๆพระพุทธเจ้าชนะมาร และตรัสรู้




วิธีการรักษาโรคทางใจ
ตอนนี้หลวงพ่อมีโปรแกรมสร้างวัดใหม่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมชื่อสุขภิญญา สำหรับใครที่ต้องการชุบตัวเอง เหมือนพระรามชุบศร หลวงพ่อก็จะชุบเหมือนกัน 50 ปีที่อยู่ที่นี่นี้ทั้งเทศน์ ทั้งอะไรทุกอย่าง ก็มานึกได้ว่าเราเป็นพระวัดป่าจึงได้มีโปรแกรมนี้ขึ้น สำหรับรักษาโรคทางจิตใจ  ของอะไรที่ชำรุดก็ต้องซ่อมจะทำให้ใช้ได้ ไม่ซ่อมก็จะมีรู มีรั่ว อย่างรถก็ต้องมีเข้าโรงซ่อม ทีนี้ทางจิตใจก็เช่นกัน หลวงพ่ออยู่ที่นี่ทั้งเทศน์ ทั้งบริหาร ทุกอย่าง ก็ต้องมีการรักษาจิตใจ ทางร่างกายมีหมอรักษา แต่โรคด้านจิตใจมองไม่เห็น แต่มันก็เกิด โรคทางใจเกิดตอนไหน เช่น ลูกดื้อ เราโมโห ฉุนเฉียว เมื่อเราโมโห ก็เกิดโรคแล้ว โรคโมโห เศร้าใจ หงุดหงิด ประสาท เป็นตัวบั่นทอนอายุ ถ้าโรคเศร้า โรคทางใจมีมาก จะบั่นทอนอายุไปอีก 5 ปี
วิธีรักษาโรคทางใจคือใช้ความอดทน ความเพียร มานะ บากบั่น การอดทนนี้คืออดทนแบบมีสมาธิ โรคทางใจนั้นเกิดจากอารมณ์ ไม่เลือกคนจะคนรวย คนจน คนมียศฐาบรรดาศักดิ์ก็เป็นโรคทางใจ ทั้งนี้ในธรรมะ มีอุเบกขา ความวางเฉย เอาเข้าจริงมันก็วางไม่ได้ พอวางไม่ได้ก็แบกเป็นภาระหนัก ดังนั้นในวันหนึ่งๆ เราควรรักษาตัวเรา 5 นาที 10นาที พอรักษาทุกๆวันโรคทางใจจะหายไปเอง พอไม่รักษาก็เป็นอย่างคนนี้ว่าเรา เราโกรธ โกรธเท่านี้ไม่พอต้องโกรธอีก เหมือนเอาน้ำมันไปราดไฟ เพราะใจเอาไปรับอารมณ์ จำได้ว่าใครว่าเราบ้าง เกิดเป็นอุปทานที่เกิดจากอารมณ์ ทำให้เกิดความเศร้าใจ
หากเรามีวิชาความรู้สมาธิก็กักตุนเอาไว้ ทำสมาธิไว้ 5 นาที 10 นาที ก็จะเป็นยารักษาทางใจ ยารักษาทางใจเราไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องให้หมอดูแล นึกพุทโธ 5 นาทีเป็นของยากที่ไหน เราอยู่ที่ไหนก็ทำสมาธิได้ ก็จะคุ้มตลอดวัน อาทิตย์หนึ่งต้องทำสมาธิไม่ต่ำกว่า 4-5 วัน แค่นี้ก็เกิดประโยชน์มหาศาล หลวงพ่อเองสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาบิณฑบาตร ก็ท่องพุทโธไป ก็มีสติขึ้น เมื่อมีสติ เวลาใครโมโห ว่าเรา เรามีสติ ไม่โกรธ
การทำสมาธิเป็นการแก้โรคและป้องกันไม่ให้โรคทางใจเกิดขึ้น เป็นการทำแบบง่ายๆ วันนี้5 นาที พรุ่งนี้ 5 นาที ก็สะสมได้มาก เกิดประโยชน์ มากมาย รู้ว่าจะจัดการชีวิตอย่างไร ชีวิตมีค่ามากมายมหาศาล เราต้องรู้จักดูแลรักษาไม่ให้เกิดโรคทางใจ เมื่อเกิดจุดดำในใจแล้วก็เกิดความอาฆาต พยาบาท จองเวร สะสมไปเรื่อยๆ พอทำสมาธิก็จะลดจุดดำไป
ที่วัดใหม่หลวงพ่อจะฉันในบาตร เดินจงกรม นั่งสมาธิ ใครไปพบไปได้นิดหน่อยตอนหกโมง ถึงแปดโมง หลังจากนั้นเข้าไปไม่ได้แล้ว หลวงพ่อก็จะชุบตัว ตอนบ่ายใครจะเข้าไปถวายน้ำปานะได้ โรคทางใจไม่เหมือนโรคทางกาย ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามีไว้แก้ไขโรคที่ทำให้เกิดอาการไม่ดี อาการไม่ดีคือความเศร้าหมอง
โปรแกรมที่วัดใหม่นี้เบาะๆ 49 วัน มีการปฏิบัติเคร่งครัดขึ้น ใครอยากมาชุบตัวให้ผ่องใสก็มา ปรากฎว่ามีพระมาสมัคร 160 องค์ 160 องค์นี้ ต้องนอนดินบ้าง นอนกุฏิบ้าง 49 วันนี้มาจากการที่พระพุทธองค์เสวยวิมุติสุข 49 วันไม่ฉันเลย หลวงพ่อเลยถือนิมิตว่า 49 วันจะเป็นการชุบ ชำระ โดยให้หลักสูตรนี้ชื่อว่าคุรุสาสมาธิ โดยตอนเช้าเก้าโมงเริ่ม เลิกบ่ายสาม จากนั้นกวาดลานวัด  การกวาดลานวัดเป็นนี้พิธี แต่ขณะเดียวกันก็กวาดกิเลสในใจ กวาดสิ่งค้างคาในจิตใจให้บริสุทธิ์ เมื่อหลวงพ่อสอนแล้วทำด้วยก็จะขลัง
50 ปีของการอยู่ที่นี่มีแต่การแต่งานไม่เคยพัก ตอนนี้ก็จะได้พักแล้ว เมื่อเราทำอย่างนี้ สร้างความดีอย่างนี้ทั้งโยมทั้งพระ ก็จะกลายเป็นคนดี ญาติโยมก็ต้องสนับสนุนการทำความดีนี้ เพียงแค่ใส่บาตรก็ใช้ได้แล้ว ตอนเช้ามีข้าวยาคู จากนั้นพระไปบิณฑบาตร เข้างาน 9 โมง บ่ายสามเลิก กวาดลานวัด 4 โมงสรงน้ำ เมื่อทำตามหลักสูตรก็เกิดผล เมื่อปฏิบัติเสร็จก็มีการแผ่เมตตา เป็นงานที่ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงต่อไป
หนังสือ Time Magazine บอกว่า ที่อเมริกา มีงานวิจัยพบว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก คือพระในพุทธศาสนา
โดยทดสอบด้วยการสแกนสมองพระที่ทำสมาธิ และได้ผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นจริง
+ หลักความเชื่อของศาสนาพุทธคือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุขนั้น ก็คืออยู่กับปัจจุบัน ขณะปล่อยวางได้
ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยากที่ไม่มีสิ้นสุด
+ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และใช้หลักเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น มีจิตใจเมตตา กรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น
+ อริยสัจ4 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและบอกไว้ด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แท้จริงแล้วก็คือทางเดินไปหาคำว่า
 "ความสุข" เพราะถ้าเมื่อไรเรากำจัด "ความทุกข์" ได้แล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้น
+ อุปสรรคของความสุขก็คือแรงปรารถนาและตัณหา คนเราจะมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับว่า"มีเท่าไร"
แต่ขึ้นอยู่ที่ว่า เรา "พอเมื่อไร" ความสุขไม่ได้ขึ้นกับจำนวนสิ่งของที่เรามี หรือเราได้...
+ ดังนั้นวิธีจะมีความสุข อันดับแรกต้อง "หยุดให้เป็น และ พอใจให้ได้" ถ้าเราไม่หยุดความอยากของเราแล้วละก็
เราก็จะต้องวิ่งไล่ตามหลายสิ่งที่เรา "อยากได้" แล้วนั่นมันเหนื่อย และความทุกข์ก็จะตามมา...
+ ข้อต่อมาที่ทำให้เราเป็นสุขคือ การมองทุกอย่างในแง่บวก ชีวิตแต่ละวัน แน่นอนเราต้องเจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี
ถ้าเราอยากจะมีความสุข เราต้องเริ่มด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อใจเราจะได้เป็นบวก
คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่เราได้ทำ
 + ข้อต่อมาคือการให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบสิ่งของหรือเงิน เรียกว่าบริจาค และการให้ความเมตตากรุณาต่อกัน
ให้อภัยทั้งตัวเองและคนอื่น  สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัย ทำให้เรามีความสุข....
 + การปล่อยวางให้ได้ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงและเศร้าโศกเพียงใด
จำไว้ว่ามันจะโดนเวลาพัดพามันไปจากเรา ไม่ช้าก็เร็ว เราจะผ่านพ้นไปได้....และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเพียงใด ไม่ว่าผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วย ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
ทุกคนต้องได้ผ่านบททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...
 +  ทำตนเองให้สดใส ด้วยการยิ้มให้ตนเอง ทำคนอื่นให้สดใสได้ ด้วยการยิ้มให้เขา การยิ้มไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่สร้างความสดใสได้มาก ทำให้เราเป็นสุขอยู่เสมอ เพราะความสุขมันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ใจของเรานี่เอง
ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส เห็นใครทักก่อน
นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก
การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่การแก้แค้นลงทุนมาก
เขาด่าว่าเราไม่ถึงนาที เขาอาจลืมไปแล้วด้วย แต่เรายังจดจำ ยังเจ็บใจอยู่... นี่เราฉลาดหรือโง่กันแน่
บ่นแล้วหมดปัญหาก็น่าบ่น บ่นแล้วมีปัญหา ไม่รู้จะบ่นหาอะไร
เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ทำไมต้องเศร้าหมอง
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ
อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก จะเสียสุขภาพกายและสุขภาพจิต
แม้จะฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธไม่ได้ แต่ฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธบ่อยได้ ฝึกให้เป็นผู้รู้จักให้อภัยได้
การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา

การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา
โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้ โทษตนเองแก้ไขได้
แก้ตัวไม่ได้ช่วยอะไร แต่แก้ไขช่วยให้ดีขึ้น

การนอนหลับเป็นการพักกาย การทำสมาธิเป็นการพักใจ คนส่วนใหญ่พักแต่กาย ไม่ค่อยพักใจ
รู้จักทำใจให้รักผู้บังคับบัญชา
รู้จักทำใจให้รักลูกน้อง
รู้จักทำใจให้รักเพื่อนร่วมงาน
สวรรค์ก็อยู่ที่ทำงาน
เกลียดผู้บังคับบัญชา
เกลียดลูกน้อง
เกลียดผู้ร่วมงาน
นรก ก็อยู่ที่ทำงาน
การที่เรายังต้องแสวงหาความสุข  แสดงว่าเรายังขาดความสุข
แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้เป็นสุขได้เอง ก็ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหน

อ่อนน้อม อ่อนโยน  อ่อนหวาน นั้นดี.... อ่อนข้อให้เขาบ้างก็ยังดี แต่...อ่อนแอนั้น ไม่ดี
ในการคบคน ศิลปะใดๆ ก็สู้ความจริงใจไม่ได้ จงประหยัด คำติ แต่อย่าตระหนี่ คำชม
อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันตอนตาย

ถ้าคิดทำความดี ให้ทำได้ทันที
ถ้าคิดทำความชั่ว ให้เลิกคิดทันที
ถ้าเลิกคิดไม่ได้ ก็อย่าทำวันนี้
ให้ผลัดวันไปเรื่อยๆ
ถึงจะรู้ร้อยเรื่องพันเรื่อง ก็ไม่สู้รู้เรื่องดับทุกข์
โลกสว่างด้วยแสงไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม
แสงธรรมส่องใจ แสงไฟส่องทาง

ผู้สนใจธรรม สู้ผู้รู้ธรรมไม่ได้
ผู้รู้ธรรม สู้ผู้ปฎิบัติธรรมไม่ได้
ผู้ปฎิบัติธรรม สู้ผู้ที่เข้าถึงธรรมไม้ได้
มีทรัพย์มาก ย่อมมีความสะดวกมาก
มีธรรมะมาก ย่อมมีความสุขมาก
เมื่อก่อนยังไม่มีเรา
เราเพิ่งมีมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
และอีกไม่นานก็จะไม่มีเราอีก
จึงควรรีบทำดี ในขณะที่ยังมี...เรา


 








MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY