ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือกับทูตอเมริกันคนใหม่
ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือกับทูตอเมริกันคนใหม่
นายเกล็น ทาวน์เซนด์ เดวีส์ ซึ่งดูจากประวัติแล้ว บทบาทของเขาน่าจะเข้ามาแทรกแซงกิจการในประเทศไทยอย่างเปิดเผย ไม่ทำตัวเฮอาแต่ปากว่าตาขยิบเหมือน คริสตี เคนนีย์ สำหรับประเทศไทยนั้น เป็นประเทศสำคัญที่สหรัฐฯอยากจะครอบครอง และปู้ยี่ปู้ยำ เหมือนที่ทำกับ ลิเบีย ยูเครน ซีเรีย และเยเมน เป็นอย่างมาก แต่ทำไม่สำเร็จสักที เพราะประเทศไทยมีสถาบันหลักที่เข้มแข็ง มั่นคง
เพราะฉะนั้น นายเดวีส์ คงทำการบ้านมาอย่างหนัก เพื่อจัดการประเทศไทยให้จงได้ เพราะตอนนี้สหรัฐฯไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เนื่องจากระบอบทักษิณที่เป็นทาสรับใช้สหรัฐฯ มาตลอดเวลากำลังสั่นคลอน และสหรัฐฯ ก็พร้อมเทหมดหน้าตัก จากนี้ไป คนไทยจะได้เห็นบรรดาองค์กรสิทธิมนุษยชน พลเมือง กฎหมาย นักเรียกร้องประชาธิปไตยกำมะลอ ที่รับเงินจากกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ สื่อตะวันตกฉบับต่างๆ สื่อไทยขายชาติแบบประชาไท นักวิชาการทรยศแผ่นดินสายนิติราษฎร์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน รวมถึงผู้ก่อการร้ายเสื้อดำ-เสื้อแดง ดาหน้าออกมาถล่มประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และหนักกว่าที่เป็นอยู่ เพราะงานแทรกแซงกิจการภายในต่างประเทศเป็นงานที่ นายเกล็น เดวีส์ ทูตสหรัฐฯ คนใหม่ประจำประเทศไทย เขาถนัดมากที่สุด!!!
เกมส์นี้สหรัฐฯ เปิดไพ่หมดแล้ว ว่าต้องการทำลายประเทศไทยอย่างแน่นอน ซึ่งคนไทยจะเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่กล่าวมา ทั้งการบั่นทอนทำลายสถาบัน การเรียกร้องหาประชาธิปไตย แต่ใจจริงคือ อยากได้ทักษิณ ฆาตกร 3,000 ศพ และผู้ต้องหาหนีคดีอาชญกรรมคอร์รัปชั่นกลับมาบริหารประเทศ ดังนั้น คนไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อม ปิดประตูไล่สาปส่งคนเลวๆ พวกนี้ไม่ให้มีที่ยืนในประเทศไทย ขอให้คนไทยเข้มแข็ง สามัคคี และรู้เท่าทันเกมส์ของคนเหล่านี้ เพราะอนาคตของประเทศไทย อยู่ในมือของคนไทยทุกคนที่จะต้องช่วยกันรักษาไว้
Paisal Puechmongkol
ก่อนการเดินทางมาเยือนไทยของ verybig กองทัพจีน ผมขอสรุปความร่วมมือสำคัญระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนในช่วง ๘ เดือนที่ผ่านมาว่ามี ๓ เรื่องใหญ่สุดคือ
๑. ความร่วมมือในการก่อตั้งธนาคารโครงสร้างพื้นฐานหรือ aiib ที่จีนเป็นหัวเรือใหญ่ โดยพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ รองนายกด้านเศรษฐกิจ มรว. ปรีดิยาธร ลงนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งเป็นประเทศแรกๆ สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ การเข้าร่วมดังกล่าวคือการเปิดเงื่อนไขรองรับเงินลงทุนต่างประเทศของจีนมูลค่าเท่ากับ ๑,๒๕๐,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐตามที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้ประกาศไว้
๒. การสนับสนุน maritime silk ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสนับสนุนในการประชุมเอเปกครั้งที่ ๒๒ ที่ปักกิ่งเป็นประเทศแรกๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งขณะนี้ฝ่ายจีนได้ยอมรับว่า maritime silk road ซึ่งสภาประชาชนจีนเรียกว่า อี้ไต้ อี้ลู่ นั้นจะมาบรรจบกับศูนย์กลางอาเซี่ยนคือประเทศไทย ในขณะที่สภาพภูมิยุทธศาสตร์ของไทยคือเราเป็น gateway of maritime silk road เพราะเราเป็นประเทศ ocean link ระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิค ที่เป็นศูนย์กลางประชากรครึ่งโลก และเป็นศูนย์กลางการเดินเรือ ๘๐% ของโลก
๓. ความร่วมมือพัฒนารถไฟทางคู่ ๓ สาย ซึ่งจะลงมือก่อสร้างได้ปลายปีนี้ และแว่วว่าอาจเสร็จเร็วกว่ากำหนดคืออาจได้เปิดใช้ปลายปี ๒๕๖๐
ทั้งนี้ไม่รวมความร่วมมือระดับรองๆ อีกจิปาถะทั้งภาคเกษตร การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ตลาดเงิน ตลาดทุน ในขณะที่ความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงกำลังก้าวรุดหน้าไปอย่างคึกคักทั้งกับจีน รัสเซีย อินเดีย และอาเซี่ยน
ชี้ความสัมพันธ์'ไทย-รัสเซีย'กระทบขั้วการเมืองโลก !!!!!
เดลินิวส์ออนไลน์
'นักวิชาการเศรษฐศาสตร์การเมือง' ชี้ความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียกระทบขั้วการเมืองโลก ชมรัฐบาล คสช. เดินเกมเร็วทำสหรัฐฯก้าวพลาดใช้นโยบายสองหน้าเข้าข้างฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไทย
เมื่อวันที่ 14 เม.ย. นายสมชาย ภคภาสวิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง ให้ความเห็นถึงการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซีย ในรอบ 25 ปีว่า เป็นปรากฎการเยือนครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ถือว่ามีนัยทางการเมืองระหว่างประเทศเพราะเกิดขึ้นในช่วงที่ทั้งไทย และรัสเซียต้องเผชิญกับการบีบคั้นของอเมริกา และสหภาพยุโรป
“การกระชับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ปกติ แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และการเมืองโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะรัสเซียถูกบีบจากมหาอำนาจตะวันตกและยุโรป แซงซั่นการค้า ที่รัสเซียไปหนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยูเครนไม่ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกอียู ส่งผลอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจรัสเซียติดลบ แม้ว่าครอบครองขีปนาวุธไว้จำนวนมาก ก็ยังมีความจำเป็นขยายความสัมพันธ์กับจีน อินเดีย อาเซียนและประเทศอื่น ๆ ไทยจึงเป็นเป้าหมายเพื่อถ่วงดุลอเมริกา”นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า ในส่วนของไทยหลังจากที่มีการรัฐประหาร อเมริกาและสหภาพยุโรปก็แสดงท่าทีบีบบังคับรัฐบาลไทยโดยหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน การบีบบังคับดังกล่าว คือไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีโดยมีการห้ามเข้าประเทศ แนวนโยบายของอเมริกาในเรื่องประชาธิปไตยก็ถือว่ามี 2 มาตรฐาน สถานการณ์อย่างเดียวกันที่เกิดขึ้นกับไทยก็เกิดกับอียิปต์และยูเครน แต่อเมริกากลับไปสนับสนุนรัฐบาลที่ก่อการรัฐประหารล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
“ความจริงแล้วอเมริกา และสหภาพยุโรปเขาก็รู้แต่แกล้งโง่ และไม่ยอมรับรู้ว่า คนไทยยอมรับรัฐบาล คสช. ที่เข้ามาระงับสงครามกลางเมืองจากรัฐบาลที่แม้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็เป็นเผด็จการเสียงข้างมาก ซึ่งสหรัฐฯเองดำเนินนโยบายสองหน้า หน้าหนึ่งสนับสนุนฝ่ายต่อต้านโดยอ้างเรื่องการเลือกตั้ง เผื่อในอนาคตถ้าฝ่ายนี้ได้เสียงข้างมาก อเมริกาก็จะได้ประโยชน์ที่มาก กว่ารัฐบาลชุดนี้
นั่นคือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแต่คอร์รัปชั่นนั้นจะเป็นเหยื่อของการดำเนินนโยบายต่างประเทศได้ง่ายเพราะผู้นำเหล่านี้สามารถแลกผลประโยชน์ต่างตอบแทนส่วนตัวบนหน้ากากของการเลือกตั้ง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ารัฐบาลชุดนี้ยังอยู่ต่อและเมื่อมีการเลือกตั้งจากฝ่ายที่ต้องการประชาธิไตยที่แท้จริง อเมริกาก็ยังไม่มีอะไรเสียเพราะในความเป็นจริง อเมริกาบีบคั้นด้วยคำพูดมากกว่าการกระทำ” นายสมชาย กล่าว
อย่างไรก็ตาม การกระชับความสัมพันธ์ระหว่าไทยกับรัสเซียในครั้งนี้ก็ถือว่ามีนัยทางการเมือง โดยไทยต้องการแสดงออกทางสัญลักษณ์ว่า ไทยก็ยังมีทางออกด้วยการพึ่งพาประเทศอื่น ๆ นอกจากนั้นยังเป็นการแสดงออกถึงท่าทีต่ออเมริกาในทำนองว่า “ยิ่งบีบมาก ก็ยิ่งเสียพันธมิตรมากขึ้น” ไทยเองก็รู้ดีว่า อเมริกากำลังถ่วงดุลอำนาจจากจีน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียแม้จะมีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรมของความเชื่อมโยงมากขึ้นก็ตาม แต่สิ่งสำคัญตอนนี้รัฐบาลไทยแสดงออกทางสัญลักษณ์ให้อเมริกาได้รับรู้ว่าอย่าเดินนโยบายพลาดแม้ไทยเป็นเพียงประเทศเล็กๆ