GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Animation พระพุทธเจ้าเนื่องในวันวิสาขบูชา/32ข้อประเมินตนเองว่า“ตื่นรู้” มากแค่ไหน



วัดฝอกวงซาน ทำ animation เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ผู้จัดทำเผยแพร่เมื่อ 4 พ.ค. 2014


 
วันวิสาขะบูชาปุณณมี

วิสาขะบูชาปุณณมีดิถีเลิศ วันประเสริฐอันสำคัญวันศาสน
มีนิมิตเกิดเหตุการณ์พระศาสดา มีเหตุมา3 ประการอันจำเริญ
ปีจอกลางเดือน 6 วันเพ็ญเห็นประจักษ์ ถิ่นพำนักลุมพินีวันอันสรรเสริญ
สิริมหามายาครบทศมาสครรภ์เจริญ ทรงดำเนินประสูติโอรสทศพล
ใต้ต้นรังมีอัศจรรย์พลันปรากฏ พระโอรสทรงดำเนินเสด็จ 7 ก้าวหน
เปล่งวาจาจากพระโอษฐ์พระทศพล ได้ยินยลเป็นอัศจรรย์ในวันเพ็ญ
"เราเป็นผู้เจริญจริงยิ่งในโลก เราเลิศโลกประเสริฐสุดประสูติเห็น
อันชาตินี้เป็นที่สุดหยุดเกิดเป็น จะไม่เห็นบังเกิดอีกหลีกเวียนวน"
ล่วงลุกาลนานหลายปีในปีวอก นับแต่ออกผนวชบวชหาหน
พระศาสดาทรงศึกษาหาด้วยตน หวังหลุดพ้นในวัฏฏะอนิจจา
ครั้นเดือน 6 วันเพ็ญทรงเห็นรู้ พระสัพพัญญูทรงตรัสรู้ลู่เหตุหา
หลังบำเพ็ญละสุขทรงทุกข์กิริยา ทรงหันมานั่งสมาธิใช้สติมาพิจารณ์
ทรงบำเพ็ญสมาธิจนผลิอภิญญา ด้วยปัญญาจนแจ้งจิตคิดแตกฉา
บรรลุธรรมซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาน ณ วันอังคารคืนเพ็ญเป็นต้นมา
หลังประกาศเผยแพร่แก่เวไนยชน สั่งสอนคนจนรู้แจ้งเหตุแห่งศาสนา
นับแต่ได้ทรงโปรดแสดงปฐมเทศนา แก่เทวามนุษย์พรหมยมอบายฯ
ทรงประกาศพรหมจรรย์อันสมบูรณ์ จนเพิ่มพูนปัญญาคนชนทั้งหลา
ลุล่วงมาสี่สิบห้าพรรษามรณากราย อรหันต์องค์สุดท้ายปฏิบัติตามทางมัชฌิมาฯ
ทรงได้ปัจฌิมโอวาทประสาทประสิทธิ์ ให้พินิจสังขารอันเสื่อมสา
ไม่คงทนย่อมเสื่อมได้ตามธรรมดา ควรมุ่งหน้าอย่าประมาทประสาทพร
พระพุทธองค์ทรงฌานหลังตรัสสอน ทรงฌานจรจตุตถฌานประสานสรณ์
หลังจากนั้นทรงดับขันธ์นิรันดร เวลาตอนปัจฌิมยามตามเวลา
เมื่อปีมะเส็งวันอังคารกาลเดือน6 อุปถัมภกศาสดาพระศาสนา
ทรงปรินิพพานตามกาลนานสืบมา วิสาขะปุณณมีที่มหัศจรรย์..................  
 







 

วันวิสาขบูชาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเดียวกัน

ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะประสูติ เราเคยได้ยินเรื่องชาดกกันมาแล้วในเรื่องพระชาติทั้ง 10 ก่อนหน้าของพระพุทธองค์ โดยในแต่ละชาติจะทรงเป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงบำเพ็ญบารมีด้านต่าง ๆ และจบลงด้วยพระชาติที่ทรงเป็นพระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี

แต่การที่จะบำเพ็ญบารมีทั้ง 10 นั้นไม่ได้ “เกิดขึ้น” เองเฉย ๆ นะคะ กรรมใด ๆ จะเกิดผลได้นั้นต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ “เจตนา” ค่ะ ดังนั้น ณ จุดใดจุดหนึ่งต้องมีการตั้ง “เจตนา” นั้นขึ้น คำถามคือ “เมื่อไหร่” และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ “ใคร” เป็นคนตั้งเจตนาจะบำเพ็ญบารมีทั้ง 10 นั้นขึ้นมา

พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราทรงต้องบำเพ็ญเพียรนานถึงสี่อสงไขยกำไรแสนกัปป์ โดยจำนวนปีของอสงไขยนั้นคือจำนวนที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1 และตามด้วยศูนย์อีก 140 ตัว ส่วนกัปป์หนึ่งนั้นเคยมีผู้คำนวณว่ายาวนานถึง 1.28 ล้านล้านปีทีเดียวค่ะ ถ้าจะมองอย่างวิทยาศาสตร์ก็ต้องบอกว่ามีการเกิดดับของระบบจักรวาลกันหลายต่อหลายรอบทีเดียวค่ะกว่าจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติมาได้ 1 พระองค์

ไม่ใช่เฉพาะจะต้องใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุดกับ “เวลา” ที่นานแสนนานอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความ “ทุ่มเท” อย่างสุด ๆ กับการสร้างบารมีทั้ง 10 ด้วยค่ะ แต่..เอ...บางท่านอาจจะสงสัยว่า การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นไม่ได้หมายความว่าท่านจะได้เกิดมาเสวยสุขเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์และได้อยู่อย่างสะดวกสบายในสิ่งแวดล้อมดี ๆ เหมือนในชาดกทั้ง 10 ชาตินั้นหรอกหรือ

คำตอบ คือ “ไม่ใช่” ค่ะ พระพุทธองค์เคยทรงเล่าเรื่องราวมากมายเมื่อครั้งที่ทรงเสวยพระชาติเป็นพ่อค้าสามัญทั่วไปที่ต้องทำงานหนัก หรือแม้แต่ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่าง ๆ เช่น กระต่าย พญาวานร หรือว่าพญาช้างเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทรงทำสม่ำเสมอในทุก ๆ พระชาติก็คือการบำเพ็ญบารมีค่ะ

การที่จะสั่งสมบารมีให้เพียงพอที่จะได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระโพธิสัตว์จะต้องสร้างบารมีทั้ง 10 ในระดับ “ไม่ธรรมดา” หรือที่มีชื่อเรียกว่า “บารมี 30 ทัศ” ด้วยนะคะ คือทำแต่ละบารมีครบทั้ง 3 ระดับความยาก เช่น ในการทำทานบารมี ในระดับธรรมดานั้นคือการบริจาคสิ่งของภายนอก แต่พระโพธิสัตว์ต้องทำในระดับ ทานอุปบารมี คือ บริจาคอวัยวะ(สด ๆ) และ ทานปรมัตถบารมี คือ สละให้ได้แม้กระทั่งชีวิตตนเองเพื่อช่วยผู้อื่นด้วย

พระพุทธองค์เคยทรงเปรียบเทียบว่า ถ้าจะนับจำนวนลูกมะพร้าวในโลกนี้ทั้งหมดมารวมกันก็ยังไม่เท่าจำนวนพระเศียรในแต่ละชาติของพระองค์ที่ทรงยอมสละให้คนตัดไปเพื่อช่วยผู้อื่นให้ได้รอดค่ะ แม้ในพระชาติที่ทรงเป็นกระต่าย ก็ทรงสละชีวิตกระโดดเข้ากองไฟเพื่ออุทิศร่างกายให้ดาบสที่กำลังบำเพ็ญตบะผู้หิวโหยได้อาศัยเป็นอาหารด้วยค่ะ

และการเสียสละได้แม้แต่ชีวิตเพื่อช่วยผู้อื่นซึ่งรวมถึงพวกเราทั้งหลายให้มีชีวิตรอดซ้ำแล้วซ้ำอีกในภพชาติจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนนี้เองค่ะคือสุดยอด “ความรัก” อันเป็นที่มาของ “วันวิสาขบูชา” หรือ เป็นที่มาของการอุบัติขึ้นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่ความรักความเมตตาต่อบรรดาพวกเราทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณแล้ว จะเป็นอะไรอื่นไปได้อีกคะ และอย่าลืมว่าจิตใจของพระโพธิสัตว์ในแต่ละชาตินั้นก็ยังเป็นปุถุชนเหมือนกับพวกเรา นั่นคือยังมีความกลัว ความเหน็ดเหนื่อย ความท้อใจ แต่ท่านก็ไม่เคยทรงยอมแพ้หรือว่าล้มเลิกความตั้งใจไปกลางคันเลยแม้สักครั้งเดียวค่

พระองค์ยอมสละแม้แต่ชีวิตของพระองค์เองเพื่อเราเสมอมาในเวลาสี่อสงไขยกับอีกแสนกัปป์นั้น

แม้ยามเป็นเจ้าชายสิทธัตถะผู้ออกผนวชแล้วก็เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะ “ความรัก” พระองค์ก็คงไม่ทรงทุ่มเทจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดในการแสวงหาโมกขธรรมที่จะทำให้สรรพสัตว์ทั้งปวงพ้นทุกข์ไปได้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านอกจากที่มาของ “การประสูติ” เป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว ที่มาของ “การตรัสรู้” ก็เปี่ยมไปด้วย “ความรัก” อย่างที่สุดเช่นกันค่ะ ลองหาอ่านคำสัจจอธิษฐานของเจ้าชายสิทธัตถะในคืนวันที่จะตรัสรู้ดูนะคะ สรุปสั้น ๆ ก็คือพระองค์ประกาศ “ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้บรรลุธรรม” เพื่อจะช่วยสอนพวกเราให้พ้นทุกข์ค่ะ

แม้แต่ยามที่กำลังจะเสด็จปรินิพพาน ก็เป็นเพราะ “ความรัก” ต่อพวกเราทั้งหลายอีกที่พระพุทธองค์ทรงเลือกว่าจะทรง “ตายอย่างไร” ค่ะ ทรงทราบดีว่าการเลือกที่จะทรงใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายอย่างเป็น “ครู” ต่อหน้าคนจำนวนมากนั้นจะทำให้บทเรียนสุดท้ายนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่จะตราตรึงอยู่ในประวัติศาสตร์นานเท่านาน และบทเรียนนี้ก็คือ สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเสื่อมไปเป็นธรรมดา แม้แต่สังขารของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังหนีไม่พ้นกฏข้อนี้ ดังนั้นเราจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ทำกิจของเราอย่างไม่ประมาทอยู่เสมอ ซึ่งก็แปลว่าให้มีสติอยู่ตลอดเวลานั่นเองค่ะ

เมื่อเวลานานแสนนานมาแล้ว มีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ประตูทางออกของบ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ที่ชื่อว่า สังสารวัฏ เขาหันกลับมาแล้วมองเห็นพวกเรายังติดกับอยู่ข้างใน กรีดร้องโหยหวนให้ช่วย เขายอมสละความอยู่รอดปลอดภัยของเขาแล้ววิ่งกลับมาอย่างกล้าหาญเพื่อยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเรา แน่นอน ถ้าพวกเราไม่ยื่นมือออกไปจับมือเขา เราก็คงจะไม่รอดแล้วก็จะต้องตายลงอย่างช้า ๆ และทรมานในกองไฟนั้น ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะค่ะว่าเราอยากจะติดอยู่ในบ้านที่กำลังไฟไหม้นั้นต่อไปหรือเราต้องการจะหลุดพ้นออกไปเพื่อที่เราจะได้มีโอกาสช่วยคนอื่นออกไปด้วยเช่นกัน

เส้นทางไปสู่ความเป็น “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” นั้นไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเลย หากแต่เป็นการทุ่มเทด้วย “ความรัก” อย่างที่สุดตั้งแต่ตอนเริ่มต้นจนถึงจุดจบในอีกหลายล้านล้านปีต่อมา ดังนั้นในวันวิสาขบูชานี้เรามาปฏิบัติบูชาเพื่อ “ขอบคุณ” พระพุทธเจ้ากันนะคะสำหรับ “ความรัก” ที่พระองค์ทรงมองการณ์ไกลถึงพวกเราในวันนี้ และถ้าจะให้ครอบคลุมจริง ๆ ก็ต้องขอบคุณย้อนไปถึงน้ำใจอันงดงามยิ่งใหญ่ของสุเมธดาบสและพระโพธิสัตว์ในทุก ๆ ชาติที่ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจในการบำเพ็ญเพียรบารมีเพื่อพวกเราด้วย

เรายังคงสัมผัส “ความรัก” ของพระพุทธองค์ได้อย่างเป็นรูปธรรมทุก ๆ ครั้งที่เราฝึกเจริญสติเพราะนั่นคือหลักสูตรการพ้นทุกข์ที่พระพุทธองค์ทรงทิ้งไว้ให้พวกเรา หรืออีกนัยหนึ่งการเจริญสตินั้นก็คือมือที่ชายหนุ่มคนนั้นยื่นออกมาให้พวกเราด้วย “ความรัก” นั่นเองค่ะ

32ข้อประเมินตนเองว่า“ตื่นรู้” มากแค่ไหน

หลายคนถามผมว่าฝึกสติไปแล้ววัดผลยังไง ผมก็ขอ อธิบาย ง่ายๆเป็นข้อๆ เป็น checklist ง่ายๆ นะ นี่แหละ Key Behavior Indicator

๑) มีแนวโน้มที่จะ สดใสขึ้น ใจว่างๆ โล่งๆ (ใจดี หรือ ดีใจ ไม่เหมือน ใจโล่งๆ นะ) ไม่อมทุกข์ ไม่หน้าบึ้ง

๒) มีแนวโน้มที่จะ ยิ้มง่ายขึ้น ยิ้มให้คนอื่นก่อน ไม่ต้องรอให้คนอื่นยิ้มให้ก่อน

๓) มีแนวโน้มที่จะ ไหว้คนอื่นได้ก่อน ไม่มีข้อแม้ว่า ใครต้องไหว้ใครก่อน

๔) มีแนวโน้มที่จะ ถ่อมตน ไม่เจ้ายศ ไม่เจ้าอย่าง ง่ายๆ ติดดิน

๕) มีแนวโน้มที่จะ รับผิดชอบงานมากขึ้น ไม่อ้าง ไม่หนี อดทน ยอม

๖) มีแนวโน้มที่จะ มีเมตตามากขึ้น ใช้เมตตาธรรมนำหน้าเหตุผล

๗) เมื่อได้ยินเรื่องราวใดๆ ก็มีแนวโน้ม ที่จะ ดู สังเกต มากกว่าที่จะ ด่วนวิจารณ์ ด่วนออกอาการ ด่วนออกอารมณ์ แม้นจะโดนด่า โดนเข้าใจผิด ก็ยัง อดทน ควบคุมตนเองได้ ง่ายๆ ปล่อยๆ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาก็ได้

๘) มีแนวโน้มที่จะ เปิดโอกาสผู้อื่นพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วน “สวนกลับ” ไม่ด่วน “หักคอ” ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วนฟันธง ไม่แทรกแซงขณะคนอื่นกำลังพูด อัตราการเต้นของหัวใจปกติ ไม่ตูมตาม เมื่อโดนคนอื่นด่า

๙) มีแนวโน้มที่จะ ยอมรับ เปิดใจ ยอมรับ ความคิดเห็นที่แตกต่างได้ รับฟังอีกมุมมองได้

๑๐) มีแนวโน้มที่จะ ขยันๆ และ ”กล้า” ลงมือทำ ในเรื่องที่ดี เป็นกุศล ต่างๆ ทันที โดยไม่มีข้อแม้น ไม่เอาเรื่องในอดีตมาทำให้สะดุดในการที่จะทำ ไม่เอาเรื่องในอนาคตมาหยุดตนเอง ทำตามเป้าหมายได้ ไม่วอกแวก รู้จัก focus

๑๑) มีแนวโน้มที่จะ หันไป กตัญญู พ่อแม่ ไปหา ไปดูแล ไปคุย กับผู้มีพระคุณมากขึ้น ครูเก่า เจ้านายที่เคยช่วยสอน ผู้มีอุปการะคุณ ฯลฯ

๑๒) มีแนวโน้มที่ สัตว์เลี้ยงต่างๆ จะเดินเข้ามาหา เพราะคนที่ใจสงบ ตื่นรู้ บรรดาสัตว์ในธรรมชาติ เขาจะ รับรู้

๑๓) มีแนวโน้มที่จะ ไม่เมาบุญ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร

๑๔ )มีแนวโน้มที่จะ ”ให้” บริจาค จิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม มากขึ้น

๑๕) มีแนวโน้มที่จะ รู้สึกว่าตนเอง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รู้สึกว่า ผู้คนกับตัวเอง เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่รู้จะทำลายกันไปทำไม

๑๖) มีแนวโน้มที่จะคบ บัณฑิต หลวงปู่ หลวงพ่อ ที่ดีๆ มากขึ้น ไปหา ไปฟังธรรมจากท่าน ตามโอกาส

๑๗) มีแนวโน้มที่จะ ห่างไกลคนพาล อบายมุข

๑๘) มีแนวโน้มที่จะ รักษาศีล๕มากๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ผิดกาม ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ทานของมึนเมา

๑๙) มีแนวโน้มที่จะ ชื่นชม (Appreciation) ผู้คน ยินดีที่คนอื่นได้ดี หรือ มี มุทิตา นั่นเอง

๒๐) มีแนวโน้มที่จะ ไม่นินทาใคร ไม่ทำให้ใครแตกแยก ชวนให้คนสามัคคีกัน

๒๑) มีแนวโน้มที่จะ ไม่กังวล หลับสบาย หลับง่าย

๒๒) มีแนวโน้มที่จะ ไม่ฝันร้าย เช่น ในฝันไม่รู้สึกวิ่งยากลำบาก ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป ไม่ฟันว่าฟันหัก ไม่ฝันว่า กลับไปเป็นเด็กแล้วเครียดก่อนสอบ อีก

๒๓) มีแนวโน้มที่จะฝันดี เช่น เจอพระ เจอคนดีๆ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่น มีความสุข

๒๔) มีแนวโน้มที่จะ นึกอะไร อยากได้อะไรที่ดีๆ เป็นกุศล ไม่นานก็จะได้ หรือ มีคนเอามาให้

๒๕) มีแนวโน้มที่จะยอมคน เช่น ยอมให้แซงคิว ยอมให้เอาเปรียบ ยอมให้ต่อว่า ฯลฯ

๒๖)มีแนวโน้มที่จะ ไม่ด่วน ”ประเมิน” ตัดสิน ตัดเกรด แบ่งแยก พิพากษา (judgement) ผู้คน ห้อยแขวน (suspend) เอาไว้ก่อน ดูมากขึ้น เผื่อคาดไม่ถึงบ้าง

๒๗) มีแนวโน้มที่จะ รักผู้คนแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional love) ไม่หวังผล ให้ก็คือให้ ไม่มีข้อแม้น ไม่อิจฉา ไม่ริษยา

๒๘)มีแนวโน้มที่จะ รู้จักสติที่ฐานกาย ใช้ “กายรู้กาย” ได้มากขึ้น นานขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้น รู้ๆทุกก้าว ทุกอิริยาบท

๒๙)มีแนวโน้มที่จะ ”จับ” ความรู้สึก ที่ “ใจ” ของตนเองได้ รู้ว่าใจกุศล อกุศล

๓๐)มีแนวโน้มที่จะ “แยกแยะ” จิต กับ ความคิด ได้ รู้จักความคิดจร ( ความคิดนอกแผน ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ความคิดที่ชวนไปเละเทะ ฟุ้งซ่าน ออกนอกทาง ฯลฯ) เป็น นีโอ ที่ สามารถจับกระสุนความคิด ที่ กิเลสยิงใส่มาได้

๓๑) มีแนวโน้มที่จะ กลับไปอ่าน หนังสือธรรมะ แล้ว เข้าที่ “ใจ”มากขึ้น ร้อง “อ๋อ” มากขึ้น

๓๒) ไม่กลัวตาย สิ้นข้อสงสัย และ ไม่งมงายในศีลภายนอก

ในการหัดเดินด้วยสติให้เริ่มจากการยืนด้วยสติก่อนเลย  ให้ท่านยืนตรงแต่ไม่เกร็ง ถ้ากุมมือไว้ข้างหน้าหรือไขว้มือไว้ข้างหลังได้ก็จะทำให้ท่านสามารถจดจ่ออยู่กับเฉพาะอาการเคลื่อนของเท้าได้ดีกว่าค่ะ ลองหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ ดูนะคะ ลองสังเกตร่างกาย (หรือ ใจ) ของท่านระหว่างการหายใจและหลังหายใจด้วยว่ารู้สึกอย่างไร ลองหายใจเข้าออกสักสองสามครั้งในท่ายืนนี้ ถ้าท่านรู้สึกถึงความ “ใจร้อน” หรือ “อยากเดิน” เกิดขึ้นในใจก็ให้กำหนดรู้ตามนั้นด้วย  ต่อไปให้ใช้ใจของท่านเหมือนเป็นเครื่องเอ๊กซเรย์ที่จะสแกนร่างกายของตัวท่านเองจากศีรษะจรดปลายเท้าเพื่อรับรู้อาการยืนให้ชัดเจน พร้อมกับกำหนดรู้ในใจว่า “ยืน” ไปด้วย แล้วก็ใช้ใจสแกนจากปลายเท้าย้อนกลับไปที่ศีรษะให้รับรู้อาการยืนแล้วกำหนดว่า “ยืน” อีกครั้ง ก่อนที่จะทำแบบครั้งแรกซ้ำคือ จากศีรษะจรดปลายเท้าและกำหนดว่า “ยืน” เป็นครั้งที่ 3  นี่เป็นการฝึกสติให้รับรู้อาการยืนอย่างชัดเจน  จากนั้น ย้ายใจของท่านไปที่เท้าขวาของท่าน  ไม่ต้องก้มลงมองเท้า ทิ้งสายตาลงสบาย ๆ มองไปพื้นข้างหน้าสัก 1.5 - 2.0 เมตร เพียงใช้ใจส่งความรู้สึกไปที่เท้าอย่างจดจ่อเท่านั้น สังเกตความรู้สึกที่ฝ่าเท้าของท่านสัมผัสพื้นหรือว่าสนามหญ้า  ท่านรู้สึก เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง?   กำหนดรู้ถึงความอึดอัดในใจนั้นด้วยแล้วก็ปล่อยมันไป สงสัยใช่ไหมว่าทำไมต้องมาทำอะไรอย่างนี้? กำหนดรู้แล้วก็ปล่อยมันไปเหมือนกัน  ใจแว่บออกไปใช่ไหม? กำหนดรู้แล้วก็ปล่อยมันไป อย่าเพิ่งหันหลังกลับ  ยืนกำหนดอาการยืนอีก 3 ครั้งเหมือนตอนก่อนเริ่มต้นเดิน  หันกลับแล้วค่อย ๆ กลับตัวช้า ๆ รับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของกายและใจ เมื่อกลับตัวแล้วก็ให้กำหนดอาการยืนอีก ถ้าท่านทำถูกวิธีคือมีสติไปจดจ่อกับทุกอาการของกายและใจอย่างต่อเนื่องท่านจะพบว่านี่เป็นการเดินที่ยากที่สุดและเหนื่อยที่สุดที่ท่านเคยเดินมาในชีวิต   เมื่อท่านเดินได้ชำนาญแล้วความปลอดโปร่งเบาสบาย โล่งกาย เย็นใจ สงบใจ จะเกิดขึ้น และถ้าท่านยังทำต่อไปท่านก็จะเกิดปัญญาทางธรรมด้วย

เล่าจื๊อกล่าวไว้ว่า “การเดินทางระยะหมื่นลี้นั้นเริ่มต้นด้วยการก้าวเดินเพียงก้าวเดียว” เส้นทางสู่ความสุขสูงสุดคือความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงของท่านนั้นก็เริ่มด้วยการก้าวเดินเพียงก้าวเดียว...ทีละก้าว


การ “เดินด้วยสติ” เป็นวิธีดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะดึงสติของเราเข้ามาอยู่กับฐานกายใน “ปัจจุบันขณะ” ได้อย่างเฉียบคม ทั้งนี้เพราะใจของเรามีสิ่งให้ยึดเหนี่ยวได้ชัดในอาการเคลื่อนในแต่ละขณะของเท้าและสัมผัสต่าง ๆ ที่เรารู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นการยกเท้า ย่างเท้าก้าวไปข้างหน้า หรือการเหยียบเท้าลง รวมทั้งสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ทั้งหมดล้วนช่วยรักษาสติหรือความตื่นรู้ของเราให้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่งได้ทั้งสิ้น

ดังนั้น ประโยชน์ที่เราจะได้รับทันทีในการเดินด้วยสติก็คือ “การป้องกันไม่ให้ใจเป็นทุกข์ เพราะตกไปอยู่ในอดีตหรืออนาคต” นั่นเองค่ะ นี่คือการปลดล็อครหัสลับอย่างแรกนะคะ

นอกจากนี้ การเดินด้วยสติยังมีประโยชน์อีกในแง่การ “มองเห็นธรรม” เพราะมันจะเป็นการเดินแบบมีจุดหมายที่แน่ชัดค่ะ นั่นคือ สติต้องเข้าไปตามระลึกรู้ให้ “เท่าทันปัจจุบัน” ให้ได้ในทุก ๆ ขณะ และต้องทำอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ การเคลื่อนไหวด้วย เราจะเริ่มเห็นความจริงของชีวิตว่าแท้ที่จริงก็คือการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของกายและใจทีละขณะ ๆ นั่นเอง เหมือนกับภาพนิ่งในฟิล์มภาพยนตร์ที่เอามาต่อ ๆ กันแล้วฉายเร็ว ๆ ก็จะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวน่ะค่ะ ถ้าสามารถ “เห็น” หรือเข้าใจได้ในขั้นแรกนี้ก็คือเรียกว่าเห็นความไม่เที่ยง หรือการเกิดดับของทุกสรรพสิ่งในกฏพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) แล้ว และจิตก็จะเริ่มปล่อยวางได้เองตามธรรมชาติ นี่เป็นการปลดล็อครหัสลับอย่างวิเศษมาก

พระพุทธองค์ทรงกล่าวรับรองประโยชน์ของการเดินด้วยสติหรือเดินจงกรมเอาไว้ถึง 5 ประการดังนี้ค่ะ

1)  ผู้ที่หมั่นเดินด้วยสติเป็นประจำจะมีพลังเพียบพร้อมสำหรับการเดินทางไกล ในที่นี้ต้องเน้นว่าไม่ใช่เพียงเป็นการฝึกร่างกายนะคะ แต่เป็นการฝึกความอดทนของใจด้วย และถ้ามองให้ลึกซึ้งจริง ๆ ชีวิตของเราทั้งชีวิตนี่ล่ะค่ะคือการเดินทางไกลอย่างแท้จริง การฝึกเดินด้วยสติเป็นประจำจะทำให้เรารับมือกับชีวิตได้อย่างอดทนขึ้นค่ะ นอกจากนี้ผู้เขียนยังพบว่าการเดินด้วยสติจะเหนื่อยน้อยลงและเหนื่อยช้าด้วยเพราะสมองจะไม่เสียพลังงานไปกับการคิดเรื่อยเปื่อยค่ะ สมองคนเราใช้พลังงานถึง 18% ของร่างกายทีเดียวนะคะ
2)  การเดินด้วยสติก่อนนั่งสมาธิจะทำให้สามารถนั่งได้ทนนานขึ้น
3)  ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย
4)  ช่วยระบบการย่อยอาหารและช่วยให้ไม่ง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะทำให้นั่งสมาธิดีขึ้นค่ะ
5)  สมาธิที่เกิดจากการเดินด้วยสตินั้นจะตั้งอยู่ได้นาน ซึ่งถ้าทำไปอย่างต่อเนื่องก็สามารถเห็นธรรมได้

ดังนั้นทุก ๆ ก้าวของท่านที่ก้าวด้วยสติจึงหมายความว่าท่านได้ก้าวเข้าไปใกล้การตื่นรู้อีก 1 ก้าวแล้ว แล้วเราจะเริ่มนำการเดินด้วยสติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเราอย่างไรกันดี?

1)  เริ่มด้วยเส้นทางสั้น ๆ ก่อนค่ะ เลือกเส้นทางสั้น ๆ ที่ท่านเดินเป็นประจำจากจุด เอ ไปจุด บี แล้วฝึกเดินด้วยสติดูนะคะ ที่ง่ายที่สุดก็คือการเดินครั้งแรกของวันค่ะตอนที่ใจยังโล่งโปร่งอยู่ไม่มีความคิดมารบกวนมากนัก เช่น เดินจากเตียงนอนไปห้องน้ำ และอย่าลืมทำอีกครั้งตอนก่อนนอนนะคะ เคล็ดลับคือต้องทำทุกวันค่ะ

2)  ใช้เป็นการเดินออกกำลังกาย ลองเดินแบบไม่ฟังเพลงดูบ้าง แล้วกำหนดสติเปิดประสาทสัมผัสรับรู้ทั้งหมดแทนแต่เน้นไปที่การเคลื่อนไหวของเท้า  ถ้าท่านเดินท่ามกลางธรรมชาติก็กำหนดรู้ไปด้วยได้ แต่ไม่ไปเคล้าคลึงอารมณ์นั้น ดึงสติกลับมาที่อาการเคลื่อนไหวของเท้าเสมอ  ถ้ามีความคิดเกิดขึ้นก็กำหนดรู้ไปหนึ่งครั้งแล้วก็กลับไปสังเกตการเคลื่อนไหวที่เท้าอีก รู้สึกทางใจอย่างไรก็กำหนดตามความเป็นจริง

3)  ใช้เมื่อเวลาต้องเดินผ่านเส้นทางที่ท่าน “ไม่ชอบ”  เช่น เส้นทางที่น่าเบื่อ หรือว่าต้องเดินไกล ฯลฯ การเดินด้วยสติจะทำให้ท่านสามารถบริหารจัดการความทุกข์ได้ดีขึ้น  ถ้าสติของท่านจดจ่ออยู่กับเท้าอย่างต่อเนื่องในแต่ละปัจจุบันขณะ ท่านจะไม่รู้สึกทุกข์ค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าท่านกำหนดสติได้ดีและต่อเนื่องท่านอาจเกิดสมาธิถึงขั้นปิติสุขตัวเบาโล่งโปร่งสบายได้อีกด้วย และนั่นเป็นเพียง “ผลพลอยได้” ด้วยซ้ำไป

ขอให้ทุกท่านมีความสุข ได้กุศล และได้เห็นธรรมจากการเดินด้วยสตินะ



MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY