●●คนหนุนหลังชายชุดดำ“บิ๊กตู่”รู้หมด ขู่บอกชื่อแล้วจะตกใจ ย้ำถ้าไม่ผิด-ให้กลับมาสู้คดี ตร.หิ้ว4ผู้ต้องหาไปทำแผน ใช้รหัสลับ”พิราบขาว”ถล่ม ดีเอสไอ รู้มานาน-แต่ไม่จับ
ความคืบหน้ากรณีการจับกุม “ชายชุดดำ” กลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุใช้อาวุธสงครามยิงและขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหาร ขณะปฏิบัติการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยถนนตะนาว เขตพระนคร และพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นเหตุให้พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และเจ้าหน้าที่ทหาร รวมทั้งประชาชนเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมากนั้น
เมื่อวันที่12 กันยายน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ศรีวารห์ รังสิหราหมกุล รทท.ผบช.ภ. 1 พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พล.ต.เทพพงศ์ พิทยจันทร์ รองแม่ทัพภาค 1 พ.อ.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานกฎหมายส่วนรักษาความสงบ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ อคฝ.จำนวน 300 นาย
ร่วมกันนำตัวผู้ต้องหา 4 ราย คือนายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี หรืออ้วน อายุ 45 ปี,
นายปรีชา อยู่เย็น หรือไก่เตี้ย อายุ 24 ปี,
นายรณฤทธิ์ สุริชา หรือนะ อายุ 33 ปี
และนายชำนาญ ภาคีฉาย หรือเล็ก อายุ 45 ปี
ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ บริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กทม. โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
▶จุดแรกเปิดฉากถล่มคอกวัว
โดยจุดแรก คือจุดที่ผู้ต้องหาทั้งหมดนำรถตู้พร้อมอาวุธสงครามมาจอดบริเวณทางเข้าหน้าสำนักงานบริพัตร ถนนตะนาว แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งห่างจากวัดมหรรณพาราม ประมาณ 20 เมตร หลังรับมอบอาวุธมาจากคอนโดมิเนียมบ้านริมน้ำ ถนนรามอินทรา หลังจากนั้นผู้ต้องหาทั้ง 3 คน คือนายกิตติศักดิ์ นายปรีชา และนายชำนาญได้นำอาวุธสงครามออกมาก่อเหตุ
โดยนายกิตติศักดิ์ เป็นผู้เปิดฉากยิงอาวุธปืน ชนิด เอ็ม 79 จากนั้นนายปรีชาได้ยิงอาวุธปืนอาก้า เอเค 47 เข้าใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณแยกคอกวัว และนายชำนาญ ได้ใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 ยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน ส่วนนายธรรมรัตน์ สุ่มศรี หรือนายดำ ได้อยู่ร่วมก่อเหตุด้วย โดยใช้อาวุธปืนชนิดเอ็ม 79 ซึ่งหลังเกิดเหตุได้เสียชีวิตลงด้วยโรคประจำตัว ขณะที่ นางปุณิกา ชูศรี หรืออร ยังคงนั่งอยู่ภายในรถตู้ พร้อมกับครอบครองระเบิดเพลิงไว้ สำหรับนายรณฤทธิ์ เป็นผู้ขับขี่รถตู้ที่ใช้ในการก่อเหตุ หลังจากผู้ต้อหาทั้ง 3 ก่อเหตุในจุดแรกผู้ต้องหาทั้งหมดได้พยายามลักลอบนำอาวุธสงครามเข้าไป ภายในถนนราชดำเนิน
▶ใช้รหัส“พิราบขาว”ถล่มราชดำเนิน
จากนั้นเป็นการทำแผนในจุดที่สอง เป็นจุดที่นายกิตติศักดิ์ และนายปรีชา พยายามจะผ่านจุดคัดกรองเข้าไปภายในถนนราชดำเนิน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นพบอาวุธสงคราม ก่อนจะบอกรหัส “พิราบขาว” เมื่อการ์ดได้ยินรหัสดังกล่าวจึงปล่อยให้ทั้งคู่เข้าไป ส่วนนายชำนาญ ได้แอบลักลอบเข้าไปผ่านทางด้านข้างฝั่งซ้ายของแผงกั้นพร้อมกับอาวุธปืน เอ็ม 16 เข้าไปได้สำเร็จ
▶กระหน่ำยิงใส่เต็นท์ทหาร
จุดที่สาม บริเวณถนนตะนาว ฝั่งซอยดำเนินกลางเหนือ ห่างจากถนนข้าวสารประมาณ 10 เมตร โดยนายชำนาญได้เปิดฉากยิงอาวุธปืนเอ็ม 16 เข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำอยู่บนอาคารสำนักงานฉลากกินแบ่ง(อาคารเก่า) จากนั้นนายกิตติศักดิ์ ได้ใช้อาวุธปืนชนิดเอ็ม 79 ยิงใส่เต็นท์เจ้าหน้าที่ทหาร หน้าร้านแกรนด์ จิวเวลรี่ แต่ปืนขัดลำกล้อง ก่อนจะมีเพื่อนซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร ยื่นอาวุธปืนอาก้า เอเค 47 ให้นายกิตติศักดิ์ จึงใช้อาวุธดังกล่าวยิงใส่เจ้าหน้าทหารบริเวณดังกล่าวจนได้รับบาดเจ็บ และนายปรีชายังใช้อาวุธปืนอาก้า เอเค 47 ยิงซ้ำเข้าไปในเต็นท์ทหารจุดเดียวกันกับนายกิตติศักดิ์ ซึ่งบนกำแพงของอาคารโดยรอบยังคงพบร่องรอยของกระสุนอยู่เป็นจำนวนมาก
▶ลดกระจกด่า-ทหารจำหน้าได้
หลังจากนั้นผู้ต้องหาทั้งหมดได้มารวมตัวกันอีกครั้ง ที่จุดจอดรถตู้ ก่อนขับอ้อมไปตามถนนตะนาว เข้าถนนดินสอ ซึ่งได้สวนทางกับรถฮัมวี่ของเจ้าหน้าที่ทหาร บริเวณสะพานวันชาติ ก่อนที่หนึ่งในคนร้ายได้ลดกระจกลงพร้อมด่าทหารว่า “มาทำเหี้ยอะไรกันที่นี่ ทำไมไม่ไปภาคใต้” จากคำพูดดังกล่าวทำให้ทหารสามารถจำหน้าของคนร้ายได้ จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้แยกย้ายหลบหนีกันไปหลายปี ก่อนจะถูกจับกุมได้
▶โยงจับอาวุธที่สมุทรสาคร
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. เผยว่า กลุ่มชายชุดดำกลุ่มนี้ มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่ถนนดินสอ ที่ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือ เสธ.เปา อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์(พล.ร.2 รอ.) ถูกยิงเสียชีวิต และเชื่อมโยงกับกรณีพบอาวุธที่ในพื้นที่กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร โดยมีผู้ร่วมขบวนการมากกว่านี้และจากนี้จะขยายผลออกหมายจับเพิ่มอีก ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกจับได้ในชุดนี้ทั้งหมดจะควบคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญาฝากขัง ในเช้าวันที่ 13 กันยายนนี้ พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ
▶ตอกแดงหลักฐานมัดแน่น-ไม่มีแพะ
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงกรณีกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมายืนยันว่า ไม่เคยมีชายชุดดำร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงว่า ตนไม่ขอตอบโต้ แต่ที่ผ่านมาได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจัยจากศาล เมื่อศาลอนุมัติเราก็ดำเนินการจับกุมและที่ได้นำผู้ต้องหามาแถลงข่าว ผู้ต้องหาก็ได้รับสารภาพและอธิบายพฤติกรรมที่ก่อเหตุต่อหน้าสื่อมวลชน โดยตนจะพยายามติดตามผู้ต้องหาที่เหลือมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ หากเป็นแพะคงไม่มีพยานหลักฐานจนศาลออกมาหมายจับ และการที่ผู้ต้องหาให้การสารภาพต่อหน้าสื่อ เชื่อว่าคงไม่มีแพะ
▶ไม่เคยกลั่นแกล้งใคร-ตั้งใจทำงาน
“ผมทำงานแค่3-4 เดือน สามารถจับกุมคดีต่างๆ ในทุกกรณีไม่ว่าจะฝ่ายไหน หากมีพยานหลักฐานถึง ผมไม่เลือกที่รักมักที่ชัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนายกฯ ได้ให้นโยบายมาตลอดว่าต้องทำงานบนความยุติธรรม ไม่กลั่นแกล้งให้ร้ายป้ายสีใคร และที่ผมจับกุมผู้ต้องหาทุกครั้ง ทุกคนได้รับการอนุมัติหมายจับจากศาลทั้งสิ้น ซึ่งศาลเป็นผู้อยู่เหนือความขัดแย้ง มีความยุติธรรม ดังนั้นการกระทำใดๆ ของผม เชื่อว่ารอบคอบชัดเจน ตรวจสอบได้” พล.อ.สมยศ กล่าว
▶“กริชสุดา” ยังกบดานต่างประเทศ
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงการติดตามตัว น.ส.กริชสุดา คุณะแสน หรือเปิ้ล นักกิจกรรมเสื้อแดง ที่มีส่วนพัวพันกับการก่อเหตุรุนแรงว่า ขณะนี้ยังคงพักอาศัยอยู่ต่างประเทศ ซึ่งจะให้ทางสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการและประสานนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป ส่วนการตรวจสอบประวัตินายกิตติศักดิ์ พบว่ามีหมายจับติดตัวอยู่หลายคดีอีกด้วย
▶“มาร์ค” ระบุคนผิดต้องได้รับโทษ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีการจับกุมชายชุดดำได้นั้น ว่า มีหลายคดีความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ยังค้างอยู่ทั้งหมด ซึ่งก็หวังจะเห็นทุกอย่างเดินหน้าไปตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทุกฝ่ายก็หวังว่าจะได้ข้อยุติ เพื่อให้สังคม ได้รับรู้รับทราบ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และคนที่ทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกลงโทษ รวมทั้งคดีความของตนก็อยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช. ซึ่งทุกคนจะต้องถูกตรวจสอบ ควรได้รับความเป็นธรรม
▶“ถาวร” อ้างชุดดำขอ10ล.แลกเปิดโปง
นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้าการชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงปี 2552 มีกลุ่มชายชุดดำ 4 คนมาพบตน โดยมีเงื่อนไขขอเงินเป็นค่าตอบแทนจำนวนมากหลักสิบล้านบาทในการเปิดโปง แต่ตนไม่มีเงินมากพอจึงไม่สามารถนำกลุ่มคนดังกล่าวมาแสดงต่อสังคมยืนยันได้ และที่ไม่เปิดเผยก่อนหน้านี้เพราะ ได้รับปากลูกผู้ชายกันไว้
▶“บิ๊กตู่” รับมีแผนยกเลิกกฏอัยการศึก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มการยกเลิกกฎอัยการศึกว่า เรามีมาตรการอยู่ ซึ่งก็เห็นใจเข้าใจเรื่องการท่องเที่ยว และกำลังดำเนินการตามกฎหมายว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเราต้องช่วยกันปรามคนที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ เพราะถ้าทำอย่างนี้ก็จะขัดแย้งกันไปตลอด และจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
▶ย้ำมีหลักฐานมัดชายชุดดำ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีการจับกุมชายชุดดำ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า ก็ไปพิสูจน์กันว่า ถ้าไม่ได้ทำผิด ก็มาสู้คดีกันไป ซึ่งก็ได้มีหลักฐานชัดเจน และผู้ต้องหาให้การยอมรับว่าเป็นคนทำเมื่อปี 2553 ด้วย เรื่องนี้ก็ต้องไปว่ากันไม่อยากพูดให้เป็นแรงกดดันใครทั้งสิ้น ใครทำอะไรก็ต้องรับผิด ส่วนจะดูแลกันอย่างไรนั้นเป็นคนละเรื่อง
▶▶ถ้ารู้ใครบงการจะตกใจ-ให้มาสู้คดี
ต่อมา เวลา 20.25น.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวในรายการ”คืนความสุขให้คนในชาติ” ผ่านทางทีวีพูลตอนหนึ่งว่าสำหรับข้อมูลหลายประการที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธสงคราม พฤติกรรมทั้งการยิงเอ็ม79 เอ็ม 16 ขว้างระเบิด ทั้งในปี53 ปี56 และ57 นั้น ตำรวจจับกุมได้หลายคน ขณะนี้กำลังสอบสวน ซึ่งมีความก้าวหน้าไปมากมาย
▶▶“ถ้าผมกล่าวว่ามีใครบ้างที่สนับสนุนทั้งอาวุธ เงินทอง ทุกท่านอาจจะตกใจก็ได้ วันนี้ผมยังไม่พูดให้เป็นเรื่องที่ของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกระบวนการยุติธรรม สอบสวนสืบสวนให้ชัดเจน ให้ความเป็นธรรม เราคงไม่ไปยัดข้อหา หรือไปสร้างพยานเท็จพยานเทียม หลายคนเกี่ยวข้องก็หนีไปต่างประเทศหมด ที่มีรายชื่อต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าท่านคิดว่าท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง ท่านก็กลับมา เพราะจะมีการโยงใยไปถึงหลายๆ ส่วนด้วยกัน ทั้งบุคคล กลุ่ม ผู้ให้การสนับสนุน เตรียมตัวไว้ ถ้าใครคิดว่าไม่ผิด แล้วเมื่อมีพยานหลักฐานพร้อม ท่านสู้คดีไม่ได้ ก็ต้องถูกดำเนินคดีแน่นอน มอบตัวเถอะครับ เผื่อจะได้ความกรุณาจากศาลบ้าง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
▶ดีเอสไอรับทำเป็นคดีพิเศษ
ทางด้าน พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยหลังการประชุมหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้ายที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันการชุมนุมทางการเมืองของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เมื่อปี 53 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งประสานกับตำรวจเพื่อโอนคดีมาให้ดีเอสไอสอบสวนต่อ เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ดีเอสไอรับไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหาคดีครอบครองอาวุธและวัตถุระเบิด หลังรับคดีมาสอบสวนต่อแล้วดีเอสไอพิจารณาพยานหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับคดีอื่นอีกหรือไม่ รวมถึงกรณีการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า โดยย้ำว่าการทำสำนวนต้องสมบูรณ์ที่สุด
▶แฉยุคธาริตรู้มานานแต่ไม่จับ
แหล่งข่าวจากทีมสอบสวนดีเอสไอระบุว่า ผู้ต้องหาชายชุดดำทั้ง 5 คน ปรากฏข้อมูลอยู่ในชั้นสอบสวนของดีเอสไอมาตั้งแต่ต้นมีทั้งภาพใบหน้าผู้ต้องสงสัย ภาพรถตู้ เจ้าของรถตู้ซึ่งเชื่อมโยงกับแกนนำ นปช. รวมถึงภาพตำรวจที่พยายามเข้าไปจับกุมและยึดเครื่องยิงเอ็ม79 จากคนร้าย แต่ที่ผ่านมาไม่มีเจ้าหน้าที่ชุดใดเข้าจับกุม ก่อนหน้านี้เคยขอศาลออกหมายจับชายตามภาพถ่าย โดยผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในขั้นตอนสืบสวนพบเป็นกลุ่มผู้ต้องสงสัยจริง
“แต่ที่ไม่มีการจับกุมเพราะหลังมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) มีแนวทางการสอบสวนว่าไม่มีชายชุดดำ ไม่มีกองกำลังติดอาวุธจึงมีการเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้ายทั้งหมด และให้ไปเร่งรัดการสอบสวนคดีความผิดของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผอ.ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล พนักงานสอบสวนที่ถูกให้ออกจากชุดสอบสวนส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยืนยันข้อมูลว่ามีชายชุดดำอยู่จริง”
DSI อาจผิด ม.157 หรือทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้
พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์เขียน
การก่อเหตุรุนแรงในการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช. เมื่อ10เม.ย.53 เริ่มต้นขึ้นที่บางลำภู เมื่อการ์ดของกลุ่ม นปช.คนหนึ่งซึ่งกำลังผลักดันกับทหารอยู่ ได้ล้วงปืนพกออกมายิงใส่ทหารที่ผลักดันกันอยู่ซึ่งๆหน้าล้มลง 2คนกลางวันแสกๆ หลังจากนั้นอีกไม่นานก็เริ่มต้นใช้อาวุธสงครามทุกชนิดประเคนยิงเข้าไปที่กลุ่มทหาร และประชาชนอย่างต่อเนื่อง จนประชาชนย่านนั้นต้องนำทหารที่บาดเจ็บไปซ่อนตัวไว้ในบ้าน เหตุการณ์รุนแรงดังกล่าวนอกเหนือการประเมินของทหารที่ไม่คิดว่า"คนไทยด้วยกัน"จะทำอะไรแบบนี้ ทหารจึงถอยร่นลงไป 2สาย เข้าสู่วงเวียนบางลำภู และ ถ.ข้าวสาร แค่นั้นไม่พอ การปลุกเร้าบนเวทีทำให้เหตุการณ์ขยายตัวไปถึงพื้นที่หน้า ร.ร.สตรีวิทยา ที่นั้น กลุ่มชายชุดดำอีกชุดหนึ่ง ฮึกเฮิมถึงขั้นใช้อาวุธสงครามนาๆชนิดลอบสังหารนายทหารระดับผู้การกรมจนเสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัสไปถึง 4คน รวมถึงการฆ่าประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง อย่างหนัาตัวเมีย วันที่ 10 เม.ย 53 นั้น มีทหารบาดเจ็บมากมาย กล่าวกันว่า ทหารที่ตายและบาดเจ็บ มีจำนวนพอๆ กับทหารไทยที่ไปรบในสงครามเวียดนามเลยทีเดียว (แตกต่างกันตรงที่ ที่ราชดำเนินทหารไม่สามารถใช้อาวุธโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มประชาชนได้ จึงถูกไล่กระทำเพียงฝ่่ายเดียว)
เหตุการณ์ที่เล่ามานี้ อย่าลืมนะครับว่าเกิดขึ้นกลางถนนราชดำเนิน ท่ามกลางสายตาประชาชนนับหมื่นๆ คน และผู้สื่อข่าวอีกจำนวนมาก แต่ทำไมรัฐบาลถึงหาชายชุดดำไม่ได้มาเป็นเวลานาน จนเกิดข้อถกเถียงกันมากมาย แต่ในข้อเท็จจริงแล้วหาได้ครับ เพราะพยานหลักฐานมีอยู่มากทั้งวัตถุพยาน และพยานบุคคล
หลังจากการสลายการชุมนุมในปี 2553 ทาง DSI. ได้รวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวไว้เป็นเล่ม มากพอที่จะทำให้ อธิบดี DSI. ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า คดีของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นั้น อยู่ในกลุ่มคดีพิเศษที่มีผู้เสียชีวิตเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของกลุ่ม นปช. แต่เมื่อเข้ามาสู่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ การติดตามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผู้เสียชีวิตที่ ถ. ดินสอหน้า ร.ร. สตรีวิทยากลับหายเงียบไป ทั้งคดีของทหาร และของพลเรือน อธิบดี DSI. ได้แถลงความคืบหน้าของคดีนี้ว่า ไม่มีพยานหลักฐานที่จะทราบตัวคนร้ายในคดีนี้ แต่ในทางตรงกันข้าม คดีการเสียชีวิตจากพลเรือนกลับมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ คดีแรกๆเป็นพลเรือนที่ถูกกระสุนปืนความเร็วสูงตายหน้า ร.ร.สตรีวิทย์ 2คน ฝ่ายที่จะเอาผิดทหาร พยายามเชื่อมโยงว่ากระสุนมาจากฝั่งทหาร แต่ก็ไร้ผล เพราะผลการพิสูจน์ทั้งทางการแพทย์ และรูปภาพในคลิ๊ปวิดิโอของคณะกรรมาธิการตรวจสอบฯของ วุฒิสภาฯ กลับยืนยันได้ว่ากระสุนที่ยิงใส่พลเรือน 2คนจนเสียชีวิตนั้นไม่ได้มาจากฝั่งทหาร นอกจากนั้น ประชาชนอีกคนก็ตายจาก "กระสุน" ที่ทางทหารไม่มีใช้ เรื่องการตายของพลเรือนที่หน้า ร.ร. สตรีวิทยา จึงยุติลงไป แต่ไปจับเอาเรื่องของพลเรือนที่ตายย่านราชประสงค์มาเล่นงานทหารแทน
ตลอดเวลานับตั้งแต่ เม.ย.57 คุณ นิชา ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้าฯ พยายามออกมาเรียกร้องขอความยุติธรรมจากรัฐบาล ต่อการเสียชีวิต และ บาดเจ็บของฝ่ายทหารตลอดมา แม้กระทั่งการสวมใส่ชุดดำตลอดเวลา เพื่อเตือนเจ้าหน้าที่รัฐฯให้สนใจต่อปัญหานี้มากขึ้น แต่ไม่มีการตอบรับ ในทางบวกจากรัฐบาล และ DSI. คุณ นิชาฯ จึงมาร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา จึงมีการแต่งตั้งคณอนุกรรมการฯขึ้นมาทำงาน จนเกิดผลการทำงานอย่างดีเยี่ยม ไม่ท้อถอยต่ออิทธิพลใดๆทั้งสิ้น
คณะอนุกรรมาธิการฯ มีการเชิญ จนท. DSI. มาสอบถามมากกว่า 5 ครั้ง จนท. ตำรวจทุกระดับในจำนวนใกล้เคียงกัน สื่อมวลทั้งไทยและต่างประเทศ มากกว่า 20 คน ไม่รวมทั้งพยานที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุอีกนับไม่ถ้วน ผลการสอบสวนและการแถลงการณ์เป็นระยะๆ ส่งผลกระทบต่อ "การพยายามผลักดันคดีให้เข้ามาเป็นความผิดของทหาร" จากหน่วยงานรัฐบาลอย่างเต็มที่ พยานจำนวนหนึ่งจึงยังคงอยู่ไม่สูญหายไปไหน
วันนี้ ตำรวจ ทหาร ได้เริ่มคลี่คลายคดีนี้ออกมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว และจะเริ่มคลี่คลายมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้น ไม่ว่าจะได้ตัวคนที่ปาระเบิดใส่กลุ่มทหารที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทย์หรือไม่ (ผลการพิสูจน์มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าผู้ปาระเบิดเป็นมืออาชีพ) แต่วันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า (1) คนชุดดำนั้นมีอยู่จริง และ (2) ถ้าอธิบดี DSI. ทำงานจริงๆ คนพวกนี้ก็จะมาถึงจุดจบไปนานแล้ว บ้านเมืองก็จะเดินหน้าต่อไปได้ เพราะฐานข่าวที่นำมาขยายผลการจับกุมครั้งนี้ก็นำมาจากของเดิมๆทั้งสิ้น ประเด็นที่เกิดใหม่มีเรื่องเดียวครับ"ทำงานกันจริงจังหรือเปล่าเท่านั้น"
วันนี้ ขอให้กำลังใจแก่ ตำรวจ ทหาร ทำกันต่อไปเถอะครับ เพราะสิ่งที่ท่านทำ กำลังบอกให้ประชาชนรู้ว่า "คนทำดีย่อมจะได้ดีในที่สุด คนทำชั่วก็ต้องรับกรรมไปตามระเบียบ" ไม่มีใครหนีกฏแห่งกรรมได้ครับ และยังทำให้ประเทศไทยพ้นจากความขัดแย้งกันเสียที เมื่อรู้ตัวคนทำผิดแน่นอน
แล้ว
สุดท้าย ขอปรบมือให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯวุฒิสภา ชึ่งต่อสู้กับการคุกคามมาได้ตลอดระยะเวลาทำงานเกือบ 3 ปี จนมีประธานตกทอดกันมา 3 คน(นาย สมชาย แสวงการ,นาย ตวง อันทะไชย และ นาย วันชัย สอนสิริ) ส่วนคณะอนุกรรมาธิการ ทั้ง 3 ปี ตามรายชื่อข้างล่างครับ
คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงและติดตามความคืบหน้าทางคดีของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง
๑. นาย สมชาย แสวงการ -ประธานคณะอนุกรรมการ
๒. ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิรัติ พาณิชย์พงษ์ -รองประธานคณะอนุกรรมการ
๓. พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ -อนุกรรมการ
๔. พลตำรวจโท อัมพร จารุจินดา -อนุกรรมการ
๕. พลอากาศตรี นายแพทย์วิชาญ เปี้ยวนิ่ม -อนุกรรมการ
๖. นาย ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ -อนุกรรมการ
๗. พลตำรวจโท สมคิด บุญถนอม -อนุกรรมการ
๘. นาย ถวิล เปลี่ยนศรี -อนุกรรมการ
๙. นายสุชาติ ชมกุล -อนุกรรมการ
๑๐. นาย ชัยวัฒน์ สุรวิชัย -อนุกรรมการ
๑๑. นาย ธานี อ่อนละเอียด -ที่ปรึกษาอนุกรรมการ
๑๒. นาย ประสาร มฤคพิทักษ์ -ที่ปรึกษาอนุกรรมการ
๑๓. พลตำรวจตรี อำนวย นิ่มมะโน -ที่ปรึกษาอนุกรรมการ
๑๔. นาย อภิรัฐ ทัศนา -ที่ปรึกษาอนุกรรมการ