Menu Bar

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

"หมอมโน"สัมภาษณ์ปมธรรมกายก่อนกักตัว"ยุคล ทีนิวส์"จี้ลบเทป/พระสงฆ์ไม่ใช่แค่คนหัวโล้นห่มเหลือง!





"หมอมโน"สัมภาษณ์ปมธรรมกายก่อนกักตัว"ยุคล ทีนิวส์"จี้ลบเทป(6-3-58)
ต้องฟังหมอมโนพูดให้ได้ครับ แม้จะพูดได้ไม่ถึงครึ่งโดนขัดเสียก่อน ก็เห็นชัดครับว่าเหตุใดจึงเกิดการทุ่มบุญกันจนคลั่งไคล้ขนาดขายบ้านหมดเนื้อหมดตัวกันเป็นเเถว. ศรัทธาหรือจิตวิทยาหมู่ใช้วิจารณญานกันครับ
"มโน : คือท่านพยายามจะให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านเชื่อว่าท่านเป็นต้นธาตุต้นธรรม ก็คือ ก็อด พระผู้เป็นเจ้า ที่ลงมาเหมือนกับอวตารลงมา มาเป็นมนุษย์ นี้เป็นคำสอนที่พิเศษไปจากทุกวัด ในพุทธศาสนาเราไม่มีพระผู้เป็นเจ้าถูกไหมครับ พระพุทธเจ้าต้องเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม ไม่มีพระเจ้าผู้สร้างโลก ทีนี้สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านก็เทศน์ไว้ แนวปฏิบัติของวัดปากน้ำคือ เมื่อบวช เมื่อมาบวชผู้บวชจึงทราบว่า พระต้นธาตุใช้ให้มาปราบมาร ถ้าไม่สำเร็จก็ยอมตายที่วัดปากน้ำนี้ คราวนี้พระต้นธาตุนี้คือใคร แล้วก็สมัยโบราณมีความเชื่อที่มีพระต้นธาตุต้นธรรม เป็นพระพุทธเจ้า องค์แรกซึ่งสร้างสรรพสิ่งทุกอย่างทั้งปวงคราวนี้ท่านเองก็ตั้งใจในการปราบมาร คำสอนในวัดปากน้ำจะมีอยู่ 2 ส่วน ส่วหนึ่งเรียกว่า วิชามรรคผล ว่าด้วย 18 กายเข้าถึงเพื่อเป็นพระอรหันต์ อีกอันหนึ่งก็ปราบมาร ในเรื่องนี้วิชาปราบมารเป็นเรื่องที่ท่านทำเองเพื่อปราบมาร ทำยังไงมารจะหมด พอมารหมดนี้ก็โลกทั้งโลก ดวงดาวอะไรก็หายหมดทุกอย่างจะกลายเป็นนิพพาน มดสักตัว ยุงสักตัวก็กลายเป็นพระธรรมกายหมด นั้นสิ้นสุดของวัฏสงสารนั้นคือเป้าหมายที่ท่านจะทำ คราวนี้ท่านก็มรณภาพไป 2502 ในขณะนั้นของวัดธรรมกายโดยเจ้าอาวาสพระธรรมกายท่านธัมมชโย ท่านก็สอนลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านว่า ท่านเป็นพระต้นธาตุตัวจริง เป็นคนที่ใช้หลวงพ่อวัดปากน้ำลงมาปราบมาร หลวงพ่อทำไม่สำเร็จท่านเลยต้องลงมา หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นทัพหน้า ท่านเป็นทัพหลวงตัวจริง แล้วก็มาไม่ได้มาคนเดียว มาเป็นล้าน หลายล้าน ธรรมกาย พระพุทธเจ้าฝ่ายปราบเป็นล้าน แล้วมีบารมีแล้วก็แบ่งเป็นทัพ เขาเรียก กองทัพธรรม มีทั้งหมดอยู่ 4 กอง ฝ่ายรบ ฝ่ายเผยแผ่ ฝ่ายปฏิสังขรณ์ แล้วอันสุดท้ายคือกองเสบียง เป็นกองทัพเลย"
http://m.tnews.co.th/news.php?hotID=132368
●●ช่วงช่วง วัดปากน้ำบอก ใช้ทอง 1 ตัน
ช่างหล่อแฉบอก จริงๆแค่ 420 กิโล ใช้จริงไม่ถึง 1 ตัน (ตามโฆษณา)..ใครโกหก?????

นายบุญส่ง นุชน้อมบุญ นายช่างประจำกรศิลปากร ซึ่งเป็นช่างหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อมงคลเทพมุณีหรือหลวงพ่อสด ที่วัดพระธรรมกาย โฆษณาชวนเชื่อว่าสร้างจากทองคำแท้หนักถึง 1 ตัน ให้สัมภาษณ์ว่าได้รับการติดต่อจากวัดเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา โดยพระที่ชื่อหลวงพี่หมู กับศิษย์เก่าของวิทยาลัยช่างศิลป์รายหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับตนมาขอคำแนะนำเรื่องเทคนิคการหล่อ แจ้งว่าเจ้าอาวาสต้องการหล่อรูปเหมือนทองคำของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ตนจึงแย้งว่าการหล่อรูปเหมือนทองคำขนาดใหญ่นั้นเป็นการสิ้นเปลือง เพราะทองคำมีราคาแพงและใช้จำนวนมาก หลวงพี่หมูกลับตอบว่าไม่ใช่หน้าที่ของตน ทkงวัดขอเพียงความช่วยเหลือและคำแนะนำเท่านั้น ส่วนเรื่องทองคำที่หามานั้นทางวัดจะจัดการเอง ตนจึงตอบตกลงโดยขอหล่อรูปเหมือนจากตะกั่วเพื่อเป็นการทดลองก่อน

“หลังจากตกลงกันแล้ว 2 สัปดาห์ต่อมาทางวัดเชิญผมและทีมงาน ซึ่งมีลูกน้องผมไปด้วยกัน 2 คน ไปตัวเปล่า เพราะเห็นว่าทองคำจำนวนมากจึงไม่เอาของส่วนตัวติดไปเลย เมื่อไปถึงวัดมีช่างของวัดหลายคนมาช่วยกันโดยช่างบางรายเป็นพระ และผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความรู้ทั้งทางจิตรกรรม ช่างศิลป์ และวิศวกรรมมาควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ครั้งแรกผมหล่อด้วยตะกั่วหนัก 400 กิโลกรัม (ก.ก.) เมื่อหล่อรูปเหมือนตะกั่วเสร็จแล้วก็กลัมาอีกครั้งเพื่อหล่อพระทองคำ โดยผมกำหนดใช้ทองคำประมาณ 400 ก.ก. และทางวัดบอกว่ามีทองคำ 99.95% จำนวน 600 ก.ก. เตรียมไว้ ทุกขึ้นตอนจะมีเจ้าหน้าที่ของวัดดูแลอย่างรัดกุม และมีพนักงานรักษาความปลอดภัยคุมเข้มตลอดเวลา” นายบุญส่งกล่าว

นายบุญส่งกล่าวต่อว่า หลังจากตนเบิกทองคำมาแล้วใช้วิธีหลอมทองจำนวน 10 เบ้าหลอม แต่ละเบ้าหลอมมีทองจำนวน 60 ก.ก. ซึ่งใช้ทองไปเพียง 7 เบ้า หรือประมาณ 420 ก.ก. ก็เต็มองค์ ส่วนทองที่เหลืออีก 3 เบ้า ทางวัดตอบว่าจะนำไปหล่อพระพุทธรูปในโอกาสต่อไป หลังจากเสร็จพิธีแททองหล่อพระในวันดังกล่าวตนไม่เคยไปที่วัดนี้อีกเลย และไม่ทราบมาก่อนว่าทางวัดประชาสัมพันธ์ว่าพระองค์ดังกล่าวมีน้ำหนักถึง 1 ตัน ครั้งแรกรู้สึกแปลกใจเพราะเท่าที่สอบถามญาติโยมที่ไปทำบุญ หลายรายดุจะไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากมาย แต่สามารถบริจาคได้ถึงคนละ 1-2 ก.ก.

https://thaidhammakaya.wordpress.com/2015/03/06/gold/
พระสงฆ์ไม่ใช่แค่คนหัวโล้นห่มเหลือง!    โดย สิริอัญญา 

ขณะนี้กระแสความเรียกร้องต้องการให้ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาและกิจการคณะสงฆ์กำลังเชี่ยวกราก สาเหตุก็มีมาจากความเน่าเฟะอันเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อเนื่องยาวนานของกิจการพระพุทธศาสนาและกิจการคณะสงฆ์
ในขณะเดียวกัน ก็มีคนหัวโล้นห่มเหลืองจำพวกหนึ่งซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่ามีพฤติกรรมต่ำช้า เอาพระศาสนาไปซุกใต้ปีกพวกเผาบ้านเผาเมือง ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ รวมทั้งบิดเบือนพระธรรมวินัยให้วิปริต กลับอ้างว่าตัวเองเป็นพระสงฆ์ พรรคพวกของตัวเองเป็นคณะสงฆ์ และเป็นพุทธศาสนาในตัวเสียเองด้วย
ดังนั้นเพื่อไม่ให้พวกหัวโล้นห่มเหลืองแอบอ้างว่าเป็นพระสงฆ์ แอบอ้างยึดครองพระพุทธศาสนาเป็นของพวกหัวโล้นห่มเหลืองเหล่านั้น และเพื่อให้การปฏิรูปถูกตรง จึงต้องทำความเข้าใจกันให้ถ่องแท้ว่าพระสงฆ์คืออะไร ซึ่งต้องทำความเข้าใจกันจริง ๆ จัง ๆ สักครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นก็ต้องประกาศให้รู้กันโดยทั่วไปว่า คนหัวโล้นห่มเหลืองนั้นไม่ใช่พระสงฆ์เสมอไป และคนหัวโล้นห่มเหลืองหลายๆ คนก็ไม่ใช่คณะสงฆ์เสมอไป และคนหัวโล้นห่มเหลืองหลาย ๆ คนเหล่านั้นก็ไม่ใช่เนื้อตัวของพระพุทธศาสนาแต่ประการใด
ในพระพุทธศาสนานั้น พระสงฆ์เป็นหนึ่งในสามรัตนะ คือเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย แต่ไม่ใช่พระสงฆ์ที่เราท่านเข้าใจกัน ในเรื่องนี้พระบรมศาสดาทรงตรัสว่าพระสงฆ์สาวกของพระองค์ที่เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยนั้นมีเพียง 4 คู่ 8 จำพวกเท่านั้น
นั่นคือพระโสดาบัน พระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระอรหันต์ ซึ่งทั้ง 4 คู่นี้มี 8 จำพวกคือ พระที่เข้าถึงโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อรหัตมรรค และอรหัตผล นอกจาก 4 คู่ 8 จำพวกนี้แล้ว ไม่ใช่สังฆรัตนะในพระรัตนตรัย
แต่ในภิกษุบริษัทนั้น ประกอบด้วยพระสงฆ์ คือพระสงฆ์ที่เป็นสังฆรัตนะ 4 คู่ 8 จำพวกดังกล่าวประเภทหนึ่ง กับกุลบุตรที่ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา หรือติสรณคมนูปสัมปทา หรือญัตติจตุตถกรรม
ผู้ที่อุปสมบทในพระพุทธศาสนาและมิได้เป็นหนึ่งในสังฆรัตนะก็ได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์ แต่ความเป็นพระสงฆ์ที่ว่านี้ไม่ใช่แค่คนหัวโล้นห่มเหลือง หากต้องประกอบด้วยองค์คุณดังต่อไปนี้
ข้อแรก ต้องเป็นผู้สุปฏิปันโน คือเป็นผู้ปฏิบัติดีตามพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาทรงแสดงแล้วและบัญญัติแล้ว ไม่ปฏิบัติวิปริตฟั่นเฟือนหรือเฉโก
ข้อสอง ต้องเป็นอุชุปฏิปันโน คือผู้ปฏิบัติตรง คือปฏิบัติถูกตรงตามพระธรรมวินัย มุ่งตรงไปสู่ความละวาง ความบริสุทธิ์ และความปราศจากทุกข์อย่างสิ้นเชิงและนิพพาน
ข้อสาม ต้องเป็นญายปฏิปันโน คือผู้ปฏิบัติเพื่อถึงซึ่งความรู้ หรือปัญญาอันเข้าถึงความจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อถึงความโง่หลงงมงายหรือการลวงโลกใด ๆ
ข้อสี่ ต้องเป็นสามีจิปฏิปันโน คือเป็นผู้ปฏิบัติที่สมควรได้รับความนอบน้อมบูชาจากคนทุกจำพวก แม้กระทั่งพระมหากษัตริย์ลงมาจนถึงชาวบ้านก็มีความนอบน้อมได้อย่างอิ่มอกอิ่มใจ ไม่ใช่ประพฤติต่ำทราม ชั่วช้า แม้กระทั่งชาวบ้านอย่างเราท่านยังต้องเรียกขานว่าไอ้หัวโล้น ไอ้โจรผ้าเหลือง เป็นต้น
ข้อห้า ต้องเป็นอาหุเนยโย คือเป็นผู้ควรได้รับของอันสมควรที่จะสักการะบูชาหรือถวาย ไม่ใช่เป็นพวกนักหลอกลวง ฉ้อฉล ฉ้อโกง ฟอกเงิน หรือใช้อำนาจบังคับขายตำแหน่ง หรือบังคับคนอื่นให้อยู่ในอำนาจ
ข้อหก ต้องเป็นปาหุเนยโย คือเป็นผู้ที่ควรจะได้รับการต้อนรับด้วยความเคารพ ไม่ใช่เป็นผู้ที่น่าขยะแขยงแบบพวกหัวโล้นจีวรแดง ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจเดียดฉันท์
ข้อเจ็ด ต้องเป็นทักขิเณยโย คือเป็นผู้ควรแก่การทำบุญ ไม่ว่าด้วยอาหาร หรือเครื่องนุ่งห่ม หรือสิ่งของใด ๆ ที่ผู้ทำแล้วได้รับบุญ ไม่ใช่ได้รับความเดือดร้อน ความทุกข์ หรือความเศร้าหมอง หรือครอบครัวแตกแยกดังที่เห็น ๆ กันอยู่
ข้อแปด ต้องเป็นอัญชลีกรณีโย คือเป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้เลื่อมใสที่กราบไหว้แล้วเป็นสุข ไม่ใช่ต้องไปล้างซวย ล้างบาป ที่ได้พบเห็นหรือจำเป็นต้องไหว้กราบ ดังบางพวกบางหมู่ที่เป็นกันอยู่
ข้อเก้า ต้องเป็นอนุตตรัง ปุญญักเขตตัง คือเป็นเนื้อนาบุญที่ยอดเยี่ยมของโลก ที่ใครทำบุญแล้วได้ผลมาก ได้อานิสงส์มาก เหมือนกับนาดีที่ปลูกข้าวแล้วก็ได้ผล
กุลบุตรใดที่อุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดาแล้วมีคุณสมบัติครบทั้งเก้าข้อดังกล่าวนี้แล้ว นั่นแหละจึงได้ชื่อว่าเป็น “พระสงฆ์” ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในภิกษุบริษัทที่ถึงแม้ยังไม่ถึงกับเป็นสังฆรัตนะ ก็ยังนับได้ว่าเป็นพระสงฆ์ที่เป็นบริษัทสี่ ที่พระบรมศาสดาทรงฝากธุระพระศาสนาไว้ให้
ดังนั้นหากใครที่เป็นคนหัวโล้นห่มเหลือง แต่ไม่มีคุณสมบัติทั้งเก้าข้อดังกล่าว จึงไม่ใช่พระสงฆ์ ไม่มีสิทธิ์มาตู่อ้างว่าตัวเองเป็นพระสงฆ์หรือคณะสงฆ์ และไม่มีสิทธิ์มาตู่ว่าเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นได้อย่างมากก็แค่คนหัวโล้นห่มเหลือง!