ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด
ตั้งแต่ออกบวชปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้ บังเกิดเกล้าทุกวัน
“ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือให้พ้นจากทุกข์นั้น” นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง
แม่ยายเขาเรียกใช้ “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”
“มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”
“เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”
“สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”
นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐานเครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?”
เขาต่อว่ากลับมาอีก “โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่มทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้นได้บำเพ็ญบุญมาก”
เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้”
ก็ถามเขาต่อไปว่า “ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ในนรกมีคนมากเท่าไร ?”
“โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไปเพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
จากนั้นจ่ายมบาลก็ว่า “ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้วได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น
คัดลอกจาก หนังสือประวัติของ “หลวงปู่จันทา ถาวโร”
วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
“มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ”
“เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”
“สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”
นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐานเครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า “หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?”
เขาต่อว่ากลับมาอีก “โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่มทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้นได้บำเพ็ญบุญมาก”
เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้”
ก็ถามเขาต่อไปว่า “ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ในนรกมีคนมากเท่าไร ?”
“โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไปเพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
จากนั้นจ่ายมบาลก็ว่า “ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้วได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น
คัดลอกจาก หนังสือประวัติของ “หลวงปู่จันทา ถาวโร”
วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
บุพเพชาติปางก่อน
ในตอนเย็นวันหนึ่ง นั่งแปล ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนจบ แล้วก็เข้าที่ ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ จากนั้นก็นั่งภาวนา วันนั้น จิตรวมใหญ่ พอจิตสงบลง ก็มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิ ดขึ้น แล้วพระธรรมก็ยกเพศนักบวชมา ให้เห็น ยืนอยู่ตรงหน้า แหม รูปร่างสวยงาม แต่ไม่ใหญ่โตนะ มีขนาดเท่ากับปัจจุบันนี้แห ละ และพระธรรมก็พูดขึ้นว่าง
“นี่แหละสมบัติของท่าน ยกเอามาให้ดู เป็นสมบัติที่ดี ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าสิข ี ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบั น ขึ้นไปอีก ๕ พระองค์นั่นแหละ ท่านได้บวชในศาสนาของพระพุท ธเจ้าองค์นั้น ตั้งแต่เป็นเณรไปตลอดจนถึงว ันตาย นั่นแหละ ไม่หวั่นไหวในเรื่องโลกสงสา ร พอใจใฝ่ฝันในการทำดี เพราะเบื่อหน่ายในภพชาติสัง ขารที่ได้ไปอบายเสียเป็นส่ว นมาก ได้มีโอกาสทำคุณงามความดีเพ ียงชาติเดียวเท่านั้น และก็ได้มอบกายถวายชีวิต รักษาเพศพรหมจรรย์ไว้ บวชจนตลอดชีวิต ไม่สึกไปสร้างโลก ไม่หวั่นไหวในเรื่องกิเลสทั ้งนั้น จนกระทั่งได้เอาผ้าเหลืองห่ อร่างเข้ากองไฟไปเลยนะในชาต ินั้น นั่นแหละ เป็นปัจจัยใหญ่ที่ชาตินั้นไ ด้บวช ทำคุณงามความดีไว้ ได้ศึกษาพุทธวจนะฝังไว้ที่ใ จ ไม่สาบสูญหายไปไหนหรอก มาชาตินี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ เรียนหนังสือก็ตามที แต่คุณงามความดีที่ได้ทำไว้ ก็ดลบันดาลให้มาได้บวชอีก ถ้าชาตินั้นไม่ได้บวช มาชาตินี้ก็ไม่ได้บวชนะ”
ทีนี้ก็กำหนดถามพระธรรมต่อไ ปว่า “ชาตินี้ภพนี้จะไปพระนิพพาน ตามพระพุทธเจ้าได้ไหม ?”
“แล้วแต่เหตุปัจจัยนะ”
“อะไรคือเหตุ อะไรคือปัจจัย ?”
“เหตุ ก็ได้แก่ การประพฤติปฏิบัติสมถกรรมฐา นวิปัสสนากรรมฐาน เดิน ยืน นั่ง พิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์อย่างนั้น นี่เรียกว่า การประกอบเหตุดี”
“ปัจจัย ได้แก่ บุญกุศลแต่ชาติปางก่อนโน้น ถ้ามันสมดุลกันแล้วก็ไปได้ บุญกุศลนั้นจะเป็นเครื่องตั ดกระแสของสงสารไปได้”
“ถ้าปัจจัยเต็มแล้ว แต่ขาดเหตุ หรือว่าเหตุพร้อมแล้ว แต่ขาดปัจจัย ก็ไปไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้น มันต้องพร้อมมูลทั้งสองอย่า ง มันจึงจะไปได้ นั่นแหละ ไม่ต้องสงสัย”
“แต่ถึงจะไปได้หรือไม่ได้ก็ ตามที ก็อย่าได้หวั่นไหวในการประพ ฤติปฏิบัติศาสนธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะทำน้อยหรือมาก ก็เป็นบุญเป็นกุศล เป็นนิสัย เป็นปัจจัยทั้งนั้น”
นั่นแหละ พระธรรมพูดขึ้นมาอย่างนั้นแ ล้วก็ดับสูญไป
ถ้ามีผู้ถามว่า “อยากจะสึกไปสร้างโลกกับเขา อีกหรือไม่ ?”
“โอ๋...อย่าคิดเสียเลย เสียเวลาภาวนา ชาติก่อนเคยเป็นมาอย่างไร ชาตินี้ก็จะเป็นอย่างนั้น ในชาติปางก่อน เคยบวชอยู่จนตายในเพศพรหมจร รย์ หามเข้ากองไฟไปเลย ชาตินี้ก็จะไปอย่างนั้น”
เห็นพระเณรอยากสึก มาขอสึก แล้วรู้สึกใจหายนะ ใจร้อน สงสาร เมตตา เพราะอินทรีย์อ่อน บารมีธรรมอ่อน สติปัญญาก็อ่อน ตัดวัฏฏสงสาร กระแสแห่งความทุกข์ไม่ได้ ก็ไปตามเวรกรรมเถิด ไม่ว่ากัน พอหันกลับมามองเพศพรหมจรรย์ แล้ว ก็รู้สึกเย็นตา เย็นใจนะ ใจสบาย นี่เป็นเพราะปัจจัยเก่าสร้า งสมมาอย่างนั้น
จากนั้นจิตก็รวมอีก พระธรรมก็ยกบุพเพชาติมาให้เ ห็นอีก เป็นจระเข้ใหญ่นอนอยู่ในถ้ำ จึงถามว่า
“นี่คืออะไร ?”
“นี่แหละ ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ ชาติภพของท่านที่เป็นมาแต่ช าติปางก่อนโน้น”
“เป็นอย่างนี้ก็เป็นหรือ ?”
“เป็น”
“เพราะเหตุใดจึงเป็น ?”
“เพราะกลืนยาพิษ ความโลภ โกรธ หลงนั้น คือยาพิษใหญ่ฉาบทาจิตใจไว้ ไม่ทีที่พึ่ง คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้น เมื่อตายแล้ว จึงไปเสวยภพชาติเป็นจระเข้”
“นานเท่าใด ?”
“โอ๋...เป็นแสน ๆ ชาติ นะท่าน”
“เพราะเหตุใดจึงนาน ?"
“เพราะไปเกิดเป็นจระเข้ใหญ่ อาศัยอยู่ในห้วยหนองคลองบึง
ลึกกว้างใหญ่ สัตว์ตัวเมียก็มาก ดังนั้นจึงไปติดในกิเลสกาม วัตถุกาม
อาหารก็ไม่อดไม่อยาก อยู่กินสนุกสนานนั่นแหละ โลกคือหมู่สัตว์
ถึงจะไปเกิดเป็นภพชาติใด ถ้ากิเลสกับกรรมนั้นครอบครอ งหัวใจแล้ว ก็จะชักพาหลอกลวงให้หลงติด หลงยึดอยู่ในภพชาตินั้น ๆ ไม่รู้จักเบื่อหน่าย ดังนั้น กว่าจะเปลี่ยนชาติภพมาได้จึ งนานแสนนาน”
จากนั้น พระธรรมยกบุพเพชาติขึ้นมาอี ก เป็น ตะขาบใหญ่วิ่งเข้ามา ร้องว่า อ๊ด... ๆ ... ๆ
“นี่คืออะไร ?”
“นี่แหละ บุพเพชาติปางก่อนที่ท่านได้ เสวยมาแล้ว”
“โอ๋... ตะขาบก็เป็นหรือ ?”
“เป็น”
“เพราะเหตุใดจึงเป็น ?”
“เพราะกลืนยาพิษนั่นแหละ ยาพิษ คือ โลภ โกรธ หลง และไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ที่ดวงจิต”
“นานเท่าใด”
“เป็นแสน ๆ ปี นะท่าน”
โอ๋... เห็นแล้วก็สลดสังเวชใจ จนน้ำตาไหล
จากนั้นก็เกิดเป็นภาพงูใหญ่ วิ่งเข้ามา ร้องว่า
“วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ”
นี่แหละ ภพชาติปางก่อนยกมาสอนให้ดู ก็ได้ความสังเวชสลดใจ เพราะมันตายสาบสูญหมดเสียสิ ้น
พอตายแล้ว ดวงจิตออกจากร่างไปไหน ไปเกิดเป็นหมี มีครอบครัว มีบุตร มีภรรยา
มีบุตร ๒ ให้ภรรยาเลี้ยงดูบุตร ส่วนตัวเอง ออกไปหาอาหาร ผลไม้
และรวงผึ้งมาเลี้ยงทุกวัน
อยู่มาวันหนึ่ง มีเสือโคร่งใหญ่มากัดบุตร กลับมาเห็นพอดี ก็กัดกันเลยนะ
กูก็ตาย มึงก็ตาย นั่นแหละ ตายจากหมีแล้วไปไหน ดวงจิตออกจากร่าง ไปเกิดเป็นหมูตัวใหญ่
ผู้ชนะย่อมแพ้ ผู้แพ้ย่อมก่อเวร นั่นแหละ เมื่อไปเห็นก็กัดกันอีก เขาก็ตาย เราก็ตาย
ดวงจิตออกจากร่างหมูแล้วไปไ หน เหลือบไปเห็นลิงอยู่บนยอดไม ้ โอ๋...ไปเกิดเป็นลิงดีกว่า จะได้พ้นจากปากเสือ ก็เลยไปเข้าท้องลิง
เกิดมาเป็นลิง หากินผลหมากรากไม้ตามต้นไม้ ก็เลยพ้นจากปากเสือไปได้ ขณะนั้น พ่อแม่เที่ยวไปตามชายเขา ไปเห็นวัดแห่งหนึ่งเป็นวัดพ ระกรรมฐาน ตั้งอยู่กลางภูเขาลำเนาไพร พอแม่ก็เลยพาไปฟังธรรมะ
พระก็เทศน์ว่า “โย จะ ปุคคะโลฯ บุคคลทั้งหลายทั้งมนุษย์และ สัตว์เดรัจฉานก็ดี เมื่อมาเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมเป็นเครื่องประดั บ เป็นเครื่องล้างบาปแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้ องหน้า”
พ่อแม่ก็เลื่อมใส อยากเปลี่ยนภพชาติ ก็เลยไปศึกษากับพระที่เป็นห ัวหน้าว่า
"ข้าพเจ้าเป็นลิงจะปฏิบัติธ รรมได้ไหม ?"
"ได้...ไม่เป็นไร ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะหรอก มนุษย์ก็ทำได้ สัตว์ก็ทำได้"
พ่อแม่ก็เลยพาไปรับพระไตรสร ณคมน์ และศีล ๕ เสร็จแล้วพระก็บอกว่า
"ลิง... พวกแกขึ้นต้นไม้ได้เร็ว ผลไม้สุกมีอยู่เต็มป่านั้นไ ปเก็บเอามาไว้ใส่บาตรพระกับ โยมมนุษย์ทั้งหลายเขา พวกใบไม้ที่กินเป็นอาหารได้ ก็ไปเก็บมาไว้ทำทาน"
ก็เลยทำอยู่อย่างนั้น เพราะอยากเปลี่ยนภพชาติ ได้ผลไม้มาลูกไหนที่ไม่สวยไ ม่ดีก็เก็บไว้กินเอง ส่วนลูกที่ดีและสวยงามเก็บไ ว้ใส่บาตรพระบำเพ็ญบุญ จากนั้นก็เข้าป่าหาหัวเผือก หัวมันต้มถวายพระ บำเพ็ญบุญเช่นนั้นเรื่อยมา
ต่อมามีอุบาสิกาคนหนึ่งเป็น หัว
หน้าเพื่อน มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬาร มีเสียงกังวาน เห็นแล้วก็ชอบใจ
เพราะเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ บำเพ็ญบุญกุศลวัตรไม่ลดละ ก็คิดในใจว่า
ถ้าเราสิ้นลมจากลิง เราจะไปเข้าท้องอุบาสิกาคนน ี้
พอดีอายุสังขารร่วงโรยหมดสิ ้นลงก็สิ้นลม ขณะนั้นสติปัญญาตามจิตทันอย ู่ ด้วยความห่วงใยอาลัย เมื่อจิตออกจากร่างลิงก็ไปเ ข้าท้องอุบาสิกาคนนั้น พอครบ ๑๐ เดือน ก็คลอดออกมา
โอ๋...เราเปลี่ยนภพชาติได้แ ล้ว เพราะเราทำคุณงามความดีกับพ ระกับมนุษย์ อำนาจของพระไตรสรณคมณ์ และศีล ๕ รักษาไว้ไม่ให้ไปอบาย และทำให้เปลี่ยนภพชาติมาเป็ นมนุษย์ได้
พออายุได้ ๗ ปี พ่อแม่ก็เลยให้บวช เพราะเห็นเป็นคนว่องไวดี คงจะศึกษาเล่าเรียนดี พ่อแม่ก็พาไปถวายพระกรรมฐาน ผู้เป็นหัวหน้า พระกรรมฐานนั้นก็ว่า
"โอ๋...ลูกรัก เมื่อชาติก่อนเจ้าเป็นลิงนะ มาทำคุณงามความดีอยู่กับมนุ ษย์ที่นี่ ก็เลยได้เปลี่ยนภพชาติจากลิ งไปเป็นมนุษย์ ก็ดีแล้ว ฉะนั้น บวชเป็นเณรเสียเลย"
พอบวชแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาพุทธวจนะได้คล ่องแคล่วดี จากนั้นก็เทศนา สั่งสอนมนุษย์ทั้งหลายให้บำ เพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ลดละ ตราบจนสิ้นชีวิตสังขาร
รวมที่ญัตติเป็นพระด้วย ๑๐๐ กว่าปี นั่นแหละดับขันธ์แล้วก็มีคว ามเบิกบานสำราญใจดี นี่เป็นปฐมเหตุของการสร้างค ุณงามความดี
เรื่องบุพเพชาติแต่ปางก่อน ก็ได้เห็นเพียงแค่นั้น นั่นแหละ ตอนแรกเป็นลิง เปลี่ยนจากลิงมาเป็นมนุษย์ ทำคุณงามความดีสูงสุดมาเป็น ระยะ ๆ อันนี้จึงได้ชื่อว่า
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโ ลกที่ชั่ว
ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขม าให้
เมื่อเห็นจริงเช่นนี้แล้วก็ สิ้นสงสัย ในโลกทั้งสาม (กามโลก รูปโลก อรูปโลก) นี้ ไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะเป็นที ่พึ่งอันเอก นอกจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่านั้น นั่นแหละ ได้ประพฤติวัตรปฏิบัติมาอย่ างนี้
ฉะนั้น ทุกท่านเมื่อได้ยินได้ฟังแล ้ว จงโอปนยิโก น้อมไว้ที่ใจ ใคร่ในธรรมะ นำประพฤติวัตรปฏิบัติตามธรร มะคำสอนของพระพุทธเจ้าให้จง ได้ สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้อยู่ทุก เมื่อ อย่าได้ประมาทว่าบุญกุศลเล็ กน้อยเมื่อไหร่จะให้ผล เมื่อหมั่นสะสมไว้ทีละเล็กท ีละน้อย ก็ย่อมให้ผลใหญ่ในเบื้องหน้ า อุปมาเหมือนอย่างบุคคลอยากไ ด้น้ำฝนและน้ำค้าง ก็เอาโอ่งอ่างกระถางไปตั้งไ ว้ในที่กลางแจ้ง ก็ย่อมเต็มด้วยน้ำค้างและน้ ำฝนที่หยดลงมาทีละหยด ๆ อันนี้ฉันใด ปราชญ์ทั้งหลายผู้ฉลาดในการ สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้ ก็ย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งความ สุขความเจริญทุกทิวาราตรีกา ล ดั่งน้ำในคงคาวารีไหลลงมาสู ่ท้องมหาสมุทรไม่รู้หยุดรู้ หย่อน ทั้งกลางวันและกลางคืนอันนี ้ฉันใด กุศลผลบุญก็มีอุปไมยฉันนั้น
ดังครั้งพุทธกาลโน้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไ ด้ทรงตรัสเทศนาแก่ อนาถปิณฑิกเศรษฐีว่า
“เอสา เทวะมนุสสานัง นิธิ ดูก่อน มหาบดีเศรษฐี ขุมทองกองบุญกองกุศล อันมนุษย์และเทวดาทั้งหลายท ี่สะสมอบรมใส่ตนไว้เต็มเปี่ ยม
แล้วนั้น แม้จะปรารถนาใด ๆ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
และทุนสารสมบัติใดนั้น ก็จะสำเร็จได้ นอกจากนั้น
จะเป็นสะพานไต่เต้าเข้าสู่ม รรคผลนิพพาน ข้ามเสียซึ่งอำนาจของมารอัน ธพาลน้อยใหญ่”
นั่นแหละ ต่อแต่นั้นไป ขอให้ตั้งใจประพฤติวัตรอยู่ เป็นนิจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ วัตร เป็นเครื่องปิดอบาย นายโก เป็นผู้นำโลกออกจากหมู่สัตว ์ ไปถึงพระนิพพานได้ บุญกุศลน้อยใหญ่สะสมให้มีขึ ้นซึ่ง
ทาน ศีล ภาวนา บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา วัตร มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ สมถะ วิปัสสนา
เป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลส อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ให้ขาดจากใจ
ทำความเห็นให้เป็นผู้ไม่มีภ ัยและเวร เป็นเหตุยังใจให้ได้ดื่มรสข องความสงบโดยลำดับ นับว่าเป็นผู้ทำชีวิตให้เป็ นไปด้วยประโยชน์สุข ด้วยความเห็นที่ดี เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ในองค์มรรค อันเป็นเครื่องยังมารและเสน ามารให้ลุ่มหลงและเป็นที่ไม ่ค้นพบแห่งพญามัจจุราช อันบุคคลที่มีสัมมาปฏิบัติเ ช่นนี้ ได้ชื่อว่า เป็นผู้ยังคุณสมบัติอันดีเล ิศ คือ บุญกุศลมรรคผลธรรมวิเศษให้เ จริญตามกาลและขั้นแห่งวัย แม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปมากเท ่าไร คุณงามความดีก็เจริญตามกาลไ ปเช่นนั้น ถึงแม้จะมีชีวิตเป็นอยู่เพี ยงวันเดียว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสเรียกว่า ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญแล้ ว อะโมฆันตัสสะ ชีวิตัง ความเป็นอยู่ของบุคคลนั้นไม ่เปล่าจากประโยชน์เลย
ในตอนเย็นวันหนึ่ง นั่งแปล ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนจบ แล้วก็เข้าที่ ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ
“นี่แหละสมบัติของท่าน ยกเอามาให้ดู เป็นสมบัติที่ดี ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าสิข
ทีนี้ก็กำหนดถามพระธรรมต่อไ
“แล้วแต่เหตุปัจจัยนะ”
“อะไรคือเหตุ อะไรคือปัจจัย ?”
“เหตุ ก็ได้แก่ การประพฤติปฏิบัติสมถกรรมฐา
“ปัจจัย ได้แก่ บุญกุศลแต่ชาติปางก่อนโน้น ถ้ามันสมดุลกันแล้วก็ไปได้ บุญกุศลนั้นจะเป็นเครื่องตั
“ถ้าปัจจัยเต็มแล้ว แต่ขาดเหตุ หรือว่าเหตุพร้อมแล้ว แต่ขาดปัจจัย ก็ไปไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้น มันต้องพร้อมมูลทั้งสองอย่า
“แต่ถึงจะไปได้หรือไม่ได้ก็
นั่นแหละ พระธรรมพูดขึ้นมาอย่างนั้นแ
ถ้ามีผู้ถามว่า “อยากจะสึกไปสร้างโลกกับเขา
“โอ๋...อย่าคิดเสียเลย เสียเวลาภาวนา ชาติก่อนเคยเป็นมาอย่างไร ชาตินี้ก็จะเป็นอย่างนั้น ในชาติปางก่อน เคยบวชอยู่จนตายในเพศพรหมจร
เห็นพระเณรอยากสึก มาขอสึก แล้วรู้สึกใจหายนะ ใจร้อน สงสาร เมตตา เพราะอินทรีย์อ่อน บารมีธรรมอ่อน สติปัญญาก็อ่อน ตัดวัฏฏสงสาร กระแสแห่งความทุกข์ไม่ได้ ก็ไปตามเวรกรรมเถิด ไม่ว่ากัน พอหันกลับมามองเพศพรหมจรรย์
จากนั้นจิตก็รวมอีก พระธรรมก็ยกบุพเพชาติมาให้เ
“นี่คืออะไร ?”
“นี่แหละ ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ ชาติภพของท่านที่เป็นมาแต่ช
“เป็นอย่างนี้ก็เป็นหรือ ?”
“เป็น”
“เพราะเหตุใดจึงเป็น ?”
“เพราะกลืนยาพิษ ความโลภ โกรธ หลงนั้น คือยาพิษใหญ่ฉาบทาจิตใจไว้ ไม่ทีที่พึ่ง คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
“นานเท่าใด ?”
“โอ๋...เป็นแสน ๆ ชาติ นะท่าน”
“เพราะเหตุใดจึงนาน ?"
“เพราะไปเกิดเป็นจระเข้ใหญ่
จากนั้น พระธรรมยกบุพเพชาติขึ้นมาอี
“นี่คืออะไร ?”
“นี่แหละ บุพเพชาติปางก่อนที่ท่านได้
“โอ๋... ตะขาบก็เป็นหรือ ?”
“เป็น”
“เพราะเหตุใดจึงเป็น ?”
“เพราะกลืนยาพิษนั่นแหละ ยาพิษ คือ โลภ โกรธ หลง และไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ที่ดวงจิต”
“นานเท่าใด”
“เป็นแสน ๆ ปี นะท่าน”
โอ๋... เห็นแล้วก็สลดสังเวชใจ จนน้ำตาไหล
จากนั้นก็เกิดเป็นภาพงูใหญ่
“วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ”
นี่แหละ ภพชาติปางก่อนยกมาสอนให้ดู ก็ได้ความสังเวชสลดใจ เพราะมันตายสาบสูญหมดเสียสิ
อยู่มาวันหนึ่ง มีเสือโคร่งใหญ่มากัดบุตร กลับมาเห็นพอดี ก็กัดกันเลยนะ
กูก็ตาย มึงก็ตาย นั่นแหละ ตายจากหมีแล้วไปไหน ดวงจิตออกจากร่าง ไปเกิดเป็นหมูตัวใหญ่
ผู้ชนะย่อมแพ้ ผู้แพ้ย่อมก่อเวร นั่นแหละ เมื่อไปเห็นก็กัดกันอีก เขาก็ตาย เราก็ตาย
ดวงจิตออกจากร่างหมูแล้วไปไ
เกิดมาเป็นลิง หากินผลหมากรากไม้ตามต้นไม้
พระก็เทศน์ว่า “โย จะ ปุคคะโลฯ บุคคลทั้งหลายทั้งมนุษย์และ
พ่อแม่ก็เลื่อมใส อยากเปลี่ยนภพชาติ ก็เลยไปศึกษากับพระที่เป็นห
"ข้าพเจ้าเป็นลิงจะปฏิบัติธ
"ได้...ไม่เป็นไร ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะหรอก มนุษย์ก็ทำได้ สัตว์ก็ทำได้"
พ่อแม่ก็เลยพาไปรับพระไตรสร
"ลิง... พวกแกขึ้นต้นไม้ได้เร็ว ผลไม้สุกมีอยู่เต็มป่านั้นไ
ก็เลยทำอยู่อย่างนั้น เพราะอยากเปลี่ยนภพชาติ ได้ผลไม้มาลูกไหนที่ไม่สวยไ
ต่อมามีอุบาสิกาคนหนึ่งเป็น
พอดีอายุสังขารร่วงโรยหมดสิ
โอ๋...เราเปลี่ยนภพชาติได้แ
พออายุได้ ๗ ปี พ่อแม่ก็เลยให้บวช เพราะเห็นเป็นคนว่องไวดี คงจะศึกษาเล่าเรียนดี พ่อแม่ก็พาไปถวายพระกรรมฐาน
"โอ๋...ลูกรัก เมื่อชาติก่อนเจ้าเป็นลิงนะ
พอบวชแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาพุทธวจนะได้คล
รวมที่ญัตติเป็นพระด้วย ๑๐๐ กว่าปี นั่นแหละดับขันธ์แล้วก็มีคว
เรื่องบุพเพชาติแต่ปางก่อน ก็ได้เห็นเพียงแค่นั้น นั่นแหละ ตอนแรกเป็นลิง เปลี่ยนจากลิงมาเป็นมนุษย์ ทำคุณงามความดีสูงสุดมาเป็น
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโ
ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขม
เมื่อเห็นจริงเช่นนี้แล้วก็
ฉะนั้น ทุกท่านเมื่อได้ยินได้ฟังแล
ดังครั้งพุทธกาลโน้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไ
“เอสา เทวะมนุสสานัง นิธิ ดูก่อน มหาบดีเศรษฐี ขุมทองกองบุญกองกุศล อันมนุษย์และเทวดาทั้งหลายท
นั่นแหละ ต่อแต่นั้นไป ขอให้ตั้งใจประพฤติวัตรอยู่
ถวายชีวิตพรหมจรรย์
จากนั้น สมัยหนึ่ง ขึ้นไปภาวนาที่ถ้ำผาบิ้ง ซึ่งอยู่ในบริเวณวัดถ้ำกลอง เพลนั่นแหละ ภาวนาอยู่ ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่นอน ข้าวก็ไม่กิน กินแต่น้ำ เดินจงกรมอย่างหนัก อานิสงส์ของการเดินจงกรม มี ๕ อย่างนะ
๑. เดินจงกรม เพื่อปลุกไฟธาตุให้ลุกขึ้นเ ผาผลาญอาหารให้ย่อยยับ ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น
๒. เดินจงกรม เพื่อปลุกไฟธาตุให้ลุกขึ้นเ ผาเส้นเลือดลมให้เดินสะดวก ทำให้ร่างกายอบอุ่นดี
๓. เดินจงกรมมาก ๆ ทำให้อดทนต่อการเดินทางไกล โดยไม่ปวดแข้งปวดขา
๔. ผู้เดินจงกรมนั้น จิตจะสงบลงสู่สมาธิได้ และสมาธิของบุคคลผู้นั้นจะไ ม่เสื่อม มีแต่จะเจริญขึ้น
๕. ผู้เดินจงกรม เมื่อจิตสงบแล้ว จะได้เห็นเทพยดาถือธูปเทียน มาบูชา
ในวันนั้น เมื่อเดินจงกรมจนจิตสงบแล้ว ก็ได้เห็นจริง ๆ นะ เป็นฝูงเทพยดามานั่งถือธูปเ ทียนบูชาอยู่เป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ ๒ - ๓ คน จึงกำหนดถามไปว่า
“มาทำอะไร ?”
เขาก็ตอบว่า “มาบูชา อนุโมทนาส่วนบุญกับท่าน”
“เออ เอา ...อยากได้ก็ตั้งใจเอา”
นั่นแหละ ปีติเกิดขึ้น ร่าเริงบันเทิงใจดีในวันนั้ น เสร็จแล้ว ๔ - ๕ ทุ่ม ก็เข้าที่ ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ
เสร็จแล้วก็เข้าที่ นั่งภาวนา กำหนดจิตวางพุทโธพับ จิตก็รวมพับ
ลงสู่ภวังคภพ อุปจาระ อันแน่นแฟ้น นั่นแหละ ในขณะนั้นก็ร่าเริงบันเทิงด ี
ทีนี้ก็มาพิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์ จนถึงสภาพตาย เปื่อย เน่า สาบสูญไม่มีอะไร ทีนี้ก็กำหนดถามผู้รู้ว่า
“ธรรมที่ประพฤติมานี้ ได้มาจากอะไรบ้าง ?”
“โอ๋...กิจวัตรทุกประเภท ปัดกวาดเสนาสนะ กุฏิ วิหาร ศาลา เป็นบุญทั้งนั้น เป็นมรรค เป็นเครื่องส่งนะ ปฏิบัติครูบาอาจารย์ให้อยู่ เย็นเป็นสุข ก็เป็นมรรคเป็นเครื่องส่งทั ้งนั้น อดนอนผ่อนอาหารก็เป็นบุญใหญ ่ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ก็เป็นบุญทั้ งนั้น นั่นแหละ ทำเอาทุกอย่างให้มันเป็นมรร ค เป็นเครื่องส่ง”
แล้วก็กำหนดพิจารณาธาตุขันธ ์อีกต่อไป เอามีดปาดเถือเนื้อออกทั้งห มดเป็นชิ้น ๆ เอาไปบูชาแก้ว ๓ ประการ นั่นแหละ จิตรวมใหญ่พึบ ก็เหลือแต่ผู้รู้กับสติเท่า นั้น เมื่อเห็นผลเกิดขึ้นเป็นเช่ นนั้น ก็มั่นใจ จึงได้ถวายชีวิตพรหมจรรย์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
นี่แหละ ก่อนที่จะถวายชีวิตได้ ก็เพราะได้เห็นของจริงเกิดข ึ้น ลึกซึ้งอัศจรรย์ นั่นแหละ ก็เลยถวายชีวิตเพศพรหมจรรย์ ตั้งแต่วันนั้น ไม่กลับโลกอีก นี่ข้อสำคัญมั่นหมาย
คืนนั้น นั่งภาวนาคืนยันรุ่ง ตอนเช้ามาทำกิจวัตร หลวงปู่ขาว ท่านถามว่า
“ทา...พ้นทุกข์หรือยัง ? ผมเข้าใจว่าท่านพ้นทุกข์แล้ วนะ เพราะเห็นท่านนั่งภาวนาแล้ว มีรัศมีรุ่งโรจน์คืนยันรุ่ง นะท่าน”
“โอ๋...ยังหรอกครับ หลวงปู่ แต่ว่าตั้งแต่ผมบำเพ็ญความเ พียรกับหลวงปู่มาหลายปีแล้ว รู้สึกว่า เมื่อคืนนี้จะสำคัญที่สุดกว ่าทุกคืนนะ จิตรวมลงเห็นธรรม โอ้...น่าเลื่อมใส แปลกประหลาดใจ จนถวายชีวิตพรหมจรรย์ได้ไม่ หวั่นไหวทั้งนั้น ไม่กลับโลกอีกแล้ว”
แต่ก่อน จิตยังไม่สงบ ฝึกยังไม่ทันได้ ก็ไม่เห็น เมื่อจิตฝึกได้สงบลงไป มันก็เห็นเป็นอย่างนั้น เปรต ผี ช้าง เสือ ยักษ์โขโมฬี มีอยู่ ผีกองกอย สะมอยดง ร้องสนั่นหวั่นไหว ค่ำมาแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็ นอะไร จิตสงบลงไปเป็นครั้ง ๆ แหม...ฝูงรุกขเทวดา ภุมเทวดา ปัพตาเทวดา อากาสาเทวดานั้น หญิงชาย จุดธูปเทียนบูชาอยู่เป็นกลุ ่ม ๆ สาธุการส่วนบุญ สนั่นหวั่นไหว
ทีนี้ เราฝึกอบรมตนได้แล้ว เปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นห อม แมลงภู่ผึ้งมาตอมเอาเกสรไปท ำรวง
รัง นั่นแหละ ฝูงเทพบุตร เทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น เปรียบเหมือนแมลงภู่ผึ้ง
มาสาธุการส่วนบุญ จุดธูปเทียนบูชา นี่มันก็เห็นอานิสงส์ที่ประ พฤติปฏิบัติมาอย่างนั้น แล้วก็มีกำลังใจ มาตลอดจนถึงทุกวันนี้
จากนั้น สมัยหนึ่ง ขึ้นไปภาวนาที่ถ้ำผาบิ้ง ซึ่งอยู่ในบริเวณวัดถ้ำกลอง
๑. เดินจงกรม เพื่อปลุกไฟธาตุให้ลุกขึ้นเ
๒. เดินจงกรม เพื่อปลุกไฟธาตุให้ลุกขึ้นเ
๓. เดินจงกรมมาก ๆ ทำให้อดทนต่อการเดินทางไกล โดยไม่ปวดแข้งปวดขา
๔. ผู้เดินจงกรมนั้น จิตจะสงบลงสู่สมาธิได้ และสมาธิของบุคคลผู้นั้นจะไ
๕. ผู้เดินจงกรม เมื่อจิตสงบแล้ว จะได้เห็นเทพยดาถือธูปเทียน
ในวันนั้น เมื่อเดินจงกรมจนจิตสงบแล้ว
“มาทำอะไร ?”
เขาก็ตอบว่า “มาบูชา อนุโมทนาส่วนบุญกับท่าน”
“เออ เอา ...อยากได้ก็ตั้งใจเอา”
นั่นแหละ ปีติเกิดขึ้น ร่าเริงบันเทิงใจดีในวันนั้
ทีนี้ก็มาพิจารณาธาตุขันธ์ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นแจ้งประจักษ์ จนถึงสภาพตาย เปื่อย เน่า สาบสูญไม่มีอะไร ทีนี้ก็กำหนดถามผู้รู้ว่า
“ธรรมที่ประพฤติมานี้ ได้มาจากอะไรบ้าง ?”
“โอ๋...กิจวัตรทุกประเภท ปัดกวาดเสนาสนะ กุฏิ วิหาร ศาลา เป็นบุญทั้งนั้น เป็นมรรค เป็นเครื่องส่งนะ ปฏิบัติครูบาอาจารย์ให้อยู่
แล้วก็กำหนดพิจารณาธาตุขันธ
นี่แหละ ก่อนที่จะถวายชีวิตได้ ก็เพราะได้เห็นของจริงเกิดข
คืนนั้น นั่งภาวนาคืนยันรุ่ง ตอนเช้ามาทำกิจวัตร หลวงปู่ขาว ท่านถามว่า
“ทา...พ้นทุกข์หรือยัง ? ผมเข้าใจว่าท่านพ้นทุกข์แล้
“โอ๋...ยังหรอกครับ หลวงปู่ แต่ว่าตั้งแต่ผมบำเพ็ญความเ
แต่ก่อน จิตยังไม่สงบ ฝึกยังไม่ทันได้ ก็ไม่เห็น เมื่อจิตฝึกได้สงบลงไป มันก็เห็นเป็นอย่างนั้น เปรต ผี ช้าง เสือ ยักษ์โขโมฬี มีอยู่ ผีกองกอย สะมอยดง ร้องสนั่นหวั่นไหว ค่ำมาแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็
ทีนี้ เราฝึกอบรมตนได้แล้ว เปรียบเหมือนดอกไม้มีกลิ่นห
เห็นสาวสวรรค์
ปี ๒๕๐๑ ได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่ วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเป็น อ.เมือง จ. หนองบัวลำภู) กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และหลวงปู่หลุย (จันทสาโร) ในสมัยนั้น วัดถ้ำกลองเพลยังไม่เจริญ ไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี ้ เมื่อไปอยู่ที่นั่น ก็ตั้งใจทำความเพียรไม่ลดละ
เร่งรัดพัฒนาทำความเพียร ด้วยการอดนอน ผ่อนอาหาร ตลอดไตรมาส ๓ เดือน ตั้งใจทำความเพียรอย่างนั้น อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญ เมื่อเดินจงกรมเสร็จแล้วก็ไ ปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำใหญ่ นั่งสมาธิกำหนด พุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ ไม่นาน จิตก็วาง พุทโธ แล้วจิตก็รวมลงสู่ภวังคภพอั นแน่นแฟ้น อุปจารธรรม เกิดขึ้น มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดข ึ้น กลางคืนเหมือนกลางวัน สว่างโร่อย่างนั้น
ไม่นาน มีฝูงเทพยดาทั้งหลาย มีแต่ผู้หญิงล้วน ๆ รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร สวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ ็ญ
ถือธงแดงและธูปคนละอัน ลงมาจากฟากฟ้า มาถึงถ้ำแล้วก็เอาธงปัก
จุดธูปแล้วก็พากันกราบไหว้ กราบที่ ๑ ว่า พุทโธ กราบที่ ๒ ว่า ธัมโม
กราบที่ ๓ ว่าสังโฆ สรณังคัจฉามิ เสร็จแล้วก็ทำวัตรเย็น จากนั้นก็สวด
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตร ทั้ง ๓ สูตรนี้
เขาเรียกว่า ราชาธรรม เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ของศาสน าพุทธ ธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มารวมอยู่ที่นี ่ทั้งหมด
เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว เขาก็นั่งภาวนา นานนะ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมงนะ เรียบร้อยดี สงบดี เมื่อเสร็จแล้วเขาก็กราบ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วเขาก็จะจากไป จึงได้กำหนดถามเขาว่า
“โยม...มาจากที่ใด ?”
เขาก็ว่า “ท่านอาจารย์ พวกดิฉันมาจากเมืองสวรรค์”
“มาที่นี่เพื่อประโยชน์อันใ ดหรือโยม ?”
เขาก็ตอบว่า “มาบูชาแก้ว ๓ ประการนะท่าน”
“บูชาเพื่อประโยชน์อะไร ?”
“เพื่อบำเพ็ญกุศลทานนะท่าน เพราะแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆนั้น เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในกา รบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียนและของหอม”
ถามเขาไปอีกว่า “อยู่บนสวรรค์ ไม่ได้บำเพ็ญหรือโยม ?”
“บำเพ็ญอยู่เหมือนกัน แต่ได้รับผลน้อย ไม่ได้มากเหมือนบำเพ็ญอยู่ใ นเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์ ทำน้อยได้มาก ทำมากก็ยิ่งได้มาก เพราะเป็นสถานที่สำหรับบำเพ ็ญบุญกุศล จะไปสวรรค์หรือพรหมโลก ก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในเมืองมน ุษย์นี้ก่อน จะไปพระนิพพาน พ้นทุกข์จากโลกสงสาร ก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในศาสนาพุ ทธ ในเมืองมนุษย์นี่เสียก่อน จึงจะได้ นอกนั้นไม่มี”
"นั่นแหละ ในสมัยศาสนาพระพุทธเจ้ากัสส โปโน้น พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นหญิ งชาวบ้านชาวเมือง พากันประพฤติวัตรปฏิบัติขัด สีแก้วทั้ง ๓ ประการให้สว่างไสวรุ่งโรจน์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยการเดินจงกรมบูชาแก้ว ยืนภาวนาบูชาแก้ว นั่งสมาธิบูชาแก้ว ไหว้พระสวดมนต์บูชาแก้วทั้ง ๓ ดวงนี้ แก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ ไม่ลดละ ล้วนแต่เป็นบุญเป็นกุศลทั้ง นั้น ทานการกุศลสิ่งใดที่ให้แก่ส มณะชีพราหมณ์นั้น ก็จะกลายเป็นของทิพย์ไปรอคอ ยอยู่บนสวรรค์หมดทั้งนั้น”
“ฉะนั้น เมื่อพวกข้าพเจ้าไปเกิดบนสว รรค์ ก็มีแต่ความสุขสำราญ เป็นผลมาจากการประพฤติปฏิบั ติธรรมกันมาถึง ๒ หมื่นปี ในสมัยศาสนาพระพุทธเจ้ากัสส โป ผู้คนมีอายุยืน ๒ หมื่นปีนะท่าน”
พวกเทวดาเหล่านั้นก็ล้วนแต่ มีรูปร่างสูงใหญ่ สวยงาม มีผิวสีขาว เหลือง แดง ไว้ผมยาว มีสายสร้อยรอบตัว นุ่งผ้ายาวครึ่งแข้งเหมือนค นโบราณ เวลาเดินก็งาม พูดก็งาม อะไร ๆ ก็ดูสวยสดงดงามทั้งนั้น เหมือนกับพระจันทร์วันเพ็ญ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์แ ล้ว ไกลกันเหมือนฟ้ากับดินนะ ดูมนุษย์เราแล้วเหมือนกับลิ ง
จากนั้นเขาก็ฝากธรรมะว่า
“ท่านอาจารย์ ขอได้โปรดไปแนะนำพร่ำสอนญาต ิโยม
ทั้งหลาย ให้พากันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา บำเพ็ญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน
ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ และพากันเดินจงกรม ฝึกจิต อบรมจิต สอนจิต
ทรมานจิต นั่งสมาธิ ยืนภาวนา ฝึกจิต อบรมจิต สอนจิตให้มันดี นั่นแหละ
จะเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ เหมือนดังที่พวกข้าพเจ้าทำอ ยู่อย่างนั้น ๒ หมื่นปี เมื่อสิ้นลมแล้ว เหมือนกับว่านอนหลับแล้วก็ต ื่นขึ้นฉะนั้น”
“ให้เอาศรัทธาเป็นไม้ถ่อและ ไม้
พายนะ ทาน ศีล ภาวนา เป็นเรือขี่ข้ามโอฆสงสาร ไปพระนิพพาน ภาวนาพุทโธ ธัมโม
สังโฆ เป็นที่พึ่ง จะพาขึ้นสู่สวรรค์ จนกระทั่งถึงพระนิพพานได้”
เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป ปลิวขึ้นสู่อากาศเหมือนกับน ุ่นต้องลม ปลิวเข้าสู่กลีบเมฆหายไปเลย ขณะที่สนทนากันนั้น ลืมถามไปว่า พวกเขาเหล่านั้นมาจากสวรรค์ ชั้นใด ได้ถามแต่ว่า
“ทำไมจึงมีแต่นางเทพยดา ไม่เห็นมีเทพบุตร ?”
เขาก็ตอบว่า “เมื่อครั้งที่พวกข้าพเจ้าเ ป็นมนุษย์ ได้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา นั้น ไม่มีพวกผู้ชายไปบำเพ็ญด้วย ดังนั้น เมื่อไปเกิดบนสวรรค์จึงไม่ม ีเทพบุตร”
นั่นแหละ ทำอย่างไร ก็ได้ผลอย่างนั้น รุ่งเช้าไปทำกิจวัตร หลวงปู่ขาวท่านถามว่า
“เมื่อคืนนี้ภาวนาเห็นอะไรบ ้าง ?”
“หลวงปู่ครับ ผมตั้งสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่ นอนทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อคืนนี้ ภาวนาแล้วจิตสงบ เห็นสาวสวรรค์ลงมาจากสวรรค์ ใน
ราว ๖๐ คน มีรูปร่างสูงใหญ่ สวยงาม ถือธงแดงและธูปมาคนละอัน
เอามาปักไว้หน้าถ้ำ แล้วก็พากันไหว้พระสวดมนต์ จบแล้วก็นั่งภาวนา
เสร็จแล้วก่อนที่เขาจะจากไป ได้ถามเขาว่า มาจากไหน เขาก็ตอบว่า มาจากเมืองสวรรค์”
หลวงปู่ขาว ท่านก็ว่า “ปัจจัตตัง จะรู้เห็นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ใครปฏิบัติ ผู้นั้นก็จะเห็นเองนะ แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจิตไม่สงบ ก็ไม่เห็น เมื่อจิตสงบลงสู่อุปจารธรรม แล้วจะเห็นได้ เพราะจิตเข้าสู่ภพเดียวกับพ วกเขาเหล่านั้น”
นั่นแหละ ก็เห็นจริงแจ้งชัดประจักษ์ว ่า สวรรค์นั้นมีจริง ถึงแม้จะไม่ได้ไปเห็นเมืองส วรรค์ แต่ก็ได้เห็นนางเทพยดาทั้งห ลาย เหาะลงมาจากฟ้า ลงมาไหว้พระสวดมนต์และนั่งภ าวนา อยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลนั้น
ปี ๒๕๐๑ ได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่ วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ปัจจุบันเป็น อ.เมือง จ. หนองบัวลำภู) กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และหลวงปู่หลุย (จันทสาโร) ในสมัยนั้น วัดถ้ำกลองเพลยังไม่เจริญ ไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี
เร่งรัดพัฒนาทำความเพียร ด้วยการอดนอน ผ่อนอาหาร ตลอดไตรมาส ๓ เดือน ตั้งใจทำความเพียรอย่างนั้น
ไม่นาน มีฝูงเทพยดาทั้งหลาย มีแต่ผู้หญิงล้วน ๆ รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร สวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ
เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว เขาก็นั่งภาวนา นานนะ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมงนะ เรียบร้อยดี สงบดี เมื่อเสร็จแล้วเขาก็กราบ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วเขาก็จะจากไป จึงได้กำหนดถามเขาว่า
“โยม...มาจากที่ใด ?”
เขาก็ว่า “ท่านอาจารย์ พวกดิฉันมาจากเมืองสวรรค์”
“มาที่นี่เพื่อประโยชน์อันใ
เขาก็ตอบว่า “มาบูชาแก้ว ๓ ประการนะท่าน”
“บูชาเพื่อประโยชน์อะไร ?”
“เพื่อบำเพ็ญกุศลทานนะท่าน เพราะแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆนั้น เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในกา
ถามเขาไปอีกว่า “อยู่บนสวรรค์ ไม่ได้บำเพ็ญหรือโยม ?”
“บำเพ็ญอยู่เหมือนกัน แต่ได้รับผลน้อย ไม่ได้มากเหมือนบำเพ็ญอยู่ใ
"นั่นแหละ ในสมัยศาสนาพระพุทธเจ้ากัสส
“ฉะนั้น เมื่อพวกข้าพเจ้าไปเกิดบนสว
พวกเทวดาเหล่านั้นก็ล้วนแต่
จากนั้นเขาก็ฝากธรรมะว่า
“ท่านอาจารย์ ขอได้โปรดไปแนะนำพร่ำสอนญาต
“ให้เอาศรัทธาเป็นไม้ถ่อและ
เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป ปลิวขึ้นสู่อากาศเหมือนกับน
“ทำไมจึงมีแต่นางเทพยดา ไม่เห็นมีเทพบุตร ?”
เขาก็ตอบว่า “เมื่อครั้งที่พวกข้าพเจ้าเ
นั่นแหละ ทำอย่างไร ก็ได้ผลอย่างนั้น รุ่งเช้าไปทำกิจวัตร หลวงปู่ขาวท่านถามว่า
“เมื่อคืนนี้ภาวนาเห็นอะไรบ
“หลวงปู่ครับ ผมตั้งสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่
หลวงปู่ขาว ท่านก็ว่า “ปัจจัตตัง จะรู้เห็นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ใครปฏิบัติ ผู้นั้นก็จะเห็นเองนะ แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจิตไม่สงบ
นั่นแหละ ก็เห็นจริงแจ้งชัดประจักษ์ว
เทศน์โปรดเทวดา
จากนั้นก็ไปวิเวกที่ ถ้ำพระ บ้านตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ภูเขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ ๒ - ๓ ถ้ำ ไปอยู่คนละถ้ำกับ พระอาจารย์บุญพิน
วันนั้นนั่งภาวนาตั้งแต่หัว ค่ำ ราวเที่ยงคืน จิตสงบแล้ว เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็มีฝูงเทพบุตรเทพยด าลงมาจากภูเขาใหญ่ ปัพตาเทวดา รุกขเทวดา รูปร่างใหญ่โตสวยงาม พูดจาเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะการด่าว่า กันหรอก เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕
ถามว่า “จะรับไปทำไม ?”
เขาก็ว่า “พวกข้าพเจ้าหมดเกษียณภพชาต ิที่อยู่บนภูเขาใหญ่แล้ว จะได้ไปเกิดยังเมืองมนุษย์อ ีก เมื่อเห็นท่านมาอยู่ที่นี่ ก็ดีใจ เลยมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕”
เมื่อให้เสร็จแล้ว เขาขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังว่า
“พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ฯ
นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีแต่สุคติสวรรค์เป็นที่ไ ปเบื้องหน้า ได้ชื่อว่า มนุสสธัมโม เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องกล ั่นกรองกิเลส เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องล้ างบาปและเคราะห์เข็ญเวรร้าย นั่นแหละ เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้”
เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป เข้าสู่ จ.อุดรธานี มีราว ๆ ๑๐๐ ตน เห็นจะได้
คืนนั้นนั่งภาวนาทั้งคืนจนถ ึงรุ่งเช้าแจ้ง เป็นวันใหม่ พระอาจารย์บุญพิน ก็มาถามว่า
“เมื่อคืนนี้เทศน์ให้ใครฟัง ?”
“เทศน์ให้เทพบุตรเทพยดา มาจากภูเขาใหญ่ เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์และ ศีล ๕ เขาจะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เม ืองอุดรธานีโน่น
จากนั้นก็ไปวิเวกที่ ถ้ำพระ บ้านตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ภูเขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ ๒ - ๓ ถ้ำ ไปอยู่คนละถ้ำกับ พระอาจารย์บุญพิน
วันนั้นนั่งภาวนาตั้งแต่หัว
ถามว่า “จะรับไปทำไม ?”
เขาก็ว่า “พวกข้าพเจ้าหมดเกษียณภพชาต
เมื่อให้เสร็จแล้ว เขาขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังว่า
“พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ฯ
นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีแต่สุคติสวรรค์เป็นที่ไ
เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป เข้าสู่ จ.อุดรธานี มีราว ๆ ๑๐๐ ตน เห็นจะได้
คืนนั้นนั่งภาวนาทั้งคืนจนถ
“เมื่อคืนนี้เทศน์ให้ใครฟัง
“เทศน์ให้เทพบุตรเทพยดา มาจากภูเขาใหญ่ เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์และ
พระเปรต
สมัยหนึ่ง ไปวิเวกกับพระอาจารย์บุญพิน และพระจ่อย ไปอยู่ที่ถ้ำจำปา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ถ้ำจำปาอยู่บนภูพาน ในถ้ำนั้นมีพระพุทธรูปทำด้ว ยไม้ และหินอยู่มาก โยมที่บ้านกะลึมบอกว่า มีผีเฝ้ารักษาไว้ แล้วโยมก็พาไปทำที่พักให้อย ู่หน้าถ้ำ
พอค่ำลง ก็ทำความเพียร เดินจงกรมจนถึง ๓ ทุ่ม จากนั้น ก็ไหว้พระ สวดมนต์แล้วอุทิศส่วนบุญ เสร็จแล้วก็เข้าที่ นั่งภาวนา กำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่นานจิตก็รวม พอจิตสงบ เกิดแสงสว่างจ้า ไม่นานเห็นเทพบุตรตนหนึ่งมา บอกว่า
“ท่านอาจารย์หันปลายเท้าเข้ าหน้าถ้ำ นั้นเป็นทางไปพระนิพพานนะ”
ถามเขากลับไปว่า “ทางไปพระนิพพานคืออะไร ?”
เขาก็ว่า “พระพุทธรูปนั่นแหละ ผู้เป็น นายโก ผู้นำโลกคือหมู่สัตว์เข้าพร ะนิพพานได้ ทีนี้ท่านหันเท้าเข้าไปอย่า งนั้นมันผิดแล้ว”
“โอ๋...โยมเขาทำให้อย่างนั้ น ต้องขออภัยด้วย พรุ่งนี้จะให้เขาทำให้ใหม่”
เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป จากนั้นไม่นาน ก็มีเปรตพระ ๓ ตนเข้ามาหา เป็นคนโบราณรูปร่างสูงใหญ่ มีเครายาวถึงหน้าอก เข้ามานั่งใกล้ ๆ ลูบขาข้างซ้าย แล้วพูดว่า
“ท่าน ๆ ผมกับท่านใครจะแก่พรรษากว่า กัน ?”
ก็ตอบเขาไปว่า “หลวงพ่อนั่นแหละ แก่กว่า”
“ก็คงจะจริงอย่างท่านว่านั่ นแหละ พรรษาของผมนั้นแก่กว่าท่าน แต่ว่าคุณธรรมของท่านนั้น แก่กว่าผมนะ”
“แก่กว่าเพราะเหตุใด ?”
“แก่เพราะท่านเจริญธรรม เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอนผ่อนอาหาร นี่มันแก่อย่างนี้ เพราะการเจริญธรรมถูกต้อง”
จากนั้นก็เลยถามเขาต่อไปอีก ว่า
“พวกท่านเป็นพระ บวชในศาสนาพุทธอันบริสุทธิ์ แล้ว
สมควรที่จะเจริญสมณธรรม อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ ๖ ชั้น อย่างกลางก็พรหมโลก
(รูปพรหม ๑๖ ชั้น) อย่างสูงก็อรูปพรหม ๔ ชั้น และอย่างถึงที่สุด
ก็วิมุตติหลุดพ้นไปพระนิพพา น ข้ามโลกสงสารไปได้ เพราะมีกิจอันเดียว แต่เหตุใดท่านจึงมาเป็นเปรต ค้างอยู่ที่นี่”
“ท่านเอ๊ย...พวกข้าพเจ้าเกิ ดมาพบปะศาสนาในสมัยพระเจ้าไ ชยเชษฐา (เป็นเจ้าเมืองเวียงจันทร์เ รืองอำนาจและสร้างวัดต่าง ๆ มากมาย) เมื่อบวชมาแล้ว อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่แนะนำ พร่ำสอนให้เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอน ผ่อนอาหาร พิจารณาธาตุขันธ์ เหมือนอย่างพวกท่านในขณะนี้ ”
“บวชเป็นพระตั้ง ๑๐๐ กว่าพรรษา ก็ไม่ได้ภาวนาอะไร อยู่สนุกสนาน ฉันเช้า ฉันเพล แล้วก็ทำกิจการงานต่าง ๆ ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงม้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เหมือนอย่างฆราวาสญาติโยมเข า”
“บวชมาแล้วก็ล่วงเกินสิกขาบ ทวินัยไตรสิกขาน้อยใหญ่เสีย สิ้น ศีลวัตร ศีล ๒๒๗ ก็ล่วงเกิน จะเหลือก็แต่ปาราชิก ๔ ถึงเหลือก็เศร้าหมอง ล่วงเกินพระวินัยด้วยการขุด ดิน ฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง กินข้าวแลงแกงร้อน (ฉันอาหารยามวิกาล) นั่งนอนเสื่อสาดยัดด้วยนุ่น และสำลี (ต้องอาบัติปาจิตตีย์) กินลาบดิบ ลาบวัว ลาบควาย พอญาติโยมเขาฆ่าวัวความยอยู ่ในบ้าน ก็สั่งเอาเนื้อสันใหญ่ ๆ ตับ ไต เอามาลาบก้อยกินกันสนุกสนาน กินกับเหล้ากับยา สนุกสนาน”
นั่นแหละ ขุดดินฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ กินข้าวแลงแกงร้อนก็ต้องอาบ ัติปาจิตตีย์นะ
นั่นแหละ
“พอถึงช่วงเดือน ๑๒ เขาลงจับปลากัน ก็ให้เณรไปขอปลาและกุ้งเป็น ๆ มาลาบกินกันสนุกสนาน บางทีก็เข้าป่าหากระต่ายและ อีเห็นมาหมกมาคั่ว (ทำอาหาร) กินกันสบาย”
“ทีนี้ฤดูทำนา เขาก็มานิมนต์ไปช่วยเขาดำนา แล้วก็กินเหล้ากินยา ลาบวัวลาบควาย สนุกสนานคุยสาว (จีบผู้หญิง) นะท่าน ถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ไปเก็บเก ี่ยวกับเขา กินเหล้ากินยา เล่นสาว (พูดเกี้ยวผู้หญิง) สนุกสนาน เวลานวดข้าว เขาก็มานิมนต์ไปนวดกับเขา เวลาเอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉาง เขาก็มานิมนต์ไปสวดมนต์ข้าว นะ แหม..กินเหล้ากินยาวันยังค่ ำ ท่านเอ๊ย...สนุกสนาน ได้กินลาบไก่ ต้มไก่ สนุกสนาน”
“วันพระก็ตีกลองให้ผู้สาว (หญิงสาว) มาดายหญ้าในบริเวณวัด แล้วก็เล่นสาวสนุกสนาน งานบุญพระเวสสันดร มีการละเล่นต่าง ๆ ก็เล่นสาวสนุกสนาน จับโน่นจับนี่ เมื่อมีโยมตายในหมู่บ้าน เขานิมนต์ไปสวดกุสสลา มาติกาในงานศพ มีการละเล่นในงานนั้น ก็หยิบหยอกกับผู้สาว จับก้นจับขาจับของดี ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง นั่นแหละ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ”
“ทีนี้มาถึงเดือน ๕ เมษายน ขึ้นปีใหม่ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็บอกว่า เอ้า...พระเราเป็นนาคนะ ฤดูนี้เราเป็นนาค เล่นน้ำได้ ไม่เป็นบาปเป็นกรรม นั่นแหละ มันก็สนุกสนาน เล่นน้ำปล้ำผู้สาว จับอกจับก้น จับของลับกันสนั่นหวั่นไหว แต่อาจารย์ไม่ให้เสพนะ ถึงอย่างนั้นมันก็เกิดความก ำหนัดยินดีในกาม นั่นแหละกระทำกันอยู่อย่างน ั้นเป็นนิจ เสร็จแล้วก็มีการขอขมาลาโทษ กัน ทำพิธีสู่ข้างเล่าขวัญ (พิธีขอขมา) อันนี้ต้องอาบัติทุกกฎนะ”
“นั่นแหละ ความไม่ดีทั้งหลายที่พวกข้า พเจ้าทำขึ้นจึงได้ส่งผลให้ม าเกิดเป็นเปรตตกค้างอยู่ที่ นี่”
นอกจากเปรตพระ ๓ ตนนี้แล้ว ก็ยังมีเปรตแม่ขาวนางชี (แม่ชี) ตกค้างอยู่ที่นั้นอีกมาก
พอถามว่า เมื่อไหร่จะพ้นกรรม เขาก็บอกว่าไม่รู้ ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นกรร มได้ เขาก็ไม่ทราบ จึงได้กำหนดจิตถามพระธรรมว่ า
“เปรต ๓ ตนนี้ กับแม่ชีนั้น เคยเป็นญาติของเราบ้างไหม ?”
“โอ๋...เป็นมาหลายภพหลายชาต ิแล้ว แต่มาภพนี้ชาตินี้ เขาทำกรรมไม่ดี จึงมาเกิดเป็นเปรต นั่นแหละ จงช่วยเหลือเขาเสีย ถ้าเราไม่ช่วยแล้ว ก็ไม่มีใครช่วยเขาหรอก”
จากนั้น จึงพูดกับเปรตเหล่านั้นว่า
“พระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำนั้ น อย่างเพิ่งหึงหวงห่วงอาลัยน ะ เมื่อมีพระเณรหรือญาติโยมมา เอา ก็ให้เขาไปเถิด เราจะได้พ้นจากบาปกรรมได้ เอ้า...เตรียมรับพระไตรสรณค มน์และศีล ๕ จะช่วยให้พ้นจากสภาพเปรตไปเ กิดเป็นมนุษย์ได้อีก และเมื่อข้าพเจ้าเดินจงกรมเ สร็จแล้ว ก็มารับส่วนบุญนะ”
เจริญสมณธรรมอยู่ที่นั่นได้ ๒ - ๓ เดือน ก็มีแม่ชีคนหนึ่งมาบอกลาว่า
“ท่านอาจารย์ ดิฉันพ้นจากบาปกรรมชั่วช้าล ามกแล้ว จะได้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์อ ีก”
“ไปดีเถิด จงภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ ไปที่ อ.บ้านผือ หรือที่ จ.อุดรธานี โน่นแหละดี เพราะจะมีพระกรรมฐานผ่านมาม าก”
ทีนี้พอล่วงมาถึงเดือน ๖ ก็ได้บอกพวกเปรตทั้งหลายว่า ปีนี้จะกลับไปจำพรรษากับหลว งปู่
บัว สิริปุณโณ ที่วัดป่าบ้านหนองแซง ปีหน้า ถ้าบุญพาวาสนาส่ง
จะกลับมาโปรดอีกนะ แต่แล้วก็อย่าได้ประมาท ขอให้พากันเดินจงกรม บูชาพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนา บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ
ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฝึกจิต อบรมจิต สอนจิต ทรมานจิต
ให้มันเป็นไปในธรรมคำสอนของ พระ
พุทธเจ้า ให้จิตอยู่กับนักปราชญ์ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นั่นแหละ
จะเป็นจิตเกษมสำราญ พ้นจากกำเนิดเป็นเปรต ไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก
โดยเร็วพลัน ช่วยตัวเองนะ อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ (ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน)
พึ่งคนอื่นชื่นใจเป็นบางครั ้ง ไม่เหมือนดั่งพึ่งตนผลทวี ตนจะเป็นคนดี หนีทุกข์โทษภัย ในวัฏฏสงสาร มีพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้อง หน้า ก็เพราะตนทำดี สะสมบุญดีให้เกิดมีขึ้น เพราะตนพึ่งตน อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย
นั่นแหละ ต่อแต่นั้น ก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่บ ัว พอออกพรรษาแล้วก็กลับมาที่เ ก่าอีก ไปแล้วรู้สึกว่าเป็นเบา ๆ นะ พวกเปรตทั้งหลายนั้นหายไปหม ดแล้ว เมื่อภาวนาจิตสงบแล้ว มีพวกเทวดาทั้งหลายมาขอรับพ ระไตรสรณคมน์และศีล ๕ เสร็จแล้วเทศน์ให้ฟัง แล้วก็ถามเขาว่า
“พวกเปรตพระ ๓ ตน กับแม่ชีทั้งหลาย หายไปไหนกันหมด”
เขาก็ตอบว่า
“ท่านมาโปรดเขา เมื่อปีกลายโน้น เขาก็ได้เจริญสมณธรรมตามอย่ างที่ท่านสอนนั้น แล้วก็รักษาศีลอย่างบริสุทธ ิ์ จึงได้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์ กันหมดแล้วละท่าน”
นั่นแหละ เรื่องการไปวิเวกตามสถานที่ ต่าง ๆ ก็ได้สงเคราะห์ฝูงเปรตทั้งห ลาย และผีสางคางแดงทุกอย่าง
นี่แหละการไปเจริญสมณธรรมใน ที่ต่าง ๆ นั้น ก็ได้ธรรมะเกิดขึ้นสอนใจ เขาเป็นอย่างไรตกทุกข์ได้ยา ก เป็นเปรตเป็นผีค้างโลกโลกีย ์อย่าง
นั้น ก็เพราะทำบาปหยาบช้าลามก ลืมตน คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต ๆ
พาไปหาผล คบคนชั่วพาตัวยากจน คบใครก็เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ก็น้อมมาเป็นธรรมะสอนเ รา ถ้าเราเป็นผู้ประมาทแล้ว ต่อไปก็จะไม่แคล้วคลาดจากสม บัติ อย่างที่เขาได้นะ นั่นแหละ ข้อสำคัญมั่นหมาย
บรรยายภาพ จากซ้ายไปขวา
หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่จันทา ถาวโร
— with วัดท่าสุด เชียงใหม่, วัดป่าดาราภิรมย์ พุทธพจนวราภรณ์, วัดป่าสันติสุขญาณสัมปันโน ปัญญาธโรภิกขุ and วัดสันติธรรม นครเชียงใหม่.
เปรตเลี้ยงควาย
พอออกพรรษาแล้วก็ออกเดินทาง ไป จ.สกลนคร ขึ้นถ้ำขามแล้วก็ไปภูเหล็ก จากนั้นก็ไปหนองคาย ต่างคนต่างไปแล้ว กับพระอาจารย์อ่ำ แยกทางกันแล้ว
จากนั้น ก็พบกับพระอาจารย์บุญพิน พระจ่อย แล้วก็พากันไปวิเวก ขึ้นถ้ำขามแล้วก็ลง จากนั้นมาวิเวกที่ บ้านดงเชียงเครือ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นบ้านพระอาจารย์บุญพ ิน
ไปนั่งภาวนาอยู่ในป่าช้า คืนนั้นราว ๕ ทุ่ม จิตสงบ ฝูงเทพบุตรเทพยดาจำนวนมาก มาจากสถานที่ต่าง ๆ มาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ เสร็จแล้วก็เทศน์อบรมว่า
“โย จะ ปุคคะโล บุคคลทั้งหลาย เมื่อมาเกิดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ก็ดี จงมาชำระตนเอาสิ่งที่มัวหมอ งออกจากดวงจิต คือ กิเลส โลภ โกรธ หลง นั้นอย่าให้ฉาบทาจิต จะทำให้เป็นทุกข์เร่าร้อนอา ทรใจ เป็นที่หลั่งไหลแห่งบาปทั้ง หลายทั้งปง เป็นช่องทางให้บาปเกิดขึ้น แล้วฉาบทาจิตใจ ให้ทำความชั่วช้าลามก ด้วยกาย วาจา ใจ นั่นแหละ จงยึดมั่นถือมั่นปราชญ์ทั้ง
๓ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ มาฝังไว้ที่จิต เมื่อจิตอยู่กับปราชญ์
สัมพันธมิตรแนบชิดดีแล้ว ปราชญ์จะบันดาลจิตใจให้มี หิริ ความละอายแก่ใจ
โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลความชั่ ว เมตตาธรรม เมตตาตนและบุคคลผู้อื่น กรุณาธรรม สงสารตนและบุคคลอื่น มุทิตาธรรม พลอยยินดีในเมื่อบุคคลผู้อื ่นได้ดี อุเบกขาธรรม วางเฉย”
“สุกกัง ธัมมัง ภาเวนะ ปัณฑิโต บัณฑิตชาตินักปราชญ์ ผู้มีธรรมอันขาวฝังที่ใจแล้ ว จะมีแต่ธรรมอันขาวเกิดขึ้น คือ บุญกุศลล้วน ๆ ได้ชื่อว่าเป็นผู้สะสมบุญกุ ศลใส่ตนไว้ทุกเมื่อ ได้ชื่อว่าเป็นผู้เจริญธรรม ตัดกระแสวัฏฏะทุกข์ให้ออกจา กดวงจิตได้ ตัดกระแสทางไปอบาย ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ขอให้ต ั้งใจรักษาไว้ให้ดี”
เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป เมื่อเทพบุตรเทพยดาทั้งหลาย กลับไปหมดแล้ว ยังเหลือเปรตตกค้างอยู่ตนหน ึ่ง ยืนสะพายถุงย่ามใบหนึ่ง มีผ้าแพรผืนหนึ่งเคียนเอว มีมีดเล่มหนึ่งกับเชือกเก่า คร่ำคร่า ท่าทางเหมือนคนเลี้ยงควาย จึงถามว่า
“ทำไมไม่กลับบ้านกับเขา ?”
เขาก็บอกว่า “จะไปเลี้ยงควาย”
ไม่นาน เปรตตนนั้น ก็ล้วงมือลงไปในย่าม เอาห่อข้าวขึ้นมา พอเปิดออก เห็นมีราขึ้นเต็มห่อข้าวนั้ น ถามว่า
“ทำไมข้าวถึงขึ้นรา ?”
เขาก็ตอบว่า “ของตัวมีอย่างไรก็กินอย่าง นั้น”
เห็นเช่นนั้นแล้วก็สลดใจ นั่นแหละ ไม่ทำสิ่งใดไว้ ก็ไม่มีอย่างนั้น พอรุ่งเช้า ไปบิณฑบาต จึงได้ถามโยมว่า
“โยม...เมื่อคืนนี้ อาตมานั่งภาวนาอยู่มีฝูงเทว ดาทั้งหลายมาขอรับพระไตรสรณ คมน์
และศีล ๕ และฟังธรรมะ เสร็จแล้วก็กลับไป แต่มีเปรตตนหนึ่ง เป็นคนเลี้ยงควาย
รูปร่างไม่สูงไม่ต่ำ พอดี ๆ ถือมีดเล่มหนึ่ง ถุงย่ามใบหนึ่ง เสื้อฟ้าเก่า ๆ
ขาด ๆ โยมเคยรู้จักไหม ?”
“อ๋อ...เขาคือนายหล้า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์นั้น วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา ไม่มี นักปราชญ์ป่าวร้องเชิญชวนว่ า ท่านเอ๊ย...เราจะได้ประสบพบ ปะเนื้อนาบุญของโลก คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ละกัป แต่ละกัลป์นั้นก็เป็นของยาก เมื่อเราได้มาประสบพบปะแล้ว ก็เป็นลาภอย่างยิ่ง อย่าเพิ่งติดกิจธุรการงานใด เลย
เพราะติดแล้ว ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรหรอก มาบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา
ตามพระสงฆ์องค์เจ้ากันเถิด นั่นแหละ เขาก็ไม่ยินดี อยู่กันสองคนกับน้องสาว
เลี้ยงวัวเลี้ยงควายไปตามปร ะสา พอตายแล้ววัวควายก็ตกเป็นขอ งคนอื่นไปหมดเสียสิ้น”
“นั่นแหละ โยม...เดี๋ยวนี้เขาเป็นเปรต แล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา เสีย”
ทำบุญอุทิศให้เขาอยู่อย่างน ั้น ๒๘ วัน พอถึงวันที่ ๒๘ นั่งภาวนาจิตสงบ แล้วก็พูดกับเทวดาว่า “มาเด๊อ...วันนี้ เพราะพรุ่งนี้จะไปภูเหล็กแล ้ว” นั่นแหละ เขาก็มารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ จากนั้น ก็เทศน์ให้ฟัง เสร็จแล้วก็กำหนดถามว่า
“โยม...นายหล้า เขาพ้นจากกำเนิดเป็นเปรตหรื อยัง และเขาได้รับส่วนบุญบ้างไหม ?”
“ไม่ได้รับหรอกท่าน”
“เพราะเหตุใดจึงได้รับ ?”
“เพราะใจของเขานั้นปิดหมด”
“อะไรปิด?”
“กิเลสวัฏฏ์ - กรรมวัฏฏ์ - วิปากวัฏฏ์ นั่นแหละคือกระแสของวัฏฏสงส าร
ปิดบังดวงจิตไว้ ดวงจิตนั้นมืดมิด ไม่มีสติปัญญา นั่นแหละ
เพราะไม่ได้สะสมไว้ซึ่ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทาน ศีล ภาวนา
ตั้งแต่ชาติที่เป็นมนุษย์ ฉะนั้น ถึงจะอุทิศส่วนบุญให้ก็ไม่เ ข้า เปรียบเหมือนกับหม้อที่คว่ำ อยู่
เราเทน้ำลงไป มันก็ไม่เข้า น้ำมันก็ไหลผ่านไป อันนี้ฉันใด
ใจที่ไม่มีแร่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ฝังที่ใจ และศีลธรรมคำสั่งสอนของพระพ ุทธเจ้าก็ไม่มีในหัวใจ มีแต่ความโลภ โกรธ หลง และความชั่วช้าครอบงำจิตใจ มีกระแสของอบายอยู่เต็มหัวใ จ ฉะนั้น อุทิศให้เท่าไหร่เขาก็ไม่ยอ มรับ เปรียบเสมือนกับวิทยุที่เคร ื่องมันเสียแล้ว ถึงเขาจะปล่อยคลื่นเสียงมาจ ากอุดรธานี ขอนแก่น หรือ กรุงเทพฯ มันก็ไม่เข้า เพราะเครื่องมันเสียแล้ว อันนี้ฉันใด ใจของบุคคลและสัตว์ เมื่อเสียแล้วก็เป็นอย่างนั ้น”
นั่นแหละ วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มี ได้ชื่อว่า ทำตนเป็นเปรตแน่นอน ไม่ต้องสงสัยหรอก อย่าถือว่ามีลาภยศสรรเสริญส ุขน้อยใหญ่ ถึงจะเป็นผู้นำของชาติก็ตาม ประมุขของชาติก็ตามที ทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อไม่มีพระไตรสรณคมน์ ศีล ๕ ศีล ๘ และศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเ จ้าแล้วละก็ ผิดหวังทั้งนั้นแหละ ท่านเอ๊ย... เมื่อตายลงไปเป็นเปรตในวัฏฏ สงสาร แสนทุกข์ยากลำบาก ไม่มีวันที่จะพ้นทุกข์ไปได้ แน่นอน นั่นแหละ อย่าเพิ่งสงสัยเสียเลย เห็นอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงส ัย
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเปรตอยู่ นะ
ถามพระอาจารย์บุญพินแล้ว ท่านก็ว่ายังเป็นเปรตอยู่ ห่วงหน้าพะวงหลัง
ได้ยินเสียงนกร้อง ก็วิ่งหน้าวิ่งหลัง เป็นบ้าอย่างนั้น นั่นแหละ
นิสัยเคยเป็นมาอย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้น
Cr:หนังสือธรรมพเนจร
อัตโนประวัติของ “หลวงปู่จันทา ถาวโร”
วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
สมัยหนึ่ง ไปวิเวกกับพระอาจารย์บุญพิน
ถ้ำจำปาอยู่บนภูพาน ในถ้ำนั้นมีพระพุทธรูปทำด้ว
พอค่ำลง ก็ทำความเพียร เดินจงกรมจนถึง ๓ ทุ่ม จากนั้น ก็ไหว้พระ สวดมนต์แล้วอุทิศส่วนบุญ เสร็จแล้วก็เข้าที่ นั่งภาวนา กำหนดพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่นานจิตก็รวม พอจิตสงบ เกิดแสงสว่างจ้า ไม่นานเห็นเทพบุตรตนหนึ่งมา
“ท่านอาจารย์หันปลายเท้าเข้
ถามเขากลับไปว่า “ทางไปพระนิพพานคืออะไร ?”
เขาก็ว่า “พระพุทธรูปนั่นแหละ ผู้เป็น นายโก ผู้นำโลกคือหมู่สัตว์เข้าพร
“โอ๋...โยมเขาทำให้อย่างนั้
เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป จากนั้นไม่นาน ก็มีเปรตพระ ๓ ตนเข้ามาหา เป็นคนโบราณรูปร่างสูงใหญ่ มีเครายาวถึงหน้าอก เข้ามานั่งใกล้ ๆ ลูบขาข้างซ้าย แล้วพูดว่า
“ท่าน ๆ ผมกับท่านใครจะแก่พรรษากว่า
ก็ตอบเขาไปว่า “หลวงพ่อนั่นแหละ แก่กว่า”
“ก็คงจะจริงอย่างท่านว่านั่
“แก่กว่าเพราะเหตุใด ?”
“แก่เพราะท่านเจริญธรรม เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ อดนอนผ่อนอาหาร นี่มันแก่อย่างนี้ เพราะการเจริญธรรมถูกต้อง”
จากนั้นก็เลยถามเขาต่อไปอีก
“พวกท่านเป็นพระ บวชในศาสนาพุทธอันบริสุทธิ์
“ท่านเอ๊ย...พวกข้าพเจ้าเกิ
“บวชเป็นพระตั้ง ๑๐๐ กว่าพรรษา ก็ไม่ได้ภาวนาอะไร อยู่สนุกสนาน ฉันเช้า ฉันเพล แล้วก็ทำกิจการงานต่าง ๆ ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงม้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เหมือนอย่างฆราวาสญาติโยมเข
“บวชมาแล้วก็ล่วงเกินสิกขาบ
นั่นแหละ ขุดดินฟันไม้ จับจ่ายเงินทอง ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ กินข้าวแลงแกงร้อนก็ต้องอาบ
นั่นแหละ
“พอถึงช่วงเดือน ๑๒ เขาลงจับปลากัน ก็ให้เณรไปขอปลาและกุ้งเป็น
“ทีนี้ฤดูทำนา เขาก็มานิมนต์ไปช่วยเขาดำนา
“วันพระก็ตีกลองให้ผู้สาว (หญิงสาว) มาดายหญ้าในบริเวณวัด แล้วก็เล่นสาวสนุกสนาน งานบุญพระเวสสันดร มีการละเล่นต่าง ๆ ก็เล่นสาวสนุกสนาน จับโน่นจับนี่ เมื่อมีโยมตายในหมู่บ้าน เขานิมนต์ไปสวดกุสสลา มาติกาในงานศพ มีการละเล่นในงานนั้น ก็หยิบหยอกกับผู้สาว จับก้นจับขาจับของดี ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง นั่นแหละ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ”
“ทีนี้มาถึงเดือน ๕ เมษายน ขึ้นปีใหม่ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็บอกว่า เอ้า...พระเราเป็นนาคนะ ฤดูนี้เราเป็นนาค เล่นน้ำได้ ไม่เป็นบาปเป็นกรรม นั่นแหละ มันก็สนุกสนาน เล่นน้ำปล้ำผู้สาว จับอกจับก้น จับของลับกันสนั่นหวั่นไหว แต่อาจารย์ไม่ให้เสพนะ ถึงอย่างนั้นมันก็เกิดความก
“นั่นแหละ ความไม่ดีทั้งหลายที่พวกข้า
นอกจากเปรตพระ ๓ ตนนี้แล้ว ก็ยังมีเปรตแม่ขาวนางชี (แม่ชี) ตกค้างอยู่ที่นั้นอีกมาก
พอถามว่า เมื่อไหร่จะพ้นกรรม เขาก็บอกว่าไม่รู้ ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นกรร
“เปรต ๓ ตนนี้ กับแม่ชีนั้น เคยเป็นญาติของเราบ้างไหม ?”
“โอ๋...เป็นมาหลายภพหลายชาต
จากนั้น จึงพูดกับเปรตเหล่านั้นว่า
“พระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำนั้
เจริญสมณธรรมอยู่ที่นั่นได้
“ท่านอาจารย์ ดิฉันพ้นจากบาปกรรมชั่วช้าล
“ไปดีเถิด จงภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ ไปที่ อ.บ้านผือ หรือที่ จ.อุดรธานี โน่นแหละดี เพราะจะมีพระกรรมฐานผ่านมาม
ทีนี้พอล่วงมาถึงเดือน ๖ ก็ได้บอกพวกเปรตทั้งหลายว่า
นั่นแหละ ต่อแต่นั้น ก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่บ
“พวกเปรตพระ ๓ ตน กับแม่ชีทั้งหลาย หายไปไหนกันหมด”
เขาก็ตอบว่า
“ท่านมาโปรดเขา เมื่อปีกลายโน้น เขาก็ได้เจริญสมณธรรมตามอย่
นั่นแหละ เรื่องการไปวิเวกตามสถานที่
นี่แหละการไปเจริญสมณธรรมใน
บรรยายภาพ จากซ้ายไปขวา
หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่จันทา ถาวโร
เณรเปรต
จากนั้นก็ไปวิเวกที่ ถ้ำพระ บ้านโคกก่อง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี คืนนั้นนั่งภาวนาอยู่จนตี ๓ มีเปรตพระตนหนึ่ง กับเณรน้อยขี้กลากกินหัวเต็ มไปหมด เดินผ่านมาทางหน้าถ้ำ จึงถามไปว่า
“จะไปไหนเล่า ?”
เขาก็ตอบว่า “จะไปบ้านจอมศรี ไปเยี่ยมพี่น้อง”
“อ้าว...พี่น้องสำคัญอย่างไ ร อาคันตุกะถึงวัดแล้ว ทำไมจึงไม่ต้อนรับ และแสดงที่พัก”
“โอ๋...ไม่มีเวลา มีแต่งาน”
“งานอะไรสำคัญ อ้าว...แล้วนั่น เณรน้อยทำไมขี้กลากกินหัว ?”
“มันกินข้าวแลง กินข้าวเย็น” เขาว่าอย่างนั้นนะ
“นั่นแหละ บ้านเรือนจะรั่วก็รั่วมาแต่ ขื่อแต่แปโน่น อันนี้ฉันใด อาจารย์ก็กินข้าวเย็นด้วย ใช่ไหมเล่า ?”
“ใช่ !...”
“นั่นแหละ ประพฤติไม่ดี พากันล่วงเกินสิกขาบทวินัยน ้อยใหญ่ บวชมาก็เป็นโมฆะ ไม่รักษาธุดงควัตร ศีลวัตร นั่นแหละ อยากทำอะไรก็ทำไป ตายแล้วจึงมาเป็นเปรตเป็นผี อย่างนี้ เป็นเปรตขี้กลากกินหัว บาปติดตามมาอย่างนี้ สมขี้หน้า”
ต่อว่าเขาไปอย่างนั้น เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะกลัวอำนาจ แล้วเขาก็ไม่มาหาอีก เพราะเห็นโทษของตนเองนั่นแห ละ ก็เลยโปรดไม่ได้ เป็นเปรตค้างอยู่ที่นั่น
การไปภาวนายังที่ต่าง ๆ ก็ได้เห็นเป็นอย่างนั้น บางแห่งจิตสงบลงแล้ว ก็มีผีกองกอย สะมอยดง มาหา ก็ไม่มีความสะทกสะท้านหวั่น ไหวอะไร พอจิตสงบแล้ว องอาจกล้าหาญชาญชัยทุกอย่าง เห็นชอบอย่างนั้น จะเป็นหรือจะตาย ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมหรอก
ฉะนั้น เรื่องผีเรื่องเปรตทั้งหลาย จึงไม่กลัวทั้งนั้น ผีสางคางแดงอะไรก็ตามเถิด ถ้าเรามีพระไตรสรณคมน์และศี ลธรรม
บริสุทธิ์สมบูรณ์แล้ว ทุกอย่างชนะหมดทั้งนั้น ไม่ต้องหวั่นไหว
นอกนั้นก็เป็นมหาเสน่ห์ เป็นมหานิยม เป็นเครื่องดึงดูด นาค ครุฑ
เทพยดาทั้งหลายทั้งปวง เห็นแล้วเย็นตาเย็นใจ
๑๖ เทศน์โปรดเทวดา
จากนั้นก็ไปวิเวกที่ ถ้ำพระ บ้านตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ภูเขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ ๒ - ๓ ถ้ำ ไปอยู่คนละถ้ำกับ พระอาจารย์บุญพิน
วันนั้นนั่งภาวนาตั้งแต่หัว ค่ำ ราวเที่ยงคืน จิตสงบแล้ว เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็มีฝูงเทพบุตรเทพยด าลงมาจากภูเขาใหญ่ ปัพตาเทวดา รุกขเทวดา รูปร่างใหญ่โตสวยงาม พูดจาเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะการด่าว่า กันหรอก เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕
ถามว่า “จะรับไปทำไม ?”
เขาก็ว่า “พวกข้าพเจ้าหมดเกษียณภพชาต ิที่อยู่บนภูเขาใหญ่แล้ว จะได้ไปเกิดยังเมืองมนุษย์อ ีก เมื่อเห็นท่านมาอยู่ที่นี่ ก็ดีใจ เลยมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕”
เมื่อให้เสร็จแล้ว เขาขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังว่า
“พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ฯ
นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีแต่สุคติสวรรค์เป็นที่ไ ปเบื้องหน้า ได้ชื่อว่า มนุสสธัมโม เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องกล ั่นกรองกิเลส เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องล้ างบาปและเคราะห์เข็ญเวรร้าย นั่นแหละ เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้”
เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป เข้าสู่ จ.อุดรธานี มีราว ๆ ๑๐๐ ตน เห็นจะได้
คืนนั้นนั่งภาวนาทั้งคืนจนถ ึงรุ่งเช้าแจ้ง เป็นวันใหม่ พระอาจารย์บุญพิน ก็มาถามว่า
“เมื่อคืนนี้เทศน์ให้ใครฟัง ?”
“เทศน์ให้เทพบุตรเทพยดา มาจากภูเขาใหญ่ เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์และ ศีล ๕ เขาจะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เม ืองอุดรธานีโน่น”
จากนั้นก็ไปวิเวกที่ ถ้ำพระ บ้านโคกก่อง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี คืนนั้นนั่งภาวนาอยู่จนตี ๓ มีเปรตพระตนหนึ่ง กับเณรน้อยขี้กลากกินหัวเต็
“จะไปไหนเล่า ?”
เขาก็ตอบว่า “จะไปบ้านจอมศรี ไปเยี่ยมพี่น้อง”
“อ้าว...พี่น้องสำคัญอย่างไ
“โอ๋...ไม่มีเวลา มีแต่งาน”
“งานอะไรสำคัญ อ้าว...แล้วนั่น เณรน้อยทำไมขี้กลากกินหัว ?”
“มันกินข้าวแลง กินข้าวเย็น” เขาว่าอย่างนั้นนะ
“นั่นแหละ บ้านเรือนจะรั่วก็รั่วมาแต่
“ใช่ !...”
“นั่นแหละ ประพฤติไม่ดี พากันล่วงเกินสิกขาบทวินัยน
ต่อว่าเขาไปอย่างนั้น เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะกลัวอำนาจ แล้วเขาก็ไม่มาหาอีก เพราะเห็นโทษของตนเองนั่นแห
การไปภาวนายังที่ต่าง ๆ ก็ได้เห็นเป็นอย่างนั้น บางแห่งจิตสงบลงแล้ว ก็มีผีกองกอย สะมอยดง มาหา ก็ไม่มีความสะทกสะท้านหวั่น
ฉะนั้น เรื่องผีเรื่องเปรตทั้งหลาย
๑๖ เทศน์โปรดเทวดา
จากนั้นก็ไปวิเวกที่ ถ้ำพระ บ้านตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ภูเขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ ๒ - ๓ ถ้ำ ไปอยู่คนละถ้ำกับ พระอาจารย์บุญพิน
วันนั้นนั่งภาวนาตั้งแต่หัว
ถามว่า “จะรับไปทำไม ?”
เขาก็ว่า “พวกข้าพเจ้าหมดเกษียณภพชาต
เมื่อให้เสร็จแล้ว เขาขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังว่า
“พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ฯ
นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีแต่สุคติสวรรค์เป็นที่ไ
เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป เข้าสู่ จ.อุดรธานี มีราว ๆ ๑๐๐ ตน เห็นจะได้
คืนนั้นนั่งภาวนาทั้งคืนจนถ
“เมื่อคืนนี้เทศน์ให้ใครฟัง
“เทศน์ให้เทพบุตรเทพยดา มาจากภูเขาใหญ่ เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์และ
หญิงเปรต
สมัยหนึ่ง ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าช้าบ้านหัวดง อ.เมือง จ.นครพนม กับ พระอาจารย์อ่ำ (ธัมมกาโม)
ที่นั้นเป็นป่าช้าเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยเริ่มตั้ง จ.นครพนม เมื่อไปอยู่แล้ว ก็ตั้งใจทำความเพียร เพราะเราจากครูบาอาจารย์มาแ ล้ว
จะประมาทไม่ได้ ในพรรษานั้น ก็ตั้งใจไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน
ทำความเพียรอยู่ใน ๓ อิริยาบถเท่านั้น คือ เดิน ยืน นั่ง ทำอยู่อย่างนั้น
ไม่ลดละ ไม่หวั่นไหวต่อชีวิตสังขาร เพราะหวั่นไหวแล้วก็ไม่ได้ตามใจหมาย ทั้งนั้น ทำคุณงามความดี ให้เกิดมีขึ้นในตนเสียดีกว่ า
วันหนึ่ง เดินจงกรมถึง ๓ ทุ่ม แล้วก็ยืน ยืนกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท ออกว่า โธ อยู่กับ อานาปานสติกรรมฐาน ไม่ลดละ ไม่นาน จิตก็วางพุทโธ จิตก็รวมพึบ เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้งในท ่ายืนนั้น ไม่นานก็มีกลิ่นเหม็นลอยมา กลิ่นอะไรหนอ เขาฝังศพไม่ลึก แล้วหมาไปคุ้ยกินหรือเปล่า หรือว่ากลิ่นอะไร
ไม่นาน ก็ปรากฏเป็นหญิงเปรต ๓ ตน ร่างกายใหญ่โต ตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่มเหมื อนคน
โบราณในภาคอีสาน ไม่มีผ้าปกปิดร่างกาน มายืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒
วาเท่านั้น มีหนอนตัวดำ ๆ ใหญ่ ๆ ขนาดเท่านิ้วมือเจาะไชของลั บเต็มไปหมด แทงงัด ๆ บิดซ้ายบิดขวาเจ็บปวด มีน้ำเน่าไหลโทรมกายโทรมขา โทรมก้น ส่งกลิ่นเหม็น ไม่นานก็เอาของลับไปถูไถกับ เครือไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้ หนอนหลุดออก แล้วก็ไต่เข้าไปอีก
กำหนดถามไปว่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?”
เขาก็ตอบว่า “ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เริ่ม จ.นครพนม พวกข้าพเจ้าทั้ง ๓ คนนี้เล่นชู้นอกใจผัว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ผัวคับแค้นอัดอั้นตันใ จ
ได้ไม่พอกิน ไม่อิ่ม เป็นคนมักมาก ขี้โลภในกิเลสกาม นั่นแหละ
พระเทศน์ให้ฟังว่า กาเมสุมิจฉาจาร นั้น ไม่ให้ทำ เป็นบาปชั่วช้าลามกก็เฉย
ไม่เชื่อฟัง เอาแต่สนุกสนานในการคบชู้สู ่ชาย ไม่เลือกทั้งฆราวาส ทั้งพระ เอาหมดทั้งนั้น เมื่อตายแล้ว จึงมาเกิดเป็นเปรต มีหนอนเจาะของลับอยู่ในป่าช ้านี่แหละท่าน”
ถามว่า จะพ้นจากกรรมได้เมื่อไร ก็ไม่รู้ ทำอย่าไรจึงจะพ้นกรรม ก็ไม่รู้อีก จึงได้กำหนดถามพระธรรมตัวเอ งว่า
“หญิงเปรต ๓ ตนนี้ เป็นญาติของเราบ้างไหมหนอ ?”
พระธรรมพูดขึ้นมาที่ใจว่า “เป็น...เป็นญาติกันมาหลายภ พหลายชาติแล้ว ครั้นเมื่อเราตกทุกข์ได้ยาก เขาก็ช่วยเหลือสงเคราะห์ ต่างคนก็ต่างสงเคราะห์กันมา อย่างนี้ มาชาตินี้ภพนี้ ต่างคนต่างทำกรรมไม่เหมือนก ัน ต่างคนก็ต่างไปคนละภพ แต่กรรมเก่าที่เคยสงเคราะห์ กันมา ก็ดลบันดาลให้มาจำพรรษาอยู่ ที่นี่ ฉะนั้น จงช่วยเหลือสงเคราะห์เขาเสี ย”
จากนั้นก็พูดกับหญิงเปรตนั้ นว่า
“โยมทั้ง ๓ กับอาตมา เคยเป็นญาติกันมาแต่ปางก่อน โน้น หลายภพหลายชาติแล้ว ต่างคนต่างทำกรรมไม่ดี มาชาตินี้ก็เปลี่ยนแปลงภพชา ติเป็นอย่างนี้ แต่กรรมเก่าก็ส่งผลให้มาสงเ คราะห์ อาตมาจะสงเคราะห์ให้เอาไหม ?”
“เอา...เมตตาสงเคราะห์บ้างเ ถิดท่าน เป็นเปรตตกทุกข์ยาก ทรมานมานานแสนนาน ตั้งแต่เริ่มตั้ง จ. นครพนม แล้วละท่าน”
“เอ้า...นั่งลง เจ็บปวดก็ทนเอานะ เพราะตนเองทำไว้ ทำอย่างไรก็ให้ผลอย่างนั้น นั่นแหละ อัตตะนา วะกะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิสิสสะติ อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเ ป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดและ เศร้าหมองหาได้ไม่ ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองหรอก เป็นผู้กระทำสะสมไว้ และให้ผลเป็นทุกข์แน่นอน”
เขาก็นั่งลง กราบไหว้ เสร็จแล้วก็ให้เขารับ พระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ ธรรมทั้งสองรวมกันเข้าแล้วก ็ได้ชื่อว่า มนุสสธัมโม จะได้ภพชาติกับมาเป็นมนุษย์ อีก
ต่อจากนั้น ก็ให้เขาเดินจงกรมบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนาบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ กับการเดินจงกรม นั่งภาวนา เป็นการบำเพ็ญบุญเพื่อล้างบ าป พวกท่านทำบาปใหญ่โตมโหฬารแล ้ว ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการทั้งนั้น ฝนตกก็หนาว ลมพัดก็หนาว แดดออกก็ร้อน เป็นทุกข์ยากลำบากแสนกันดาร นานแล้วนั่นแหละ จะบอกให้ชาวบ้านหัวดง เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เขาก็เป็นญาติของเราของท่าน เหมือนกัน
พอรุ่งเช้า เสร็จจากการบิณฑบาตแล้ว ก็เล่าให้โยมฟังว่า
“เมื่อคืนได้พบหญิงเปรต ๓ ตน มาหา ไม่มีเสื้อผ้าใส่ มีแต่หนอนเจาะไชของลับ เจ็บปวดแสนทุกข์ยากทรมาน ดูแล้วน่าสังเวชสลดใจ พวกเขาเหล่านั้นก็เคยเป็นญา ติพี่น้องกับพวกท่านมา ฉะนั้น จงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เ ขาเสีย”
ชาวบ้านเขาทำบุญอุทิศส่วนกุ ศลไปให้ แล้วเปรตเหล่านั้นก็มารับส่ วนบุญ พอถึงวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็ให้เขามารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๘ ตามอย่างมนุษย์
นั่นแหละ เทศน์แนะนำพร่ำสอนเขาอยู่อย ่างนั้น กรรมชั่วช้าลามกใครเล่าทำให ้ เราเองหรอกเป็นผู้มักมาก มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ยอมทำความดี ทำแต่ความชั่วใส่ตัวอยู่เป็ นนิจ นี่แหละทำลงไปแล้วก็ให้ผลเป ็นทุกข์อย่างนี้
ต่อจากนั้น บางคืนสงบสงัด ก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่กล างป่าช้า (บางทีกลางวันสงบสงัดก็ได้ย ิน)
“โอ๊ย ! ... เจ็บเหลือเกิน เจ็บเด๊...ปวดเด๊...พ่อเอ๊ย ...แม่เอ๊ย...เมื่อไหร่หนอจ ะพ้นจากกรรมเวร”
ได้ยินแล้วน่าสงสาร น่าสังเวชสลดใจ
เวลาล่วงเลยไปถึงเดือนตุลาค ม ขึ้น ๑๐ ค่ำ ไปยืนภาวนาอยู่กลางป่าช้า ไม่นาน จิตใจก็สงบ เห็นหญิงเปรต ๓ ตนนั้นมาหา ใส่เสื้อผ้าและมีผ้าเฉลียงบ ่าเรียบร้อยดี เข้ามากราบแล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์ พวกดิฉันพ้นบาปกรรมจากกำเนิ ดเป็นเปรตแล้ว เพราะว่าท่านมาโปรด หนอนเจาะของลับนั้นตายหมดแล ้ว เพราะอำนาจของพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ สังหารล้างบาปเคราะห์เข็ญเว รร้ายได้หมด และอำนาจที่ไปอนุโมทนากุศลก ับญาติทั้งหลายที่อุทิศให้ และท่านอาจารย์อุทิศให้ นั่นแหละ ก็พ้นทุกข์จากกำเนิดเป็นเปร ตได้ รวมทั้งที่พวกข้าพเจ้าทั้งห ลายได้น้อมเอาพระไตรสรณาคมน ์และศีล ๕ ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา เดินจงกรมอย่างที่ท่านสอนนั ่นแหละ บาปทั้งหลายก็หมดสิ้นไป ไม่เหลือเศษอยู่ได้ เมื่อก่อนนี้ก็มีพระมาจำพรร ษาอยู่ที่นี่เป็นร้อย ๆ ก็ไม่มีใครโปรดได้ ไปหาแล้วก็เฉย ผลสุดท้ายเขย่าต้นไม้ถาม ก็วิ่งหนีขึ้นกุฏิไปเลย บางทีก็หันหน้ามาด่าว่าและข ว้างปาใส่อีก แต่สำหรับท่านอาจารย์ มาหาแล้วก็คุยกันรู้เรื่องแ ละโปรดสงเคราะห์ช่วยเหลือได ้ ต่อแต่นี้ไป พวกดิฉันทั้ง ๓ จะขอลาไปเกิดยังเมืองมนุษย์ ”
อาตมาจึงว่า
“พวกพระเหล่านั้นเขาไม่ใช่ญ าติของโยม และก็ไม่เคยมีอุปการคุณต่อก ันมา อีกทั้งจิตของเขาก็ไม่สงบลง สู่ภพเดียวกัน มันก็ไม่เห็นกันหรอก แต่อาตมากับพวกท่าน เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาต ิแล้ว กรรมเก่าจึงบันดาลให้มาโปรด นะ และถ้าจะไปเกิดยังเมืองมนุษ ย์
ก็ขอให้ไปเกิดที่ จ.สกลนครโน่น เพราะมีพระกรรมฐานมาก มี หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ และอีกหลายองค์ หรือไม่ก็ไปที่ จ. อุดรธานี
ก็มีพระกรรมฐานมากเช่นกัน ขอให้ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ อย่าได้ประมาท
อำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆ จะพาไปเกิดในตระกูลของนักปร าชญ์ จะได้แนะนำพร่ำสอนแต่ในทางท ี่ดี ไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้เ ข็ดหลายและจดจำผลของความชั่ วช้าลามก ที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตนี้ไ ว้ให้ดี อย่าดื้ออย่าด้าน อย่าล่วงประเวณี เล่นชู้ในใจผัวอีกนะ”
เขาก็ว่า “เข็ดแล้วกลัวแล้ว จะไม่ทำอีกต่อไป” จากนั้นก็กราบลา แล้วออกเดินทางไป
นั่นแหละในพระไตรปิฎก ใน มหาวิบากสูตร และ พระมาลัยสูตร ก็ว่าไว้อย่างนั้นว่า
หญิงก็ดี ชายก็ดี นอกใจสามีภรรยา ตายแล้วไปตก มหาตาปนะนรก ถูกนายยมบาลต้มด้วยน้ำร้อน สังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด ้ามคมแสนปี พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น มาตก คูถนรก จมในหลุมมูตรหลุมคูถท่วมศีร ษะ มีหนอนเจาะไชอยู่อย่านั้นเป ็นแสน ๆ ปี พ้นจากนั้น มาตก สิมพลีนรก ถูกนายยมบาลบังคับให้ปีนต้น งิ้วสูงใหญ่มีหนามยาว สัตว์นรกขึ้นไปแล้วก็ถูกหนา มงิ้วทิ่มแทง เป็นบาดแผลตามหน้า ตามเนื้อตัว และแขนขาเป็นทุกขเวทนาสาหัส พอขึ้นไปถึงยอดก็ถูกแร้งกาป ากเหล็กจิกหน้าตา ตกลงมา ถูกหมาขย้ำฉีกเนื้อกินเป็นอ าหาร เหลือจากนั้นหนอนก็เจาะไชกิ นเป็นอาหาร
พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น ไปเกิดเป็นเปรต ผู้หญิงไปเกิดเป็นเปรตของลั บใหญ่เต็มหว่างขามีไฟไหม้ เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ผู้ชายก็ไปเกิดเป็นเปรต มีของลับใหญ่ มีไฟนรกเผาไหม้อยู่ปลายของล ับนั้น เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ทุกข์ยากแสนเข็ญ นั่นแหละบาปกรรมเวรเป็นอย่า งนั้น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายเป็นอยู่อย่างนั ้นถึง ๕๐๐ ชาติ
พ้นจากนั้น ไปเกิดเป็นสุนัขทั้งตัวผู้ต ัวเมียเป็นกามโรค เป็นทุกข์จนตาย ตายแล้วเกิดอีก เป็นอยู่อย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ
พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็หน้าด้านเสพกามไม่เลือก เป็นกามโรคตายแล้วตายเล่าอี ก ๕๐๐ ชาติ
พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ ธรรมดา ก็ทุกข์ยากลำบาก นอกใจผัวนอกใจเมียเป็นทุกข์ อยู่อย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ
นี่แหละ โทษกรรมของกามคุณทั้งหลาย
สมัยหนึ่ง ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าช้าบ้านหัวดง อ.เมือง จ.นครพนม กับ พระอาจารย์อ่ำ (ธัมมกาโม)
ที่นั้นเป็นป่าช้าเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยเริ่มตั้ง จ.นครพนม เมื่อไปอยู่แล้ว ก็ตั้งใจทำความเพียร เพราะเราจากครูบาอาจารย์มาแ
วันหนึ่ง เดินจงกรมถึง ๓ ทุ่ม แล้วก็ยืน ยืนกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท ออกว่า โธ อยู่กับ อานาปานสติกรรมฐาน ไม่ลดละ ไม่นาน จิตก็วางพุทโธ จิตก็รวมพึบ เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้งในท
ไม่นาน ก็ปรากฏเป็นหญิงเปรต ๓ ตน ร่างกายใหญ่โต ตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่มเหมื
กำหนดถามไปว่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?”
เขาก็ตอบว่า “ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เริ่ม จ.นครพนม พวกข้าพเจ้าทั้ง ๓ คนนี้เล่นชู้นอกใจผัว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ผัวคับแค้นอัดอั้นตันใ
ถามว่า จะพ้นจากกรรมได้เมื่อไร ก็ไม่รู้ ทำอย่าไรจึงจะพ้นกรรม ก็ไม่รู้อีก จึงได้กำหนดถามพระธรรมตัวเอ
“หญิงเปรต ๓ ตนนี้ เป็นญาติของเราบ้างไหมหนอ ?”
พระธรรมพูดขึ้นมาที่ใจว่า “เป็น...เป็นญาติกันมาหลายภ
จากนั้นก็พูดกับหญิงเปรตนั้
“โยมทั้ง ๓ กับอาตมา เคยเป็นญาติกันมาแต่ปางก่อน
“เอา...เมตตาสงเคราะห์บ้างเ
“เอ้า...นั่งลง เจ็บปวดก็ทนเอานะ เพราะตนเองทำไว้ ทำอย่างไรก็ให้ผลอย่างนั้น นั่นแหละ อัตตะนา วะกะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิสิสสะติ อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเ
เขาก็นั่งลง กราบไหว้ เสร็จแล้วก็ให้เขารับ พระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ ธรรมทั้งสองรวมกันเข้าแล้วก
ต่อจากนั้น ก็ให้เขาเดินจงกรมบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนาบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ กับการเดินจงกรม นั่งภาวนา เป็นการบำเพ็ญบุญเพื่อล้างบ
พอรุ่งเช้า เสร็จจากการบิณฑบาตแล้ว ก็เล่าให้โยมฟังว่า
“เมื่อคืนได้พบหญิงเปรต ๓ ตน มาหา ไม่มีเสื้อผ้าใส่ มีแต่หนอนเจาะไชของลับ เจ็บปวดแสนทุกข์ยากทรมาน ดูแล้วน่าสังเวชสลดใจ พวกเขาเหล่านั้นก็เคยเป็นญา
ชาวบ้านเขาทำบุญอุทิศส่วนกุ
นั่นแหละ เทศน์แนะนำพร่ำสอนเขาอยู่อย
ต่อจากนั้น บางคืนสงบสงัด ก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่กล
“โอ๊ย ! ... เจ็บเหลือเกิน เจ็บเด๊...ปวดเด๊...พ่อเอ๊ย
ได้ยินแล้วน่าสงสาร น่าสังเวชสลดใจ
เวลาล่วงเลยไปถึงเดือนตุลาค
“ท่านอาจารย์ พวกดิฉันพ้นบาปกรรมจากกำเนิ
อาตมาจึงว่า
“พวกพระเหล่านั้นเขาไม่ใช่ญ
เขาก็ว่า “เข็ดแล้วกลัวแล้ว จะไม่ทำอีกต่อไป” จากนั้นก็กราบลา แล้วออกเดินทางไป
นั่นแหละในพระไตรปิฎก ใน มหาวิบากสูตร และ พระมาลัยสูตร ก็ว่าไว้อย่างนั้นว่า
หญิงก็ดี ชายก็ดี นอกใจสามีภรรยา ตายแล้วไปตก มหาตาปนะนรก ถูกนายยมบาลต้มด้วยน้ำร้อน สังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด
พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น ไปเกิดเป็นเปรต ผู้หญิงไปเกิดเป็นเปรตของลั
พ้นจากนั้น ไปเกิดเป็นสุนัขทั้งตัวผู้ต
พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์
พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์
นี่แหละ โทษกรรมของกามคุณทั้งหลาย
ช้างมาหา
สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๗) ไปวิเวกที่ดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็นอำเภอบ้านม่วง ) จ.สกลนคร กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย และ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ และพระอื่น ๆ อีก รวมแล้ว ๗ - ๘ องค์ด้วยกัน
คืนหนึ่ง ในขณะที่เดินจงกรมอยู่ประมา ณ
๔ - ๕ ทุ่ม ก็มีฝูงช้างใหญ่ราว ๑๐ ตัว เดินเข้ามาหา พอห่างได้ระยะ ๑ เส้น
(๒๐ วา) จ่าฝูงก็กระทืบตีน ๓ ครั้ง แล้วก็โบกหูไปมาแล้วชูงวงขึ ้น แต่ก็ไม่มีความสะทกสะท้านหร ือเกรงกลัวแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะอำนาจพระธรรมเกิดขึ้นแ ล้วที่จิต คือ ความสงบนั้น จึงกำหนดถามพระธรรมตัวเองขึ ้นว่า
“ช้างเขามาทำอะไรกัน ?”
พระธรรมพูดขึ้นว่า “ช้างฝูงนี้เป็นญาติของเราม าแต่ชาติปางก่อนโน้น เขามาอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา จงอุทิศส่วนบุญให้เขาเสีย”
ก็เลยตั้งใจมั่น แล้วแผ่เมตตาให้ว่า
“ช้าง... พวกท่านกับอาตมา เป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อ นโน้น
มาชาตินี้ ก็ได้มาประสบพบปะกันแล้ว จงอนุโมทนาส่วนบุญนะ จะอุทิศให้ ปุญญัง
อุทิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอให้ท่านทั้งหลาย
จงได้รับส่วนบุญเถิด” จากนั้นก็ให้โอวาทแก่เขาว่า
“ขอให้พวกท่านทั้งหลาย จงน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปไว้เป็นที่พึ่งนะ ไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาประจำชีวิต ไม่ลดละ ท่านทั้งหลายจงตั้งตนอยู่ใน ศีล ๕ ปาปะกัง ปาณาติบาต อย่างเพิ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มนุษย์นะ เป็นบาป อย่าเพิ่งลักขโมยกินของไร่ข องสวนเขานะ เป็นบาป เขาจะฆ่าเอา อย่าเพิ่งนอกใจซึ่งกันและกั น นั่นแหละอันนี้เป็นข้อสำคัญ มั่นหมาย เมื่อพวกท่านมีพระไตรสรณคมน ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว มีศีล ๕ ประจำชีวิตอีก ก็จะได้ มนุสสธัมโม เปลี่ยนชาติภพจากสัตว์เดรัจ ฉานไปเป็นมนุษย์ เมื่อเปลี่ยนชาติเปลี่ยนภพแ ล้ว จะได้ทำคุณงามความดีเหมือนอ ย่างข้าพเจ้านี่แหละ”
เขาก็ตั้งใจฟังจนจบ จากนั้น จ่าฝูงก็กระทืบเท้า ๓ ครั้ง แล้วโบกหูพึบพับ ๆ จากไป
สมัยนั้น ที่ดงหม้อทองยังเป็นป่าดงทึ บ มีสัตว์ป่ามากมาย ทั้งช้าง ทั้งเสือเหลือง เสือโคร่ง ส่งเสียงร้องกันสนั่นหวั่นไ หว แต่สัตว์ร้ายเหล่านั้น ก็ไม่ได้มาทำอันตรายแต่อย่า งใด เพราะอำนาจของการประพฤติธรร ม บันดาลให้เป็นมหาเสน่ห์มหาน ิยม
สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๗) ไปวิเวกที่ดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็นอำเภอบ้านม่วง
คืนหนึ่ง ในขณะที่เดินจงกรมอยู่ประมา
“ช้างเขามาทำอะไรกัน ?”
พระธรรมพูดขึ้นว่า “ช้างฝูงนี้เป็นญาติของเราม
ก็เลยตั้งใจมั่น แล้วแผ่เมตตาให้ว่า
“ช้าง... พวกท่านกับอาตมา เป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อ
“ขอให้พวกท่านทั้งหลาย จงน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปไว้เป็นที่พึ่งนะ ไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาประจำชีวิต ไม่ลดละ ท่านทั้งหลายจงตั้งตนอยู่ใน
เขาก็ตั้งใจฟังจนจบ จากนั้น จ่าฝูงก็กระทืบเท้า ๓ ครั้ง แล้วโบกหูพึบพับ ๆ จากไป
สมัยนั้น ที่ดงหม้อทองยังเป็นป่าดงทึ
ผีโป่งที่ผาอีเมย
เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลา ด
พอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน
นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว
พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียเหาะขึ้นทางโคนโป่ง โน้น ขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดัง ตึ้ง... ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแ ดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้ า วิ่งหนีเข้าป่าไป
โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธ รรมหรอก มิได้มารบกวน หวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้ งนั้น เอานะ มาลองดูกันว่า คาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากั น เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาในระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า
อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสังพระธัมมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฏฐิพระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพ็ชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง (กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด
จบแล้วก็เป่าพึบ !...ไฟนั้นก็แตกกระจายไป สีแดง ๆ หายไป กลายเป็นสีเขียววิ่งเข้าโคน โป่งไปเลย
คืนนั้น ๓ ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอนเขามาหา (บ้านดงนาซอน เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประมาณ ๑๒ หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด) เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความกั นแล้ว ก็ให้เขารับพระไตรสรณคมน์แล ะศีล ๕ จากนั้น ก็อธิบายธรรมให้เขาฟังบ้างเ ล็กน้อย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า
“โยม...เมื่อเย็นนี้ ราว ๖ โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมากลางทุ่งทางโน้น เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมัน จะถล่มทลาย และไม่นานก็มีนิมิตเป็นไฟป่ ามา อันนั้นเป็นเสียงอะไร ?”
“อ๋อ...ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์ ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเ ข้าไปในพุ่มไม้นั้น พอวิ่งตามเข้าไปดู ก็เห็นผีตัวใหญ่ หัวล้านเพ่อเว่อ นั่งสูบยามวนใหญ่เท่าแขนโป้ อยู่บนจอมปลวกโคนโป่งนั่น นายพรานในเขตนี้เขากลัวกันม าก ไม่กล้าไปอีกเลยนะท่าน”
นั่นแหละ พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า ผีโป่งมันเข้าไปสิงชาวบ้าน แล้วมันพูดว่า
“แหม...เราเป็นเจ้าของโป่ง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาส นาของพระพุทธเจ้ากัสสโป โน่น เคยเป็นนายพรานใหญ่มาล่าสัต ว์ที่นี่ แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ ่ มีเสือตัวใหญ่ยาว ๑๒ ศอก ผ่านมา ก็เลยยิงออกไป แต่ว่าเสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตา ย เราหึงหวงห่วงอาลัยในสถานที ่นี้ เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผีมาเ ฝ้าโป่งอยู่ที่นี่ นั่นแหละ พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคล้ำ ๆ ร่มใหญ่ ๆ บาตรโต ๆ เดินผ่านมามีรัศมีด้วยนะ เราก็รู้ว่าพระจำพวกนี้มีธร รมจืดนะ ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดทั้งนั ้น ไม่มีใครสู้ได้ แต่เราก็สู้ด้วยฤทธิ์ด้วยคา ถา คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง ฤทธิ์ของเราก็เป็นเลิศประเส ริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้น แต่เราสู้ไม่ได้ เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้น เก่งกว่าเรา”
นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่น ั่น ฉะนั้น เรื่องผีสางคางแดงดำอะไรจึง ไม่กลัวทั้งนั้น ธรรมพระไตรสรณคมน์เป็นของดี เลิศประเสริฐแท้ ผีเจ้าเข้าสิง ใช้ทำน้ำมนต์ กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั ้น อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย ฉะนั้นขอให้เอาไปภาวนาเช้าเ ย็นอย่าได้ขาด ไปไหนมาไหนก็ภาวนาอย่างนั้น
ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะได้ไปสวรรค์โดยเร็วพลัน
นี่เรียกว่า คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์ เอาไปบริกรรม อย่าได้ขาด อย่าได้ประมาท
อันนี้เป็นของดีเลิศประเสริ ฐแท้
เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลา
นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว
พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียเหาะขึ้นทางโคนโป่ง
โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธ
อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสังพระธัมมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฏฐิพระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพ็ชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง (กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด
จบแล้วก็เป่าพึบ !...ไฟนั้นก็แตกกระจายไป สีแดง ๆ หายไป กลายเป็นสีเขียววิ่งเข้าโคน
คืนนั้น ๓ ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอนเขามาหา (บ้านดงนาซอน เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประมาณ ๑๒ หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด) เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความกั
“โยม...เมื่อเย็นนี้ ราว ๖ โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมากลางทุ่งทางโน้น เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมัน
“อ๋อ...ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์ ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเ
นั่นแหละ พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า ผีโป่งมันเข้าไปสิงชาวบ้าน แล้วมันพูดว่า
“แหม...เราเป็นเจ้าของโป่ง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาส
นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่น
เปรตเลี้ยงควาย
พอออกพรรษาแล้วก็ออกเดินทาง
จากนั้น ก็พบกับพระอาจารย์บุญพิน พระจ่อย แล้วก็พากันไปวิเวก ขึ้นถ้ำขามแล้วก็ลง จากนั้นมาวิเวกที่ บ้านดงเชียงเครือ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นบ้านพระอาจารย์บุญพ
ไปนั่งภาวนาอยู่ในป่าช้า คืนนั้นราว ๕ ทุ่ม จิตสงบ ฝูงเทพบุตรเทพยดาจำนวนมาก มาจากสถานที่ต่าง ๆ มาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล
“โย จะ ปุคคะโล บุคคลทั้งหลาย เมื่อมาเกิดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ นาค ครุฑ อินทร์ พรหม ก็ดี จงมาชำระตนเอาสิ่งที่มัวหมอ
“สุกกัง ธัมมัง ภาเวนะ ปัณฑิโต บัณฑิตชาตินักปราชญ์ ผู้มีธรรมอันขาวฝังที่ใจแล้
เสร็จแล้วเขาก็ลากลับไป เมื่อเทพบุตรเทพยดาทั้งหลาย
“ทำไมไม่กลับบ้านกับเขา ?”
เขาก็บอกว่า “จะไปเลี้ยงควาย”
ไม่นาน เปรตตนนั้น ก็ล้วงมือลงไปในย่าม เอาห่อข้าวขึ้นมา พอเปิดออก เห็นมีราขึ้นเต็มห่อข้าวนั้
“ทำไมข้าวถึงขึ้นรา ?”
เขาก็ตอบว่า “ของตัวมีอย่างไรก็กินอย่าง
เห็นเช่นนั้นแล้วก็สลดใจ นั่นแหละ ไม่ทำสิ่งใดไว้ ก็ไม่มีอย่างนั้น พอรุ่งเช้า ไปบิณฑบาต จึงได้ถามโยมว่า
“โยม...เมื่อคืนนี้ อาตมานั่งภาวนาอยู่มีฝูงเทว
“อ๋อ...เขาคือนายหล้า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์นั้น วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา ไม่มี นักปราชญ์ป่าวร้องเชิญชวนว่
“นั่นแหละ โยม...เดี๋ยวนี้เขาเป็นเปรต
ทำบุญอุทิศให้เขาอยู่อย่างน
“โยม...นายหล้า เขาพ้นจากกำเนิดเป็นเปรตหรื
“ไม่ได้รับหรอกท่าน”
“เพราะเหตุใดจึงได้รับ ?”
“เพราะใจของเขานั้นปิดหมด”
“อะไรปิด?”
“กิเลสวัฏฏ์ - กรรมวัฏฏ์ - วิปากวัฏฏ์ นั่นแหละคือกระแสของวัฏฏสงส
นั่นแหละ วัดไม่เข้า พระเจ้าไม่นบ (ไหว้) ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มี ได้ชื่อว่า ทำตนเป็นเปรตแน่นอน ไม่ต้องสงสัยหรอก อย่าถือว่ามีลาภยศสรรเสริญส
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเปรตอยู่
Cr:หนังสือธรรมพเนจร
อัตโนประวัติของ “หลวงปู่จันทา ถาวโร”
วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร