Menu Bar

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

สัญญาณปิดเกม หยุดวิกฤติประเทศ




































สัญญาณปิดเกม หยุดวิกฤติประเทศ
พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ และเป็นนายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม ให้สัมภาษณ์อันเป็นการส่งสัญญาณที่มีนัยยะทางกา...รเมืองอย่างน่าจับตาโดยกล่าวว่า
ขอให้อดใจรอดูสักนิดและสุดท้ายปัญหาของบ้านเมืองต้องจบหลังขัดแย้งมานานหลายปีแล้ว
สัญญาณจากนายทหารคนสนิทของประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษทำให้คาดว่า วิกฤติการณ์ของประเทศกำลังใกล้จะปิดฉากลงในไม่ช้านี้โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
การสิ้นสภาพนายกฯรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะที่นักสังเกตุการณ์ทางการเมืองประเมินว่า ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ในที่สุดแล้วนายกฯและรัฐบาลที่เป็นกลางเพื่อเข้าสะสาง
ปัญหาของประเทศมีแนวโน้มที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


             ขณะที่ศึกยกสุดท้ายงวดใกล้เข้ามาทุกขณะท่ามกลางความหวั่นวิตกจากทุกฝ่ายว่าจะเกิดการเผชิญหน้าขั้นแตกหักจนนำไปสู่การนองเลือดระหว่างมวลมหาปาะชาชนภายใต้การนำของกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) กับรัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณภายใต้การนำของน.ส.ยิ่งลักษ์ ชินวัตร ซึ่งมีม็อบเสื้อแดงภายใต้การนำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดงและกองกำลังใต้ดินติดอาวุธที่เคลื่อนไหวคู่ขนานเป็นเครื่องมือในการทำศึกแตกหักกับ กปปส.ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นสภาพการทำหน้าที่นายกฯกรณีย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรีโดยไม่ชอบด้วยกฏหมายหรือกรณีหากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลความผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว แต่ขณะที่สถานการณ์มีนับถอยหลังใกล้ถึงจุดแตกหักก็เกิดการเคลี่อนไหว
              จุดประการเสนอทางออกเพื่อผ่าทางตัน ที่น่าประหลาดใจก็คือการออกเปิดประเด็นของนายชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ นายโภคิน พลกุล ซึ่งอยู่ในทีมมือกฏหมายของพรรคเพื่อไทย  กลับออกมาเสนอแนวคิดให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทูลเกล้าฯขอพระบรมราชวินิจฉัยตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะจากกรณีโดยศาลรัฐธรรมนูญหรือป.ป.ช.ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทั้ง นายชัยเกษม และนายโภคิน  รวมทั้งบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยต่างออกมาต่อต้านแนวคิดการใช้มาตรา 7 อันเป็นข้อเสนอของมวลมหาประชาชนภายใต้การนำของ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) โดยอ้างว่าทำไม่ได้และเป็นแนวทางนอกรัฐธรรมนูญ และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือแม้แต่ นายใหญ่นักโทษหนีคุก ก็ออกมาส่งสัญญาณการให้อภัยกันและสนับสนุนแนวคิดมาตรา 7 จนถูกตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการเล่นบทตีสองหน้าของ นายใหญ่นักโทษหนีคุก ในภาวะที่รัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณกำลังจนตรอก
               นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตุว่า การเสนอแนวคิดมาตรา 7 ของ นายชัยเกษม และ นายโภคิน เป็นเพียงการโยนหินถามทางและซ่อนเล่ห์แอบแฝงเพื่ออาศัยมาตรา 7 แก้เกมของมวลมหาประชาชน กปปส.  โดยยังคงรักษาอำนาจของรัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณ ขณะเดียวกันก็เป็นการปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญอย่างสิ้นเชิงโดยส่อเจตนาอาศัยสถาบันเบื้องสูงเป็นเครื่องมือซึ่งไม่ต่างอะไรจากการดึงฟ้าลงต่ำ
               ทั้งนี้ แนวคิดมาตรา 7 ของ นายชัยเกษม และ นายโภคิน แตกต่างจากแนวทางอันเป็นสาระสำคัญกับมวลมหาประชาชนกปปส.อย่างสิ้นเชิง เพราะข้อเรียกร้องของมวลมหาประชาชน กปปส. เห็นว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องสิ้นสภาพการทำหน้าที่นายกฯจนเกิด”สุญญกาศ”ทางการเมือง จนต้องใช้มาตรา 7 สรรหานายกฯเฉพาะกาลที่เป็นกลางเพื่อมาวางแนวทางปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ โดยผู้ที่ทำหน้าที่สนองพระบรมราชโองการก็คือประธานวุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่ประธานรัฐสภาที่จะต้องประชุมวุฒิสภาเพื่อสรรหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นนายกฯเฉพาะกาลเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯโปร่งเกล้าแต่งตั้งแต่ในกรณีข้อเสนอของนายชัยเกษมนั้นถูกตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการผลักภาระปัญหาร้อนแรงทางการเมืองทั้งมวลไปให้สถาบันเบื้องสูงทรงวินิจฉัย ซึ่งไม่ว่าจะทรงวินิจฉัยออกมาด้านใดอย่างไรล้วนเป็นผลลบต่อสถาบันทั้งสิ้น ขณะเดียวกันยังแฝงเล่ห์ปฏิเสธอำนาจคำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.)ถึงกับบังอาจเหิมเกริมออกแถลงการณ์ตอกย้ำส่อเจตนาดึงฟ้าลงต่ำและไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญตามแนวคิดของนายชัยเกษม ด้วยการเรียกร้องให้รัฐบาลทรราชหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์ทูลเกล้าฯขอพระบรมราชวินิจฉัยว่ารัฐบาลทรราชหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์ยังสามารถอยู่ในอำนาจต่อไปหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐบาลสิ้นสภาพ
               ด้านคณะรัฐบุคคลอาวุโสที่นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้จุดประกายแนวคิดและทำเรื่องเสนอต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยเห็นว่าขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองได้มาถึงจุดวิกฤติที่จะต้องหาทางออกคลี่คลายวิกฤติโดยเร็วโดยไม่จำเป็นต้องรอการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญหรือป.ป.ช.  โดยบุคคลที่จะทำหน้าที่คลี่คลายวิกฤติชาติขณะนี้ก็คือประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ด้วยการเรียกประชุมผู้นำส่วนราชการทั้งผู้นำกองทัพ ผู้นำศาล และผู้นำสังคมทุกกลุ่มมาร่วมหาทางออกให้ชาติแล้วร่างพระบรมราชโองการนำขึ้นทูลเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อให้ทรงพระปรมาภิไธย โดยประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ ซึ่งแนวทางพึ่งพระบารมีในทำนองเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ อาทิ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปี 2535
               อย่างไรก็ตามแนวคิดของคณะรัฐบุคคลถูกต่อต้านอย่างหนักจากพรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง โดยเฉพาะ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รมช.พาณิชย์ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง ที่โจมตีคณะรัฐบุคคลและ พล.อ.เปรม อย่างแข็งกร้าว
               พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ และเป็นนายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม  ให้สัมภาษณ์อันเป็นการส่งสัญญาณที่มีนัยยะทางการเมืองอย่างน่าจับตาโดยกล่าวว่า ขอให้อดใจรอดูสักนิดและสุดท้ายปัญหาของบ้านเมืองต้องจบหลังขัดแย้งมานานหลายปีแล้ว
               สัญญาณจากนายทหารคนสนิทของประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษทำให้คาดว่า วิกฤติการณ์ของประเทศกำลังใกล้จะปิดฉากลงในไม่ช้านี้โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยการสิ้นสภาพนายกฯรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะที่นักสังเกตุการณ์ทางการเมืองประเมินว่า ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ในที่สุดแล้วนายกฯและรัฐบาลที่เป็นกลางเพื่อเข้าสะสางปัญหาของประเทศมีแนวโน้มที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทีมข่าวการเมือง





สิ่งที่การเจรจาตกลงกันไม่ได้...ไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย!
โดย สิริอัญญา
วันเสาร์ที่ 19 เมษายน 2557

ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยเกิดขึ้นและดำเนินมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้ประเทศไทยจมปลักอยู่ในวิกฤตทางการเมืองในระดับที่มีความรุนแรงเป็นเวลาถึง 10 ปี...

เป็นเวลาที่ยาวนานมากและเกิดความเสียหายมาก มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายกว่า 10,000 คน ทรัพย์สินเสียหายนับแสนล้านบาท ไม่รวมทรัพย์สินและผลประโยชน์ของชาติที่ถูกโกงไปกว่า 3 ล้านล้านบาท

มวลมหาประชาชนจึงลุกฮือขึ้นขับไล่นักการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ คือมีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุดร่วม 6 ล้านคน
และลงฉันทามติในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่ยอมรับการเลือกตั้งในระบอบเส็งเคร็งถึง 56% ที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 44% ราว 14 ล้านคน ก็ได้ปฏิบัติการทางการเมืองที่ลือลั่นสนั่นโลก

คือประชาชนถึง 2.5 ล้านคน ไปเลือกตั้งแต่ไปเขียนในบัตรเลือกตั้งด่าประณามประจานนักการเมืองอย่างสาดเสียเทเสีย ในขณะที่อีก 3.3 ล้านคน ไปกาบัตรว่าไม่เลือกพรรคใด หรือนัยหนึ่งก็คือกูไม่เอากับพวกห่านี้ทั้งหมด รวมแล้วเป็นจำนวนถึง 5.8 ล้านคน คงเหลือประชาชนที่ไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนให้พรรคการเมืองทุกพรรคเพียง 8.8 ล้านคนเท่านั้น

นั่นคือผลประชามติในระบอบประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองและนักการเมืองไม่ยอมรับ ยังคงใช้เล่ห์เพทุบายที่จะอาศัยการเลือกตั้งในระบบเส็งเคร็งฟอกตัวกลับมาโกงบ้านกินเมืองในลักษณะวนเวียนแบบอัปรีย์ไปจัญไรมาต่อไปอีก

ประชาชนที่ทนตกระกำลำบากมายาวนานและผ่านบทเรียนการต่อสู้มาต่อเนื่องถึง 10 ปีแล้วได้รู้เท่าทันกโลบายอันร้ายของนักการเมือง จึงยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว

เมื่อเห็นว่าการเลือกตั้งหลอกลวงประชาชนไม่ได้ ก็ได้ใช้ความรุนแรงข่มขู่คุกคามสารพัด ฆ่าประชาชนไปแล้วในรอบนี้ถึง 23 ศพ บาดเจ็บเกือบ 800 คน แล้วยังขู่ต่อไปว่าจะระดมกำลังอาวุธหลายหมื่นคนเข้ามาสังหารผลาญชีวิตประชาชนยิ่งกว่าเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 2553

กระทั่งล่าสุดก็ขู่ว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองแบบประเทศรวันดาในอาฟริกา ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองหฤโหดในยุคปัจจุบัน แต่หามีใครเกรงกลัวไม่! โดยเฉพาะคำขู่แบบรวันดานั้นถูกตอกหน้าว่าจะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย

เพราะกองทัพไทยและประชาชนไทยจะยืนหยัดปราบปรามอริราชศัตรูอย่างเฉียบขาด ทหารไทยและประชาชนไทยองอาจกล้าหาญไม่ขี้ขลาดตาขาวเอาแต่หลบหนี แม้เพียงแค่คุกตะรางก็ยังหลบหนี หวังแต่จะจ้างคนมาตายแทน ซึ่งเป็นที่เข็ดหลาบของพวกที่รับจ้างเดนตายแล้ว ไหนเลยจะมีคนมายอมตายขายชีวิตให้กับคน ๆ เดียว จึงไม่มีทางเกิดศึกสงครามแบบรวันดาได้

ขู่แยกประเทศก็แล้ว ขู่จะล้มทุกสถาบันก็แล้ว ขู่จะปิดทุกองค์กรอิสระและศาลก็แล้ว เอาระเบิดมายิงถล่มใจกลางเมืองหลวงทุกวันทุกคืนก็แล้ว แต่ประชาชนไทยังคงยืนหยัดต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ

คงจนท่าเข้าแล้ว จึงปรับท่าทีเป็นยกเลิกการอาฆาตจองเวรและเรียกร้องให้มีการเจรจากัน

มีการขับเคลื่อนหลายรูปแบบเพื่อสร้างกระแสการเจรจา กดดันให้มีการเจรจาและล็อบบี้ให้มีการเจรจา แต่ก็หามีความคืบหน้าใด ๆ ไม่
เหตุที่การเจรจาไม่สามารถเดินหน้าไปได้ก็เพราะว่า ไม่สามารถและไม่มีทางตกลงกันในเรื่องดังต่อไปนี้ได้ คือ

เรื่องแรก การยื้อยึดอำนาจปกครองประเทศไทยต่อไป หรือว่าหยุดและพอแล้ว ล้างมือแล้ว

เรื่องที่สอง การยกเลิกบรรดาคดีความและความผิดทั้งหมด ทั้งที่ศาลตัดสินแล้วและที่อยู่ระหว่างพิจารณาและที่ยังไม่มีการสอบสวน รวมทั้งการไม่เอาความใด ๆ กับการทุจริตและการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินของนักการเมือ

เรื่องที่สาม การคืนทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดเป็นของรัฐ หรือการไม่ติดใจเอาคืนอีกต่อไป

เรื่องที่สี่ การคุ้มครองธุรกิจพลังงานและธุรกิจเครือไทยคม ที่จะต้องไม่ถูกยกเลิกเพิกถอนหรือยึดเป็นของรัฐ

เรื่องที่ห้า การเลิกและหยุดให้การสนับสนุนขบวนการล้มเจ้าว่าจะเลิกหรือไม่เลิก จะหยุดหรือไม่หยุด

ทั้งห้าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องผลประโยชน์เฉพาะตัวเฉพาะตน เฉพาะคนเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องราวผลประโยชน์แห่งชาติ หรือเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติแต่ประการใด

นั่นเป็นเรื่องจริง เป็นเนื้อแท้แก่นแท้ที่ทำให้การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ และไม่มีทางที่จะตกลงกันได้เพราะไม่มีใครที่จะสามารถตกลงเช่นนั้นได้

มันไม่ใช่เรื่องปัญหาระบอบประชาธิปไตยดังที่กล่าวอ้างมาหลอกลวงประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว!

http://www.paisalvision.com/content/88-features/11424--qq-19-2557.html





เมื่อ ป.ป.ช. จะจัดตั้งตำรวจ ป.ป.ช....บอกสัญญาณอาเพศ
โดย สิริอัญญา
วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2557
กองกำลังของนักการเมืองที่เคยปฏิบัติการในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 2553 ได้ขยายการปฏิบัติการในปี 2556-2557 เพิ่มขึ้น ใช้ระเบิดและอาวุธสงครามยิงถล่มศาล องค์กรอิสระ และแกนนำประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่มีใครแสดงความรับผิดชอบเลยแม้แต่คนเดียว
หน่วยงานและหัวหน้าหน่วยงานที่มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายได้แต่บ้าใบ้พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่ยอมดำเนินการใด ๆ เพื่อหยุดยั้งเหตุร้ายเหล่านั้น จึงทำให้คนร้ายเหิมเกริมและขยายปฏิบัติการเย้ยฟ้าท้าดินต่อไป
นี่แหละคืออาเพศอย่างหนึ่ง ซึ่งโลกนิติได้บ่งชี้ว่าเป็นอาการที่หมาเป็นหัวหน้าฝูงราชสีห์ ดังนั้นจึงมีแต่เสียงเห่าหอนเลียแข้งเลียขาให้ปรากฏ
ด้วยเหตุนี้อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง รวมทั้งใครก็ตามที่ไม่ใช่ลิ่วล้อบริวารหรืออยู่ในขบวนการของนักการเมืองก็ต้องได้รับผลกระทบและมีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขณะนี้ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการก่อการร้ายที่ต้องระมัดระวังหรือต้องห้ามการเดินทางมาประเทศไทยไปแล้ว
สถานะของประเทศไทยในวันนี้พอ ๆ กับอิรัก เลบานอน และซีเรีย เพราะมีการเอาระเบิดและลากเอาอาวุธสงครามมาถล่มกันทั้งกลางวันและกลางคืน และในทุกพื้นที่โดยที่ไม่มีใครรับผิดชอบ
คนเหล่านี้เปลืองภาษีราษฎร เปลืองข้าวสุก เสียข้าวสาร ถึงจะทรมานด้วยการให้ไปยืนใต้ถุนโรงรถก็มิได้สำนึก เพราะมีแต่ความขี้ขลาดตาขาวในกมลสันดาน มีแต่ความโลภโมโทสันและเอาตัวรอด
เป็นเหตุให้ศาลและองค์กรอิสระต้องพยายามดิ้นรนในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติด้วยความเสี่ยงภัย แต่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ และยึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณในการทำหน้าที่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
มีแต่กฎหมายคือนิติศาสตร์หรือศาสตราที่เป็นกฎหมายเป็นอาวุธ มีความสุจริตเป็นเกราะคุ้มกันตัว และมีความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เป็นพลังไร้สภาพที่ป้องกันตัวเท่านั้น
ศาลกำลังมีตำรวจศาลและล่าสุดนายวิชา มหาคุณ ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ป.ป.ช. เตรียมการที่จะจัดตั้งตำรวจ ป.ป.ช. เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยและป้องกันการคุกคามของอริราชศัตรู ซึ่งก็รู้กันว่าเป็นลิ่วล้อบริวารของนักการเมือง
การที่ศาลและองค์กรอิสระต่าง ๆ กระทั่งรายล่าสุดคือ ป.ป.ช. ที่กำลังเตรียมการจัดตั้งตำรวจ ป.ป.ช. เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยของตนนั้นหมายความว่าอะไร?
หมายความว่า เบื้องต้นที่สุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติประสบความล้มเหลวอย่างรุนแรงที่สุดนับแต่ประเทศไทยมีตำรวจมา เฉพาะเสียงครหาที่ปรากฏในขณะนี้ก็คือ
ข้อแรก ตำรวจบางคนได้นำสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปขายให้กับนักการเมือง ยอมเป็นขี้ข้ารับใช้นักการเมือง ทำหรือละเว้นการกระทำตามที่นักการเมืองต้องการ ดังนั้นจึงปรากฏภาพตำรวจไปให้การดูแลคุ้มครองป้องกันผู้กระทำผิดกฎหมาย และปล่อยให้ลอยนวลในคดีความต่าง ๆ
ข้อสอง ตำรวจที่มีอำนาจทรยศต่ออำนาจหน้าที่ของตน ไม่ปกป้องคุ้มครองดูแลหรือพิทักษ์สันติราษฎร์ตามอำนาจหน้าที่ ปล่อยให้ทั้งศาล ทั้งองค์กรอิสระ โดยเฉพาะ ป.ป.ช. ถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่มิได้ป้องกันแก้ไขใด ๆ ที่มีผล แม้กระทั่งแกนนำประชาชนดังเช่นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็มีคนร้ายเอาอาวุธระเบิด M79 ไปยิงถล่มบ้านถึง 4 ครั้ง 4 รอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้ง ๆ ที่เป็นการเย้ยตำรวจ แต่ก็มิได้มีผู้ใดรู้สึกละอายใจที่ถูกเหยียดหยามเช่นนั้นเลย
แม้กระทั่งกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องก็ถูกข่มขู่คุกคามอย่างหนักหน่วง เฉพาะการใช้ระเบิด M79 ไปยิงถล่มก็กว่าร้อยนัดแล้ว และยังคงยิงถล่มต่อไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีใครแสดงความรับผิดชอบและคนร้ายก็ยังลอยนวล
เป็นเหตุให้ประชาชนขาดที่พึ่ง และเป็นเหตุให้มีการก่อตั้งการ์ดอาสาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลที่เกิดขึ้นก็คือทุกคนต้องป้องกันตนเอง ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคนไทยจะเสียภาษีอากรกันไปทำไม? เพราะเสียไปก็สูญเปล่า
ข้อสาม พระมหากษัตริย์ถูกล่วงละเมิด ถูกปองร้าย ถูกกล่าวคำอาฆาตใส่ความ โดยขบวนการของนักการเมือง และโดยที่ตำรวจไม่จับกุม ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดเยาะเย้ยอำนาจแห่งความยุติธรรมอย่างหน้าตาเฉย จนประชาชนทนไม่ไหว ต้องรวมตัวกันก่อตั้งองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ
สภาพเช่นนี้เป็นสภาพที่ต่างคนต่างหน่วยงานต่างต้องดูแลรักษาคุ้มครองป้องกันตัวเอง เพราะการไม่ทำหน้าที่ของตำรวจและเพราะการที่ตำรวจจำนวนหนึ่งยอมตนเป็นสมุนของผู้กระทำความผิดกฎหมาย กระทั่งยกย่องนักโทษเป็นเจ้านายเหนือหัว
นี่คือสัญญาณอาเพศเหตุร้ายของแผ่นดินที่บ่งบอกว่าอันตรายของบ้านเมืองได้มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว นั่นคือมาถึงจุดที่จะสิ้นชาติหรือจะฟื้นฟูชาติ? ซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องตัดสินใจและเผชิญกับชะตากรรมนั้นด้วยกัน!
http://www.paisalvision.com/content/88-features/11436----q---q-20-2557.html










ความจริง พวกนักวิชาการสมองกลวง
มันก็น่าจะรู้ว่าศาลควรตัดสินยังไง
เพราะ กฏหมายมันมีการระบุไว้หลายเรื่อง
มีการทำผิดตามที่กฏหมายห้ามจริง
แต่ที่ต้องทำเป็นไม่เข้าใจกฏหมาย ...
เห็นแยังกับศาล ปปช. เพราะ เสียประโยชน์
ว่ากันตามกฏหมาย มันแย้งไม่ได้....
ต้องใช้วิธี ดิสเครดิต อาศัยกระแสสังคม
แต่ขอโทษ..มันไม่ใช่ช่วงเวลาขาขึ้นของพวกมรึง