GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

.ความลับของจักรวาล..🌎 เคล็ดลับ ความสำเร็จ...Animation "สติคืออะไร ?"

.ความลับของจักรวาล..🌎 เคล็ดลับความสำเร็จ...
🍀 ■เมื่อใดที่เราสร้างภาพแห่งอนาคตได้ชัดเจน
เท่ากับภาพในอดีต
เหมือนกับว่าเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว 
รู้สึกว่าเกิดขึ้นจริงแน่นอน
เมื่อนั้นเราก็จะสามารถกำหนดอนาคตให้เป็นดั่งภาพในจินตนาการได้
■เคล็ดลับของอัจฉริยะ คือการสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในใจก่อนเสมอ
■มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ 《《《"สติสัมปชัญญะ"》》》》 ที่คอยควบคุมดูแลอารมณ์ ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด
■ความคิดส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์
ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคน
อื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ
■การให้บวก คือการเพิ่มให้บวกในตัวคุณเพิ่ม การให้ลบ ลบในตัวคุณก็จะเพิ่ม เช่น ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด ยิ่งบริจาคยิ่งรวย
■จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวเราเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล
■จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆจนตกตะกอนแล้ว
■เมื่อเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่เราคิดเกิดขึ้นจริง แล้วจะพบว่าสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตเรามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
■■จิตใต้สำนึกทำงานแม้ในขณะหลับ ดังนั้น
ในแต่ละวันควรระลึกถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำลงไปก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อจะได้ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น สมองแจ่มใส
■■จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจมากว่าจิตสำนึกหลายหมื่นหลายแสนเท่า การทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่เหนือมิติที่สี่
■■จิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้ในภวังคจิตมานานหลายภพหลายชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบัน จึงทำให้เรามีพื้นฐานจิต อุปนิสัย หรือจริตที่แตกต่างจากคนอื่น ตามประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา
■ทุกครั้งที่ทำความดี จงจดจำความรู้สึกดีดีนั้นไว้ ให้ประทับอยู่ในใจเรา สิ่งนี้จะเป็นพลังให้เรามีกำลังใจที่จะทำความดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญกว่านั้น พลังนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์
■กฎลับ 4ข้อ
●ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก เพื่อป้องกันความกระวนกระวาย
●มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราขอว่าเป็นจริงได้โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย
●จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาและมีความสุข
●เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ
อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายแทน
เช่นขอให้มีพลังแรงกายแรงใจ มีสติปัญญาให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นต้น
■ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพของจิตอย่างรุนแรง ทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ
ความกลัวจัดเป็นความคิดด้านลบ
เมื่อกลัวบ่อยๆ จิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น
แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นจริง
■เมื่อใดเรามีสติ ความคิดลบที่เกิดขึ้นในสมองจะไม่มีทางหลุดฝังลงไปในจิตใต้สำนึกได้
■เผชิญกับคนคิดลบ ต้องสร้างพลังบวกให้มากๆ
(คบคนพาล พาลพาไปหาผิด)..
■แต่ยิ่งคบคนที่คิดบวก.บวกในตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น(คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล)
■ถ้าเราคิดดี..สิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิต ถ้าเราคิดลบ สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาในชีวิต
■เมื่อชีวิตพบกับอุปสรรค จงคิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส เราก็จะมีพลังด้านบวกเพิ่มขึ้น มีความหวังและนั่นก็หมายถึงสิ่งดีๆ.ก็จะเข้ามาในชีวิตต่อไป
■การหัวเราะ จะทำให้คลื่นรังสีออร่ารอบๆตัวเป็นสีสดใส คลื่นบวกของสิ่งแวดล้อมจะมาออรอบๆตัวเรา เสียงหัวเราะมีพลังดึงดูดสูงมาก และมันสามารถดึงพลังคลื่นบวกแห่งจักรวาลเข้ามาสู่ตัวเรา
■ความรู้สึก "พอ" จะทำให้ชีวิตมีความสุข
และเกิดความรู้สึกอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น
ความรู้สึกนี้จะเป็นพลังดึงดูดที่ทรงอานุภาพและเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุดในการที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเรา
■จงแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่ง เพราะมีการทดลองพบว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายขณะทีแผ่เมตตา
■จงมีสติทุกครั้งที่ระลึกและรู้สึกตัว ให้เข้าไปดูความรู้สึกและปรับให้เป็นบวกเสมอ
■ความรู้สึกเป็นกรรมเก่า ความคิดคือกรรมปัจจุบัน การจะตัดความรู้สึกต้องระดมพลังความคิดบวกให้เข้มข้น แล้วบีบอัด
จนกลายเป็นความรู้สึกเชิงบวก จึงจะสามารถนำไปตัดความรู้สึกลบได้
《ระงับได้ด้วยการเจริญสติ [สมาธิ] 》
■หมั่นใช้ปัญญาวิเคราะห์ความรู้สึก ว่าจะเหนี่ยวนำให้ความคิดเป็นบวกหรือลบ
■การคิดลบจะเกิดเป็นความรู้สึกฝังอยู่ในจิต
เป็นกรรมติดตัว แต่ถ้าคิดบวก ก็จะเป็นการสกัดไม่ให้กรรมใหม่เกิดขึ้นอีก
■จงคิดบวกเสมอไม่ว่าสถานการณ์
ใด คิดแต่สิ่งดีๆทำแต่สิ่งดีๆ แล้วจิตใต้สำนึกจะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเหมือนกันเข้ามา ชีวิตเราก็จะไปสู่สิ่งที่ดี
■สิ่งที่สกัดกิเลสตัณหาได้มีเพียงสิ่งเดียวคือ 《"สติสัมปชัญญะ"》
เพราะเป็นตัวเฝ้าทวารทั้งขาเข้าและออก
■ในที่สุดเราก็จะรู้ว่า ทุกสิ่งแม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีอยู่จริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เหมือนฟองสบู่ที่เกิดดับภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว...!!.v
《ฝึกปฏิบัติให้เป็นนิสัย....สุข..และ..สำเร็จ》

Animation "สติคืออะไร ?"


วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สมถะ - วิปัสสนา

สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด
หลวงพ่อปราโมทย์ : ตรงที่เราบอกว่าเราฟังธรรมเข้าใจเนี่ย ความจริงไม่ได้เข้าใจด้วยการฟัง แต่เข้าใจด้วยการคิดเอาเอง การคิดเอาเองของเราเนี่ย คิดถูกก็ได้ คิดผิดก็ได้ งั้นธรรมที่ฟัง ๆ เอานะยังใช้ไม่ได้ ฟังเอาพอเป็นแนว เพื่อจะมารู้กาย รู้ใจ ศัตรูของการรู้กาย รู้ใจ เบอร์หนึ่งเลยคือการที่เราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด ลืมกาย ลืมใจที่เป็นปัจจุบัน รู้สึกไหม ขณะที่เราคิดไปเนี่ย เรานั่งอยู่เราก็ลืมไป จิตใจเราเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกุศล อกุศล เราก็ไม่รู้ นึกออกไหม เนี่ยอย่างขณะนี้ลืมกาย ลืมใจแล้ว ตรงที่ไหลแว๊บไป
เพราะฉะนั้นตราบใดที่คุณยังคิดไม่เลิกนะ คุณไม่ได้ทำวิปัสสนาแน่นอน แล้วมันเป็นศัตรูด้วย หลวงพ่อเลยไม่ส่งเสริมให้มานั่งคิดนั่งถามนะ ที่สงสัยได้เพราะคิดมาก คิดมากก็สงสัยมาก สงสัยแล้วอยากถาม ถามไปแล้วก็จำเอาไว้แล้วหรือเอาไปคิดต่อ นะ มันจะเวียนไปอย่างนี้เรื่อย ๆ วิปัสสนาจริง ๆ ไม่ใช่การคิด วิปัสสนาจริงๆ ในอภิธรรมสอนนะเริ่มจากตัวอุทยัพพยญาณ อุทยัพพยญาณเนี่ยมันเห็นความเกิดดับของรูปนามนะ แล้วระบุไว้ด้วยว่า ต้องพ้นจากความคิดด้วย ถ้ายังเห็นไตรลักษณ์ด้วยการคิดเอา เช่นคิดเอาว่าจิตตะกี้กับจิตเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน เนี่ยแสดงว่าเป็นไตรลักษณ์ นี่ได้แค่สัมมสนญาณ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา เพราะฉะนั้นยังตราบใดที่ยังคิดอยู่ไม่ใช่วิปัสสนา
หลวงพ่อพุธเคยสอนนะบอกว่า “สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด” ความคิดเนี่ยคือศัตรูเบอร์หนึ่งเลย มันทำให้เราลืมกายลืมใจตัวเอง ส่วนศัตรูเบอร์สองคือการที่บังคับกาย บังคับใจ นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยคือนักบังคับกาย บังคับใจ เพ่งเอา ๆ นะ กำหนดเอา ๆ กายก็ทื่อ ๆ ใจก็ทื่อ ๆ ถ้าเราบังคับกาย บังคับใจ จนมันทื่อ ๆ ไปแล้วไตรลักษณ์มันจะไปอยู่ที่ไหน มันไม่แสดงตัวขึ้นมา
ศัตรูของผู้ปฏิบัติวิปัสสนาอันแรก หลงไป เผลอไป ขาดสติ ลืมเนื้อ ลืมตัว ตามใจกิเลสไปนี้เรียกว่า อกุศลาภิสังขารมั่ง อปุญญาภิสังขารมั่ง เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยคบ้าง มีหลายชื่อ
ศัตรูหมายเลขสองคือการเพ่งกาย เพ่งใจ บังคับกาย บังคับใจ กำหนดกาย กำหนดใจ ควบคุมไว้ ทำกายทำใจให้ลำบากอันนี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร ความปรุงแต่งฝ่ายที่เป็นบุญ เรียกว่า กุศลาภิสังขาร ความปรุงแต่งที่เป็นกุศลเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค การบังคับตัวเอง
เนี่ยสองทางนี้แหละเป็นทางสุดโต่งสองด้านที่พระพุทธเจ้าห้าม ถ้าเรายังไปทำส่วนใหญ่ไปทำอย่างนั้นเองคือไปเพ่งเอา กำหนดเอา ใจแข็ง ทื่อ ๆ จ้องเอาไว้ ๆ นั่นไม่ใช่การเจริญสติ
การปฎิบัติธรรมสายสติปัฏฐาน๔ คือการรู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม สรุปคือ รู้รูปกับนามนั่นเอง กาย จัดว่าเป็นรูป ส่วนเวทนา จิต และธรรมจัดเป็นนาม รูปกับนามแยกออก เป็นขันธ์๕ก็ได้คือ รูปก็จัดเป็นรูป หรือร่างกาย.. ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ จัดเป็นนาม หรือจิต ดังนั้นเรื่องของรูป -นาม, เรื่องของกาย-จิต, เรื่องขันธ์๕,และเรื่องของสติปัฏฐาน๔จึงเป็นเรื่องเดียกัน และมีหลักปฎิบัติอย่างเดียวกันคือศึกษาให้รู้ แล้วก็วางเช่น ศึกษาให้รู้เรื่องรูปก็สักแต่ว่ารูป ไม่ยินดียินร้ายอะไรแล้วก็วางไป ศึกษาให้รู้ว่านามก็สักแต่ว่านาม ไม่ได้ยินยินร้ายอะไรแล้วก็วางไป  สำหรับการศึกษาก็ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมาย มีแต่กายกับจิตของตัวเราเองก็สามารถศึกษาได้จบหลักสูตร ไม่ต้องเรียนอะไรนอกกายไปจนถึงนอกโลกหรอก เรียนในกายที่กว้างหนึ่งศอก ยาวหนึ่งวา หนาหนึ่งคืบนี่แหละก็เอาตัวรอดได้

ทางดับทุกข์ที่ได้ผลแท้จริง ต้องดับที่ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 
ธาตุ 4 คือ ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประชุมรวมกันเป็น กาย ของเรา
ขันธ์ 5 คือ ว่าโดยย่อ กองแห่ง รูป คือ ร่างกาย และ นาม คือ เวทนา (สุข ทุกข์ กลางๆ) สัญญา( ความจำได้หมายรู้) สังขาร (การปรุงแต่งจิต ความคิด) วิญญาณ (ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้นกายใจ สัมผัสทั้งหลาย) โดยย่อคือ รูปและนาม
อายตนะ 6 คือ ตา หุ จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สัมผัสกระทบกับสิ่งต่างๆ เช่น ตา เห็นสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ หูได้ยินสิ่งที่อยากได้ยิน หรือไม่อยากได้ยิน เป็นต้น ทุกๆการสัมผัส ทุกๆความคิด ทุกอารมณ์ ความเจ็บปวด สดใส ใจเราดวงเดียวเป็นผู้รับภาระ กลไกการแก้ทุกจึงต้องแก้ที่ใจ เป็นอันดับแรก โดยมีปัจจัยสนับสนุนว่าจะได้ผลดีแค่ใหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับ กรรม ความเพียร กัลยาณมิตร และ สติปัญญาที่สั่งสมมาของแต่ละบุคคล ขอทุกๆท่าน จงเจริญในธรรม ยิ่งๆขึ้นไป
หลวงพ่อปราโมทย์  : มีพระสูตรอยู่พระสูตรหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านไล่ขันธ์ ๕ ลงเป็นไตรลักษณ์ ชื่อพระสูตรอะไรอะไรเอ่ย? ฮึ ดังๆซิ โอ้.. มีคนตอบได้หลายคน “อนัตตลักขณสูตร” อนัตตลักขะ ลักขณะ ลักษณะ ของความไม่ใช่ตัวตน ท่านไล่เลย ตั้งแต่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง เห็นมั้ย ไล่จากความเที่ยงหรือไม่เที่ยง พระปัญจวัคคีย์ตอบว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า ท่านก็ถามต่อ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ ของไม่เที่ยงน่ะทนอยู่ได้มั้ย เนี่ย..ถ้าพูดภาษาไทย ทนอยู่ไม่ได้ ของไม่เที่ยงทนอยู่ไม่ได้ ของที่ทนอยู่ไม่ได้นั้นน่ะ ควรเห็นว่าเป็นตัวเรามั้ย? มีอัตตาตัวตนถาวรมั้ย มีความเป็นอมตะมั้ย ก็ไม่มีความเป็นตัวตนถาวร เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง ไม่เที่ยง ของไม่เที่ยงนั้นน่ะ เป็นของที่ทนอยู่ได้ตลอดไปมั้ย ก็ทนอยู่ไม่ได้ ของที่ทนอยู่ไม่ได้ หมายถึง มันเคยมีแล้ววันหนึ่งมันก็ไม่มี มันก็ไม่ใช่ตัวตนถาวร เนี่ย ท่านไล่ขันธ์ ๕ อย่างนี้นะ ทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไล่ด้วยการตั้งคำถาม เพราะฉะนั้นบางครั้งพระพุทธเจ้าท่านสอนด้วยการตั้งคำถาม วิธีสอนของพระพุทธเจ้ามีหลายอย่างนะ ใช้บรรยายก็ได้ใช้ถามก็ได้ ใช้ช็อคเอาก็ได้นะ
ทางบรรลุธรรม เมื่ออริยมรรคเกิด อริยผลเกิด จิตจะสัมผัสพระนิพพาน หลวงพ่อปราโมทย์ : ข้ามเข้ามา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงวิญญาณธาตุ ธาตุรู้แท้ๆแล้ว ธรรมธาตุ ตัวนี้ แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่นี้ ถูกอริยมรรคแหวกออก แหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียว ขาดเลย มันคล้ายๆ เปิดสวิทช์ไฟปั๊บ สว่างวูบเดียว ความมืดหายไปเลยนะ ในพริบตานั้นเลย จิตถัดจากนั้นนะ จะเห็นพระนิพพานอีก ๒ – ๓ ขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็น ๒ ขณะ บางคนเห็น ๓ ขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆ ก็เห็น ๓ ขณะ พวกอินทรีย์ไม่กล้ามาก ก็เห็น ๒ ขณะ

เพราะฉะน้้นพระอริยะในภูมิเดียวกันนะ ระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรอย่างนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพาน ก็รู้ว่าพระนิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี้แหละ แต่โง่เอง ไม่เห็น ทำไมไม่เห็น มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เขาปล่อย เขาข้ามแล้ว เขาทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตรน่ะ ข้ามจากปุถุชน มาเป็นพระอริยะ ข้ามทิ้งตรงนี้ มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง  ทีนี้พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละ ถ้ามันพอเมื่อไหร่ มันก็ข้ามโคตร เปลี่ยนสกุล ก็ไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่ละ ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเวลาพระพุทธเจ้าท่านพูดถึงพระอริยะนะ ท่านจะบอกว่า ลูกของเรา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี
พระอริยสงฆ์คือใคร  : พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
1.  พระโสดาบัน ผู้เข้าถึงกระแสคือเข้าสู่มรรค เดินทางถูกต้องอย่างแท้จริง หรือปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคอย่างแท้จริง เป็นผู้รักษาศีลให้สมบูรณ์มิให้ศีลขาดหรือด่างพร้อย ทำได้พอประมาณในสมาธิ (คือทำได้ยังไม่เต็มที่เหมือนรักษาศีล) และทำให้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์กิเลสได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน) วิจิกิจฉา (ความสงสัย) สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นในศีลและข้อวัตรอย่างงมงาย)

2.  พระสกทาคามี ผู้จะกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียว ก็จะกำจัดทุกข์ได้หมดสิ้น เป็นผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำได้พอประมาณในสมาธิ ทำได้พอประมาณในปัญญา ละสังโยชน์กิเลส 3 ข้อ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงด้วย

3.  พระอนาคามี ผู้จะปรินิพพานในที่ที่ผุดขึ้น ไม่เวียนกลับมาอีก เป็นผู้รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำสมาธิให้บริบูรณ์ได้เต็มที่ แต่ทำได้พอประมาณในปัญญา (มีใจเป็นสมาธิ แต่ยังไม่เห็นแจ่มแจ้ง) ละสังโยชน์ได้อีก 2 คือ กามราคะ (ความกำหนัดในกาม) และ ปฏิฆะ (ความขุ่นเคืองใจ) รวมเป็นละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ข้อ

4.  พระอรหันต์ ผู้ควรแก่ทักษิณาหรือการบูชาพิเศษ หรือผู้หักกำแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในสิกขาทั้ง 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และละสังโยชน์กิเลสเบื้องสูงได้อีก 5 ข้อ คือ รูปราคะ (ความติดใจปรารถนาอยู่ในรูปภพ) อรูปราคะ (ความติดใจปรารถนาอยู่ในอรูปภพ) มานะ (ความถือตัว) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) อวิชชา (ความไม่รู้อริยสัจจ์) รวมละสังโยชน์ได้ 10 ข้อ
สิ่งที่มีรากเหง้ามาจากตัณหา ( ตัณหามูลธรรม) ๙ ประการ...
๑. มีตัณหา (ความอยาก)
๒. เมื่อแสวงหาก็ได้มา (ลาภะ)
๓. เมื่อได้มาแล้วก็ได้มีการกะกำหนด (วินิจฉัย)
๔. เมื่อมีการกะกำหนด ก็มีความรักใคร่พอใจ (ฉันทราคะ)
๕. เมื่อมีความรักใคร่พอใจ ก็มีความฝังใจ (อัชโฌสานะ)
๖. เมื่อมีความฝังใจ ก็มีความหวงแหน (ปริคคหะ)
๗. เมื่อมีความหวงแหน ก็มีความตระหนี่ (มัจฉริยะ)
๘. เมื่อมีความตระหนี่ ก็มีความปกป้อง (อารักขา)
๙. เมื่อมีการปกป้อง ก็มีการถือไม้, มีด, การทะเลาะ, แก่งแย่ง, ขึ้นมึงกู, ส่อเสียด, มุสาวาท อกุศลธรรมทั้งหลายก็เกิดมีขึ้น...

จาก คำบรรยายพระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย
โดย ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก

"เห็นธรรมะ คือ เห็นตัวเอง"  เขมานันทะ (อ.โกวิท เอนกชัย)การเห็นธรรมะนั้นคือเห็นตัวเอง เราไม่เคยมองเห็นตัวเองเลย แต่ว่าเราคิดถึงตัวเอง เราสร้างภาพตัวเองขึ้นมาในจินตนาการ ว่าเราเป็นอันนั้น เราเป็นอันนี้ แล้วเราก็เจ็บปวดกับอันนั้นอันนี้ แต่เราไม่เคยเห็นตัวเอง ทั้งไม่รู้จัก ถ้าเห็นตัวเองภาพในจินตนาการของเราจะดับไป
เห็นตัวเอง คือเห็นไม้เห็นมือกำลังยกไปยกมา ถามว่าเห็นด้วยอะไร ไม่ใช่ด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อมันเห็นอะไรไม่ค่อยได้มาก มันเห็นเฉพาะรูปที่มันอยากจะเห็น ขอบเขตมันมีอยู่ แต่ “เห็น” ด้วยความรู้ตัว รู้ตัวว่ากำลังนั่ง กำลังเดิน โดยไม่มีความคิดเกี่ยวกับการเดิน มีแต่ความรู้สึกสัมผัสล้วนๆ สิ่งนี้เป็นจริงได้ในที่ทุกแห่ง เราสามารถเห็นตัวเราเองได้ กำลังเดินอยู่ ถ้าเห็นตัวเองอย่างนี้ อะไรที่มันผิดเพี้ยนมันจะเห็นก่อน เช่น โทสะเกิด มันจะหยุดตรงนั้น "พอรู้ตัวได้ ... มันก็ตกไป สิ้นไป ดับไป"
การเห็นตัวเองได้อย่างสมบูรณ์นั้นคือการอยู่เหนือความคิด โดยปกติคนเรานั้นมักจะคิดถึงตัวเอง คิดถึงคนที่เรารัก แล้วก็ใช้ความคิด คิดถึงความคิดอื่นๆ เช่น นักภาวนา นักปฏิบัติ คิดว่า เอ๊ะ! ความคิดคืออะไร นั่นคือความคิด ความคิดนั่นแหละคิดถึงความคิด เราไม่ควรปฏิบัติเช่นนั้น  ถ้าเราสำรวมสัมปชัญญะ สมปฤดีทั้งหมดมาที่การเคลื่อนไหว แล้วก็ “ปล่อยให้มันคิด แต่อย่าไปคิดกับมัน” ถ้อยคำเหล่านี้ดูชอบกล คือปล่อยให้มันคิด แต่อย่าไปคิดกับมัน แสดงว่าเราเป็นตัวสัมปชัญญะ “คิดก็คิด มันคิดของมัน แต่เราไม่ได้คิดด้วย” ทำอยู่อย่างนี้ ไม่ช้าไม่นานจะเห็นแจ้งด้วยปัญญา เห็นความต่างระหว่างความคิด กับ ความรู้สึก ความคิดนั้นอย่างหนึ่ง ความรู้ตัวอีกอย่างหนึ่ง

" วางอุปาทาน วางที่จิต ไม่ใช่สมองคิดวาง "
หลงยึดตํารา หรือ หลงที่จะไม่ยึดตํารา ตํารานั้นดีอยู่แล้วไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี หากแต่เป็นตัวเราเองต่างหากที่ไปยึดถือเอาไว้แบบไม่ยอมปล่อย ความเป็นอิสระแห่งจิตจึงไม่บังเกิดแก่ตน ความหลุดพ้นจึงไม่มี หลงยึดธรรมจึงมีธรรมและมีตน หลงที่จะไม่ยึดตําราก็ยังมีตนเพราะไปยึดที่จะไม่ยึดตํารา หากแต่ความจริงแล้วไม่มีสิ่งใดผิดเลย นอกจากตัวเราที่ไปหลงยึดเอาไว้อยู่ ทําให้มีตัวมีตนขึ้นมา ภพชาติจึงไม่จบสิ้น ภพชาติแม้เพียงเวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียว พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงสรรเสริญ เพียรรักษาใจตน อย่าเผลอ

สัจจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย นั้นมีอยู่แล้วในกายใจตน หมั่นคอยดูกายดูใจตน(สติปัฏฐาน4) จะเห็นสัจจธรรมที่ไม่ใช่ตัวหนังสือ ปรากฏแจ้งแก่ใจตน ดีกว่าที่จะเอาปัญญาความคิดที่ยังยึดติดกับอวิชชา มาตีความตํารา ให้เป็นไปตามความคิดของตน แล้วมานั่งถกเถียงกันด้วยความคิดแบบโลกๆ ปัญญาแบบโลกๆ มันไม่แจ้งในอริยะมรรคอริยะผล เหมือนดังปัญญาญาณ ญาณแห่งการตรัสรู้ธรรม ธรรมนั้นจะแจ้งแก่จิตตน
พระพุทธองค์ทรงสอนพวกเราว่า...
1. ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้นคือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราด้วยเหตุบังเอิญ

2. ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆขึ้นในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ เพราะเราก็เคยทำอย่างนี้กับเขามาก่อนเมื่ออดีตชาติ

3.  เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิด ต่อให้คุณเตรียมตัวหรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อปัจจัยถึงพร้อม สิ่งเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นในทันที

4.  เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าเอาแต่อาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่าเมื่อสุดมือสอยก็ให้ปล่อยมันไป กล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องดีๆกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า

5.  ทำความดีในปัจจุบันให้มากที่สุด แล้วไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกรรมอะไรมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไรกรรมเก่าไม่ได้แล้ว แต่ผู้มีปัญญาจะคิดว่า กรรมใหม่ดีๆมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำได้บ้าง แล้วจึงทำ สรุป กรรมดีในปัจจุบันสำคัญที่สุด!!!

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มหานครที่ไม่มีใครรบชนะ



Be strong when you are weak, brave when you are scared. We are Bangkok, we are STRONG.

มหานครที่ไม่มีใครรบชนะ

กรุงเทพมหานคร แปลว่า "พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร" มาจากชื่อเต็มว่า...

กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์

มีความหมายว่า...

"พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคง และเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้ "

ขอให้ทุกคนเข้มแข็งแม้ในวันที่อ่อนแอ และกล้าหาญในวันที่ปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว เราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


พระสยามเทวาธิราช อีกมุมมองหนึ่งที่ควรทราบ......

พระสยามเทวาธิราชนับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชดำริว่า ประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่บังเอิญมีเหตุให้รอดพ้นภยันตรายมาได้เสมอ ชะรอยคงจะมีเทพยดาที่ศักดิ์สิทธิ์คอยอภิบาลรักษาอยู่ สมควรที่จะทำรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นสักการบูชา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าประดิษฐวรการปั้นรูปสมมติขึ้น แล้วหล่อด้วยทองคำแท่ง มีลักษณะแบบเทวรูป มีความสูง ๘ นิ้ว ทรงเครื่องอย่างเทพารักษ์ ทรงมงกุฎ ประทับยืน พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นในท่าจีบเสมอพระอุระ ประทับในเรือนแก้วทำด้วยไม้จันทน์ มีลักษณะแบบวิมานเก๋งจีน และถวายพระนามว่า พระสยามเทวาธิราช โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง
ภายในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ซึ่งที่ประดิษฐานพระสยามเทวาธิราชจะอยู่ด้าขวาของภาพ

พระบาทสมเด็จพระจอมกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเคารพบูชาพระสยามเทวาธิราชเป็นอย่างสูง ทรงถวายเครื่องสักการะเป็นประจำทุกวัน และทรงถวายเครื่องสังเวยทุกวันอังคารและวันเสาร์ก่อนเวลาเพล กับโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีสังเวยเทวดาในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ อันตรงกับวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติแบบโบราณด้วย ทั้งเป็นที่ร่ำลือกันว่าพระสยามเทวาธิราชนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเคารพนับถือพระสยามเทวาธิราช เช่นเดียวกับพระราชบิดา นอกจากจะโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ในเครื่องทรงแบบพระสยามเทวาธิราชขึ้นองค์หนึ่งประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต เพื่อทรงสักการะแล้ว ยังโปรดเกล้าฯ ให้นำรูปพระสยามเทวาธิราชประทับนั่งใส่ในด้านหลังของ เหรียญกษาปณ์ ราคาเสี้ยว อัฐ และโสฬส ซึ่งออกใช้ในรัชสมัยของพระองค์ด้วย
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเลียนแบบพระสยามเทวาธิราชแต่แปลงเค้าพระพักตร์ให้ เหมือนสมเด็จพระชนกาธิราช เพื่อทรงสักการะ พระบรมรูปองค์นี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ หรือพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ เสด็จแทนพระองค์ไปทรงถวายเครื่องสังเวยพระสยามเทวาธิราช ในวัน ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ และระหว่างงานฉลองกรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระสยามเทวาธิราชออกมาให้ประชาชาชนทั่วไปได้สักการบูชาเป็นครั้งแรก

คนไทยเราเชื่อกันมาแต่โบร่ำโบราณแล้วว่ามีเทวดาผู้ปกปักรักษาบ้านเมืองใน สมัยกรุงสุโขทัยมีพระขพุงผีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เชื่อกันว่า “ถ้าไหว้ดีพลีถูก บ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าไหว้ดีพลีไม่ถูก บ้านเมืองก็ล่มจม” พระขพุงผีนี้เข้าใจกันว่าน่าจะเป็นเทวรูปศิลาของเทวนารีซึ่งปัจจุบันเรียก ว่า แม่ย่า ซึ่งสันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงให้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมารดาคือ นางเสือง

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและต่อมาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความเชื่อว่าเทวดาที่คุ้มครองบ้านเมืองคือ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และ พระหลักเมือง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงให้ความหมายของพระเสื้อเมืองว่า มีมัลลิตารีเพาเวอร์ คืออำนาจทางทหาร พระทรงเมืองเป็นซีวิลเพาเวอร์ คืออำนาจของข้าราชการพลเรือน ส่วนพระหลักเมืองเป็นจูดิคัลเพาเวอร์ คืออำนาจตุลาการ ซึ่งสื่อความหมายว่าบ้านเมืองจะร่มเย็นได้ ก็ต้องประกอบด้วยความเข้มแข็งทางทหาร การปกครองที่ดีงาม และกระบวนการด้านความยุติธรรมอันถูกต้องเที่ยงตรง อย่างไรก็ตามในส่วนของชาวบ้านโดยทั่วไปยังให้ความเคารพยำเกรงต่อพระแก้วและ พระกาฬ จนมีคำสาบานที่อ้างพระแก้วพระกาฬอย่างติดปาก พระแก้วก็คือพระแก้วมรกตซึ่งถือได้ว่าเป็นของคู่บ้านคู่เมืองโดยแท้ เพราะชื่อของเมืองคือรัตนโกสินทร์ก็หมายถึงที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตนั่นเอง ส่วนพระกาฬ หรือพระกาฬไชยศรีเป็นบริวารพระยม มีหน้าที่นำดวงวิญญาณมนุษย์ไปยมโลก

ส่วนพระสยามเทวาธิราชซึ่งสร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น พระมหาโพธิธรรมาจารย์วงศ์ศากยะได้ เขียนเล่าไว้ว่า
ชื่อ “พระสยามเทวาธิราช”นั้น เป็นตำแหน่งหน้าที่การงานอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ชื่อของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ และผู้ดำรงตำแหน่งพระสยามเทวาธิราชนั้นเปลี่ยนแปลงได้ เปลื่ยนตัวบุคคลได้ตามความเหมาะสมแก่กาลสมัย ไม่เป็นการตายตัวว่าท่านผู้ใดได้ดำรงตำแหน่งนี้แล้วจะต้องอยู่กี่ปีหรือ ต้องอยู่ตลอดไป

คำว่า “พระสยามเทวาธิราช” นั้นมีมานานแล้ว เป็นตำแหน่งที่พระมหาพรหมซึ่งมีหน้าที่ปกปักรักษาเมืองสยามตั้งขึ้น โดยมีการประชุมเทพ-พรหมที่เป็นฝ่ายรักษาบ้านเมืองและเห็นสมควรบัญญัติคำว่า “พระสยามเทวาธิราช” ขึ้น และทรงประทานหน้าที่นี้ให้แก่พระมหากษัตริย์ผู้ครองเมืองสยามทรงทำหน้าที่นี้ ผู้ดำรงตำแหน่งพระองค์แรกและเรียงกันลงมาตามลำดับคือ

๑ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
๒ พ่อขุนผาเมือง
๓ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
๔ พระเอกาทศรถ
๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ
๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเมตตามหาราช(ปิยมหาราช) พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาจากเบื้องบนเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ ครั้งแรกได้ทรงแต่งตั้งพระอนุชาและพระโอรสใ้ห้ช่วยงานการในตำแหน่งอีก ๑๓ พระองค์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ทรงเป็นองค์ที่ ๑๓ แต่ บัดนี้เนื่องจากเหตุการณ์ทางบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปจึงทรงลำดับใหม่ดังนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๕) ทรงเป็นองค์ประธาน ทรงมีผู้ช่วยอีก ๔ พระองค์คือ
๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๔)
๒ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๖)
๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๗)

(โดยอาจจะทรงมีการแต่งตั้งอีกในภายหน้า)

การที่เบื้องบนได้ทรงแต่งตั้งให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๕) ขึ้นดำรงตำแหน่งพระสยามเทวาธิราชนี้ ได้ประชุมและตกลงกันโดยได้ทรงพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระองค์ที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบันนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๕) พระเมตตามหาราชพระองค์นี้ เมื่อยังเสด็จประทับอยู่ในโลกมนุษย์ ทรงมีพระเมตตากรุณาเป็นอย่างสูง เมื่อได้เสด็จสวรรคตแล้วได้ทรงใช้กรรมเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วเวลาอันรวดเร็วก็ได้ขึ้นเป็นเทพ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ ผู้เขียน...หมายถึงท่านพระมหาโพธิธรรมาจารย์ วงศ์ศากยะเอง....ได้พบพระองค์ในฐานะเทพชั้น ๖ แต่จากนั้นไม่ถึง ๕ ปี ก็ได้ขึ้นเป็นพรหม และบัดนี้ทรงเป็นพระมหาพรหมแล้วทรงพระนามว่า “พระมหาพรหมปิยะวงศ์วิสุทธิราช” เสด็จประทับอยู่ ณ.พรหมโลก

ผู้ช่วยพระองค์ที่ ๑ คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๔)ขณะนี้เสด็จประทับอยู่บนเทวโลกชั้นดาวดึงส์ตอนต้น ตอนนี้ท่านพระมหาโพธิธรรมาจารย์วงศ์ศากยะได้ทราบจากนักสืบองค์ น้อยว่ากำลังบำเพ็ญสมาธิทางพระจิตอยู่ เพราะเมื่อยังเสด็จประทับอยู่ในมนุสสโลกนั้นต้องทรงพากเพียรเรียนทางบาลีและ อังกฤษ ฯลฯ จึงไม่มีเวลาพอที่จะตั้งพระทัยบำเพ็ญทางพระกรรมฐานได้ ครั้นเมื่อได้ทรงลาสิกขาบทแล้วก็ยิ่งต้องทรงมีธุรกิจทางปกครองบ้านเมืองมาก ยิ่งขึ้น ขณะนี้ถ้าเวลาใดพอมีเวลาว่างบ้างก็ทรงตั้งพระทัยที่จะแสวงหาความรู้ทางฌาน และญานเพื่อประโยชน์จะได้้ทรงช่วยพระศาสนาและบ้านเมือง

ผู้ช่วยพระองค์ที่ ๒ (หรือพระสยามเทวาธิราชองค์ที่ ๓) คือกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พระองค์นี้ทรงเข้มแข็งและเด็ดขาดและทรงมีหลายพระภาค เรื่องต่อสู้เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองแล้วรับรองได้ว่ามิได้เคยทรงย่อท้อต่อไพรีเลยแม้แต่ก้าวเดียว เรื่องรักชาติแล้วเป็นหนึ่งไม่มีสอง

ผู้ช่วยพระองค์ที่ ๓ และที่ ๔ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระเมตตาต่อประชาชนเป็นอย่างมากแต่กาลเวลาที่ทรงครองราชย์สั้นไป ถึงกระนั้นเรื่องการเอาพระทัยใส่ต่อบ้านเมืองแล้วก็ทรงหนักแน่นอยู่เสมอแม้จนบัดนี้ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นเทพชั้นจาตุมหาราช ประทับอยู่ ณ สโมสรสุขเกษมบนเทวโลก

ตลอดหลายร้อยปีของการมีประเทศไทย และ ๒๒๙ ของการมีกรุงรัตนโกสินทร์ บูรพกษัตริย์ไทยทรงให้ความเคารพบูชาเทพยาฟ้าดินผู้พิทักษ์รักษาคุ้มครองบ้านเมือง จนปัจจุบันนับเป็นปีที่ ๒๒๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หรือนับเป็นพุทธศักราชที่ ๒๕๕๓ มีบุคคลบางกลุ่มที่พยายามกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งนับเป็นวันที่บูรพกษัตริย์ไทยทรงถือเป็นวันสำคัญแห่งการบูชาองค์พระสยามเทวาธิราช คงไม่อาจคิดเป็นอย่างอื่นได้นอกเสียจากการให้ร้ายแก่แผ่นดินนี้ และ ๓ สถาบันสูงสุดของชาติไทย

ขอพระสยามเทวาธิราชและบูรพกษัตริย์ไทยทรงคุ้มครองคนดีและบ้านเมืองนี้ด้วยเถิด

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สาเหตุยังไม่รู้ แต่เป้าหมายทำลายไทยยับเยินชั่วข้ามคืน!!



Today there was another tragedy in the Kingdom. Terrorists struck with a small but deadly bomb leaving many killed and many wounded.
Many people are now worried about their loved ones who are traveling in Thailand. The attack was limited in nature to a very small but crowded area. I have been to that spot many times and it was always crowded. On the scale of Thailand, this was tiny.
Your loved ones are safe here. Riding motorbikes here, however, is very dangerous. I cannot stress this enough.
If the situation becomes dangerous for foreigners, I and others will say this. The situation remains safe and stable.
After the bombing in Bangkok, I saw increased Army and police on the street tonight in Chiang Mai, but not many -- just a handful. And the people like them, and I like to see them around.
If you are a tourist and see the Army and wish to take a picture, they are fine with it. They will not take your camera or arrest you. More likely they will just smile and wave.
My thoughts are with the victims and their families.
Keep Calm, and Love Thailand.
“ราชประสงค์”จากสี่แยกเทพเจ้า สี่แยกอาถรรพ์ สู่ “สี่แยกแห่งความเศร้า”/ปิ่น บุตรี
http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000093251

“ราชประสงค์”จากสี่แยกเทพเจ้า สี่แยกอาถรรพ์ สู่ “สี่แยกแห่งความเศร้า”

นายกฯร่วมพิธีบวงสรวงฯ-เปิดอุทยานราชภักดิ์
อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000093920














       บอกตามตรงว่าหลังได้ทราบข่าวลอบวางระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อค่ำวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็รู้สึกหดหู่ เศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก นั่งเซ็งจนแทบไม่อยากทำอะไร เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นคราวนี้มันเลวร้ายมาก ประเภทที่เรียกว่า “ย่อยยับ” ลงไปในพริบตา ทำให้ประเทศไทยในสายตาคนไทยด้วยกัน รวมทั้งคนต่างชาติเป็นบ้านเมืองที่ไม่ปลอดภัย ไร้น้ำใจไมตรีลงไปในทันที 
       
       แน่นอนว่าจนถึงนาทีนี้ยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเป็นฝีมือของใครหรือกลุ่มไหน แต่เท่าที่ฟังคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อตอนสายวันอังคารที่ 18 สิงหาคม หลังได้รับรายงานความคืบหน้าของคดีว่า “เป็นไปได้ที่สาเหตุอาจมาจากเรื่องการเมืองภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ” ซึ่งต้องติดตามเบาะแสอย่างใกล้ชิด
       
       “สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปได้สองอย่าง ระหว่างเรื่องการเมือง กับเรื่องระหว่างประเทศ ยังไม่ได้ตัดว่าเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่ง แต่การเมืองมันขัดแย้งกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ใครเป็นคนจุดล่ะชนวน ใครจุด ตอบมาสิ ใคร”
       
       ถามว่า ในความตั้งใจอยากให้ผลการสอบสวนมีความชัดเจนโดยใช้เวลากี่วัน นายกฯ กล่าวว่า เร็วที่สุด วันนี้ มีการนำกล้องวงจรปิดมาดูแล้ว พบมีบุคคลต้องสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่ชัด ต้องหาตัวให้เจอก่อน
       
       เมื่อถามว่า มือโพสต์เฟซบุ๊กที่เหมือนจะรู้การณ์ล่วงหน้า เวลานี้รู้หรือยังว่าเป็นใครที่ไหน นายกฯ กล่าวว่า “ได้ให้ไปเรียกตัวคนโพสต์ดังกล่าวมาแล้ว กำลังหาตัวอยู่ ส่วนหนึ่งอยู่ทางภาคอีสานนู่น ไอ้คนโพสต์เคยอยู่กลุ่มต่อต้านรัฐบาล”
       
       นายกรัฐมนตรียังเรียกร้องให้คนไทยต้องระมัดระวังตัว แต่ไม่ตื่นตระหนก “ต้องรู้ตัวและมีบทเรียนว่าที่ผ่านเกิดอะไรขึ้นบ้างกับประเทศ ต้องระมัดระวังตัวไหม ไม่ใช่ปล่อยสบายๆ ก็รู้อยู่ว่ามีการเคลื่อนไหว ต่อต้านรัฐบาลอยู่ ก็แค่นั้นระมัดระวังแต่ไม่ใช่ตื่นตระหนก จนไม่ใช้เงินใช้ทอง ก็จะยิ่งทำให้เดือดร้อนกันเข้าไปอีก ต้องการแบบนั้นหรืออย่างไร และมันจะเกิดแบบนี้เพราะจากข่าวทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งวันนี้สื่อต่างประเทศนำเสนอข่าวออกมา โดยที่ผมยังไม่เคยแจ้งอะไรเลย แต่มีข้อมูลเขียนก่อน รวมทั้งภาพระเบิด และคนบาดเจ็บ ความสูญเสียเหล่านี้ออกไปได้ประโยชน์อะไร ผมไม่เข้าใจ”
       
       ฟังจากบุคคลสำคัญด้านความมั่นคง เช่น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ก็ยอมรับว่ากล้องวงจรปิดสามารถจับภาพชายต้องสงสัยเอาไว้ กำลังอยู่ในช่วงประมวลหลักฐานการเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดความชัดเจน ส่วนสาเหตุนั้นก็ยังไม่ตัดประเด็นความขัดแย้งของการเมืองในประเทศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ
       
       ขณะที่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระบุว่าคนร้ายมีเจตนาทำร้ายคนบริสุทธิ์ ทำลายเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน และยอมรับว่าไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะลงมือก่อเหตุร้ายกันกลางใจเมืองที่มีเจตนาสร้างความเสียหายแบบนี้ แต่ให้ประชาชนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ในการควบคุมสถานการณ์และการจับกุมคนร้าย
       
       นั่นเป็นการประมวลคำพูดของบุคคลสำคัญด้านความมั่นคงที่ออกไปในทิศทางเดียวกัน คือ “พบบุคคลต้องสงสัย” แล้ว เพียงแต่ว่ายังอยู่ในขั้นติดตามตัวมาสอบสวน รวมทั้งต้องตรวจสอบหาพยานแวดล้อมอื่นๆ มาประกอบ แต่เอาเป็นว่าข้อเด่นของพื้นที่แยกราชประสงค์อย่างหนึ่งก็คือ หลังจากมีเหตุการณ์ทางการเมืองมานานก็ได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้จำนวนมาก และถือว่าเป็นกล้องที่มีคุณภาพดีเป็นทั้งภาพสีคมชัดและขาวดำทั้งที่เป็นของกรุงเทพมหานคร และเอกชน รวมแล้วประมาณถึง 500 ตัวทีเดียว ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าจะสามารถพบบุคคลต้องสงสัยได้ ส่วนจะใช่หรือไม่ หรือคนลงมือเป็นพวกไหนก็ต้องเอาใจช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งทหารและตำรวจที่ต้องแสดงฝีมือออกมาโดยเร็วที่สุด
       
       หากมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุมาจากไหนกันแน่ จากการเมืองภายในประเทศ หรือเป็นความขัดแย้งภายนอกประเทศที่ลากไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งเรื่องภายนอกที่เกี่ยวข้องกับชนกลุ่มน้อยของบางประเทศหรือไม่เมื่อพิจารณาจากนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ก็ต้องติดตามกันต่อไป
       
       แต่สำหรับการเมืองในประเทศก็มีน้ำหนักไม่น้อย เมื่อพิจารณาจากการ “เสียประโยชน์” หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบเรียบร้อยยังอยู่ต่อไป รวมไปถึงรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้หรือไม่ก็ตาม หากประชามติผ่านก็มีข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติต้องห้าม “ปิดทาง” การเมืองตลอดชีวิต รวมทั้งเรื่องคดีอาญาและแพ่งที่กำลังตามมามากมาย ยิ่งเวลาทอดยาวออกไปนานมากเท่าใดก็จะยิ่งเสียหายสำหรับพวกเขา และล่าสุดบังเอิญอย่างยิ่งว่าศาลอาญาก็ได้รับฟ้องคดีหมิ่นประมาทกองทัพบกเอาไว้แล้วอีกด้วย
       
        อย่างไรก็ดี นาทีนี้ทางที่ดีที่สุดก็คือได้แต่รอ และเอาใจช่วยให้เจ้าหน้าที่ได้ทำหน้าที่ติดตามหาหลักฐานและติดตามจับกุมคนร้ายมาให้ได้โดยเร็ว ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้นว่าคนที่ลงมืออำมหิตแบบนี้มาจากไหน แต่ถึงอย่างไรก็ได้ทำลาย “ไทย” อย่างยับเยินเพียงชั่วข้ามคืน!!


ออกหมายจับมือบึ้มราชประสงค์ แฉเลียนแบบ “บอสตันมาราธอน”

http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000093928


MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY