อาการ "ตรรกะเพี้ยนเฉียบพลัน" กำลังนำไปสู่สังคมล่มสลาย
นี่คือตรรกะของคนในสังคมไทยบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นแวดวงการเมืองหรือธุรกิจ ค่านิยมระดับเดียวกับคนที่บอกว่าคนโกงแล้วอ้างว่า "ไม่เจตนา" หรือ "บกพร่องโดยสุจริต"
เป็นนักการเมืองหรือคนมีตำแหน่งแห่งหนในสังคม เมื่อถูกจับได้ว่าโกง แต่มีอิทธิพลบารมีหรือสามารถวิ่งเต้นจนรอดได้ก็จะสามารถเดินอย่างองอาจในสังคม และเผลอ ๆ ก็จะยังมีคนกราบไหว้บูชามากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะถ้าโกงแล้วถูกจับได้ แต่ไม่ต้องรับผิดเป็นปรากฏการณ์ที่บางคนเห็นว่าเป็นความสามารถพิเศษ คนธรรมดาสามัญทำไม่ได้ ต้องเป็นคนมีความเก่งกาจสามารถมีบารมีเท่านั้นที่จะอยู่ในสถานะที่จะหลุดรอดจากกฎหมายและการลงโทษต่อไป ถ้าเป็นพระ ก็อาจถูกตัดสินว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิก ยืนยันความมีอิทธิพลบารมี และยังเป็นที่นับหน้าถือตาเคารพยกย่องในคนบางเหล่าบางหมู่ได้
นี่คือสภาวะเน่าเฟะของสังคมไทยที่เป็นสาเหตุแห่งความเสื่อม และทำให้เราตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งและล่มสลาย เพราะระดับศีลธรรมจรรยาตกต่ำเสื่อมทราม นอกจากจะไร้สำนึกส่วนตัวแล้ว ก็ยังแอบอ้างเอามาตรฐานต่ำเตี้ยมาเป็นข้ออ้างเพื่อจะกระทำความผิดต่อเนื่อง เชื่อได้อย่างมั่นเหมาะว่าทุกกรณีที่อ้างเรื่อง บกพร่องโดยสุจริต หรือ รับของโจรโดยไม่มีเจตนา นั้นหากตรวจสอบกันให้ถึงที่สุดแล้วจะพบประเด็นเรื่องการ ทับซ้อนของผลประโยชน์ หรือ conflict of interest ของกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวโยงกัน โดยมีบรรทัดสุดท้ายคือการแบ่งปันผลประโชน์ที่ไม่เป็นธรรมกับสังคมส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ
นั่นแปลว่าเป็นผลประโยชน์ที่เบียดเบียนจากสาธารณะ หรือของส่วนกลาง หรือของผู้อื่นมาแบ่งปันกันในหมู่คนที่มีตำแหน่งหรือมีอำนาจโดยอาศัยการตีความกติกาแบบเข้าข้างตนเองอย่างไร้ยางอายและขาดความสำนึกต่อความรับผิดชอบของตนอย่างปฏิเสธไม่ได้ เป็นการตีความกฎเกณฑ์กติกาแบบศรีธนญชัยที่ได้กลายเป็นแบบแผนปฏิบัติของผู้มีอำนาจและบารมีในสังคมไทยเพื่อให้ตนและพรรคพวกสามารถกระทำการฉ้อฉลโกงกินและเบียดบังผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่มาเป็นของตนและพรรคพวกอย่างไร้ยางอาย
เป็นหน้าที่ของคนไทยในฐานะเป็นสมาชิกร่วมของสังคมนี้ที่จะต้องลุกขึ้นแสดงจุดยืนไม่ยอมรับ ไม่ยอมร่วมสังฆกรรม และไม่ยอมมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของคนเหล่านี้อย่างเปิดเผยและชัดเจน เพราะหากทุกคนยังถือว่าเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับตน หรือมีทัศนคติ ธุระไม่ใช่ เพราะไม่ได้มากระทบชีวิตของตนเองแล้วไซร้ วันหนึ่งข้างหน้าในเร็ว ๆ นี้สังคมไทยก็จะผุกร่อนถึงจุดล่มสลายต่อหน้าต่อตา ถึงจุดนั้นก็จะไม่มีใครสามารถอยู่รอดปลอดภัยใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมนี้ได้อีกต่อไป เพราะปรากฎการณ์ "ตรรกะเพี้ยนเฉียบพลัน" อย่างนี้เป็นมะเร็งร้ายที่ไม่เพียงแต่ทำลายอวัยวะบางส่วนของสังคมเท่านั้น แต่จะลามไปทำร้ายทุกภาคส่วนจนไม่มีใครรอดได้เลยแม้แต่คนเดียว กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าบ้านเมืองล่มสลาย ก็สายไปเสียแล้ว
เปลว สีเงิน คนปลายซอย 2 มีนาคม 2558
การเมืองที่เห็นกับ 'ความเป็นจริง'
คอลัมน์พี่เปลว สีเงินไทยโพสต์วันนี้เขียนดีจริงครับ อยากให้ได้อ่านกันอย่างละเอียด แล้วมีสติช่วยคิดวิเคราะห์ตามว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับกระเเสที่สื่อต่างๆปั่นโหมสร้างอยู่เวลานี้ เป็นปัญหานั้นจริง หรือเป็นปัญหาที่มีการปั่นขึ้นเพื่อป่วนการปฏิรูปโดยเฉพาะต้องการให้เกิดการดิสเครดิตเพื่อการลดศรัทธาต่อบุคคล เเละคณะที่กำลังเดินหน้าปฏิรูปทั้ง กมธ. ยกร่าง รธน. ครม. คสช. สนช. เเละสปช. ค่อยๆ ช่วยกันคิดครับ เเละทุกท่านจะเห็นว่าเเต่ละเรื่องนั้นมีเบื้องหลังเเละเป็นไปตามแผน 1 ใน 4 ที่คนชั่วร้ายจากนอกประเทศกำลังร่วมมือกับต่างชาติดำเนินการโจมตีประเทศไทยครับ
เห็นเว็บข่าวเจ้าหนึ่งจั่วหัว...."ยกร่างระส่ำ ทิชาไขก๊อก"ผมก็ขำกิ๊ก.....!
อะไรมันจะเว่อร์ขนาดนั้น แค่นางทิชา ณ. นคร ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปฯ และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไปคน มีน้ำหนักถึงขนาดทำให้การยกร่างรัฐธรรมนูญระส่ำเชียวหรือ?
ผมอ่านเว็บข่าวมติชน เขาบอกถึงสาเหตุที่ลาออกประมาณว่า เธอต่อสู้เพื่อความเสมอภาคระหว่างชาย-หญิงในการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองทุกระดับ ถึงขั้นให้กำหนดอัตราส่วนไว้เลย
คณะกรรมาธิการยกร่างฯ "ส่วนใหญ่" ไม่เห็นด้วยทั้งหมด ดูเธอจะผิดหวังในหลักคิดเสมอภาค จึงใช้คำว่า "ปลาผิดน้ำ" เป็นเหตุขอลาออก เท่าที่ผมสังเกต ยุคนี้มีมนุษย์ประเภท "ปลาผิดน้ำ" เข้าไปแหวกว่ายอยู่หลายที่ เช่น ที่ กสทช. ก็มี ที่ กกต. ก็มี ที่ สนช.และ สปช. ก็มี แต่รายนี้ "รายแรก" ที่ลาออก!
เรื่องสิทธิ เรื่องความเสมอภาค ที่ผู้หญิงเรียกร้อง ความจริงผมก็ได้ยินมานาน จะเท่าอายุก็ว่าได้ บอกตรงๆ ในทัศนคติส่วนตัว "มันจะอะไรกันนักหนา...หือ?" น่าเบื่อ น่ารำคาญ.........!
วันนี้ ผู้หญิงนั่งยานอวกาศไปสำรวจเส้นทางย้ายจากโลกไปอยู่ดาวอังคารกันแล้ว ผู้หญิงไปเข้ากลุ่ม IS คลุมหน้าดำ จับปืนออกรบ ตัดหัวผู้ชายกันแล้ว ผู้หญิงบวช "นุ่งเหลือง-ห่มเหลือง" ออกบิณฑบาตเคียงบ่า-เคียงไหล่พระสงฆ์กันแล้ว ผู้หญิงเสมอภาคแย่งหน้าที่ผู้ชายไป "แต่งเมีย" กันแล้ว เป็นประธานาธิบดีหญิง เป็นนายกฯ หญิง เป็นประธานสภาหญิง เป็นสัปเหร่อหญิง เป็นนักมวยหญิง เป็นแมงดาหญิง
วันนี้...ผู้หญิงเป็นและทำได้ทุกอย่าง กระทั่งยืนฉี่ ผู้หญิงก็ยืนได้ สัมมะหาอะไรกับอีแค่การดำรงตำแหน่งทางการเมือง?ก็ดูซี นายกฯ ชาย กี่คนล่ะ..ทักษิณ-พลเอกสุรยุทธ์-สมัคร-อภิสิทธิ์ ในเวลากว่า ๑๐ ปี ทำโครงการจำนำ-ประกันราคาข้าว ๔ รัฐบาล ๔ นายกฯ ชาย
ขาดทุน "เชิงนโยบาย" แค่ ๑๖๓,๖๗๔ ล้านบาท แต่นายกฯ หญิง...นังยิ่งลักษณ์ คนเดียว ชั่ว ๒ ปี...........ฉิบหายขายประเทศ "เชิงแดกข้าว" กว่า ๗๐๐,๐๐๐ ล้าน! ที่พูดนี่ ไม่ได้พูดให้เข้าใจไปทางว่า ผู้หญิงเมื่อเข้ามาการเมืองไม่เอาไหน โกงเก่งกว่าผู้ชาย แต่พูดในความหมายว่า...........จะมาเพ้อเจ้อ อ้างความเสมอภาคบ้าบอ ถึงกับต้องเขียนกฎหมายกำหนดอัตราส่วนชาย-หญิงเป็นโน่น-เป็นนี่ไปทำไม?
ทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีกฎหมายมาตราไหน ฉบับไหน กระทั่งกฎระเบียบต่างๆ กีดกันความเป็นหญิง-เป็นชาย ในการเข้าสู่อำนาจ ไม่ว่าทางการเมือง การบ้าน และการไหนๆ ไว้เลย เห็นมีแต่ "ห้องน้ำ-ห้องส้วม" เท่านั้น ที่แยกหญิง-ชาย จะว่ากีดกัน "ไม่แยกก็ได้" ถ้าฝ่ายเสมอภาคหญิงต้องการ!? "คุณภาพ-คุณสมบัติคน" ที่จะเข้าสู่อำนาจการบ้าน-การเมือง นั่นตะหาก ควรต้องเพ่งเล็ง กวดขัน ให้มีกฎเกณฑ์ "คัดเลือก-ตรวจสอบ" ให้เข้ม ไม่ใช่เขียนกฎหมายใช้ "ปริมาณเพศ" หญิง-ชาย เป็นตัวกำหนดจำนวนคนเข้าสู่การเมืองอย่างที่อยากจะได้กัน!
ทุกวันนี้ก็เห็นมีทั้ง ชาย หญิง กะเทย ตุ๊ด แต๋ว "เป็นได้ทุกอย่าง" ถ้าเธอมีคุณสมบัติและความสามารถตามเกณฑ์องค์กรนั้นๆ ต้องการ แล้วยังจะเอาอะไรอีก แม่คุณ...ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ยังมีตำแหน่งไหนทางการเมือง ที่ห้ามผู้หญิงเข้าไปเป็น? การเป็นคนดี เจตนาดี เพื่อสังคมบ้านเมืองดี นั้น ก็สาธุ........!แต่การยึดตัวเองเป็นแกนจักรวาลแห่ง "ความดี-ความถูกต้อง" อะไรที่ผิดไปจากตัวเองต้องการ ถือว่า "ไม่ดี-ไม่ใช่"
ยอมรับไม่ได้ ทำร่วม-อยู่ร่วมไม่ได้ ต้องแหวกว่ายไปหา "แนวร่วม" เพื่อฟักตัวความดี อยู่เฉพาะพวกดีด้วยกัน นั้น "คนดี" ประเภท ดี ๑ ประเภท ๑ อย่างนี้ เขาเรียก....พวก "ดีล้น"! อะไรที่มัน "ล้น" กระทั่งความ "ดี" มันจะก่อให้เกิดความ "เลอะ" นั่นคือ ดีที่ล้นจนเลอะ ไม่ทำให้ส่วนที่เหลือ "ระส่ำ" หรอก
ไหนๆ ก็คุยเรื่อง สนช. สปช.แล้ว ก็คุยต่อซะเลย พูดเรื่องร่างรัฐธรรมนูญก่อน มันมีเป็นร้อยมาตรา ครอบคลุมเรื่องทั้งประเทศ คณะยกร่างฯ ก็ยกกันมาเสร็จเป็นร่างแล้ว ที่โวยวาย เป็นควายหลงฟาง หนวกหูทุกวันนี้ มีพวกเดียว-ฝ่ายเดียว คือ พวก "เลือกตั้ง-ลากตั้ง" เป็นอาชีพ! แทบไม่ได้ยินระดับชาวบ้านซักราย โวยวาย-เดือดร้อน กับรัฐธรรมนูญที่อยู่ในลักษณะ "ดินน้ำมันปั้นยังไม่เสร็จ" มีแต่พวกอาชีพเลือกตั้งนี่แหละ โวยทุกวัน....ก็โวยประเด็นและมาตราเพื่อประโยชน์ใคร? ก็พวกเขา "นักเลือกตั้ง" นั่นแหละ! กับมาตราเพื่อประโยชน์สังคมรวมและชาวบ้านพึงมี-พึงได้ พวกนักเลือกตั้งไม่เคยแล จ้องแต่เส้นทางเข้าสู่อำนาจกินบ้าน-กินเมืองเท่านั้น
นายกฯ มาจากไหนวะ...ส.ส.-ส.ว.บัญชีรายชื่อ เลือกตั้ง-แต่งตั้ง มีกฎเกณฑ์ไงวะ..จับจ้องร้องตะโกนเฉพาะที่ตัวเองได้ประโยชน์-เสียประโยชน์เท่านั้น! ก็ให้เขาร่างให้เสร็จก่อนซี.....! แล้วเอามาทำประชามติไปซี ระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินมิใช่หรือ ไม่มีใครร่างรัฐธรรมนูญให้ถูกใจคนทุกคนได้ ก็ให้ประชาชน "ชี้ขาด" ซี เสียงส่วนใหญ่เอา...ก็ใช้ ไม่เอา...ก็ฉีก! ง่ายจะตายไป จะมาเป็นโคลนติดตีนแล้วร้อง...ร่างช้า ถ่วงเวลาเพื่อเลื่อนเลือกตั้งอยู่ทำไม ก็ให้เขารีบร่าง รีบเสร็จ จะได้เลือกตั้งอย่างที่กระสันกัน ถึงตอนนั้น มีรัฐบาล รัฐสภาแล้ว ประชาธิปไตยอยู่ในกำมือ แล้วจะกำไว้เฉยๆ ให้มันพองคับมือทำไม....อยากแก้มาตราไหน ก็ใช้ระบบรัฐสภาแก้เอาซี! ที่ควรจะเสนอแนะให้คณะยกร่างฯ เขาคำนึงถึงความเป็นจริงว่าควรมี หรือควรไม่มี น่าจะเป็นประเด็นผู้ช่วย ส.ส.-ส.ว.มากกว่า ด่ากันขรมขณะนี้ เห็นมั้ย...สนช. สปช เอาเมีย เอาน้อง เอาลูก เอาญาติ มากินตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษานั่นน่ะ ความจริง ไม่ใช่มีเฉพาะ สนช.สปช. ตั้งแต่ ส.ส.-ส.ว.มีมาแบบเดียวกัน ทุกยุค-ทุกสมัย
ถามว่า....ถูกต้องไหม ที่ ส.ส. ส.ว. สนช. สปช. เอาลูก-เมีย-ญาติ มาตั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ช่วย กินเงินเดือนหลวง ผมตอบได้เลย.....! ส.ส.ส.ว. สนช. สปช. ที่ทำอย่างนั้น ไม่ผิด แล้วใครผิด...? ฝ่ายออกระเบียบ-ออกกฎหมายรัฐสภานั่นแหละ...ผิด! คือออกกฎหมายที่ "เป็นไปได้ยาก" ทางปฏิบัติ ก็ตะแบงออก ด้วย "แอบจิต" รัฐสภาแต่ละชุดก็ไม่ทบทวนเพื่อแก้ไข เพราะ "ได้ประโยชน์" กันเอง ถามกันตรงๆ ถ้าตัวเราเป็น ส.ส. ส.ว. สนช. สปช. จะเอาคนไม่รู้จัก ไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาทำงานในฐานะผู้ช่วย ที่ปรึกษา และผู้ชำนาญการ ประจำตัวหรือ? ยิ่งระดับคนเป็นขั้น "ผู้ชำนาญการ" ถ้ามีความสามารถระดับนั้น ยังมีเหลือมาคอยอ่านใบปลิว "หางาน" ตามเสาไฟฟ้า แสดงว่า...เหลือเดน?แล้วจะเอามาทำไม? ลักษณะงาน ส.ส. ส.ว. สนช. สปช. มันมีความลับทางเอกสารและเรื่องราวที่ต้องใช้คนที่เรา "ไว้วางใจได้" จำเป็นอยู่เองที่เขาต้องเอาคนใกล้ชิด คนไว้ใจได้มาอยู่ในตำแหน่งนั้น นั่นคือ ลูก-เมีย-ญาติ อย่างที่เห็น ไม่มีใครหรอก จะเอาคนไม่รู้จักมาทำงานที่ต้องใช้ "ความไว้วางใจสูง"
เมื่อกฎระเบียบขัดต่อความเป็นจริงทางปฏิบัติ เปลืองงบประมาณ ได้ประโยชน์ไม่คุ้มเสีย ในกฎระเบียบต่อไปนี้ควรยกเลิกไปเลย ถ้าไม่ยกเลิก คิดว่าจำเป็นต้องมี ก็ควรวางกฎระบียบใหม่ จะแบบไหน เรื่องพวกท่านคิด ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่งั้น...ก็จะถูกครหา นินทา ด่าแคลน อยู่อย่างนี้แหละ! ที่ปรึกษานักการเมือง หม่อมคึกฤทธิ์เปรียบ "เป็นคนเกระโถน" แต่ผมว่า รัฐบาล คสช.โดยพลเอกประยุทธ์ ใครๆ ก็จับมุมตี "เผด็จการ ทำให้เศรษฐกิจทรุด" กระทั่งสหรัฐฯ ยังเล่นบท "หมาป่ากับลูกแกะ"..........."ถึงเอ็งยึดอำนาจไม่ทำให้คนไทยเสียโอกาส แต่การที่เอ็งล้มระบอบทักษิณ มันทำให้ข้าเสียโอกาสโว้ย" ทุกอย่าง "ออกลาย" ชัดหมดแล้ว!
ฉะนั้น นายกฯ ประยุทธ์ไม่ต้องหวั่นไหว อย่าท้อแท้-ถอดใจ ยึด "สุจริต-จริงใจ" เป็นที่ตั้ง กรุยหน้าเดินแล้ว ตรงไหนหว่านเมล็ดพันธุ์พืชได้ ต้องรีบหว่าน เริ่มต้นดีแล้ว เมื่อถึงเวลา มันจะงอกงามเอง แต่นั่นต้องเข้าใจ การลงทุนใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานประเทศ ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่งานเสร็จ แต่อยู่ที่ "ความมั่นใจ" ภาคเอกชนเร่งลงมือ "ตูม..." วันไหน........ความสำเร็จ จาก "ความมั่นใจ"
4 มี.ค.58 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง รองอธิบดี “ดีเอสไอ” และหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดี ยักยอกทรัพย์ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นมูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาท โดยมีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตผู้บริหารสหกรณ์ฯ คลองจั่นกับพวก 8 คน เป็นผู้ต้องหา เปิดเผยว่า พนักงานอัยการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นรายละเอียดของการสั่งจ่ายเช็คเป็นรายฉบับรวม 878 ฉบับซึ่งดีเอสไอตรวจพบเส้นทางการเงินมีการโอนเช็คกว่า 800 ล้านบาท บริจาคให้กับวัดพระธรรมกาย
“ดีเอสไอได้ออกหมายเรียกพระธัมมชโย และกลุ่มพระในวัดพระธรรมกายที่มีรายชื่อปรากฎรับเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน โดยมีการจัดลำดับการเข้าให้ปากคำ เริ่มจากวันที่ 10 มี.ค.นี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังออกหมายเรียกนิติบุคคล บริษัท ห้างร้าน ที่มีชื่อรับเช็คจากสหกรณ์ฯในช่วงปี 52-55 ที่นายศุภชัยเป็นประธานกรรมการบริหารสหกรณ์ฯและเป็นผู้สั่งจ่ายให้ เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอด้วย”
ด้าน พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล หัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดตรวจสอบความเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างสหกรณ์ฯกับวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า ในการเรียกสอบพระธัมมชโย ของพนักงานสอบสวนดีเอสไอชุดเก่า ยังไม่ได้สอบในส่วนที่พระธัมมชโยมีชื่อรับเช็คด้วยตนเอง พระธัมมชโยจึงไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งทนายมาแทน แต่ครั้งนี้ ต้องการสอบในส่วนที่พระธัมมชโยมีชื่อรับเช็คเอง จึงเรียกพระธัมมชโยเข้าให้ปากคำด้วยตนเอง
สำหรับเช็คที่ตรวจสอบพบนายศุภชัย อ้างว่าบริจาคให้วัดพระธรรมกาย มี 15 ฉบับ มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท โดยพนักงานสอบสวนดีเอสไอชุดเดิมสรุปไว้ว่า พระธัมมชโยยอมรับว่ารับเช็ค 13 ฉบับ จากการตรวจสอบพบเช็คบางฉบับมีการสลักหลังและโอนเงินหลักร้อยล้านบาทกลับไปยังบัญชีบุคคลอื่นแทน ทั้งนี้ รายชื่อ กลุ่มพระที่มีชื่อเป็นผู้รับโอนเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ อาทิ พระวิรัช 100 ล้านบาท พระมนตรี 100 ล้านบาท พระครูปลัดวิจารณ์ฯ 119 ล้านบาท
หุ้นส่วนธุรกิจ"อดีตพระธรรมกาย" รวย410ล. แจ้งที่อยู่หอพักนศ.ธรรมศาสตร์
เปิดตัว"พรพิมล คัทธมารถ"หญิงสาว วัย24 ปี หุ้นส่วนธุรกิจ "สถาพร-อดีตพระธรรมกาย" มีเงินเพิ่มทุน-ถือครองหุ้นกว่า 410 ล้าน แจ้งที่อยู่ในหอพักนศ.ธรรมศาสตร์
นอกเหนือจากชื่อของ "นายสมัคร วัฒนาศิรินุกูล" และ "นาง รินนา วัฒนาศิรินุกูล" ซึ่งปรากฎชื่อเป็นเจ้าของเงินสดจำนวนกว่า 1,022 ล้านบาท ที่นำมาใช้ในการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทหลายแห่งร่วมกับนายสถาพร วัฒนาศิรินุกุล อดีตพระวัดพระธรรมกาย
และมีสถานะที่แท้จริงเป็น "บิดา-มารดา" ของ นายสถาพร วัฒนาศิรินุกุล
"นางสาวพรพิมล คัทธมารถ" หนึ่งในกรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัทหลายแห่งในเครือของ "นายสถาพร วัฒนาศิรินุกุล"
ก็มีความน่าสนใจเกี่ยวกับ "สถานะ" ที่แท้จริงเช่นกัน!
หนึ่ง นางสาวพรพิมล คัทธมารถ ปรากฎชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทรวมกับนายสถาพรดังต่อไปนี้
-บริษัท เอส.ดับบลิว.โฮลดิ้งกรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด
นางสาวพรพิมล ปรากฎรายชื่อเข้ามาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทฯ กับ นายสถาพร และเป็นเจ้าของเงินสดจำนวน 10,000,100 บาท ที่นำมาใช้ในการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ (จากทุนจดทะเบียน 5,550 ล้านบาท)
- บริษัท ซันไชน่า รีซอร์ส ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด
นางสาวพรมิล ปรากฎชื่อเป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 1,500,000 หุ้น มูลค่า 150,000,000 บาท
ไม่ใช่แค่ตำรวจ! "จุฬา" โดนด้วย 1.4 พันล.ปล่อยกู้สหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น
กางผลการศึกษาการทำธุรกรรมการเงินฯ “สหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาฯ” ส่อหนี้เงินกู้สูญ 1.4 พันล้าน หลังปล่อยให้ "สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น" พบปัญหาเพียบ ถอนเงินฝากไม่ได้-ผิดนัดชำระหนี้ 4 สัญญา รอศาลล้มละลายวินิจฉัยปมฟื้นฟูกิจการ ก่อนฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายคืน http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/37011-klongjun02.html#.VPreKwlQwm0.twitter
ทำไม “ธรรมกาย” ถึงเป็นภัยต่อ “พุทธศาสนา” มากที่สุด กรณีศึกษาจากการล่มสลายพุทธศาสนาในอินเดีย ท่านศังกราจารย์ เจ้าลัทธิไศวะ อัจฉริยะบุคคลผู้ที่สามารถล้มพุทธศาสนาลงได้ในแดนชมพูทวีป ถ้าเปรียบกับไทยก็คงจะเป็นเหมือนธัมชชโย วัดพระธรรมกาย
https://thaidhammakaya.wordpress.com/2015/02/28/buddhism-india/