GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

ขอพึ่งพระบารมีแก้วิกฤติประเทศเหมือนอดีต !!!!! ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

 













ธ ประสงค์ใด
จงสฤษดิ์ดัง
หวังวรหฤทัย
ดุจจะถวายชัย ชโย...

❀ ท ร ง พ ร ะ เ จ ริ ญ ยิ่ ง ยื น น า น ❀
ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ ตลอดกาล ตลอดไป เป็นมิ่งขวัญให้ปวงชนชาวไทย ตราบนานเท่านาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ




ครั้งหนึ่งท่านสุเมธกำลังทำงานอยู่ในสภาพที่จิตใจย่ำแย่มาก ไม่มีกำลังใจทำอะไร ท้อแท้กับงานมาก ไม่มีใครเข้าใจ เหมือนทำดีแต่ไม่ดี
ในหลวงท่านเสด็จมาพอดี
พระองค์ทรงตั้งคำถาม และรับสั่งว่า

ท่านสุเมธเคยขายเศษเหล็กไหม เศษเหล็กเหล่านั้น เวลาขายคุณค่ามันต่ำมาก คงได้เงินไม่กี่บาท แล้วถ้าเราเอาเศษเหล็กเหล่านั้นมาหลอมรวมกันเป็นแท่ง เวลาหลอมนี่เหล็กมันคงร้อนมาก พอหลอมเสร็จเรานำมาทำเป็นดาบ คงต้องนำมาตีให้แบนอ...ีก เวลาตีต้องเอาไปเผาด้วย ตีไปเผาไป อยู่หลายรอบกว่าจะเป็นรูปดาบอย่างที่เราต้องการ ต้องผ่านความเจ็บปวด ความร้อนอยู่นาน

แถมเมื่อเสร็จแล้ว ถ้าจะให้สวยงามดังใจ ก็ต้องนำไปแกะสลักลวดลาย ก็ต้องใช้ของมีคมมาตีให้เป็นลวดลายอีก แต่เมื่อเสร็จเป็นดาบที่งดงาม ก็จะมีคุณค่าที่สูงมาก เทียบกับเศษเหล็กคงจะต่างกันลิบลับ จะเห็นได้ว่ากว่าที่เศษเหล็กมีคุณค่าไม่มากนัก จะกลายเป็นดาบที่งดงามนั้น ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทั้งความเจ็บปวดต่างๆกว่าจะประสบความสำเร็จ

ดังนั้น ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า “ใครไม่เคยถูกตี ถูกทุบ เจอเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาเลยนั้น จงอย่าได้หาญคิดทำการใหญ่”

**พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว**
เพื่อเป็นข้อคิดในการทำงานนะครับ ^^

... ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ...


 
ขอพึ่งพระบารมีแก้วิกฤติประเทศเหมือนอดีต !!!!!
คมชัดลึกออนไลน์

ขอพึ่งพระบารมีแก้วิกฤติประเทศเหมือนอดีต คณะรัฐบุคคลวอน 'ป๋าเปรม' ดึง 'ศาล-ทหาร-ผู้นำสังคม'ร่วมเสนอร่างพระบรมราชโองการ ไม่ต้องรอเกิดสุญญากาศไร้นายกฯ
 
ขอพึ่งพระบารมีแก้วิกฤติประเทศเหมือนอดีต  !!!!!  
คมชัดลึกออนไลน์

ขอพึ่งพระบารมีแก้วิกฤติประเทศเหมือนอดีต คณะรัฐบุคคลวอน 'ป๋าเปรม' ดึง 'ศาล-ทหาร-ผู้นำสังคม'ร่วมเสนอร่างพระบรมราชโองการ ไม่ต้องรอเกิดสุญญากาศไร้นายกฯ
               เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 14 เม.ย.2557 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์คณะรัฐบุคคล นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ พล.อ.อ.เทิดศักดิ์ สัจจะรักษะ อดีตรอง ผบ.ทอ. และ ร.อ.ปราศรัย ทรงสุรเวทย์ อดีตผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรื่อง “ทางออกประเทศไทย เมื่อยิ่งลักษณ์หมดความชอบธรรมในการปกครองประเทศทั้งทางด้านนิตินัยและพฤตินัย”
               
พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า จากวิกฤติทางการเมืองขณะนี้กลุ่มรัฐบุคคลได้ย้อนดูประวัติศาสตร์และอำนาจหน้าที่ของส่วนต่างๆ ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา พฤษภาทมิฬ ประเทศเราต่างผ่านวิกฤติมาได้ด้วยพระบารมีของประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้น วิกฤติทางการเมืองในครั้งนี้ ก็เห็นว่าด้วยพระบารมีจะทำให้ประเทศไทยผ่านไปได้ แต่เนื่องจากพระองค์ท่านไม่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้
              
 คณะรัฐบุคคลเห็นว่าโครงสร้างของเรายังมีตำแหน่งรัฐบุรุษอยู่ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งที่มีเกียรติศักดิ์ศรี แต่มีหน้าที่ที่รับสนองพระบรมราชโองการ โดยรัฐบุรุษในประเทศไทยขณะนี้ก็มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่จะทำหน้าที่ได้ ในการรับสนองพระบรมราชโองการและพยายามที่จะร่างพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯเสนอเมื่อเกิดเหตุการณ์บ้านเมืองยุ่งเหยิง

 ดังนั้นคณะรัฐบุคคลจึงอยากเสนอให้รัฐบุรุษทำหน้าที่พูดคุยกับองค์กรต่างๆที่เป็นหลักของบ้านเมืองทั้งตุลาการและทหาร และผู้นำทางสังคม เพื่อร่างพระบรมราชโองการนำขึ้นทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เพื่อให้ลงปรมาภิไธย แต่กรณีดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับการเสนอใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 7
               
"เราเชื่อว่า เมื่อมีพระบรมราชโองการออกมาแล้วสังคมไทยจะยอมรับเหมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ขณะที่หน้าที่ของเราเป็นเพียงการเสนอแนวทางว่าใครมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง ส่วนเนื้อหาร่างพระบรมราชโองการเป็นเรื่องที่ผู้มีหน้าที่ต้องเป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบ" พล.อ.สายหยุด กล่าว 

               เมื่อถามว่า ได้มีการนำข้อเสนอนี้แจ้งไปยังพล.อ.เปรมรับทราบและมีการตอบกลับแล้วหรือไม่ พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า คณะรัฐบุคคลได้มอบหมายให้นายปราโมทย์เป็นผู้ประสานไปซึ่งได้มีการส่งไปทั้งในรูปแบบของจดหมายและบทความไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับการตอบรับมา ซึ่งการแถลงข่าวครั้งนี้เราต้องการให้ทุกฝ่ายรวมถึงสื่อมวลชนเข้าใจเนื้อหาดังกล่าว หากสื่อมวลชนเห็นด้วยก็จะได้ช่วยกันเรียกร้องดำเนินการแนวทางดังกล่าว 

ขณะที่เราเห็นว่าแนวทางดังกล่าวสามารถดำเนินการได้เลยในขณะนี้เพราะเราเห็นว่าประเทศมีปัญหามากแล้ว ไม่ต้องรอให้เข้าสู่สภาวะสุญญากาศ เพราะสถานการณ์ไปถึงขนาดฝ่าย กปปส. สามารถปฏิรูปแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งก็คงจะออกมาต่อต้านใหม่แล้วดำเนินการเหมือนกปปส.ในขณะนี้ สุดท้ายสถานการณ์ก็ยังจะไม่ยุติลง  
               
ด้านนายปราโมทย์ กล่าวยืนยันว่าข้อเสนอนี้ไม่ได้เป็นการบีบคั้นแล้วทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเหมือนที่หลายฝ่ายโจมตี ว่าเราเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่พูดจาเลอะเทอะ โดยแนวทางของกลุ่มได้มีการศึกษาและย้อนดูประวัติศาสตร์แล้ว และเราในฐานะประชาชนก็มีสิทธิและหน้าที่ในการตรวจสอบให้ทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตน
               
ขณะที่นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดี คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ได้มาร่วมงานแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วยกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่าจะเป็นข้อเสนอที่เหมาะสมตามหลักรัฐศาสตร์ด้วยหรือไม่ ว่าแนวทางเรื่องของรัฐบุรุษดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในหลายแนวทางที่สังคมพยายามหาทางออก แต่ก็คงมีประเด็นสำคัญในเรื่องช่วงเวลาว่าต้องรอให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่ 

โดยคณะรัฐบุคคล มองว่าไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดสุญญากาศ แต่อีกมุมมองหนึ่งอาจมองว่าต้องให้มีสุญญากาศซึ่งจะเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 7 ซึ่งจะให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้เสนอและรับสนองพระบรมราชโองการ ขณะที่ตนคิดว่าในแง่ของคนไทยต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าจะแก้ปัญหาและวิกฤติที่เกิดขึ้นขณะนี้ ความหลากหลายทางความคิดจึงเกิดขึ้นบนพื้นฐานที่อยากให้วิกฤติของชาติยุติลงและหาทางออกได้ ดังนั้นแนวทางใดถึงเส้นชัยก่อนตนก็คิดว่าเป็นความพยายามของสังคมในการที่จะหาทางออก   
               
นายบรรเจิด ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคง ( สมช.)  ด้วยว่า กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความแตกต่างกับกรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกร้องให้สิ้นสุดสถานภาพ ส.ส. กรณีการหนีการเกณฑ์ทหาร เพราะเมื่อยุบสภา นายอภิสิทธิ์ก็สิ้นสุดจากการเป็น ส.ส. ไปโดยปริยาย แต่กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอยู่ 

โดยรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 182 บัญญัติว่าความเป็นรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวด้วยเหตุ การตาย ลาออก ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และขาดคุณสมบัตรหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 174 เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่พ้นสภาพการเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตราดังกล่าว 

ประเด็นที่มีการกล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยได้ แต่ถ้าระหว่างนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลาออกแล้วฐานะความเป็นรัฐมนตรีย่อมสิ้นสุดลงเฉพาะตัว แล้วจะทำให้วัตถุแห่งคดีที่ศาลจะทำการวินิจฉัยหมดไป ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีก และถ้านายกรัฐมนตรีพ้นจากสภาพแล้วส่วนตัวก็มองว่าในทางปฏิบัติและหลักรัฐศาสตร์ คณะรัฐมนตรีก็ไม่น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป แต่อาจกรณีนี้อาจมีการตีความอย่างหลากหลาย
             
 ทั้งนี้คณะรัฐบุคคลประกอบด้วย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ พล.อ.อ.เทิดศักดิ์ สัจจะรักษะ อดีตรอง ผบ.ทอ. ร.อ.ปราศรัย ทรงสุรเวทย์ อดีตผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีต ผบ.ทบ. พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ อดีต ผบ.ทอ. พล.ร.อ.วิเชษฐ การุณยวนิช อดีต ผบ.ทร. พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ อดีตเสนาธิการทหารเรือ นายสุรพงษ์ ชัยนาม เอกอัครราชทูต ณ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกศ นายอมร จันทรสมบูรณ์ อ.นิด้า ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช  ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย นายชินชัย มหาแสน อดีตข้าราชการคมนาคม ศ.ดร.อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ อาจารย์ภาษาอังกฤษจาก ม.รามคำแหง

                เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 14 เม.ย.2557 ที่โรงแรมมิร...าเคิล แกรนด์คณะรัฐบุคคล นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ พล.อ.อ.เทิดศักดิ์ สัจจะรักษะ อดีตรอง ผบ.ทอ. และ ร.อ.ปราศรัย ทรงสุรเวทย์ อดีตผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรื่อง “ทางออกประเทศไทย เมื่อยิ่งลักษณ์หมดความชอบธรรมในการปกครองประเทศทั้งทางด้านนิตินัยและพฤตินัย”

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า จากวิกฤติทางการเมืองขณะนี้กลุ่มรัฐบุคคลได้ย้อนดูประวัติศาสตร์และอำนาจหน้าที่ของส่วนต่างๆ ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา พฤษภาทมิฬ ประเทศเราต่างผ่านวิกฤติมาได้ด้วยพระบารมีของประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้น วิกฤติทางการเมืองในครั้งนี้ ก็เห็นว่าด้วยพระบารมีจะทำให้ประเทศไทยผ่านไปได้ แต่เนื่องจากพระองค์ท่านไม่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้

คณะรัฐบุคคลเห็นว่าโครงสร้างของเรายังมีตำแหน่งรัฐบุรุษอยู่ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งที่มีเกียรติศักดิ์ศรี แต่มีหน้าที่ที่รับสนองพระบรมราชโองการ โดยรัฐบุรุษในประเทศไทยขณะนี้ก็มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่จะทำหน้าที่ได้ ในการรับสนองพระบรมราชโองการและพยายามที่จะร่างพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯเสนอเมื่อเกิดเหตุการณ์บ้านเมืองยุ่งเหยิง

ดังนั้นคณะรัฐบุคคลจึงอยากเสนอให้รัฐบุรุษทำหน้าที่พูดคุยกับองค์กรต่างๆที่เป็นหลักของบ้านเมืองทั้งตุลาการและทหาร และผู้นำทางสังคม เพื่อร่างพระบรมราชโองการนำขึ้นทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ลงปรมาภิไธย แต่กรณีดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับการเสนอใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 7

"เราเชื่อว่า เมื่อมีพระบรมราชโองการออกมาแล้วสังคมไทยจะยอมรับเหมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ขณะที่หน้าที่ของเราเป็นเพียงการเสนอแนวทางว่าใครมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง ส่วนเนื้อหาร่างพระบรมราชโองการเป็นเรื่องที่ผู้มีหน้าที่ต้องเป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบ" พล.อ.สายหยุด กล่าว

เมื่อถามว่า ได้มีการนำข้อเสนอนี้แจ้งไปยังพล.อ.เปรมรับทราบและมีการตอบกลับแล้วหรือไม่ พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า คณะรัฐบุคคลได้มอบหมายให้นายปราโมทย์เป็นผู้ประสานไปซึ่งได้มีการส่งไปทั้งในรูปแบบของจดหมายและบทความไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับการตอบรับมา ซึ่งการแถลงข่าวครั้งนี้เราต้องการให้ทุกฝ่ายรวมถึงสื่อมวลชนเข้าใจเนื้อหาดังกล่าว หากสื่อมวลชนเห็นด้วยก็จะได้ช่วยกันเรียกร้องดำเนินการแนวทางดังกล่าว

ขณะที่เราเห็นว่าแนวทางดังกล่าวสามารถดำเนินการได้เลยในขณะนี้เพราะเราเห็นว่าประเทศมีปัญหามากแล้ว ไม่ต้องรอให้เข้าสู่สภาวะสุญญากาศ เพราะสถานการณ์ไปถึงขนาดฝ่าย กปปส. สามารถปฏิรูปแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งก็คงจะออกมาต่อต้านใหม่แล้วดำเนินการเหมือนกปปส.ในขณะนี้ สุดท้ายสถานการณ์ก็ยังจะไม่ยุติลง

ด้านนายปราโมทย์ กล่าวยืนยันว่าข้อเสนอนี้ไม่ได้เป็นการบีบคั้นแล้วทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเหมือนที่หลายฝ่ายโจมตี ว่าเราเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่พูดจาเลอะเทอะ โดยแนวทางของกลุ่มได้มีการศึกษาและย้อนดูประวัติศาสตร์แล้ว และเราในฐานะประชาชนก็มีสิทธิและหน้าที่ในการตรวจสอบให้ทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตน

ขณะที่นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดี คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ได้มาร่วมงานแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วยกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่าจะเป็นข้อเสนอที่เหมาะสมตามหลักรัฐศาสตร์ด้วยหรือไม่ ว่าแนวทางเรื่องของรัฐบุรุษดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในหลายแนวทางที่สังคมพยายามหาทางออก แต่ก็คงมีประเด็นสำคัญในเรื่องช่วงเวลาว่าต้องรอให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่

โดยคณะรัฐบุคคล มองว่าไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดสุญญากาศ แต่อีกมุมมองหนึ่งอาจมองว่าต้องให้มีสุญญากาศซึ่งจะเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 7 ซึ่งจะให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้เสนอและรับสนองพระบรมราชโองการ ขณะที่ตนคิดว่าในแง่ของคนไทยต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าจะแก้ปัญหาและวิกฤติที่เกิดขึ้นขณะนี้ ความหลากหลายทางความคิดจึงเกิดขึ้นบนพื้นฐานที่อยากให้วิกฤติของชาติยุติลงและหาทางออกได้ ดังนั้นแนวทางใดถึงเส้นชัยก่อนตนก็คิดว่าเป็นความพยายามของสังคมในการที่จะหาทางออก

นายบรรเจิด ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคง ( สมช.) ด้วยว่า กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความแตกต่างกับกรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกร้องให้สิ้นสุดสถานภาพ ส.ส. กรณีการหนีการเกณฑ์ทหาร เพราะเมื่อยุบสภา นายอภิสิทธิ์ก็สิ้นสุดจากการเป็น ส.ส. ไปโดยปริยาย แต่กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอยู่

โดยรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 182 บัญญัติว่าความเป็นรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวด้วยเหตุ การตาย ลาออก ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และขาดคุณสมบัตรหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 174 เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่พ้นสภาพการเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตราดังกล่าว

ประเด็นที่มีการกล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยได้ แต่ถ้าระหว่างนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลาออกแล้วฐานะความเป็นรัฐมนตรีย่อมสิ้นสุดลงเฉพาะตัว แล้วจะทำให้วัตถุแห่งคดีที่ศาลจะทำการวินิจฉัยหมดไป ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีก และถ้านายกรัฐมนตรีพ้นจากสภาพแล้วส่วนตัวก็มองว่าในทางปฏิบัติและหลักรัฐศาสตร์ คณะรัฐมนตรีก็ไม่น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป แต่อาจกรณีนี้อาจมีการตีความอย่างหลากหลาย

ทั้งนี้คณะรัฐบุคคลประกอบด้วย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ พล.อ.อ.เทิดศักดิ์ สัจจะรักษะ อดีตรอง ผบ.ทอ. ร.อ.ปราศรัย ทรงสุรเวทย์ อดีตผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีต ผบ.ทบ. พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์ อดีต ผบ.ทอ. พล.ร.อ.วิเชษฐ การุณยวนิช อดีต ผบ.ทร. พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ อดีตเสนาธิการทหารเรือ นายสุรพงษ์ ชัยนาม เอกอัครราชทูต ณ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกศ นายอมร จันทรสมบูรณ์ อ.นิด้า ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย นายชินชัย มหาแสน อดีตข้าราชการคมนาคม ศ.ดร.อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ อาจารย์ภาษาอังกฤษจาก ม.รามคำแหง
 
“พล.อ.สายหยุด-คณะรัฐบุคคล” ชง “ป๋าเปรม” ทำหน้าที่รัฐบุรุษนำทูลนายกฯม.7 !!!!! เดลินิวส์ออนไลน์

“พล.อ.สายหยุด-คณะรัฐบุคคล” ชง “ป๋าเปรม” ทำหน้าที่รัฐบุรุษ เรียก “ศาล-ทหาร-ผู้นำสังคม” เสนอร่างพระบรมราชโองการ หาทางออกประเทศ ลั่น ไม่ต้องรอสุญญากาศ ทำเลยตอนนี้

เมื่อวันที่14 เม.ย. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นคณะรัฐบุคคล นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ พล.อ.อ.เทิดศักดิ์ สัจจะรักษะอดีตรอง ผบ.ทอ. และ ร.อ.ปราศรัย ทรงสุรเวทย์ อดีตผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรื่อง “ทางออกประเทศไทยเมื่อยิ่งลักษณ์หมดความชอบธรรมในการปกครองประเทศทั้งทางด้านนิตินัยและพฤตินัย ”

โดยพล.อ.สายหยุด กล่าวว่า จากวิกฤติทางการเมืองขณะนี้ กลุ่มรัฐบุคคลได้ย้อนดูประวัติศาสตร์และอำนาจหน้าที่ของส่วนต่าง ๆตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา พฤษภาทมิฬประเทศเราต่างผ่านวิกฤติมาได้ด้วยพระบารมีของประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นวิกฤติทางการเมืองในครั้งนี้ก็เห็นว่า พระบารมีจะทำให้ประเทศไทยผ่านไปได้แต่เนื่องจากพระองค์ท่านไม่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ ซึ่งคณะรัฐบุคคลเห็นว่าโครงสร้างของประเทศไทยยังมีตำแหน่งรัฐบุรุษอยู่และตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งที่มีเกียรติศักดิ์ศรี แต่มีหน้าที่ที่รับสนองพระบรมราชโองการโดยรัฐบุรุษในประเทศไทยขณะนี้ก็มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่จะทำหน้าที่ได้ ในการรับสนองพระบรมราชโองการและพยายามที่จะร่างพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯ  เสนอเมื่อเกิดเหตุการณ์บ้านเมืองยุ่งเหยิงดังนั้นคณะรัฐบุคคล จึงเสนอให้ รัฐบุรุษทำหน้าที่พูดคุยกับองค์กรต่าง ๆ ที่เป็นหลักของบ้านเมืองทั้งตุลาการและทหารและผู้นำทางสังคม เพื่อร่างพระบรมราชโองการ เสนอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เพื่อให้ลงปรมาภิไธยแต่กรณีดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับการเสนอใช้พระราชอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 7 โดยเราเชื่อว่า เมื่อมีพระบรมราชโองการออกมาแล้วสังคมไทยจะยอมรับเหมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาขณะที่หน้าที่ของเราเป็นเพียงการเสนอแนวทางว่าใครมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง ส่วนเนื้อหาร่างพระบรมราชโองการเป็นเรื่องที่ผู้มีหน้าที่ต้องเป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบ 
เมื่อถามว่าได้มีการนำข้อเสนอนี้แจ้งไปยัง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ รับทราบและมีการตอบกลับแล้วหรือไม่

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า คณะรัฐบุคคล ได้มอบหมายให้นายปราโมทย์ เป็นผู้ประสานไปซึ่งได้มีการส่งไปทั้งในรูปแบบของจดหมายและบทความไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับการตอบรับมา การแถลงข่าวครั้งนี้เราต้องการให้ทุกฝ่าย รวมถึงสื่อมวลชนเข้าใจเนื้อหาดังกล่าวหากสื่อมวลชนเห็นด้วยก็จะได้ช่วยกันเรียกร้องดำเนินการแนวทางดังกล่าว 

ขณะที่เราเห็นว่าแนวทางดังกล่าวสามารถดำเนินการได้เลยในขณะนี้เพราะเห็นว่าประเทศมีปัญหามากแล้วไม่ต้องรอให้เข้าสู่สภาวะสุญญากาศ เพราะหากฝ่าย กปปส. สามารถปฏิรูปแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ได้อีกฝ่ายหนึ่งก็คงจะออกมาต่อต้านใหม่แล้วดำเนินการเหมือนกปปส.ในขณะนี้สุดท้ายสถานการณ์ก็ยังจะไม่ยุติลง  

ด้านนายปราโมทย์กล่าวยืนยันว่า  ข้อเสนอนี้ไม่ได้เป็นการบีบคั้นแล้วทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเหมือนที่หลายฝ่ายโจมตีว่าเราเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่พูดจาเลอะเทอะโดยแนวทางของกลุ่มได้มีการศึกษาและย้อนดูประวัติศาสตร์แล้วและเราในฐานะประชาชนก็มีสิทธิและหน้าที่ในการตรวจสอบให้ทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตน

ขณะที่นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ที่ได้มาร่วมงานแถลงข่าวในครั้งนี้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่าจะเป็นข้อเสนอที่เหมาะสมตามหลักรัฐศาสตร์ด้วยหรือไม่ว่า  แนวทางเรื่องของรัฐบุรุษดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในหลายแนวทางที่สังคมพยายามหาทางออกแต่ก็คงมีประเด็นสำคัญในเรื่องช่วงเวลาว่าต้องรอให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่โดยคณะรัฐบุคคล มองว่า ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดสุญญากาศ 

แต่อีกมุมมองหนึ่งอาจมองว่าต้องให้มีสุญญากาศซึ่งจะเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 7 ซึ่งจะให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้เสนอและรับสนองพระบรมราชโองการขณะที่ตนคิดว่าในแง่ของคนไทยต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าจะแก้ปัญหาและวิกฤติที่เกิดขึ้นขณะนี้มีความหลากหลายทางความคิดบนพื้นฐานที่อยากให้วิกฤติของชาติยุติลงและหาทางออกดังนั้นแนวทางใดถึงเส้นชัยก่อนตนก็คิดว่า  เป็นความพยายามของสังคมในการที่จะหาทางออก  

นายบรรเจิดยังได้กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี กรณีการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคง( สมช.)  ด้วยว่า กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความแตกต่างกับกรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกร้องให้สิ้นสุดสถานภาพส.ส. กรณีการหนีการเกณฑ์ทหาร เพราะเมื่อยุบสภา นายอภิสิทธิ์ ก็สิ้นสุดจากการเป็นส.ส. ไปโดยปริยาย 

แต่กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอยู่โดยรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 182 บัญญัติว่าความเป็นรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวด้วยเหตุการตาย ลาออก ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และขาดคุณสมบัตรหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 174 

เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่พ้นสภาพการเป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตราดังกล่าว ประเด็นที่มีการกล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยได้แต่ถ้าระหว่างนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลาออกแล้วฐานะความเป็นรัฐมนตรีย่อมสิ้นสุดลงเฉพาะตัวแล้วจะทำให้วัตถุแห่งคดีที่ศาลจะทำการวินิจฉัยหมดไป ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกและถ้านายกรัฐมนตรีพ้นจากสภาพแล้วส่วนตัวก็มองว่าในทางปฏิบัติและหลักรัฐศาสตร์ คณะรัฐมนตรีก็ไม่น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไปแต่อาจกรณีนี้อาจมีการตีความอย่างหลากหลาย.

“พล.อ.สายหยุด-คณะรัฐบุคคล” ชง “ป๋าเปรม” ทำหน้าที่รัฐบุรุษนำทูลนายกฯม.7 !!!!! เดลินิวส์ออนไลน์

“พล.อ.สายหยุด-คณะรัฐบุคคล” ชง “ป๋าเปรม” ทำหน้าที่รัฐบุรุษ เรียก “ศาล-ทหาร-ผู้นำสังคม” เสนอร่างพระบรมราชโองการ หาทางออกประเทศ ลั่น ไม่ต้องรอสุญญากาศ ทำเลยตอนนี้

เมื่อวันที่14 เม.ย. ที่โ...รงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นคณะรัฐบุคคล นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ พล.อ.อ.เทิดศักดิ์ สัจจะรักษะอดีตรอง ผบ.ทอ. และ ร.อ.ปราศรัย ทรงสุรเวทย์ อดีตผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรื่อง “ทางออกประเทศไทยเมื่อยิ่งลักษณ์หมดความชอบธรรมในการปกครองประเทศทั้งทางด้านนิตินัยและพฤตินัย ”

โดยพล.อ.สายหยุด กล่าวว่า จากวิกฤติทางการเมืองขณะนี้ กลุ่มรัฐบุคคลได้ย้อนดูประวัติศาสตร์และอำนาจหน้าที่ของส่วนต่าง ๆตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา พฤษภาทมิฬประเทศเราต่างผ่านวิกฤติมาได้ด้วยพระบารมีของประบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นวิกฤติทางการเมืองในครั้งนี้ก็เห็นว่า พระบารมีจะทำให้ประเทศไทยผ่านไปได้แต่เนื่องจากพระองค์ท่านไม่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ ซึ่งคณะรัฐบุคคลเห็นว่าโครงสร้างของประเทศไทยยังมีตำแหน่งรัฐบุรุษอยู่และตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งที่มีเกียรติศักดิ์ศรี แต่มีหน้าที่ที่รับสนองพระบรมราชโองการโดยรัฐบุรุษในประเทศไทยขณะนี้ก็มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่จะทำหน้าที่ได้ ในการรับสนองพระบรมราชโองการและพยายามที่จะร่างพระบรมราชโองการขึ้นทูลเกล้าฯ เสนอเมื่อเกิดเหตุการณ์บ้านเมืองยุ่งเหยิงดังนั้นคณะรัฐบุคคล จึงเสนอให้ รัฐบุรุษทำหน้าที่พูดคุยกับองค์กรต่าง ๆ ที่เป็นหลักของบ้านเมืองทั้งตุลาการและทหารและผู้นำทางสังคม เพื่อร่างพระบรมราชโองการ เสนอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เพื่อให้ลงปรมาภิไธยแต่กรณีดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับการเสนอใช้พระราชอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 7 โดยเราเชื่อว่า เมื่อมีพระบรมราชโองการออกมาแล้วสังคมไทยจะยอมรับเหมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาขณะที่หน้าที่ของเราเป็นเพียงการเสนอแนวทางว่าใครมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง ส่วนเนื้อหาร่างพระบรมราชโองการเป็นเรื่องที่ผู้มีหน้าที่ต้องเป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบ
เมื่อถามว่าได้มีการนำข้อเสนอนี้แจ้งไปยัง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ รับทราบและมีการตอบกลับแล้วหรือไม่

พล.อ.สายหยุด กล่าวว่า คณะรัฐบุคคล ได้มอบหมายให้นายปราโมทย์ เป็นผู้ประสานไปซึ่งได้มีการส่งไปทั้งในรูปแบบของจดหมายและบทความไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับการตอบรับมา การแถลงข่าวครั้งนี้เราต้องการให้ทุกฝ่าย รวมถึงสื่อมวลชนเข้าใจเนื้อหาดังกล่าวหากสื่อมวลชนเห็นด้วยก็จะได้ช่วยกันเรียกร้องดำเนินการแนวทางดังกล่าว

ขณะที่เราเห็นว่าแนวทางดังกล่าวสามารถดำเนินการได้เลยในขณะนี้เพราะเห็นว่าประเทศมีปัญหามากแล้วไม่ต้องรอให้เข้าสู่สภาวะสุญญากาศ เพราะหากฝ่าย กปปส. สามารถปฏิรูปแล้วตั้งรัฐบาลใหม่ได้อีกฝ่ายหนึ่งก็คงจะออกมาต่อต้านใหม่แล้วดำเนินการเหมือนกปปส.ในขณะนี้สุดท้ายสถานการณ์ก็ยังจะไม่ยุติลง

ด้านนายปราโมทย์กล่าวยืนยันว่า ข้อเสนอนี้ไม่ได้เป็นการบีบคั้นแล้วทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเหมือนที่หลายฝ่ายโจมตีว่าเราเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่พูดจาเลอะเทอะโดยแนวทางของกลุ่มได้มีการศึกษาและย้อนดูประวัติศาสตร์แล้วและเราในฐานะประชาชนก็มีสิทธิและหน้าที่ในการตรวจสอบให้ทุกฝ่ายได้ทำหน้าที่ของตน

ขณะที่นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ที่ได้มาร่วมงานแถลงข่าวในครั้งนี้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่าจะเป็นข้อเสนอที่เหมาะสมตามหลักรัฐศาสตร์ด้วยหรือไม่ว่า แนวทางเรื่องของรัฐบุรุษดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในหลายแนวทางที่สังคมพยายามหาทางออกแต่ก็คงมีประเด็นสำคัญในเรื่องช่วงเวลาว่าต้องรอให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่โดยคณะรัฐบุคคล มองว่า ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดสุญญากาศ

แต่อีกมุมมองหนึ่งอาจมองว่าต้องให้มีสุญญากาศซึ่งจะเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 7 ซึ่งจะให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้เสนอและรับสนองพระบรมราชโองการขณะที่ตนคิดว่าในแง่ของคนไทยต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าจะแก้ปัญหาและวิกฤติที่เกิดขึ้นขณะนี้มีความหลากหลายทางความคิดบนพื้นฐานที่อยากให้วิกฤติของชาติยุติลงและหาทางออกดังนั้นแนวทางใดถึงเส้นชัยก่อนตนก็คิดว่า เป็นความพยายามของสังคมในการที่จะหาทางออก

นายบรรเจิดยังได้กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี กรณีการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคง( สมช.) ด้วยว่า กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความแตกต่างกับกรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกร้องให้สิ้นสุดสถานภาพส.ส. กรณีการหนีการเกณฑ์ทหาร เพราะเมื่อยุบสภา นายอภิสิทธิ์ ก็สิ้นสุดจากการเป็นส.ส. ไปโดยปริยาย

แต่กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอยู่โดยรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 182 บัญญัติว่าความเป็นรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวด้วยเหตุการตาย ลาออก ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และขาดคุณสมบัตรหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 174

เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่พ้นสภาพการเป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตราดังกล่าว ประเด็นที่มีการกล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยได้แต่ถ้าระหว่างนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลาออกแล้วฐานะความเป็นรัฐมนตรีย่อมสิ้นสุดลงเฉพาะตัวแล้วจะทำให้วัตถุแห่งคดีที่ศาลจะทำการวินิจฉัยหมดไป ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกและถ้านายกรัฐมนตรีพ้นจากสภาพแล้วส่วนตัวก็มองว่าในทางปฏิบัติและหลักรัฐศาสตร์ คณะรัฐมนตรีก็ไม่น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไปแต่อาจกรณีนี้อาจมีการตีความอย่างหลากหลาย.



13 เม.ย.57 เผย..ปมเหตุเสื้อแดงหมิ่นเบื้องสูง และพระราชทรัพย์ของราชวงศ์จักรี
ยาว 10 กว่าปีที่ผ่านมา บริษัทเผาไทย เจ้าของลัทธิทุนนิยมสุดโต่ง ร่วมกับคอมมิวนิสต์อกหักกลายพันธ์ ที่พ่ายแพ้สมัย นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นนายก มีความพยายามจะรวบอำนาจการบริหารประเทศ ให้เป็นเหมือนบริษัทเอกชน จึงดำเนินการราว 5 แนวทางที่สำคัญ ตามลำดับ คือ

1. มุ่งสู่การบริษัทการเมืองเดียว ในยึดอำนาจบริหาร และนิติบัญญั...ติ โดยวิธีการ
- ไม่สร้างพนักงาน ส.ส.ใหม่ แต่ใช้วิธีเป็นยี่ปั้วไปซื้อตัวพนักงาน ส.ส.จากบริษัทอื่น ที่เขาเป็นอยู่แล้ว ด้วยราคา 50-60 ล้านบาทต่อหัว
- บีบบังคับให้ยุบบริษัทเดิม มาควบรวมกิจการ กับบริษัทเผาไทย แต่แบ่งย่อยเป็นมุ้งเล็ก มุ้งน้อย และมี CEO เป็นชายดูไบ ชี้นิ้วสั่งการตั้งแต่สากกะเบือ ยันเรือรบ เสมือนฮิตเลอร์ ของบริษัทว่างั้นเถอะ
- ช่วงแรกๆ ชายดูไบ จะมีค่าหัวคิวการเสนอชื่อเป็น รตม.เช่น รมต.ค้าขาย 250 ล้านบาท ถ้ายังไม่มีเงิน ก็โอนโรงแรมให้เขา เป็นค่าหัวคิวแทน ตามที่เคยเล่าไปแล้ว
- ต่อมาคดโคงจนรายได้ดี ก็จะมีเงินเดือนบริษัทจ่าย ส.ส. , ส.ว. ต่างหากจากเงินเดือนหลวง ในอัตราเดือนละ 50,000 – 100,000 บาท , ค่าคอมมิสชั่นยกมือผ่านกฎหมายอีกต่างหาก เช่น ถ้าเรื่องสัมปทานแบบนี้จะตกราว Job ละ 5 แสน – 1 ล้านบาท , เทศกาลทางประเพณีมีโบนัสต่างหากราว 1 แสนบาท
- ต่อมาใครจะลง ส.ส.แบ่งเขต หรือปาร์ตี้ลิส , ส.ว.ประเภทเลือกตั้ง , ใครจะเป็น รมต. , ผู้ช่วย รมต., เลขา ฯลฯ ต้องทำบัญชี 1,2,3 เสนอ CEO ชายดูไบ Approved ก่อน และเขาจะปรับแก้ ตามเงินที่เสนอให้ เช่น ต้องการสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิส ลำดับต้นๆ ต้องจ่าย 60 ล้านบาท
- ตำแหน่ง รตม.ไม่ต้องพูด และคิด มีหน้าที่เซ็นต์อนุมัติ ตามที่มี Note ปะหน้าหนังสืออย่างเดียว ทุกโครงการต้องจ่ายให้ CEO บริษัท 50% ผ่านสารพัดนอมินี ที่เหลืออีก 50% เจ้าของโครงการไปโกงเอาเข้ากระเป๋าเองตามใจชอบ เม็ดเงินโครงการ 100 % จะเหลือไปถึงประชาชนจริงๆ ไม่เกิน 5-10 % เท่านั้น จึงเป็นสาเหตุสร้างถนนก็พัง , ตึกก็ร้าว, สีก็ร่อน , วัสดุ อุปกรณ์ เจ้งวินาศหมด จะได้ตั้งโครงการจัดซื้อ จัดจ้างใหม่บ่อยๆ เขาชอบ

2. หลอกมวลชน คือ เข้าถึงระบบรากหญ้า ที่เป็นมวลชนยากจนจำนวนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้ทั่วถึงมากที่สุด โดย
- ให้ข้อมูลเฉพาะมุมที่ดี และกระทำในสิ่งที่หัวหน้าชุมชน รับนโยบายจากบริษัทเผาไทย ไปถ่ายทอดสู่คนรากหญ้า
- เสกสรรปั้นแต่งให้เวอร์เกินจริง เช่น หลอกรากหญ้าว่าถ้าเลือกบริษัทการเมืองอื่น จะยกเลิก 30 บาทรักษาทุกโรค, จะยกเลิกการพักหนี้ ธ.ก.ส. , จะยกเลิกการจ่ายเงินเดือนคนแก่ , จะไม่ให้กู้กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ

3. รื้อระบบราชการเดิมที่เข้มแข็งทั้งหมด แล้วทำให้อ่อนแอ โดย
- ใช้ระบบซื้อขายตำแหน่ง แล้วแต่งตั้งไปอยู่ในระดับมอบนโยบายทางราชการทุกส่วน หรือแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองลงไป
- ล้วงลูก ก้าวก่าย บังคับ ระบบงานราชการ ให้ทำผิดจากหน้าที่ตามที่ CEO บริษัทเผาไทยต้องการ
- คัดเลือกคนไปเป็น ข่มขู่ ติดสินบน หรือบีบบังคับองค์กรอิสระต่างๆ เช่น กกต. ปปช. ฯลฯ ให้ขึ้นตรงกับหัวหน้าบริษัทเผาไทยเพียงคนเดียว “ ไฮ้!! ฮิตเลอร์ “

4. หนุนทุนนิยมอย่างบ้าครั้ง ให้ประชาชนอุปโภคและบริโภคทรัพยากรมากๆ คือ
- ให้ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ของฟุ่มเฟือยต่างๆ เช่น กู้กองทุนหมู่บ้านมาซื้อโทรศัพท์มือถือ , รถมอเตอร์ไซต์ , คนชั้นกลางก็ยุให้ซื้อรถยนต์ บ้านจัดสรร เพราะพรรคพวกตนผลิตของ และอะไหล่ไว้รอจำหน่ายแล้ว
- โฆษณาชวนเชื่อ ด้วยสื่อมวลชนรับจ้างในเครือข่าย ที่ถูกซื้อตัว ให้สร้างภาพบริษัทเผาไทย จากผิดเป็นถูก และ CEO เก่งเกินมนุษย์ ตลอดเวลา ตามวิธีการ 7 อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว
- หาเรื่องลงทุนในโครงการใหญ่ๆ อ้างว่ายกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน เช่น ปล่อยข่าวว่าจะยุบโรงเรียนขนาดเล็กหลายหมื่นโรงให้ปั่นป่วน แล้วไปตั้งโครงการซื้อรถตู้แสนแพงไปแจกโรงเรียน แค่อยากได้เปอร์เซ็นต์ , ซื้อแท๊ปเล็ตพีซี เป็นล้านเครื่อง จากตัวแทนเทียมที่มีออฟฟิสเป็นอาแปะ กับอาม่า แค่ห้องแถวเดียว ฯลฯ

5. บั่นทอนสถาบันเบื้องสูง ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ โดย
- เต้าข่าว ปล่อยข่าว ให้ร้ายเบื้องสูง เสียๆ หายๆ ให้ประชาชนผู้หูเบา ซุบซิบนินทา ให้คล้อยตาม เช่น เต้าข่าวว่ามีความขัดแย้งในราชวงศ์ เรื่องการตั้งรัชทายาท เรื่องการเลือกข้าง จากต้นตอหลัก คือ ท่านผู้หญิง ว.ผ่านเครือข่ายของมวลชนบริษัทเผาไทย โดยที่ไม่มีมูลความจริงใดๆ สักเพียงน้อย
- ผสานกับ NGO ที่เป็นนักวิชากำกวม , สื่อวิทยุออนไลน์ต้นต่อจากต่างประเทศ , เว็ปไซต์ , สื่อสังคมออนไลน์ , วิทยุชุมชน, แดงล้มสถาบัน โดยอ้างง่ายๆ ว่าต้องการความเท่าเทียม ในความเป็นจริงเบื้องหลัง คือ กลุ่มพวกนี้ได้ทุนอุดหนุนที่กองทุนต่างชาติเอกชนแห่งหนึ่ง เมืองลุงแซม ที่ให้ทุนปี 1,500 ล้านบาท เพื่อให้ใส้ร้ายสถาบันเบื้องสูง ในทุกประเทศที่ยังมีสถาบันนี้อยู่
- ในไทยมีฐานเป็น NGO ใหญ่ทำงานกับต่างชาติอยู่อำเภอแห่งหนึ่ง ในจังหวัดที่วางแผนจะตั้งเป็นเมืองหลวงใหม่ สปป.ล้านนา โดยแอบแฝงในรูปการทำวิจัย เพื่อฟอกเงินให้กับนักวิชากำกวมหลายคนในส่วนกลาง และภูมิภาค เช่น มหาวิทยาลัยตีหนึ่ง
- เครือข่ายวิทยุชุมชน มีเครือข่ายโกเต็กเรดการ์ด เป็นแกนสำคัญในนาม กวป. ล่าสุดมีการเผยแพร่ใบสมัคร และเรียกประชุมกันที่ รร.แห่งหนึ่ง ฝั่งเดียว ใกล์กับศูนย์ราชการนนท์ ชี้แจงการโอนเงินสนับสนุนสถานีภาคเหนือ และอีสาน เดือนละ 5 พันบาท , ภาคไต้เดือนละ 1 แสนบาท แกนนำสถานี 2 แสนบาท โดยมีข้อแม้ว่าต้องเกี่ยวสัญญาณเสียงหมิ่นเบื้องสูง ที่ต้นทางมาจากต่างประเทศ เช่น ชูพงศ์, เพียงดิน ที่เจาะวิทยุแท็กซี่ หรือ ในประเทศจากเครือข่าย กวป. ฯลฯ จากระบบอินเตอร์เน็ตของแก๊งค์นี้ วันละไม่ต่ำกว่าระยะเวลาที่กำหนด
- ทางเว็ปไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ จ้างไว้ 3 พันคน เงินเดือนประมาณ 2.8 หมื่นบาท ให้ตัดต่อภาพ โพสป่วน ปล่อยข่าวลือให้ร้าย โพสหมิ่นเบื้องสูง สร้างเว๊ปไซต์หมิ่น เช่น เว็ปประชาลาว , พันทิบ ชื่อห้อง เหมือนสนามมวยแห่งหนึ่ง แก๊งค์นี้ได้รับทุนหนุนจากแก๊งเลวแล้วรวย และ รมต.เทคโน มีการจัด Meeting ร่วมกันเป็นประจำ

ในสภาพความเป็นจริงคือ สถาบันเบื้องสูง และรัชทายาท ทุกพระองค์ ไม่เคยลงมายุ่งเกี่ยวใดๆ ทางการเมืองเลย ข่าวที่เกิดขึ้นตลอดมา จึงเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จ ตัดต่อภาพนิ่ง วิดีโอ ที่เกิดจากแก๊งค์นี้นั่นเอง สาเหตุสำคัญที่แก๊งค์อั้งยี่แดง ต้องการทำลายและล้มล้างสถาบันเบื้องสูง ก็เพราะยังเป็นสถาบันหลัก ที่คนไทยทุกสีเคารพและศรัทธา ตามรากฐานวัฒนธรรมดังเดิมกว่า 800 ปีที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ยังคงสามารถสร้างความสมัครสมานสามัคคี ยึดโยงเป็นปึกแผ่น เป็นศูนย์รวมใจของประชาชนไทยไว้ได้

ไม่ได้เกิดจากการอำนาจ แต่เกิดจากทรงพระปรีชาสามารถ ทรงคุณงามความดี และมีพระเมตตา แก่ราษฎรทุกคน ทุกศาสนา อย่างทั่วถึงเท่าเทียมกัน จึงเป็นจุดแข็งให้อำนาจตุลาการ มีความเข้มแข็ง ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน ไม่ว่าร่ำรวย หรือยากจน ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายกติกาเดียวกัน ทำให้บริษัทเผาไทยยึดอำนาจประเทศได้แค่อำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ เท่านั้น การคดโกงต่างๆ จึงไม่รอดจากอำนาจตุลาการได้นั่นเอง

เมื่อแทรกแซงอำนาจตุลาการไม่ได้ ก็ต้องทำลายสถาบันเบื้องสูงเสีย และแก้กฎหมายใหม่ เช่น พรบ.ล้างผิดสุดซอย , เพื่อให้ตุลาการต้องตัดสินตามความต้องการของตน แต่ก็มาถูกมวลมหาประชาชนนำโดยกำนัน รู้ทันและออกมาขัดขวางจนแท้งไปอีก จะสลายมวลชน กปปส.ก็โดนนักรบป๊อบคอร์นสลายชุดดำซะเอง ต่อมาพวกโลกสวยต้องออกมาเรียกร้อง ขอให้เอาบังเกอร์ออกไป กดดันชายชุดเขียวที่วางกำลังเรือนหมื่น ให้ถอนกำลังเข้าที่ตั้งไป เพื่อที่แก๊งค์ก่อการร้ายสากล จะได้บรรจงเล็งยิงอาวุธสงคราม M79 ใส่ศาล ปปช. มวลมหาประชาชนได้สะดวกแม่นยำ แต่ก็ไม่ใครสนใจใยดีทำตาม ทำให้แดงพวกนี้ดิ้นๆๆๆ ที่ทำอะไรไม่ได้เลย จึงต้องหันมาเร่งให้โจมตีให้ร้ายเบื้องสูงอย่างหนักอีกครั้ง บริษัทเผาไทย และแก๊งค์อั้งยี่แดง จึงเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการที่สำคัญ ของพวกนักวิชากำกวม แดงโลกสวย และแดงหมิ่นสถาบันนั่นเอง

มีการโจมตีให้ร้ายเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยให้ข้อมูลผิดๆ กับพวกที่หูเบา เชื่อคนง่าย เกี่ยวกับทรัพย์สินมูลค่ามาก ของ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรย์ ที่ฝรั่งไปเอามูลค่าของบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทปูน ธนาคารค้าขาย ฯลฯ มารวมเหมาเอาว่าเป็นทรัพย์สินของในหลวงด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ใส่ร้ายทั้งเพ

ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ เดิมทีเป็นพระราชทรัพย์ของราชวงศ์จักรี ได้ถูกยึดมาเป็นของรัฐ ทั้งหมดนานแล้ว เมื่อครึ้งปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ เมื่อ พ.ศ. 2475 ทั้งหมดได้ตกเป็นของรัฐไปหมดแล้ว โดยรัฐสมัยนั้นออก พรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 และได้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแล คือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เดิมมีสถานะเป็นหน่วยราชการระดับกอง ในสังกัดกระทรวงการคลัง ให้ รมต.คลังของรัฐ แต่ละสมัยเป็นประธานควบคุมดูแล

ต่อมามีการแก้ไขปรับปรุง จนจัดตั้งยกระดับหน่วยงานขึ้นมาดูแลใหม่ มีสถานะเป็นนิติบุคคลเมื่อปี พ.ศ. 2491 ที่ตั้งอยู่ที่ วังแดง ถนนนครราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ที่ดินของราชวงค์ ก็ถูกยึดมาใช้ประโยชน์เรียกว่า ที่ดินราชพัสดุ , สมบัติที่ยึดมาทั้งหมด กระทรวงการคลัง ก็ดูแลออกดอกออกผล อยู่จนถึงบัดนี้ โดยทรัพย์สินส่วนนี้จึงไม่ต้องเสียภาษีเพราะเป็นของรัฐเอง ใครเป็นรัฐบาลก็จะได้ใช้ประโยชน์

ธนาคารออมสิน รัชกาลที่ 6 ก็ทรงตั้งด้วยเงินส่วนพระองค์เริ่มต้นเอง ท่านวางระเบียบไว้เดิมให้เสนาบดีพระคลังเป็นคนดูแล จนถึงปัจจุบันมีเงินเพิ่มพูนเป็นแสนล้านบาท ก็กลายเป็นธนาคารของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ปัจจุบัน รมต.คลัง ก็เป็นคนดูแลเอง ตั้งกรรมการได้เอง ทั้งคณะ รัฐจึงเอาเงินไปใช้ได้สะดวก

ดังนั้นใครกล่าวร้ายว่าพระองค์ท่านร่ำรวยที่สุดในโลกนั้น ท่านกำลังทำบาปอย่างมหันต์ เพราะทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับสถาบันเบื่องสูงเลยสักน้อย พระราชวงค์ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในทรัพย์สิน หรือในธนาคารใดๆ เลย..เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์รัชกาลที่ 8 ไว้ว่า " แม้แต่รถก็ไม่มีให้ใช้ หากแม่เราป่วยจะไปโรงพยาบาลจะไปอย่างไร "..จะพูดก็ได้ว่า ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน ท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงยากจนทรัพย์มากด้วยซ้ำไป

ที่เป็นทรัพย์ของส่วนพระองค์ จริงๆ ก็เกิดการที่ประชาชนสาขาต่างๆ บริจาคให้ตามพระราชอัธยาศัย หรือโดยเสด็จพระราชกุศลเข้ามูลนิธิต่างๆ เช่น มูลนิธิชัยพัฒนา ฯลฯ ทรัพย์ที่บริจาคก็ตามศรัทธา เช่น ที่ดิน ทุนทรัพย์ ฯลฯ ที่เราเห็นทางทีวีบ่อยๆ นั่นเอง แต่มีไม่มากนัก ทรัพย์ส่วนนี้เรียกว่า "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" และในหลวงท่าน ก็จะเสียภาษีอากรภายใต้กฏหมายเหมือนประชาชนทั่วไปนั่นแหละ ใครอยากรู้ว่ามีเท่าไร ก็ไปตรวจสอบที่กรมสรรพากรเอา ทรัพย์สินส่วนนี้ดูแลโดยสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง

ยามประชาชนเดือนร้อน และทุกข์ยาก ในหลวง พระราชินี และองค์รัชทายาท ท่านก็จะพระราชทานให้นำทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้น กลับคืนมาสู้ราษฎร์ของท่านอีก เช่น ทรงบริจาคที่ดินทำกินประเดิมให้ผู้ยากจน ถุงยังชีพพระราชทานยามเกิดอุทกภัย หรือภัยพิบัติ หรือโครงการพระราชดำริส่วนพระองค์

จะมีราษฎรสักกี่คนที่ทราบว่า วังสวนจิตรที่ในหลวงประทับนั้น เป็นบ้านที่เล็กกว่าบ้านของเศรษฐีไทยหลายพันคน และเล็กกว่าแม้กระทั่งบ้านของอดีต รมต.หลายร้อยคนด้วยซ้ำ วังสวนจิตรลดาถึงแม้จะมีบริเวณใหญ่ แต่ส่วนที่เป็นที่ประทับมีบริเวณเล็กมาก ที่ดินส่วนใหญ่เป็น โรงเรียน โรงงานทดลองทำปุ๋ย เลี้ยงวัว ทดลองปลูกข้าว โรงสี ฯลฯ

ใครไม่เชื่อและอยากตรวจสอบตามที่เห็นพูดเหย็งๆ กัน อย่ารอช้า ให้ไปพิสูจน์ด้วยตาตนเองเลย ประชาชนทั่วไปเขาอนุญาตให้เข้าไปได้สะดวกง่ายๆ ถึง รร.จิตรลดา เลย ได้โดยขอแลกบัตร ได้จากบริเวณโรงเรียน ก็สามารถมองเห็นอาคารที่ในหลวงประทับ ห่างออกไปเพียงไม่ถึง 100 เมตรเท่านั้น พวกที่หมิ่นทั้งหลาย กล่าวร้ายว่าท่านร่ำรวย อย่าเชื่อใคร แต่ให้ไปเห็นด้วยตาตนเอง เห็นกับตาว่าพระองค์ท่านกิน อยู่ แบบคนไทยชั้นกลางทั่วๆ ไป เท่านั้นเอง ไม่ใช่แบบเศรษฐีไทย อย่างแน่นอน

ช่างซ่อมรองพระบาท (รองเท้า) ของพระองค์ท่าน เล่าว่า ท่านจะส่งรองเท้าเก่าๆ ของท่านมาซ่อมตลอด จนซ่อมไม่ไหว รองพระบาทเก่าคู่นั้น ช่างยังเก็บไว้ให้เราไปดูได้ , สมาคมทันตแพทย์ไทย เคยไปขอพระราชทานหลอดยาสีฟันเก่า ที่ทรงใช้ได้จนหยดสุดท้าย โดยรีดจนหลอดแบนเป็นกระดาษ ไปขอดูที่สมาคมฯ ได้เลย , แม่แต่ดินสอดำ ที่พระองค์ท่านทรงขีดเขียนงานต่างๆ ท่านก็ทรงเบิกใช้เพียงเดือนละ 1 ด้ามเท่านั้น และพระองค์ท่านก็เขียนและเหลา เสียจนสั้นจู๋เลย

เงินที่คดโกงจากภาษีประชาชนไป ลูกสาวทอมชายดูไบ ใช้ชีวิตหรูหรา เที่ยวเมืองนอก กินไข่ปลาแพงๆ ถ้วยละ 2 แสนบาท , สมุนบริวาร เอามาจ้างหลอกประชาชนมาชุมนุม หัวละ 300, 500, 1000 บาท แล้วอมคาหัวคิวนี้ไป คากคกตู่ซื้อนาฬิกาเรือนละล้านกว่าบาทใส่ , ใส้เดือนเต้นขึ้นบ้านใหม่ 70 ล้านบาท , ไข่มุกดำ มีร้านอาหารอยู่เมืองผู้ดี..เรียกร้องประชาธิปไตยกันจนน้ำลายหก..แล้ววันนี้คนเสื้อแดงรากหญ้ามีอะไร?..ได้เงินจำนำข้าวหรือยัง?..ไปถาม รมต.ช.ค้าขายหน่อย ว่าสต๊อคข้าวเหลือกี่ตัน ขายไปแล้วกี่ตัน..ดูซิมันจะตอบคำถามง่ายๆ แบบนี้ได้ไหม?

พวกหมิ่น กล่าวร้ายเบื้องสูงอยู่ มีวาสนาแค่ไหนแล้ว ที่ได้เกิดมาในประเทศไทยที่แสนจะมีความสุขสบาย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว และมีพระมหากษัตริย์ที่แสนจะประเสริฐ การใส่ร้าย ป้ายสี พระองค์ท่านต่างๆ นาๆ ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับพระองค์ท่านเลย อยากจะบอกว่าในหลวงท่านถูกรังแก จากราษฎรที่ไม่ดีของท่านเอง

มีพวกบ้าโรคจิต ที่ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 112 อยากจะถามว่ามีมาตรานี้แล้วมันทำให้กินเงินจำนำข้าวไม่ลง , ยิง M79 ไม่ได้ , ว.5 ไม่สะดวก , กู้มาโกง 2.2 ล้านๆ ไม่ได้ หรือมันหนักกะบาลใครตรงไหน? มาตรานี้ เป็นหนึ่งในประมวลกฎหมายอาญา มีเนื้อหา คือ “มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

มาตรานี้ไม่มีผลอะไรเลยกับคนทั่วไปเลย แต่มีผลกับคนหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย เบื้องสูงเท่านั้น ถ้าใครไม่ทำก็ไม่เห็นต้องดิ้นรนไปทำไม เหมือนกฎหมายบัญญัติว่าถ้าโกงจำนำข้าวจะต้องออกจากตำแหน่ง และต้องติดคุก..ก็ถ้าไม่ได้โกงจำนำข้าวจะมาเดือดร้อน ดิ้นๆๆ ทำไม !!

พวกเราธรรมดาใครมาหมิ่นประมาทก็สวนตอบโต้ได้ แต่เบื้องสูงท่านลงมาโต้ตอบกับพวกหมิ่นไม่ได้เหมือนคนทั่วไป จึงจำเป็นต้องมีมาตรา 112 นี้ไว้ กันพวกทุยแดงตกมันมาขวิดเอา ประมุขของประเทศใดก็ตาม ย่อมถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศนั้น แค่มีมาตรา 112 ทุยแดงยังหมิ่นกันขนาดนี้ และอาฆาดมาร้ายท่าน กันทุกวัน ถ้าไม่มีมาตรา 112 พวกนี้ก็จะรังแกท่านสบายเลย โดยที่ท่านก็ทำอะไรไม่ได้ สรุปกฎหมายมาตรานี้มีไว้เพื่อปกป้องพระองค์ท่านจากคนพาลนั่นเอง

ส่วนบางคนก็สงสัยว่า ชายดูไบ ทำไมถูกพิพากษาโดยศาลเดียว? และจำคุก 2 ปี ทำไมไม่กลับมารับโทษสักพัก ก็ออกมาได้แล้ว ? เรื่องนี้อธิบายดังนี้

1. ถูกพิพากษาโดยศาลเดียว คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ก็เพราะกฎหมายเขาเขียนไว้ เพราะนักการเมืองมีวาระแค่ 4 ปีเอง และส่วนใหญ่ก็หลุดจากตำแหน่งก่อนวาระเสมอ รมต.บางคนเป็น 6 เดือนเอง สมัยปูเน่าปรับ รมต.ถี่มาก ราวกว่า 200 คนได้มั้งที่ได้เป็น รมต. (นับรวมคนที่เป็นซ้ำด้วย) แทบเป็น รมต.กันทั้งบริษัทอยู่แล้ว แล้วแบบนี้จะให้สู้คดี 3 ศาล เป็น 10 ปีได้ไง มันก็ตายไปก่อนแล้ว และพวกนี้เล่ห์เหลี่ยม และเงินมาก กฎหมายเขาถึงบัญญัติให้ศาลเดียวพอ

2. จำคุก 2 ปี ทำไมไม่กลับมารับโทษ..มันตัดสินไปได้แค่คดีเดียวแล้วเหลี่ยมมันหนีเตลิดไป มันยังมีคดีค้างที่ศาลอีกราว 15 คดีที่รออยู่ และคดียังไม่จำหน่าย จะเดินหน้าพิจารณาคดีก็ไม่ได้ เพราะผู้ต้องหายังไม่มาปรากฏตัวในการพิจารณาคดีนัดแรก..ขืนเหลี่ยมยอมมาเข้าคุกคดีที่ตัดสินไปแล้ว ก็จะต้องถูกอายัดตัวทันที นำขึ้นปรากฏตัวในที่ดีที่เหลือ 2, 3,4...15 ที่นี้การพิจารณาจะเป็น Auto Run ไปเรื่อยๆ จนถึงพิพากษาได้เลย โดยไม่สนใจว่าเขาจะอยู่ที่ไหน

ที่นี้เหลี่ยมก็กลัวซิ ขึ้นเจอจำคุกอีกสัก 10 คดี x 2 ปี = 20 ปี..พอออกจากคุกคดีแรก ก็ต้องมาติดคุกต่อคดีที่ 2 ที่ 3...ที่ 10 เพราะคดีต่างเรื่อง ต่างกรรม ต่างวาระกัน..ก็ตายคาคุกซิ นี่แหละที่เหลี่ยมกลัวหนักหนาไม่กล้าเข้ามา ทั้งที่ทุกคนก็กวักมืออยากให้เข้ามาวันนี้เลย จะช้าอยู่ใย มันถึงอยากให้นิรโทษกรรมไง จะได้ล้างคดีเก่า และคดีที่กำลังรอพิจารณาอยู่ แถมยังจะต่อรองเอาเงินที่โกง 4.6 ล้านบาทคืน บอกว่ากว่าจะโกงมาได้ขนาดนี้ยากนะ ขอคืนเถอะ..บ้าไปแล้ว แบบนี้เหลี่ยมก็ต้องหนีโทษจำคุกคดีแรกต่อไป จนกว่าจะหมดอายุความ 15 ปีนับแต่วันพิพากษา

ช่วงสงกรานต์นี้ เขาจึงทำได้เพียงสไกป์จากเกาะฮ่องกง มาหาญาติที่เชียงใหม่ หน้าตาไม่สดชื่น แววตากังวล หน้าเหี่ยว ใหล่ห่อ คอตก มีเงินมากมาย แต่หาความสุขสบายที่แท้จริงไม่ได้ เพราะหมิ่นเบื้องสูง พอลูกน้องถามท่านจะเอายังไง ชายดูไบ ตอบว่า “ผมไม่ยอม ให้พวกเราลงใต้ดิน" เพราะเขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นจริงๆ..หลังสงกรานต์คนเสื้อแดงที่มาชุมนุม ได้ลงไต้ดินแน่ๆ เตรียมถูกพวกเดียวกันบอมบ์ ศพแหลกเหลวถูกฝังอยู่ไต้ดินนั่นแหละ


 

MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY