GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL

GREAT KING OF THAILAND, KING BHUMIBHOL
LONG LIVE THE KING BHUMIBHOL

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ไขปริศนา..ใคร คือ ผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มติดอาวุธภาคใต้





วันที่ 27 ก.ค.57 ไขปริศนา..ใคร คือ ผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มติดอาวุธภาคใต้ ศัตรูคนมุสลิม
Cr :แฉ..ความลับ @เสธ นํ้าเงิน
เพจนี้ เคยแฉสงครามชิงน้ำมันบล็อกที่ 3 เหตุการณ์ก่อความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนไต้นั้น ขอนำเนื้อหาบางส่วนตอนนั้นมาทบทวนจุดสำคัญ เพื่อต่อยอดจิ๊กซอกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ให้ทุกคนมองเห็นสภาพการณ์ความเป็นจริงในภาพใหญ่ขึ้น
สภาพปัญหาชายแดนใต้ของไทย (ประกอบไปด้วย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอที่ติดชายแดนมาเลเซีย ของจังหวัดสงขลา อันได้แก่ อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ความรุนแรงที่มีประชาชนในพื้นที่ ช่วง 10 ปี ที่ผ่านมานี้ เกิดเหตุกว่า 9 พันครั้ง
ตายเกือบ 6 พันราย เจ็บกว่า 1 หมื่นราย ทหารเสียชีวิตกว่า 500 นาย ตำรวจกว่า 300 นาย ครูเกือบ 200 ราย ใช้งบประมาณแก้ปัญหาประมาณปีละ 2 หมื่นล้านบาท สามารถวิเคราะห์สรุปปัญหาความรุนแรง ถึงปัจจุบันได้ 4 ช่วงเวลา คือ
1.  ระยะแรก (ก่อนปี 2544)..มาเลเซียต้องการยึดครอง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีอังกฤษให้การสนับสนุน จากความต้องการทางการเมืองที่เคยถูกสยามยึดและควบรวมดินแดนสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีผู้สั่งการก่อความรุนแรง สั่งมาจากมาเลเซีย คือ อดีตสุลต่าน หรืออดีตกษัตริย์รัฐปัตตานี , กลุ่มวาดะห์ ร่วมกับ กลุ่มเบอร์ซาตู
ระยะนี้สถาบันเบื้องสูงไทย ได้มีบทบาทคลี่คลายสถานการณ์เบาบางลง เนื่องจากสถาบันเบื้องสูง 2 พระองค์ ได้ทรงไปพบหารือกับพระราชาธิบดีของมาเลเซีย จึงมีการจับกุมอาวุธ ผู้ก่อการในมาเลเซีย
2.  ระยะต่อมา ( ปี 2544 – 2549 )..คนแดนไกลเป็นนายกฯ มีการสั่งให้ใช้นโยบาย “กำปั้นเหล็ก” โดยการ อุ้ม ฆ่า ผู้ที่สงสัยก่อความรุนแรง และมีการสังหารหมู่คนมุสลิมจำนวนมาก เช่น กรณีปิดล้อมสังหารในมัสยิดกรือเซะ , กรณีสังหารหมู่ผู้ประท้วงที่โรงพักตากใบ , การอุ้มฆ่าทนายสมชาย และ แกนนำในพื้นที่ๆ คนมุสลิมนับถืออีกจำนวนมาก..เพียงแค่สงสัย !!
เค้าลางต่อมาตั้งแต่ปี 49 คนแดนไกลเริ่มคิดแผนแบ่งประเทศไทย ออกเป็นหลายประเทศ หรือ การแบ่งแยกดินแดน โดยใช้กลุ่มวาดะห์ และมีการสร้างกลุ่มติดอาวุธลับๆ ที่แยกตัวมาใหม่ อีกหลายกลุ่ม เช่น BRN ฯลฯ ประจวบกับเกิดขบวนการค้าของผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด ค้าน้ำมันเถื่อน เข้ามาผสมโรงกัน
3.  ระยะกลาง ( ปี 2550 – 2555 )..ทั่วโลกการแย่งชิงแหล่งพลังงานกำลังเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก เพราะพลังงานในตะวันออกกลางใกล้จะหมด ในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ก็จะเกิดวิกฤติพลังงานขึ้น ประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจ จึงมุ่งหน้าใช้สรรพกำลังเต็มอานุภาพในการแย่งชิงกันอย่างหนัก และชิงแหล่งพลังงานในอ่าวไทย “ ในบล็อกที่ 3 “ที่เป็นส่วนหางของแหล่งน้ำมันที่เชื่อมต่อเป็นสายพลังงาน มาจากหมู่เกาะสแปรตลีย์
สหรัฐฯ ถึงกับขอรัฐบาลปูเน่า มาตั้งฐานตรวจอากาศในไทย โดยเป้าหมายแท้จริงๆ 2 ประการ คือ ประการแรก เป็นจุดที่ใช้ไทยเป็นสงครามตัวแทน ก่อสงครามหยุดยั้งการแผ่อิทธิพลจีนในเอเซียใต้ ถึงขนาดรีบส่งผู้บัญชาการทางทหารมาไทยทันที และประการสอง เพื่อสำรวจแหล่งพลังงานในทะเลจีนใต้ ตรงหมู่เกาะสแปรตลีย์ รวมทั้งในอ่าวไทยในบล็อกที่ 3 ใกล้จังหวัดชายแดนใต้จุดนี้ด้วย
หากผู้ใดได้สิทธิการครอบครอง อ่าวไทยในบล็อกที่ 3 ก็จะมีมูลค่าโครตมหาศาลมากกว่า 7 แสนล้าน-ล้านบาทที่เดียว เผาไทยจึงมีความพยายาม ทำท่าจะสมยอมกับเขมร ให้ไทยเสียเขาพระวิหาร ถึงกับส่งคนไปเจรจากับวีระ ในคุกเขมรถึง 3 ครั้ง เพื่อให้ยอมรับว่ารุกดินแดน จะได้เป็นข้ออ้าง รวบรัดยกดินแดนให้เขมร เป็นต้นเหตุที่ทำให้ ทั้งมาเลเซีย และเขมร พยายาม ที่จะอ้างสิทธิเข้าครอบครองพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ทับซ้อนกับไทย ทำให้เขมรมีการอ้างเขตแดนเขาพระวิหารไปฟ้องศาลโลกซ้ำ โดยมีฝรั่งเศสหนุนหลัง
แต่ศาลโลกไม่ได้ฟันธงให้เขมรชนะ แค่ให้ 2 ประเทศไปหารือตกลงกันแบบสันติ ประเทศไทยจึงไม่ถูกฉีกแบ่งแยกดินแดนเขาพระวิหารทันที และแผนที่ละติจูด ลองติจูด เพียงแค่ 1 องศาตรงบนยอดเขาพระวิหาร จุดแบ่งดินแดนเท่านั้น อาจจะส่งผลให้เขมร ได้พื้นที่ในทะเลแหล่งพลังงานไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผลีผลามไม่ได้ จะขัดมติศาลโลก และเกิดสงครามรบพุ่งกัน  คนเอามัน ก็ยุให้ไทยใช้กำลังทหารบุกไปเอาดินแดนคืนมาเลย คิดเช่นนั้นก็ขอเกณฑ์ทุกคนที่พูดเหล่านั้นเป็นทหารแนวหน้า ติดอาวุธให้แล้วส่งเดินหน้าออกรบชายแดนไปเลยสัก 1 ปี จะได้เข็ดไม่พุดเอามันอย่างเดียว เพราะการสู้รบกันมันใช้ในยามผู้นำประเทศ พูดกันไม่รู้เรื่องแล้วเท่านั้น และทหารทั้ง 2 ฝ่ายก็ตาย ญาติก็เสียใจ
ราษฎรตลอดแนวชายแดน ไม่เฉพาะจุดสู้รบ เดือดร้อนหมด ลูกปืนใหญ่ตกใส่หลังคาบ้าน นักเรียนต้องหลบในบังเกอร์หลบภัย แต่คนที่ยุ ด่ากราด ตะโกน หรือโพส กลับอยู่ในกรุงเทพ ไม่คิดถึงจิตใจทหาร และชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง แนวชายแดนตาดำๆ
ถ้านึกภาพไม่ออก ให้ดูฉนวนกาซ่า ว่าสภาพเป็นอย่างไรเวลาเกิดสงคราม และตอนนี้ ไทย – เขมร มีสัมพันธ์ดีต่อกัน กระทรวงกลาโหมของไทย เพิ่งต้อนรับ พล.อ.เตีย บัน รมต.กลาโหม กัมพูชา และคณะอย่างสมเกียรติ ตอกย้ำความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ระหว่าง 2 ประเทศ เพราะมีตั่วเฮียจีนเป็นกาวใจ คอยปรามเขมรไว้
ดังนั้นเรื่องดินแดน ต้องใช้คณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นระหว่าง 2 ประเทศ (JBC) ประชุมเจรจากันไป ตรงไหนเห็นตรงกัน ก็ปักปันเขตแดนไปเรื่อยๆ จุดใดเห็นต่างกันก็เว้นไว้ ไม่มีใครได้ดินแดนพิพาทไปทั้งสิ้น ตามที่มีบางพวกยังโพทบิดเบือนด่ากราดยุยงอยู่ คนที่ไม่รู้ก็หลงเชื่อ จะทะเลาะยิงกันไปทำไม ในเมื่อสงครามใหญ่จากชาติตะวันตกจะมา ภัยร้ายแรงกว่าเขตแดนอีกมากนัก
4.  ระยะปัจจุบัน ( ปี 2556 – ปัจจุบัน )..ระยะนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงรูปแบบใหม่ เพราะมีต่างชาติตะวันตก ตะวันออกกลาง เพื่อนบ้าน (อินโดฯ , มาเลย์ ) และคนแดนไกล รู้เรื่องแหล่งพลังงานในจังหวัดชายแดนใต้นี้ด้วย จึงผสมโรงกันหลายกลุ่ม ปนเปไขว้กันไปหมด เช่น
     4.1 กลุ่มต่างชาติตะวันตก และเครือข่ายนักแสวงโชคทางการเมือง สั่งการก่อการร้าย โดยก่อความรุนแรงกับคนไทยพุทธ และมุสลิมหนักข้อขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่อยู่อาศัยหวาดกลัว และยอมขายที่ดิน ละทิ้งถิ่นฐานอพยพไปอยู่ที่อื่น (คล้ายๆ ยิงระเบิดไล่ที่ปาเลสไตน์ว่างั้นเถอะ) จากนั้น ก็จะไปกว้านช้อนซื้อที่ดิน จากคนท้องถิ่นเหล่านั้น มาเป็นของตนเอง ชาติตะวันตก ต้องการจุดชนวนสงครามกลางเมือง ในดินแดนจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ให้ลุกลามไปมาเลย์เซีย เพื่อทำให้จุดแถบนี้ สถานการณ์สู้รบเป็นยูเครนแห่งที่ 2 จากนั้น อเมริกา อังกฤษ ก็จะหาเหตุเข้ามาแทรกแซง และยึดช่องแคบมะละกาไว้ เพื่อสยบจีนคล้ายๆ เขาทำตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแหละ
เพราะใครยึดช่องแคบมะละกา ที่เป็นจุดเชื่อมต่อของโลกตะวันออก กับโลกตะวันตก ได้เบ็ดเสร็จ โอกาสกำชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็มีมากกว่านั่นเอง การรบกันนอกจากทางบก อากาศ อย่างไรเสียสงครามทางทะเล ก็จะเป็นจุดชี้ขาดชัยชนะสงครามได้ เหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
ระยะนี้เกี่ยวพัน คนแดนไกล คือ เขาไปที่อังกฤษ เอาผลประโยชน์ชาติน้ำมันในอ่าวไทยในเขต จังหวัดชายแดนใต้ แลกกับอำนาจ เพื่อร้องขอให้อังกฤษสั่งการมาเลเซีย ที่เคยอดีตเมืองขึ้น ให้ร่วมมือกลับกลุ่มวาดะห์ของเผาไทย ก่อการร้าย และให้ลุกลามไปตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เบตง หาดใหญ่ และลามมา กรุงเทพ ฯ
เมื่อ 3 ตระกูลร้ายเผาไทย ออกนอกประเทศ การก่อวินาศกรรม ที่เบตง ยะลา จึงเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไปดูย้อนหลังหลายปีที่เขาหนีอยู่ต่างประเทศ จะพบการก่อเหตุเป็นประจำปีทุกครั้ง ก่อนและหลังวันเกิดของเขา เพื่อให้สอดคล้องเนียนๆ ไปกับเดือนรอมดอน ของอิสลาม
     4.2 กลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน ศัตรูคนมุสลิม เช่น กลุ่ม BRN , RKK ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครที่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า มันเกิดจากสาเหตุใด มีเพียงข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ เช่น เกิดจากความขัดแย้งทาง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน ถัดมากลุ่มนี้ฝึกอาวุธที่อินโดนีเซีย ปากีสถาน โดยกลุ่มอัลกออีดะห์ ทุนหนุนจากซาอุบางส่วน และมีทุนจากเครือข่ายน้ำมันเถื่อนด้วย
แรกเริ่มเดิมทีกลุ่มนี้ เป็นคนไทยมุสลิม ที่มีความรู้สึกว่า ตัวเองและพวกพ้องไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากทางการ จึงร่วมมือกัน เพื่อแยกยินแดนแถบนี้เป็นรัฐอิสระ โดยใช้ข้ออ้างเรื่องศาสนา ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมบางส่วนถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ ด้วยการถูกล้างหัวให้เชื่อด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และทำการแข็งข้อกับทางการ จนถูกจับกุมดำเนินคดี
พอถูกดำเนินคดี ก็ใช้จุดนี้เป็นจุดร่วม ในการเพิ่มหรือขยายแนวร่วมให้เพิ่มและกว้างออกไป แรกๆ ก็ขอเงินช่วยเหลือจากแถบตะวันออกกลาง เช่น ซาอุฯ เพื่อเคลื่อนไหว แต่ต่อมากลายเป็นว่านำเงินเหล่านั้น มาก่อความรุนแรง ที่มิใช่แนวทางแห่งมุสลิม ประเทศตะวันออกกลาง ที่เคยให้การสนับสนุนด้านการเงิน ก็ลดการสนับสนุนลง
การก่อเหตุแต่ละครั้งต้องใช้เงิน การทำคาร์บอมแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายกว่า 150,000 บาท ระยะหลังไม่ใช่เรื่องความต้องการแบ่งแยกดินแดนแล้ว แต่มันคือผลประโยชน์จากเงินล้วนๆ ขัดกับหลักคำสอนของศาสนาอิลลาม ดังนั้นจึงขอเรียกว่า “กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม “ เพราะทำให้คนมุสลิมดีๆ อีกมากที่เขาอยู่ร่วมกับชาวพุทธด้วยสันติ พลอยเสียหายไปกับกลุ่มหิวเงินนี้ด้วย
หลักฐานเรื่องนี้ คือ จากเหตุก่อการร้ายล่าสุด ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม 4 คน ขี่มอเตอร์ไซต์ 2 คัน ตามประกบรถยนต์เก๋ง ส.ต.ต.อัสมิง ยูโซ๊ะ ตำรวจ สภ.โกตาบารู ถูก ส.ต.ต.อัสมิง ขับรถเบียดกลุ่มติดอาวุธล้ม 1 คัน ในระหว่างนั้นทหาร ฉก.นธ.30 ได้เข้ามาช่วยเหลือ และยิงตอบโต้กับกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ทำให้คนร้ายเสียชีวิต จำนวน 3 คน มีประวัติดังนี้
- นายซอฟวัน สาแล๊ะ เคยโดนจับ 1 ครั้ง และให้การสารภาพว่า เป็นเจ้าของรถกระบะที่ใช้ขนปืน จากเหตุปล้นปืนทหาร เมื่อ 19 ม.ค.2554 และยังนำไปสู่การจับกุม ค้นปืน และระเบิด หลังบ้านพ่อตาเขา จนออกออกหมายจับ และได้รับการประกันตัว จนหนีประกันไป
- อับดุลเลาะ ยูนุ๊ แนวร่วมระดับสั่งการในฟื้นที่
- นายมะยูดิง หะยีสะนิ เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการกลุ่มแบ่งแยกดินแดนศัตรูคนมุสลิม RKK
- ส่วน นายอับดุลรอพา สาและรู เป็นลูกเขยโต๊ะอิหม่าม ยะผา กาเซ็ง (เสียชีวิต ภายในวัดสวนธรรม อ.รือเสาะฯ ระหว่างควบคุมตัว ปี 2549) เคยโดนควบคุมตัวแล้ว 1 ครั้ง ผลการซักถามให้การปฏิเสธ และปล่อยตัว ล่าสุดกลางปี 2556 ร่วมก่อเหตุลอบยิง ตำรวจ.สภ.รือเสาะ เสียชีวิต 4 นาย (จากภาพวงจรปิด และผลการซัดทอด) ผลการปะทะครั้งนี้ เขาบาดเจ็บ และหลบหนีไปได้ จาก DNA รองเท้าแตะ และหยดเลือดในที่ปะทะ
กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิตทุกคน สวมนาฬิกาแบบเดียวกัน “ ยี่ห้อ Timemax “ (หน้าปัดเขียนว่า Timax Expedition) ที่ข้อมือขวาของทั้ง 3 คน ตั้งเวลาตรงกัน แสดงเชิงสัญลักษณ์ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ นาฬิการุ่นนี้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์บอกฝ่าย ของ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ที่ผ่านการฝึกระดับคอมมานโด
ในรุ่นแรกๆ จะเป็นสมาชิกที่เป็นนักศึกษาไปเรียนศาสนาที่อินโดนีเซีย แล้วเข้ารับการฝึกที่ เมืองบันดุง ทางตอนใต้ของเกาะชวา ต่อมาฝ่ายยุทธการของ BRN. Co-ordinate ได้นำหลักสูตรคอมมานโด มาฝึกให้กับสมาชิกกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม เพื่อก่อเหตุรุนแรงในประเทศไทย
โดยจะคัดเลือกสมาชิกที่ผ่านการฝึก RKK มาแล้ว เพื่อทำงานด้านการการรบโดยเฉพาะ และมีหน้าที่รับผิดชอบ ในการควบคุมการปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรงของสมาชิก RKK โดยเป็นการปฏิบัติงานที่รุนแรงสูงขึ้น เป้าหมายที่ใหญ่ และมีความเสียหาย เดือนร้อนกับคนมุสลิมมากๆ ครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น และยังปฏิบัติงานข้ามเขตรับผิดชอบกันได้
    4.3 กลุ่มผลประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าหนีภาษี..กลุ่มนี้ผลประโยชน์ล้วนๆ เป็นผู้จ้างกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ให้ก่อการร้าย อีกที หรือมีเจ้าหน้ารัฐส่วนน้อยที่ทำเพราะความโลภ โดยจะก่อความรุนแรงเพื่อเปิดเส้นทางขนของเถื่อน โดยเฉพาะน้ำมันเถื่อนเป็นหลัก เมื่อใดที่หัวหน้าขบสนการค้าน้ำมันเถื่อนถูกจับ สถานการณ์ก็จะรุนแรงขึ้นทันที
ในโลกนี้เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ก็หิวเงินเพื่อเอาใช้ในการดำเนินการก่อความรุนแรง เป็นค่าแรงผู้ปฏิบัติ ค่าจ้าง ค่าวัสดุ-อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ รถมอเตอร์ไซต์ และ รถยนต์ ค่าน้ำมันในการเดินทาง ถ้ามีแต่อุดมการณ์ แต่ไม่มีเงินก็คงไม่มีวันบรรลุผลได้
ดังนั้นแหล่งเงินที่อุดมสมบูรณ์ ก็คือ สินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน และยาเสพติด ที่เป็นสิ่งผิดกฎหมายของไทย ปัจจุบันปัจจัยนี้ คือ ปัจจัยหลักของความรุนแรงในปัจจุบัน และสินค้าหนีภาษีก็ยังแยกย่อยออกเป็นชนิดให้ผลประโยชน์สูง กับ ผลประโยชน์น้อย แต่เสี่ยง
ผลประโยชน์น้อย แต่เสี่ยงมาก คือ สินค้าหนีภาษี กลุ่มนี้รู้ว่าคงได้เงินไม่มาก สำหรับคนไฮโซอย่างพวกเขาเลยไม่เอา เรื่องยาเสพติด กลุ่มนี้ใช้เพื่อเสพเป็นหลัก เพราะต้องใช้ย้อมใจให้ฮึกเหิมก่อนลงมือ แต่ไม่ใช่ผู้ค้ารายใหญ่ เพราะถูกจับได้ก็ไม่คุ้มกัน เพราะหากถุกจับปริมาณมากๆ ล้อตใหญ่ๆ มีสิทธิ์ถูกประหารชีวิตได้
ผลประโยชน์มาก เสี่ยงน้อย คือ น้ำมันเถื่อน เพราะทำให้สามารถหาทุนเคลื่อนไหวรวยขัดหลักศาสนาได้มากกว่า โทษที่จะได้รับหากโดนจับกุมจะเบามาก แค่ติดคุกไม่กี่ปี ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ได้ ก็พอๆ กับการค้ายาเสพติด กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จึงคิดว่า ค้าน้ำมันเถื่อนคุ้มค่ากว่า
เดิมปัญหาเรื่องน้ำมันเถื่อนมีมานานแล้ว โดยมีชาวประมงเป็นผู้ใช้ ไปซื้อเติมกันกลางทะเล ต้นทุนการหาปลาก็จะถูกลง ชาวประมงก็ได้จะกำไรสูงกว่าชาวประมงในพื้นที่อื่น ถ้านำมันเถื่อนเหลือ ก็นำมาขายต่อไปอีกทอดหนึ่ง จนแพปลาบางแห่ง ถึงกับลงทุนดัดแปลงเรือหาปลา เพื่อตบตาตำรวจน้ำ ให้ดูภายนอกเหมือนเรือหาปลา แต่ภายในบรรทุกน้ำมันเถื่อนเต็มลำเรือ
ปลาไม่หาแล้ว เอาน้ำมันเถื่อนมาขายที่บนฝั่ง เมื่อแพปลาโน้นทำได้ แพปลานี้ก็เอาบ้าง กลายเป็นหลายแห่งทำ เพราะเอามาขายเท่าไรก็หมด แต่ในหลาย ๆ แห่งก็มีปัญหาเรื่องตำรวจน้ำเข้มงวดบ้าง ฝนฟ้าอากาศบ้าง ทำให้ต้องออกไปเอาน้ำมันเถื่อนกลางทะเลมาทีละเยอะ ๆ ซึ่งอาจขายไม่หมด จึงต้องหาที่เก็บน้ำมันบนบก ที่เรียกว่า คลังน้ำมันเถื่อน
คนในพื้นที่ติดชายแดนไทย - มาเลย์ รู้ดีว่า ราคาน้ำมันที่ฝั่งมาเลย์ ถูกกว่าฝั่งไทยราว 10 กว่าบาท เลยทำทีเป็นนักท่องเที่ยวขับรถข้ามพรมแดนไปเติมน้ำมันในฝั่งมาเลเซีย แล้วก็ขับกลับมาไทย เวลากลับเข้าไทยตอนผ่านด่านก็ตรวจสอบไม่ได้ด้วยว่าเถื่อนหรือไม่ คนในพื้นที่จึงนิยมใช้น้ำมันมาเลย์มากกว่า
พ่อค้าน้ำมันเถื่อน นอกจากจะนำน้ำมันเถื่อนเข้ามาจากทางทะเลแล้ว ยังดัดแปลงรถบรรทุกน้ำมันข้ามเขตแดน ขนได้เที่ยวละหลายพันลิตร แหล่งนำเข้าน้ำมันเถื่อนทางบกอีกทาง ก็คือน้ำมันถูกกฎหมายจากมาเลย์ แต่ลักลอบนำเข้าไทยแบบผิดกฎหมายโดยไม่ต้องจ่ายภาษีนั่นเอง
ทำให้น้ำมันที่ถูกกฎหมายของไทย ผลิตส่งมาขายไม่ค่อยดี ทำให้น้ำมันค้างอยู่ในคลังน้ำมันสงขลาในปริมาณมาก และ นานเกินไป เมื่อต้องเร่งระบายน้ำมันเหล่านั้นออกไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เมื่อนั้นการก่อเหตุวางระเบิดในหาดใหญ่ และบางอำเภอในสงขลา จะเกิดขึ้นทันที เพื่อบล็อกน้ำมันถูกกฎหมายเลหลังของไทย ไม่ให้ไปแย่งตลาดน้ำมันเถื่อน
คนที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันเถื่อน คือ กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ชาวประมงที่ใช้น้ำมันเถื่อน รถขนส่งสินค้าที่ใช้น้ำมันเถื่อน ชาวบ้านที่เติมน้ำมันเถื่อน ได้ประโยชน์กันทั่วหน้า อ้างว่าน้ำมันในประเทศแพง จึงจำเป็นต้องใช้น้ำมันเถื่อน ผู้ที่เสียประโยชน์ คือ ประเทศไทย และ คนไทยทุกคน เนื่องจากขาดรายได้จากภาษีน้ำมัน ที่ควรจะถูกนำไปเป็นงบประมาณแผ่นดิน และสูญเสียโอกาสพัฒนาประเทศ
แต่ด้วยคลังน้ำมันเถื่อน จะต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องหากลุ่มติดอาวุธมาคุ้มกัน จนกว่าจะลำเลียงไปส่งขายหมด ส่วนกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนเอง ก็จำเป็นต้องพึ่งพา กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม พวกนี้เป็นอย่างยิ่ง ในการทำธุระกิจน้ำมันเถื่อน เริ่มตั้งแต่รับน้ำมันเถื่อนเข้าเก็บในคลัง , คุ้มครองคลังน้ำมัน , ลำเลียงน้ำมันไปยังลูกค้าปลายทาง
ปมมันปัญหามันอยู่ที่ การจะขายน้ำมันเถื่อนให้ได้กำไรมาก ๆ ต้องขายภายไทยเท่านั้น !! เพราะราคาน้ำมันเถื่อนในไทย ถูกกว่าน้ำมันที่ถูกกฎหมาย ราวลิตรละ 10 กว่าบาท ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีรถยนต์ และจักรยานยนต์ จดเบียนประมาณ 1.2 ล้านคัน และยังมีรถขนส่งสินค้าที่จรไปส่งของจากที่อื่นเข้าเติมน้ำมันอีก
จึงมีความต้องการใช้น้ำมันสูงมาก พ่อค้าน้ำมันเถื่อนจึงรวย ถ้าวันหนึ่งสามารถลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปส่งถึงผู้รับช่วงขายได้วันละ 1 แสนลิตร จะได้กำไรวันละ 1 ล้านบาท ความเสี่ยงหลักที่ทำให้ธุรกิจน้ำมันเถื่อนหยุดชงัก คือ ถูกทางการจับกุม ดังนั้นพ่อค้าน้ำมันก็ไปติดสินบนกับ เจ้าหน้าที่รัฐที่เก็บภาษี และมีนิสัยขี้โกงชาติบางส่วน ให้ทำเป็นไม่เห็นเมื่อรถส่งน้ำมันผ่านด่าน
ระหว่างทาง ก็ไปจ้างกับกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม เพื่อคุ้มครองการลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปยังที่หมายปลายทาง แล้วแบ่งผลกำไรกัน วิธีนี้ก็ความเสี่ยงธุรกิจก็ลดลงจนแทบไม่มี เมื่อไหร่ก็ตามที่รถลำเลียงน้ำมันเถื่อนโดนยึด หรือถูกจับกุม กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จะอาละวาด ฟาดหัว ฟาดหาง ทันที
ให้สังเกตุดูได้ทุกครั้งที่มีการปฏิบัติการกวาดล้าง ตรวจค้น พื้นที่ หรือ จับกุม ของหนีภาษีและน้ำมันเถื่อน ก็จะมีเหตุการณ์ตอบโต้เสมอๆ เช่น วางระเบิดย่านชุมชน และให้ดูที่สำคัญอีกอย่างจะแปลกใจมาก คือ คลังน้ำมันเถื่อน ธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อน รถขนน้ำมันเถื่อน กลับไม่เคยถูกลอบโจมตีเลยสักครั้ง จากกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม แปลกแต่จริงใช่ไหม?? นี่คือสิ่งบ่งชี้ความเกี่ยวพันกัน..ถึงบอกว่า “ เรื่องบังเอิญ ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น “
กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน กับ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จึงไม่สามารถแยกจากกันขาด เพราะหากขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายก็เดี้ยง ทุกอย่างจบกัน รูปแบบ 2 กลุ่มนี้ จึงคล้ายน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า พ่อค้าน้ำมันเถื่อนได้กำไรมาก กลุ่ม กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งจากพ่อค้าในสัดส่วนมากไปด้วย ทำให้ธุระกิจน้ำมันเถื่อนเจริญเติบโตได้
เมื่อเป้าหมายของทั้งสองกลุ่มตรงกัน คือ “ เงิน “ ดังนั้น กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม อ้างแถข้างๆ คูๆ ว่า ต้องหาเงินจากน้ำมันเถื่อน เพื่อเอามาก่อความรุนแรงแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ ส่วนกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน ก็อยากได้เงินรวยมากๆ ขึ้นไปอีก ต้องค้าน้ำมันเถื่อนให้ได้ปริมาณมาก ๆ จะได้กำไรมากๆ
แต่กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนก็ฉลาด หากยอมให้ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ได้เงินไปมากเกินไป สักวันพวกนี้อาจสามารถแบ่งแยกดินแดนได้ กลุ่มพ่อค้าก็จะเสียประโยชน์อีก เช่น หากแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ นโยบายเรื่องราคาน้ำมันภายในรัฐอิสระนั้น จะเป็นเหมือนกับไทยหรือไม่ก็ไม่รู้
ดังนั้นพ่อค้าน้ำมันเถื่อนเอง ก็คิดหาวิธีต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ก่อการร้ายจนแบ่งแยกดินแดนได้สำเร็จ คือ แสร้งสร้างฉากให้เห็นว่าลึกๆ แล้ว ทั้งสองกลุ่มนี้ขัดแย้งกันในเป้าหมาย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่
โดยปกติแล้วการก่อการร้ายทั่วโลก ในทันทีเมื่อก่อการร้ายเสร็จแล้ว จะมีการออกข้อเรียกร้องว่าจะให้ทางการทำอะไรบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยุติการก่อเหตุแบบนั้น แต่กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ของไทย ไม่เคยออกมาเรียกร้องอะไรเลยอย่างเป็นทางการแม้แต่ครั้งเดียว นั่นก็เพราะพวกเขาได้ทรยศกระทำผิดหลักศาสนาอิสลาม มัวเมาหลงติดกับเงินและอำนาจเข้าแล้ว
ทำให้กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเอง ก็พึงพอใจที่ไม่ต้องแยกดินแดนให้สำเร็จ เพราะจะเสียโอกาสสร้างผลกำไร ปัจจุบันเลยกลายเป็นว่า สร้างสถานการณ์เพื่อข่มขู่ชาวบ้าน และทางการให้หวาดกลัว เบี่ยงประเด็น จะได้ไม่สนใจปราบปรามการค้าน้ำมันเถื่อนก็เท่านั้นเอง ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม อะไรเลยเพียงแม้เสี้ยวของเส้นผม
ดังนั้นกลุ่มติดอาวุธ BRN , RKK หรือจะกลุ่มใดด็ตาม เปลี่ยนชื่อกลุ่มไปเถอะ เป็นชื่อ SIO ( Safeguard of illegal oil ) จะได้ตรงวัตถุประสงค์ของกลุ่มจริงๆ ก็จุดประสงค์คล้ายกลุ่ม IS , เคิร์ด ในอิรัก , อัลนุสรา ในซีเรีย ที่มีภารกิจหลักคือการปกป้องแหล่งน้ำมันของผู้ว่าจ้าง
ในเวลานี้ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จึงพยายามสร้างความหวาดกลัวให้เต็มพื้นที่อิทธิพล เพื่อให้ชาวบ้านได้ยินชื่อ แล้วกลัวตายจนไม่กล้าเปิดตัวร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นเป็นข้อคิดเตือนใจคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไต้ของไทย (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางอำเภอ ของจังหวัดสงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย)
อย่าร่วมมือกับ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม เพราะถ้าขืนนักการเมืองในอนาคตเกิดยอมให้แยกดินแดนได้จริง ๆ ขึ้นมา ก็ยังต้องไปทะเลาะต่อสู้กันเองอีก ชีวิตท่ามกลางห่ากระสุนปืนใหญ่ จะไม่ต่างจากชาวปาเลสไตน์ในฉนวนการซ่า
อยู่ในราชอาราจักรไทยแบบนี้มีเงินใช้ และมีกินในพื้นที่ ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร พ่อของแผ่นดิน ดีกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่นอน !!
@ เสธ น้ำเงิน2
https://www.facebook.com/topsecretthai

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

7 SKT (สมาธิบำบัด)/วิธีการออกกำลังกายสำหรับคนเป็นอัมพาต/รักษาตาด้วยวิธีนวดตา



 
 บ่ายนี้มีคำตอบ ขจัดโรคภัย ไม่ต้องพึ่งยา
  

เผยแพร่เมื่อ 7 พ.ค. 2013  (ไมเกรนบำบัด)  SKT 1/7/8

สมาธิบำบัด SKT นี้ เกิดจากการคิดค้นของ รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี อาจารย์ประจำภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิด ล ที่นำหลักประสาทวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกับการปฏิบัติสมาธิ เกิดเป็นสมาธิเพื่อการบำบัดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สมาธิบำบัด SKT” สามารถใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้



หมายเหตุนิดนึงว่า 1 รอบลมหายใจ หมายถึง การหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ กลั้นลมหายใจไว้สัก 3 วินาที แล้วผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ ค่ะ


 

 

วันนี้ เลยขอนำท่าสมาธิบำบัด SKT 3 มาให้ชมกันต่อ ซึ่งตั้งแต่ท่าที่ 3-5
ถือเป็นท่าที่เหมาะสำหรับผู้ป่วย ที่ต้องการปรับสภาพร่างกาย โดยประโยชน์
ของสมาธิบำบัด SKT 3 นี้จะช่วยแก้ปวดหลัง ปวดเข่า และท้องผูกได้

สำหรับคนที่ยังไม่ทราบว่าสมาธิบำบัด SKT นี้ คืออะไร? เรามีคำอธิบายให้ค่ะ
สมาธิบำบัด SKT นี้ เกิดจากการคิดค้นของ รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี อาจารย์ประจำภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ที่นำหลักประสาทวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกับการปฏิบัติสมาธิ เกิดเป็นสมาธิเพื่อการบำบัดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สมาธิบำบัด SKT” สามารถใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้

และ เคล็ด(ไม่)ลับ ที่สำคัญมากๆ ที่อาจารย์ขอฝากไว้ก็คือ
ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างจริงจังนะคะ ส่วนตัวอาจารย์เอง ก็ทำทุกวัน เพราะฉะนั้น แฟนๆ ที่อยากเห็นผลของท่าสมาธิบำบัด SKT นี้
ต้องพยายามทำอย่างต่อเนื่องเข้าไว้นะคะ


http://men.mthai.com/health-firm/34995.html



มาถึงท่าสมาธิบำบัด SKT 4 จากรายการ Change ตอน "สมาธิบำบัด SKT ทางเลือกใหม่ไร้โรค" แล้วนะคะ ย้ำกันอีกนิดนึงว่า ตั้งแต่ท่า SKT 3 - SKT 5 ถือว่าเป็นท่าที่ใช้เพื่อการปรับสภาพร่างกาย ซึ่งจะแตกต่างจาก SKT 1 และ SKT 2

ที่เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย ใช้สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกัน และลดอาการค่ะ

โดยท่าสมาธิบำบัด SKT 4 นี้ มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคทางพันธุกรรม
เบาหวาน และโรคเกี่ยวกับไขกระดูก ใครอยากเห็นผลจากท่านี้จริง
รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี อาจารย์ประจำภาควิชาอาชีวอนามัยและ
ความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ผู้คิดค้นสมาธิบำบัด SKT
ได้ฝากไว้ว่า ให้พยายามทำอย่างต่อเนื่องเข้าไว้ เพราะโดยส่วนตัว อาจารย์เอง ก็ยังคงทำสมาธิบำบัด SKT อยู่ทุกวันค่ะ

สำหรับคนที่เพิ่งมาเห็นโพสนี้ครั้งแรก อาจจะสงสัยว่า สมาธิบำบัด SKT นี้
คืออะไร คำตอบก็คือ เป็นการปฏิบัติสมาธิที่ผสมผสานกับหลักประสาทวิทยาศาสตร์ เกิดเป็นสมาธิเพื่อการบำบัดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สมาธิบำบัด SKT” สามารถใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้



ท่านี้จัดอยู่ในกลุ่มท่าสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการปรับสภาพร่างกาย
ใครที่มีอาการปวดหลัง ปวดไหล่ และปวดเข่า
ลองนำไปใช้กันดูนะคะ เคล็ด (ไม่) ลับคือ ให้พยายามทำอย่างต่อเนื่องเข้าไว้
จะเห็นผลได้จริงค่ะ
สำหรับสมาธิบำบัด SKT นี้ ถือเป็นศาสตร์ที่คิดค้นโดย รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี อาจารย์ประจำภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล ที่นำหลักประสาทวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกับการปฏิบัติสมาธิ เกิดเป็นสมาธิเพื่อการบำบัดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สมาธิบำบัด SKT” สามารถใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้



 

ตั้งแต่ท่าที่ 6-7 นี้ จัดอยู่ในกลุ่มท่าสำหรับผู้ป่วยหนัก ไว้ฟื้นฟูสภาพร่างกาย สำหรับท่านี้ จะใช้กับผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยอัมพาตค่ะ

คำอธิบายเพิ่มเติม สมาธิบำบัด SKT คืออะไร?
สมาธิบำบัด SKT นี้ เกิดจากการคิดค้นของ รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี อาจารย์ประจำภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ม.มหิดล ที่นำหลักประสาทวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกับการปฏิบัติสมาธิ เกิดเป็นสมาธิเพื่อการบำบัดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สมาธิบำบัด SKT” สามารถใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ ท่าง่ายๆ ทำหุ่นฟิตได้ที่บ้าน สำหรับสุขภาพที่ดี ร่างกายที่แข็งแรงขึ้น ไม่จำเป็นเสมอไป ว่าต้องเข้ายิม หรือฟิตเนตคลับ และไม่จำเป็นเสมอไปเช่นกันว่าจะต้องใช้อุปกรณ์มากมาย มีคนมากมายเลยนะที่ให้ความสนใจ health&firm

วิธีการออกกำลังกายสำหรับคนเป็นอัมพาต
http://visitdrsant.blogspot.com/2014/08/blog-post_20.html




แค่10นาที เผาไขมันที่บ้าน *(ทำตาม) By ดร. เชิดชาย sixpackhome.com

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ลักษณะของจิตที่ตั้งมั่น




ลักษณะของจิตที่ตั้งมั่น

จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมาจะมีลักษณะที่เบา มีลักษณะที่นุ่มนวลอ่อนโยน มีลักษณะที่ปราดเปรียวว่องไว ไม่หนักไม่แน่นไม่แข็งไม่ซึมไม่ทื่อ

ถ้านั่งสมาธิแล้วจิตแน่นจิตแข็งจิตซึมจิตทื่อ ให้รู้เลยว่าเป็นมิจฉาสมาธิแล้วล่ะนะ นอกรีตนอกรอยแล้ว ไม่ใช่สมาธิในทางศาสนาพุทธแล้ว หรือนั่งแล้วเคลิ้มง่อกๆแง่กๆขาดสตินะ ใช้ไม่ได้เลย จิตไม่ได้มีความคล่องแคล่วว่องไวควรแก่การงาน จิตสะลึมสะลือ หรือจิตเที่ยวเห็นโน้นเห็นนี่ออกข้างนอกไป จิตไม่อยู่กับฐาน สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้ทั้งสิ้นเลย

ถ้าเรามีสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย จิตจะมีความตั้งมั่นอยู่กับตัวเอง จิตตั้งมั่นอยู่กับจิต เรียกว่าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวนะ จิตหนีไปเมื่อไหร่มันก็ลืมกายลืมใจ มีร่างกายก็ลืมร่างกาย มีจิตใจก็ลืมจิตใจ แต่ถ้าเรารู้ทันจิตที่ไหลไปนะ จิตจะตั้งมั่น จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัว จิตจะเบาสบาย นุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่วว่องไว มีความสุขความสงบอยู่ในตัวเอง จิตจะถอยตัวออกมาจากรูปธรรมนามธรรม เพราะไม่ไหลเข้าไปในปรากฏการณ์ทั้งหลาย จิตจะถอยตัวออกมาเป็นคนดู

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม





“วสี"  ความชำนาญในการเข้า-ออกสมาธิ

ถาม : ขอความเมตตาพระอาจารย์แนะนำเรื่องการนั่งสมาธิ หากเรานั่งถึงจุดสงบแล้ว ไม่ต้องนึกถึงคำบริกรรมจิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว แต่ก็สงบจริงๆ แบบนั้น จะเจริญปัญญาต่อไปก็ได้แต่รู้ว่ากำลังพิจารณากาย ไม่ทราบว่าถูกหรือเปล่า


พระอาจารย์ : เวลาจิตสงบรวมลงแล้ว จิตจะไม่คิดปรุงแต่งจะสักแต่ว่ารู้เฉยๆ เวลานั้นไม่ใช่เวลาจะเจริญปัญญา ไม่ใช่เวลาจะใช้ความคิด เวลานั้นเป็นเวลาที่จะให้เสพความสุขที่เกิดจากความสงบ ให้จิตตั้งอยู่ในความสงบจนกว่าจิตจะถอนออกมาเอง อย่าไปบังคับสั่งจิต เช่นเวลาพอจิตสงบปั๊บไม่มีความคิดแล้วก็เริ่มสั่งให้คิดไปในทางปัญญา อันนี้ไม่ใช่เป็นวิธีที่ถูกเราต้อง

การให้จิตสงบให้นิ่งให้นานที่สุด เป็นอุเบกขาให้ได้นานที่สุด เพราะว่าเราต้องการกำลังของอุเบกขาต้องการกำลังของความสงบนี้มาเป็นเครื่องที่จะสนับสนุนทางปัญญาต่อไป เราจะใช้ปัญญาก็ต่อเมื่อจิตถอนออกจากความสงบแล้วเริ่มคิดปรุงแต่ง พอคิดปรุงแต่งแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในท่านั่งหรือว่าจะลุกขึ้นมาเดิน เราก็ต้องสอนใจให้คิดไปในทางปัญญาคือให้พิจรณาความเสื่อม พิจารณาความไม่เที่ยงของสภาวะธรรมทั้งหลายเช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พิจารณา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าไม่เที่ยงว่าเป็นอนัตตา เราไม่สามารถควบคุมบังคับสั่งให้เขาเป็นอะไรได้ตามความอยากของเรา
ถ้าไปอยากให้เขาเป็นอย่างนั้น พอไม่ได้ตามความอยากก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ถ้าไม่อยากจะทุกข์ใจก็ต้องรู้ไว้เฉยๆ แล้วก็อย่าไปอยาก ทำอะไรได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ต้องยอมรับกับสภาพมันไป แต่ใจจะไม่ทุกข์ ถึงแม้ว่าจะเสียทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองเสียคนรักไป ใจจะไม่ทุกข์ถ้าไม่มีความอยากให้เขาอยู่กับเรา

นี่คือเรื่องของการปฏิบัติ ควรจะปรับนิดหน่อยเวลาสงบอย่าเพิ่งไปคิดอะไร ให้สงบให้นานๆ แล้วควรจะทำสมาธิให้ชำนาญด้วย คือต้องเข้าออกได้อย่างชำนาญอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่กว่าจะเข้าได้นี่ต้องใช้เวลาตั้งครึ่งชั่วโมง อย่างนี้แสดงว่ายังไม่ชำนาญทางสมาธิ แสดงว่าสติยังมีกำลังไม่มากพอ

ถ้าออกมาจากสมาธิแบบนั้น ก็ควรที่จะมาเจริญสติต่อควบคุมใจไม่ให้คิดอะไรไปก่อน ฝึกควบคุมความคิดไว้ให้ได้ก่อน จนกว่าจะสามารถเข้าสมาธิได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย แล้วหลังจากนั้นถึงควรที่จะออกไปในทางปัญญาหลังจากที่ออกจากสมาธิมาแล้ว.

ธรรมะบนเขา วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖

“ยาของพระพุทธศาสนา”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





การกําหนดพุทโธ นั้นเป็นอุบายของท่านผู้สอนที่ต้องการจะให้จิตมีที่ยึดมั่นเอาไว้กับพุทโธด้วยอีกอย่างหนึ่ง เป็นวิธีที่
เหมาะสําหรับผู่ที่จิตว่อกแว่กมาก จะทําให้ จิตมีที่ยึดเพิ่มไปยึดพุทโธไว้แทน ทําให้ว่อกแว่กน้อยลง แต่การที่จะกําหนดพุทโธหรือไม่ ก็ขอให้ขึ้นกับจริตของแต่ละคน เพราะคําว่าพุทโธช่วยให้จิตตั้งมันเพียงอย่างเดียว แต่จุดที่สําคัญกว่า คือได้ตามรู้ลมหายใจหรือตามรู้ความรู้สึกตัว หรือดูกายดูใจประกอบไปด้วยหรือเปล่า ถ้าท่องแต่เพียงพุทโธแล้วไม่ได้ตามดูลมหายใจไปด้วย เท่ากับว่าเรากําลังทิ้งการเจริญสติปัฏฐานไป แล้วไปท่องเพ่งเป็นสมถะแต่เพียงพุทโธเท่านั้น ซึ้งการเจริญในสติปัฏฐาน นั้นมีความสําคัญมากกว่ามากๆ  แต่ทั้งนี้ต้องดูให้ดีนะ ท่านผู้สอนอาจต้องการสอนกับบุคคลใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเลยให้ทําอย่างนั้นเพื่อประโยชน์อันเป็นเฉพาะกับคนๆ นั้น ที่นี้คนอื่นไปฟังมาแล้วไปคิดว่า ต้องทําอย่างนี้ตามจึงดี แต่จริงๆ แล้วอาจไม่เหมาะกับจริตเราก็ได้ หรือคนอื่นๆ ก็ได้ สําหรับตัวผมเองเห็นว่าการตามรู้ลมหายใจของเราหรือการตามรู้ความรู้สึกตามรู้กาย มีความสําคัญกว่าและผมเองก็ละการท่องพุทโธ หรือคําบริกรรมอื่นใดทั้งหมด แม้แต่ขณะทําสมาธิก็ตาม แต่ผมกล่าวอย่างนี้ไม่ใช่การใช้คําบริกรรมไม่ดีนะครับ ผมเองเห็นว่าดีครับ เพียงแต่ดีและเหมาะกับผู้ใดมากกว่า ผู้สอนที่มีฌาณสูงๆ มักจะดูและเห็นแล้วครับคนคนกลุ่มไหนเหมาะกับอะไรครับ


เคล็ดลับของสมถกรรมฐาน

หลวงพ่อปราโมทย์ : ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อความมักน้อย(สมถะ – ผู้ถอด) เพื่อความสันโดษ(พอเพียง ยินดีในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่ตนได้มาตามความชอบธรรม ประกอบด้วยศีลด้วยธรรม ตามกฎหมาย – ผู้ถอด) เพื่อความไม่คลุกคลี(วิเวก – ไม่คลุกคลีด้วยอกุศล ด้วยกิเลส เว้นแต่ทำตามหน้าที่อันสมควรแก่ธรรม สมควรตามความรับผิดชอบ – ผู้ถอด) เป็นเพื่อความพัฒนาของศีล เป็นไปเพื่อความมีสมาธิ

สมาธิมี ๒ ชนิด สมาธิชนิดที่ ๑ จิตสงบในอารมณ์อันเดียว จิตใจของเราโดยปกตินี้ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา มันวิ่งไปทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ วิ่งไปหาอารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจ กลุ้มใจขึ้นมาก็ไปดูหนัง อยากจะมีความสุขวิ่งไปดูหนัง ดูแล้วยังไม่หายกลุ้มวิ่งไปฟังเพลง ฟังเพลงแล้วหิวอีกแล้วก็วิ่งไปหาอะไรกินอีก จิตใจนี้จะวิ่งพล่าน พล่าน พล่าน พล่าน ไปตลอดเวลาเลย เรียกว่าใจฟุ้งซ่าน

ถ้าต้องการฝึกสมาธิให้ใจสงบนะ เรามารู้จักเลือกอารมณ์ ถ้าจิตของเราอยู่ในอารมณ์ชนิดไหนที่มันไม่ยั่วกิเลส เป็นอารมณ์ที่ดี อยู่กับอารมณ์ชนิดนั้นแล้วมีความสุข จุดสำคัญอยู่ที่ว่า เลือกอารมณ์ที่มีความสุขมาเป็นเครื่องอยู่ของจิต เมื่อจิตได้อยู่ในอารมณ์ที่มีความสุขอันเดียวนะ จิตจะไม่วิ่งพล่านไปหาอารมณ์อื่นๆ จิตก็สงบ นี่คือหลักของสมถกรรมฐาน เคล็ดลับมีเท่านี้เอง ที่นั่งสมาธิกันปางตาย ทำแล้วยังไงก็ไม่สงบ ก็เพราะไม่รู้เคล็ดลับ หลวงพ่อนั่งสมาธิเป็นตั้งแต่ ๗ ขวบ นะ ก็เลยสรุปเคล็ดลับได้ว่าเราต้องอยู่กับอารมณ์ที่มีความสุข

อย่างหลวงพ่อตั้งแต่เด็กๆเนี่ย หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ อยู่กับลมหายใจนะ มีความสุข หายใจแล้วมีความสุข หายใจแล้วมีความสุข ใจก็ไม่ฟุ้งไปที่อื่นเลย ใจก็จะอยู่สงบอยู่กับลมหายใจ ลมหายใจกลายเป็นแสงไป ลมก็สว่างกลายเป็นแสงสว่าง เป็นดวงสว่างขึ้นมา ก็สงบอยู่กับแสง นี่คือหลักของการทำสมาธิ (หมายถึง สมถกรรมฐาน – ผู้ถอด)

สมาธิบางอย่างไม่มีแสงนะ ไม่มีดวงนิมิต อย่างการเจริญเมตตาเนี่ย เราแผ่เมตตาไปเรื่อย จะไม่มีดวงปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้น จิตก็ทำความสงบปราณีตได้ คนไหนขึ้โมโห ก็แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ เวลาที่แผ่เมตตาไม่ต้องไปเค้นเมตตาออกจากใจ แผ่ๆ อย่างนี้นะ ไม่ไปหรอก เมตตานะ แต่ถ้าจะแผ่ก็นั่งนึกเอา นั่งนึกเอา “สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย ขอให้สัตว์ทั้งหลายได้รับส่วนบุญที่เราทำแล้วทั้งหมดด้วยเถิด ทุกๆคน ทุกๆคน เลย” เนี่ยนึกไปเรื่อยนะ นึกอย่างนี้เรื่อยๆ บริกรรมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใจก็จะค่อยๆเย็นขึ้นมา ใจค่อยสงบสบาย พวกขี้โมโหนะ แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ แผ่ทั้งวันเลยก็ได้ ใจมันจะค่อยเย็นๆมีความสุข
ึ้นมา

คนขี้โลภ พวกราคะมากอะไรอย่างนี้ จะพิจารณาร่างกาย ดูร่างกายเป็นส่วนๆ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ของไม่สวยไม่งาม พิจารณาไปเรื่อย ใจก็สงบจากราคะ ไม่ฟุ้งไป

ใจโกรธก็คือใจมันฟุ้งไป กระทบอารมณ์แล้วไม่พอใจ ในโลภก็คือมันฟุ้งไป ไปกระทบอารมณ์แล้วพอใจ ใจหลงก็คือใจมันฟุ้งไปตามอารมณ์ต่างๆ เพราะฉะนั้นหากว่าคนไหนขี้หลง ใจลอยบ่อยอะไรบ่อยนะ หายใจไปรู้สึกตัวไป หายใจไปรู้สึกตัวไป พอจิตหนีไปแล้วก็รู้เอา ใจก็ค่อยสงบสบายอยู่ในอารมณ์อันเดียว ถ้าน้อมใจให้ไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขได้ล่ะก็ สมาธิก็เกิด ได้สมาธิชนิดที่ ๑

สมาธิชนิดที่ ๑ เป็นสมาธิที่จิตสงบในอารมณ์อันเดียว เรียกว่า “อารัมณูปนิชฌาน” อารัมณะ ก็คือคำว่า อารมณ์นั่นเอง คนไทยไปตัดไม้หันอากาศออก ถ้าภาษาที่ถูกก็คือ อารัมณะ ยกตัวอย่างพระอานนท์นะ คนไทยเรียกพระอานนท์เนี่ย ถ้าเราย้อนขึ้นไทม์แมชชีนไปวัดเชตวัน ไปถามหาพระอานนท์ จะไม่มีใครรู้จักเลย ต้องถามหาพระอานันท์ เนี่ยเขาตัดไม้หันอากาศออกไป คนไทย

เพราะฉะนั้นอารัมณูปนิชฌานนะ ให้จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวได้เพราะจิตรู้จักเลือกอารมณ์ที่มีความสุข ถ้าทำได้นะ จิตใจก็มีความสุข ร่มเย็นเป็นสุข ไม่เครียด ไม่เครียดเลย แต่ว่าไม่เดินปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม



ให้เข้าใจความแตกต่างระหว่าง จิตผู้เพ่ง กับ จิตผู้รู้

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าใจเราตั้งมั่น เราจะเห็นร่างกายของตัวเองได้ ถ้าใจเราตั้งมั่น เราจะเห็นจิตใจของตนเองได้ ถ้าใจไม่ตั้งมั่น ใจไหลไปทางตา เราจะไปเห็นรูปภายนอก ถ้าใจไหลไปทางหู เราจะไปได้ยินเสียง ถ้าใจไหลไปทางจมูก เราจะไปได้กลิ่น ถ้าใจไหลไปที่ลิ้น เราจะได้รส ถ้าใจไหลไปตามผิวกาย เราจะรู้สึกสัมผัสภายนอก เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวอะไรข้างนอกได้ ข้างในก็รู้สึกได้ แต่จิตมันเคลื่อนทั้งสิ้นเลย เช่น รู้สึกท้อง ที่กระเพื่อมไปกระเพื่อมมา จิตเคลื่อนไปที่ท้องนั่นเอง

เพราะนั้น ถ้าจิตเคลื่อนไปนะ มันจะรู้ออกนอก และถ้าจิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดูเนี่ย มันจะย้อนเข้ามา ดูกายดูใจของตนเอง โดยที่จิตนั้น”เป็นผู้รู้ ผู้ดู” ตัวนี้แหล่ะ ตัวแตกหัก ถ้าเราสามารถพัฒนาจิตที่ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดูได้ เรียกว่าเราได้ “ลักขณูปนิชฌาน”

ลักขณูปนิชฌานเนี่ย เป็นสมาธิที่สำคัญที่สุดเลย แต่อาภัพ คนไม่รู้จัก คนรู้จักแต่”อารัมมณูปนิชฌาน” สมาธิมี ๒ ชนิดนะ สมาธิชนิดที่ ๑ ชื่อ “อารัมมณูปนิชฌาน” จิตไปเพ่งอยู่กับอารมณ์อันเดียว เช่น ไปเพ่งอยู่ที่พุทโธ ไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจ ไปเพ่งอยู่ที่ท้องพองยุบ ไปเพ่งอยู่ที่มือที่เท้า อันนั้นจิตออกนอก “ลักขณูปนิชฌาน” จิตจะตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดูขึ้นมา แล้วมันจะเห็นเลย ร่างกายมันแสดงไตรลักษณ์ได้ จิตใจแสดงไตรลักษณ์ได้

งั้นถ้าจิตไม่ตั้งมั่น จิตไม่ถึงฐาน จิตออกนอกเนี่ย หลายสำนวนนะ อันเดียวกันนั่นแหล่ะ คือจิตมันส่งไปข้างนอก ทางตาหูจมูกลิ้นกาย หรือส่งไปคิดไปนึก มันจะไม่สามารถรู้กายรู้ใจได้ เราต้องมาฝึกนะ ตัวนี้เป็นตัวแตกหักเลย ว่าชาตินี้เราจะได้มรรคผลหรือไม่ ถ้าเราไม่มี”ลักขณูปนิชฌาน” ไม่มีจิตที่ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ละก็ เรายังไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้

อารัมณูปนิชฌานคือ สมาธิเพ่งอารมณ์นี้ ใช้ทำสมถะกรรมฐาน แล้วก็ใช้สำหรับมีชีวิตอยู่กับโลก อย่างเป็นต้นว่า เราจะเขียนซอฟท์แวร์อะไรเนี่ยนะ ซักอันนึงนะ สมาธิเราต้องออกนอก ไปอยู่ที่ความคิดใช่ไหม เราถึงจะเขียนซอฟท์แวร์ได้ อันนี้เรียกว่า “อารัมณูปนิชฌาน” นั่งเพ่งไฟ นั่งเพ่งลมหายใจ นั่งเพ่งท้อง อันนี้เรียกว่าอารัมณูปนิชฌาน ไปเพ่งตัวอารมณ์


ส่วน“ลักขณูปนิชฌาน”เนี่ย ใช้ตอนไหนบ้าง ลักขณูปนิชฌานใช้ในขณะแห่งวิปัสสนากรรมฐาน ใช้ในขณะที่เกิดอริยมรรค ใช้ในขณะที่เกิดอริยผล ใช้ในขณะที่พระอริยเจ้าเข้าผลสมาบัติ ผลสมาบัติก็คือ เกิดผลจิต จิตในขณะที่บรรลุโสดาฯ สกทาคาฯนั่นแหล่ะ จะเกิดผลอย่างนั้นซ้ำขึ้นมา แต่ว่าไม่ล้างกิเลส เพราะมีแต่ผล ไม่มีมรรค งั้นเป็นสมาธิ แต่เป็นสมาธิที่ใช้ลักขณูปนิชฌาน จิตตั้งมั่นถึงฐานเลย



เมื่อปฏิบัติสมาธิไปถึงจุดหนึ่ง คําบริกรรมจะหายไป จะหายไปเอง แล้วจิตเราจะตั้งมั่นเด่นอยู่ในจุดที่เราตั้งมั่น และถ้าสมาธิไปลึกต่อไปอีก กายเราตัวเราจะเบาจะไร้นํ้าหนักกดทับใดๆทั้งสิ้น ถึงตรงนี้จะเหมือนไม่มีกายแล้วแต่ก็จะรู้ว่ากายนั้นยังมีอยู่ และถ้าสมาธิละเอียดลึกขึ้นไปอีก ลมหายใจที่เราใช้ยึดอยู่ก็จะค่อยๆหายไปด้วย ตรงจังหวะที่ลมหายใจหายไปแล้วนี้บางคนถ้าตกใจและหลุดจากสมาธิระดับนั้นถอยออกมา จะเกิดการสําลักอากาศหรือหายใจได้ ฉะนั้นอย่าไปวิตกกังวลไม่มีลมหายใจก็ไม่เป็นไรครับ มันจะอยู่ในสภาวะสงบนิ่งลึกๆ แต่มีสติรู้ตัวตลอด ตอนนี้ให้เปลี่ยนจากการตามรู้ลมหายใจ (เพราะไม่มีลมแล้ว) มาอยู่ที่การรับสัมผัสกาย ที่กายตนแทน ตรงนี้ความรู้สึกที่ผ่านกายจะไวไวมากรับรู้ถึงกระแสเลือดกระแสประสาทที่วิ่งอยู่ในกาย และจากนี้ก็จะเข้าสู่สภาวะที่สมาธิลึกมาก เสียงจะหายไปจากการรับรู้ เช่นใครมาทําเสียงดังข้างหูก็ไม่ได้ยิน และต่อจากนั้นสมาธิที่ลึกมากๆ ใครมาเขย่ากายก็ไม่รู้ การเกิดสภาวะทางกายจะเป็นตามลําดับอย่างนี้



" เล่นกับลม เหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับลม "


การพิจารณาลม อย่างอ่อนโยน อย่างแผ่วเบา ละเอียดอ่อน เล่นกับลมหายใจ ดึงลมเข้าผ่อนลมออก โดยระลึกรู้อยู่กับลม ทําได้อย่างนี้ สมาธิจะก้าวหน้ามากๆครับ ทําเหมือนเล่นลมรู้ไป กับลมเหมือนไม่ได้ตั้งใจทํา แต่เล่นรู้ไปกับลม สิ่งนี้สําคัญนะครับ



"ผู้ที่มีสมาธิแล้ว คำพูดมักจะศักดิ์สิทธิ์ 
สามารถที่จะโน้มน้าวจิต ของผู้อื่นได้" 

ถ้าหากสมมติว่าเราโกรธใครสักคนหนึ่ง อย่าไปแช่งเขา 
ให้ทำสมาธิ ให้แผ่เมตตาให้เขามากๆ 

ในเมื่อเราแผ่เมตตาให้เขามากๆ มันจะเกิดผลขึ้นมา ๒ อย่าง
อย่างหนึ่ง เขามาดีกับเรา
อย่างที่ ๒ ถ้าเขาไม่ยอมมาดี เขาก็พังไปเอง เราไม่ต้องแช่ง

ถ้าแช่งแล้วเราก็เป็นบาป แล้วก็ทำให้เราเสื่อมคุณธรรมด้วย...

-หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทหารอเมริกันเปิดโปงขบวนการก่อการร้ายตัวจริงที่แท้ก็คือ......


Post by วิทูร ภัสสรภากร.

คลิปวีดีโอชุดนี้ไม่ทราบว่าออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ได้ใจคนทั้งโลก..ทหารอเมริกันเปิดโปงขบวนการก่อการร้ายตัวจริงที่แท้ก็คือ......โปรดแชร์ข่าวสารนี้ให้ชาวโลกได้รับรู้...



ชายชาวอเมริกัน ชูป้าย รัฐบาลผมสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในปาเลสไตน์ ผมไม่รู้จะหยุดเขาได้อย่างไร ทุกวันนี้ผมอาย ที่เป็นคนอเมริกัน..











โหดร้ายสิ้นดี......"PRAY FOR GAZA"

ศาสตราจารย์นายแพทย์ แมดส์ กิลเบอร์ท เพิ่งจะเดินทางจากนอร์เวย์ไปทำงานร่วมกับคณะแพทย์และพยายาลในกาซ่า แม้จะถูกขัดขวางทุกวิถีทางจากอิสราเอลไม่ให้เดินทางเข้าไปที่กาซ่า แต่เขาได้มาถึงโรงพยาบาลชีฟาอฺในกาซ่าแล้ว และนี่คือจดหมายที่เขาเขียนถึงเพื่อนมนุษย์ทั้งมวล

#จดหมายจากกาซ่า #โดยนายแพทย์ชาวนอร์เวย์คนหนึ่ง

เพื่อน ๆ ที่รัก

เมื่อคีนนี้เป็นคืนที่หนักหน่วงอย่างยิ่ง การบุกภาคพื้นดินของอิสราเอลที่กาซ่าส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ผู้บาดเจ็บแขนขาขาด เสียเลือด กำลังหนาวสั่น รอความตาย ถูกบรรทุกมาล้นคันรถ พวกเขาเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทุกผู้ทุกวัย

บรรดาวีรบุรุษของเราในรถพยาบาลและในโรงพยาบาลทุกแห่งในกาซ่าต่างทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมง ทุกคนระโหยโรยแรงและเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสจากการทำงานที่่เกินกำลังมนุษย์จะทำได้ (โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ และเฉพาะในโรงพยาบาลที่เมืองชีฟาอฺนั้นพวกเขาทำงานโดยไม่รับเงินเดือนเลยมาสี่เดือนแล้ว) พวกเขาพยายามให้การรักษาและพยายามทำความเข้าใจกับความโกลาหลที่เกินจะเข้าใจได้ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของมนุษย์ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ขนาดต่าง ๆ ที่บ้างก็เดินได้ บ้างก็เดินไม่ได้ บ้างก็หายใจ บ้างก็หยุดหายใจไปแล้ว ทุกคนคือมนุษย์ แต่ขณะนี้พวกเขาถูกกระทำราวกับไม่ใช่มนุษย์จากกองทัพที่อ้างตัวว่าเป็น ”กองทัพที่มีคุณธรรมมากที่สุดในโลก" 

ผมขอแสดงความนับถืออย่างสูงยิ่งต่อผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดที่มีความอดทนอย่างที่สุดต่อความเจ็บปวด ความทรมานและความหวาดผวา ผมขอแสดงความชื่นชมอย่างสุดซึ้งต่อคณะแพทย์ พยาบาลและอาสาสมัคร ความใกล้ชิดที่ผมมีต่อชาวปาเลสไตน์ "ซูมูด" ทำให้ผลมีความเข้มแข็ง ถึงแม้ในบางขณะผมอยากจะกรีดร้อง กอดใครสักคนไว้แน่น ๆ ร้องไห้ออกมา สูดกลิ่นหอมของเส้นผมและผิวหนังที่อบอุ่นของเด็ก ๆ ที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ปกป้องตัวของเราไว้ในอ้อมกอดของกันและกัน แต่พวกเราก็ไม่อาจทำได้เช่นนั้น

ใบหน้าที่ระโหยโรยแรงทั้งหลาย -- ไม่แล้วนะ พอแล้วนะกับรถที่เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บสาหัสและเลือดท่วมตัว บนพื้นห้องฉุกเฉินของเรายังเจิ่งนองไปด้วยโลหิต เรายังมีผ้าพันแผลชุ่มเลือดอีกกองพะเนินที่รอการจัดการ บรรดาพนักงานทำความสะอาดต่างต้องคอยช้อนเลือดและเศษชิ้นส่วนของร่างกาย ผม เสื้อผ้า สายท่อที่สอดใส่ในร่างกาย บรรดาชิ้นส่วนที่หลงเหลือจากร่างกายของผู้เสียชีวิต ทุกอย่างถูกนำออกไปเพียงเพื่อจะรอรับชิ้นส่วนแบบเดียวกันนี้ที่จะกลับเข้ามาใหม่ ตลอดระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำมาที่โรงพยาบาลชีฟาอฺกว่าร้อยราย อาจเพียงพอต่อการรองรับของโรงพยายาลที่มีคณะทำงานที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีและมีความพร้อมทุกอย่าง แต่ที่นี่ แทบไม่มีอะไรเลย ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ ไม่มีอุปกรณ์ที่สามารถใช้แล้วทิ้งได้ ไม่มียา หรือถ้าจะมีบ้างก็คือโต๊ะ เครื่องมือ และหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ขึ้นสนิมราวกับนำมาจากพิพิธภัณฑ์แห่งวันวาน แต่พวกเขาไม่ปริปากบ่น บรรดาวีรบุรุษเหล่านี้ พวกเขาเดินหน้าต่อไป ราวกับนักรบ หยัดยืน แน่วแน่ และมั่นคง 

ขณะที่ผมเขียนจดหมายนี้ถึงพวกคุณ ผมอยู่ตามลำพังบนเตียงนอน น้ำตาของผมไหลริน เป็นน้ำตาอุ่น ๆ แต่ช่างไร้ประโยชน์ เป็นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดและความโศกเศร้า เป็นน้ำตาแห่งความโกรธขึ้งและความหวาดกลัว สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ ใช่ไหม

และเมื่อครู่นี้เอง เสียงประสานของเครื่องมือทำสงครามของอิสราเอลเริ่มบรรเลงเพลงอำมหิตอีกครั้ง เมื่อสักครู่นี้เอง มีการระดมยิงปืนใหญ่จากกองทัพเรือของอิสราเอลขึ้นมาบนชายฝั่ง เสียงคำรามของฝูงบิน เอฟ 16 เครื่องบินรบปราศจากคนขับที่น่ารังเกียจ และเครื่องเฮลิค็อปเตอร์อาปาเช่ที่บินว่อน ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่ผลิตในสหรัฐและมอบให้อิสราเอลโดยรัฐบาลสหรัฐ

มิสเตอร์โอบามา คุณมีหัวใจหรือเปล่า

ผมขอเชิญคุณมาที่ชีฟาอฺ มาอยู่ที่นี่ซักคืนก็พอ ปลอมตัวมาเป็นพนักงานทำความสะอาดก็ได้

ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าประวัติศาสตร์จะต้องเปลี่ยนไป

ไม่มีใครหรอกที่มีหัวใจและมีอำนาจจะสามารถเดินออกจากเมืองชีฟาอฺไปได้โดยไม่คิดจะหยุดยั้งการสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์อย่างโหดเหี้ยมนี้

แต่คนที่ไม่มีหัวใจและไร้ความเมตตาต่างตั้งหน้าตั้งตาคำณวนผลประโยชน์และวางแผนโจมตีกาซ่าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้้ง

สายธารแห่งเลือดจะยังคงไหลรินในคืนที่จะมาถึง ผมได้ยินเสียงมัจจุราชขึ้นไกและเตรียมเครืองมือสังหารพร้อมแล้ว

ได้โปรดทำอะไรสักอย่างที่คุณจะทำได้เถิด สิ่งนี้ไม่อาจจะดำเนินต่อไปได้อีกแล้ว

นายแพทย์ ดร. แมดส์ กิลเบอร์ต
ศาสตราจารย์และหัวหน้าคลีนิ
คลีนิคผู้ป่วยฉุกเฉิน
โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทนอร์เวย์


ข้อมูลจากและภาพจาก http://www.middleeastmonitor.com/articles/middle-east/12920-letter-from-gaza-by-a-norwegian-doctor

เรียบเรียงโดย สุรัยยา สุไลมาน
๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗
กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซึย








เพรสทีวี - มีรายงานล่าสุดระบุ กองกำลังทางอากาศและพื้นดินของรัฐเถื่อนไซออนิสต์มีการใช้ระเบิดฟอสฟอรัสขาวตามย่านที่อยู่อาศัยหลายแห่งในเขตฉนวนกาซา

การใช้ระเบิดแห่งความตายนี้ถือว่าละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศซึ่งให้เป็นอาวุธต้องห้ามในเขตพื้นที่พลเรือน

ก่อนหน้านี้แพทย์ชาวนอร์เวย์ที่อยู่ในเขตปิดล้อมฉนวนกาซาก็วิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลว่าใช้ระเบิดที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งกับพลเรือนปาเลสไตน์

โดยแพทย์คนดังกล่าวบอกว่า ชาวปาเลสไตน์ได้รับบาดเจ็บจากอาวุธชนิดใหม่ที่ว่าแม้แพทย์ที่มีประสบการณ์ในเขตสงครามก็ยังไม่รู้จัก

อิสราเอลยเคยใช้ ยูเรเนียมด้อยสมรรถนะ (depleted-uranium) และแก๊สฟอสฟอรัสขาว (white phosphorus shells) กับชาวปาเลสไตน์มาแล้วก่อนหน้านี้

“ฟอสฟอรัสขาว” เป็นสารที่มีลักษณะ คล้ายขี้ผึ้ง มีสีขาวใสออกเหลือง มีกลิ่นคล้ายกระเทียม จะทำการสันดาปอย่างรวดเร็วเฉกเช่นเดียวกับออกซิเจน จะทำให้เกิดประกายไฟและควันสีขาว และเมื่อได้เจอกับความชื้นจะทำปฏิกิริยาจนเกิดกรดฟอสฟอริก เมื่อสัมผัสผิวหนังของมนุษย์ จะไหม้ทั้งผิวหนังและเนื้อทุกส่วนจนเหลือแต่ซากกระดูกเท่านั้น

อ่านต่อ: http://www.muslimvoicetv.com/ncontent/International_news_cont.php?nid=15985#ixzz388tbfUF2





เก็บตก เมื่อวันที่ 21 กค. 2514
"มวลมหาประชาชน ชาวอเมริกัน" จำนวนมาก ส่งสัญญาณไปถึงโอบาม่า กรณีสนับสนุนอิสราเอลถล่มกาซ่า 


MANA PRADITKET

MANA PRADITKET
Handpainted oil painting by Mana Praditket

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
Original handpainted oil painting by Niran Paijit

PRAYAD TIPPAWAN

PRAYAD TIPPAWAN
ORIGINAL IMPRESSIONAL OIL PAINTING BY PRAYAD TIPPAWAN

Achara 34 (24x36)

Achara 34 (24x36)
ORIGINALl OIL PAINTING

Amornsak Livisit 74 (24x36)

Amornsak Livisit 74 (24x36)
ORIGINAL OIL PAINTING, Impressionist style

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)

Suwan Khanboon 11 (24x24 inches)
Original handpainted oil painting abstract style

NIRAN PAIJIT

NIRAN PAIJIT
ORIGINAL ABSTRACT STYLE OIL PAINTING BY NIRAN PAIJIT

Chavalit (Pong)

Chavalit (Pong)
PINTO Horses

Komez 78 (22x30)

Komez 78 (22x30)
Original handpainted pastel painting on paper

KOMES

KOMES
Handpainted pastel painting by Komez

PRATHOUN

PRATHOUN
ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING BY PRATHOUN

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
ORIGINAL OIL PAINTING BY THAVORN IN-AKORN (SIZE 20x30")

THAVORN IN-AKORN

THAVORN IN-AKORN
Original oil painting by Thavorn In-akorn

Facebook


ORIGINAL HANDPAINTED OIL PAINTING

PHOTO GALLERY

PHOTO GALLERY

Facebook

PHOTO GALLERY